บทที่ 2
ผมเกือบเอาลูกรักจูบท้ายคันข้างหน้า ดีกระทืบเบรกทัน คันหน้าคลานไปได้อีกหน่อยก็หยุด ผมเลยดึงเบรกมือหันไปเขม็งคนข้างๆ “มึงถามเหี้ยอะไร!”
พาร์ชะงักเล็กน้อย “ถามว่ามึงชอบกูใช่ไหม”
“กูเนี่ยนะชอบมึง! เอาสมองส่วนไหนคิด!”
“น้องสาวมึงถามอะไรกูล่ะ!”
“กูไม่อยากจำ!”
“แต่สีหน้ามึงบอกชัดว่าจำได้!”
“แล้วมึงล่ะจำไปทำไม!”
จังหวะรถกำลังเคลื่อนตัวต่อ ผมเลยหันไปสนใจท้องถนน ความตึงเครียดแผ่ไปทั่วรถมากกว่าเก่า แม้รถจะหยุดนิ่งอีกครั้ง ภายในรถก็ยังเงียบจนกระทั่งพาร์พูดขึ้นก่อน
“สรุปมึงไม่ได้คิดแบบนั้น?”
“ไม่คิด!” พร้อมถามกลับ “มึงล่ะ”
“ไม่เหมือนกัน”
ผมโล่งใจขึ้นทันที ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา รถขยับเป็นเต่าคลานีกระยะหนึ่งก็ติดอีกแล้ว ผมที่ชักเซ็งๆ เรื่องบนท้องถนนเลยหันไปหันข้างๆ อย่างต้องการเพื่อนคุย
“วันนั้นกูอยากมุดดินหนีกลับบ้านมาก” ผมเปิดประเด็นที่ยังค้างคาในใจ
“หมายถึงวันเสาร์?”
“นั่นแหละ ถามจริง ตอนนั้นรู้สึกยังไง”
“ตกใจสิ” พาร์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกหรอก นอกจากอึ้ง”
“ก็จริง” ขนาดผมยังอึ้งเลย และอึ้งอีกรอบตอนเจอคำถามของมันเมื่อกี้
โดนคนเพศเดียวกันถามว่าชอบเขาไหม นี่มัน…รอยด่างในชีวิตของลูกผู้ชายที่เคยมีแฟนสาวมาแล้วเกือบสิบคนชัดๆ (น้ำตาจะไหล)
หลังจากนั้นผมกับพาร์ต่างพยายามหาเรื่องมาชวนคุย (สงสัยไม่อยากให้บรรยากาศกลับไปอึดอัดอย่างตอนแรกอีก) คิดเรื่องไหนออกก็เอามาพูดหมด แม้กระทั่งเอาเรื่องน้องสาวมาเผา
“มิน่า! ถึงคิดทำตัวเป็นแม่สื่อให้เรา!”
พาร์ส่ายหน้า “นี่ยังน้อย ช่วงนี้กูโดนน้องกรอกหูให้ฟังอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน รำคาญจะแย่”
“นั่นยังดี กูเจอหนังสือการ์ตูนเป็นตั้งเลยเหอะ เปิดดูปุ๊บปิดแทบไม่ทัน”
“อย่างน้อยมึงก็เลือกได้ว่าจะอ่านหรือไม่อ่าน แต่กูเลือกไม่ฟังไม่ได้”
“มึงปวดรูหู แต่กูต้องเมื่อยปากกว่าจะกล่อมให้น้องเอาการ์ตูนอย่างนั้นกลับไป”
พวกผมเผลอมองหน้ากัน ก่อนจะเผลอปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นรถทั้งคู่
“มึงน่าสงสารวะ” ผมว่ากลั้วหัวเราะ พาร์เลยสวนมาทันที
“มึงก็เหมือนกัน…รู้ไหมกรณีสองสาว เขาเรียกว่าอะไร?”
“อะไรล่ะ?”
“เรียก ‘สาววาย’ สองสาวน่าจะติดมาจากเพื่อนในโรงเรียน เพราะตอนประถมไม่เห็นเป็น”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย น้องพึ่งมีอาการพิลึกแบบนี้ก็ตอนย้ายโรงเรียนเข้าชั้นมัธยมต้นนี่แหละ ว่าแต่…
“ผู้หญิงกับตัววายเกี่ยวกันยังไง” พูดไปก็นึกถึงสาวๆ กับหนึ่งในตัวพยัญชนะภาษาอังกฤษทั้งยี่สิบหก บอกตามตรงผมหาความเกี่ยวข้องไม่เจอ
เหมือนคนข้างตัวจะเดาความคิดผมออก ถึงได้เน้นย้ำว่า “มึงคิดผิด!”
“อ้าว?”
“กูบอกอยู่ว่าแบบน้องเรา มันต้องหมายถึงคำเรียกแทนตัวสาวๆ ผู้ชื่นชอบเรื่องรักใคร่ของชายกับชาย กูขอเตือนมึงอย่าเสนอหน้าไปให้เพื่อนน้องสาวเห็น ไม่งั้นมึงจะโดนจิ้น!”
“จิ้น…”
“หมายถึงจินตนการไปเอง ไหงทำหน้าไม่เข้าใจเล่า”
“จิ้นน่ะเข้าใจ แต่นึกภาพไม่อกว่าจิ้นอะไรยังไง”
“อย่ารู้เลย เฮ้ยๆ ข้างหน้าไปกันแล้ว”
ไม่พูดเปล่ายังตบไหล่กันซะแรงจนเจ็บแปลบ ผมรีบเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งปล่อยรถให้ค่อยๆ ไหลต่อไปเรื่อยๆ จนหยุดอีกครั้งถึงได้หันไปเขม็งใส่
“ช่วยเบามือหน่อย นี่คน ไม่ใช่กระสอบทราย”
“เอ่อ โทษที”
พาร์กระแอมไอ ทำท่าจะพาเปลี่ยนเรื่อง แต่โดนผมพูดขัดก่อน “ตกลงว่าจิ้นแบบไหน?”
“อย่ารู้ดีกว่า”
“เล่ามา”
พาร์เลียริมฝีปาก ท่าทางลำบากใจจะพูดถึง “คืองี้…ประมาณว่าระหว่างมองหน้ากู คุยกับกู แต่ในหัวเพื่อนน้องมีภาพตัวกูแสดงความรักกับใครไม่รู้ที่เป็นผู้ชายเหมือนกันนี่มันก็…ไม่ไหวนะ”
“ห๊ะ!!”
“กูถึงได้บอกว่าอย่ารู้ไง”
“ล…แล้วมึงไปรู้มาจากไหน?”
“ได้ยินตอนเดินผ่านหน้าห้องน้ำหญิง เสียงมันก้องดังออกมาถึงทางเดิน กูเลยได้ยินชัดแจ๋วแบบไม่ต้องแอบฟัง”
ผมทำหน้าปั้นยาก “แต่จะให้หลบหน้าเพื่อนน้องนี่มันก็…”
“งั้นมึงต้องทำใจล่วงหน้า” พาร์แนะนำสั้นๆ เงียบไปพักหนึ่งก็พูดต่อ “แต่กูเคยเตือนพวกน้องๆ ไปแล้วว่าอย่าให้มากเกินไป บางคนก็ไม่ชอบ”
ผมถามกลับอย่างระมัดระวัง “มึงล่ะ…โอเคหรือเปล่า”
“ไม่รู้ แต่เห็นหน้าน้องแล้วโกรธไม่ลง…มึงล่ะ?”
“กึ่งๆ ล่ะมั้ง” ผมตอบไปแบบกลางๆ ทั้งที่ความจริงค่อนข้างเฉยๆ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“…เพื่อนกูเคยบอกว่ามันคือความรัก”
นึกถึงคนรอบตัวที่ได้คบกับคนเพศเดียวกัน ผมก็ยิ้มออกมา “เพื่อนมึงอาจพูดถูกก็ได้”
“…อาจเหมือนรักของชายหญิงมั้ง”
ฟังจากน้ำเสียงพาร์ ท่าทางคนพูดคงข้องใจไม่น้อย ผมหัวเราะ พูดเล่นขำๆ
“ถ้ามึงข้องใจนักก็ลองมีความรักกับผู้ชายดูสิ”
พาร์ส่ายหน้า “กูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“ผู้ชาย?” ผมแกล้งถามยิ้มๆ
“ไม่ใช่!”
“สวยไหม?”
“น่าจะสวย”
อะไรคือน่าจะสวย?
“จีบไปยัง?”
“ยังหาตัวไม่เจอ”
ผมกระพริบตา ชักเริ่มงง “งั้นมึงรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง?”
“อยู่มหาลัยเรา”
ผมรอแล้วรอเล่า ไม่เห็นมีคำพูดเพิ่มเติม เลยถามด้วยเสียงไม่อยากเชื่อ “มึงมีข้อมูลแค่นี้!”
“อือ”
มันทำผมเงิบไปเลย “เอ่อ ขอให้มึงหาตัวคนที่ชอบเจอเร็วๆ”
“ขอบใจ”
เกือบชั่วโมงรถถึงเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย ผมคิดจะไปส่งพาร์ที่ตึกคณะ ยังไม่ทันถามชื่อคณะ เจ้าตัวก็บอกว่าวันนี้เรียนตึกรวม ฟังชื่อตึกปุ๊บผมร้องอ้าวในใจปั๊บ ที่เดียวกัน ดีเหมือนกันครับจะได้ไม่ต้องวนไปมา ยิ่งช่วงใกล้เวลาเรียนหาที่จอดรถยากจะตาย
หลังพากันลงรถ พวกผมเดินไปตึกเรียนรวมพร้อมกัน ระหว่างนั้นผมก็ถาม “เลิกกี่โมง”
“สี่โมงครึ่ง” พาร์ตอบทั้งที่แววตาสงสัยว่าถามไปทำไม
“กูเลิกห้าโมง ถ้าไม่รีบ กลับพร้อมกันก็ได้ แต่ต้องแวะไปรับเจ้าตัวเล็กก่อนเข้าบ้านนะ”
“ยังไงก็ได้ เพราะกูต้องไปบ้านมึงอยู่ดี”
ผมทำหน้างง “ทำไมล่ะ?”
“แม่มึงไม่ได้บอกเหรอว่ากูกับน้องต้องรอพ่อแม่ขับรถไปรับกลับบ้าน”
“กูจำได้แค่ว่าบ้านมึงรถเสีย”
“รถของพ่อเสีย ที่ทำงานพ่อแม่ไกลกว่าเลยให้เอารถกูไปใช้ก่อน”
“บ้านมึงมีรถแค่สองคัน?”
“มีมอเตอร์ไซค์อีกคัน แต่ตอนนี้โดนล็อกล้ออยู่ในโรงรถ” พูดถึงตรงนี้สีหน้าพาร์แลดูหม่นหมอง สงสัยจะอยู่ในช่วงโดนลงโทษงดใช้ชั่วคราว ผมตบหลังให้กำลังใจเพื่อนใหม่ไปที
“เหลือรถแค่คันเดียวคงลำบากหน่อย”
“อือ บ้านกูเลยมาขอรบกวนอยู่นี่ไง”
ผมพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว ถ้าจำไม่ผิดบ้านพาร์ไม่ได้อยู่ไกลเท่าไหร่ ถ้ารู้ทางลัดในซอกซอยต่างๆ ก็ถือว่าใกล้ครับ ผมเคยขี่จักรยานไปรับน้องสาวบ้าง เอาน้องเขาไปส่งบ้าง คิดถึงตรงนี้จู่ๆ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาจนต้องออกปากถาม
“ทั้งที่คนในบ้านเราดูสนิทกันดี แต่ทำไมกูไม่เคยเจอมึง?”
พาร์สบตากับผม เอ่ยแค่สองคำ “นั่นสิ”
“พาร์โว้ย!! ทางนี้ๆ”
เสียงร้องเรียกดังลั่นดึงความสนใจจากพวกผม รวมถึงหลายคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ผมเห็นเจ้าของเสียงชูมือโบกแสดงตัวไม่ไกล แถวนี้คนนั่งรอเข้าเรียนตรงโต๊ะหินอ่อนเยอะครับ ตามใต้ต้นไม้ก็มี หากไม่ร้องเรียกอาจไม่ทันสังเกต ยกเว้นว่าตรงนั้นเป็นที่รวมตัวประจำ
พาร์โบกมือกลับให้รู้ว่าได้ยินแล้ว ก่อนหันมาหาผม “คาบสุดท้ายเรียนไหน?”
“ตึกนี่แหละ”
พาร์พยักหน้ารับ ชี้นิ้วไปทางโต๊ะหินอ่อน “จะรออยู่แถวนั้น แต่ถ้าหาไม่เจอค่อยไปเจอกันที่ลานจอดรถ”
“งั้นไปรอที่รถเลยก็ได้ จอดที่เดิมไม่ย้ายแน่”
วันนี้ผมเรียนที่ตึกเดิมทั้งวัน กลางวันก็อาศัยห้องอาหารใต้ตึกเอา ไม่ได้ขยับรถไปไหนแน่นอน
“ก็ได้ ไปนะ”
ผมมองแผ่นหลังคู่กรณีที่กลายเป็นเพื่อนใหม่ห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนละสายตาออกเดินต่อบ้าง
นานแล้วที่ผมไม่ได้เจอคนที่คุยกันแล้วสนุก เคมีเข้ากันได้ทันทีแบบนี้ อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี มิน่าน้องๆ ผมถึงชื่นชอบพี่พาร์นักหนา…สงสัยผมเจอผู้ท้าชิงตำแหน่ง ‘พี่ชายสุดที่รัก’ เข้าให้แล้วล่ะมั้ง
“ที”
ผมหันมองคนเรียก เจอเพื่อนต่างคณะชื่อเอก (สมัยมัธยมเคยอยู่ห้องเดียวกัน) ก็แอบเลิกคิ้วแปลกใจ ทุกทีเห็นยิ้มร่าทักทายตามประสาคนรู้จักมานาน แต่ทำไมวันนี้เดินหน้าเครียดเข้าหาได้ล่ะเนี่ย
“มึงรู้ข่าวยัง?”
ผมทำหน้างง “ข่าวอะไร”
“แฟนเก่าคนล่าสุดของมึง ควงหนุ่มใหม่แล้ว แม่ง พึ่งบอกเลิกมึงไม่ถึงสี่วัน”
ผมตบไหล่เพื่อนที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน “ช่างเถอะ กูไม่อยากสนเรื่องนี้แล้ว”
“แต่มึงควรเคืองนะโว้ย เพื่อนยัยพวกนั้นเอาเรื่องมึงไปพูดเสียๆ หายๆ ซะสนุกปาก หาว่าไร้น้ำยาบ้างล่ะ เด็กน้อยบ้างล่ะ แค่จูบยังไม่กล้าก็มี กูได้ยินแล้วอยากกระทืบให้จมดิน ติดแต่ว่าดันเป็นเพศหญิงน่ะสิ”
ฟังคำพูดเพื่อน ผมได้แต่กำหมัดแน่น แม้สีหน้าเรียบเฉยก็ตาม
“จริง กูฟังยังเคืองเลย” นัท เพื่อนร่วมห้องม.ปลายเข้ามาแจมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ครับ
“ใช่ปะ” มีคนสนับสนุน เอกรีบรับทั้งที่ไม่ได้สนิทกับนัท แต่น่าจะเคยเห็นหน้าหรือคุยกันบ้างตามประสาอยู่โรงเรียนเดียวกันตั้งแต่ประถมยันจบม.ปลาย “มึงไม่ควรปล่อยไว้นะโว้ย เกิดข่าวลือกระจายมากกว่านี้ สาวๆ ไม่รับรักมึงขึ้นมาคงแย่”
“จริง” นัทพยักหน้าสนับสนุนเป็นลูกคู่เชียว “ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ?”
“เอก แล้วมึงอ่ะ หน้าคุ้นๆ อ้อ คนที่เตะหน้าแข้งกูตอนแข่งบอลห้องนี่หว่า”
“โทษๆ ตอนนั้นกูไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ว่าสักหน่อย ตกลงชื่อไร”
“นัท”
ผมส่ายหัว มองเพื่อนมัธยมสองคนเดินคุยเรื่องเก่าๆ กันเพลิน คงลืมไปแล้วว่าผมเดินตามหลังอยู่ เลยขอแยกตัวไปโต๊ะกลุ่มตัวเองบ้างโดยไม่ได้บอกลาพวกมัน
เรื่องเลิกรากับแฟน ผมชาชินนานแล้ว หลังๆ แทบไม่เจ็บปวดด้วยซ้ำ จะหลงเหลือเพียงเสียความรู้สึก โกรธ และหมดศรัทธากับพวกผู้หญิงไปพอสมควร ยิ่งหลังเจอพวกเธอเอาเรื่องผมไปพูดจาแย่ๆ จนเกิดข่าวลือในมหาลัย ทั้งที่ผมให้เกียรติ์คนที่คบด้วยเสมอ ไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากพลาดซ้ำรอยพ่อแม่ที่มีผมก่อนเวลาอันควร…ผมไม่อยากให้เด็กที่เกิดมาต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน
มันคือความตั้งใจแน่วแน่ แต่บรรดาแฟนเก่าที่ผ่านมาไม่เคยเข้าใจ (ทั้งที่พวกเธอเป็นฝ่ายเดินมาขอคบก่อน) ตรงข้ามพวกเพื่อนๆ พอรู้ความคิดผมปุ๊บ สนับสนุนทุกราย แต่ไม่เคยมีใครทำได้จริงสักคน ดีอยู่อย่างมันทำให้พวกเพื่อนคิดป้องกันอย่างจริงจัง
เอกกับนัทไม่ใช่สองรายแรกที่เดินมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้า คิดว่าผมไปรู้ข่าวลือจากไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่พวกเพื่อนสมัยมัธยมที่กระจายไปตามคณะต่างๆ เดินหน้าบูดบึ้งคาบข่าวมาบอกน่ะ
เดินจนใกล้ถึงโต๊ะประจำ เสียงเรียกชื่อผมลากยาวจนน่าเป็นห่วงคนพูด (กลัวจะหมดลมหายใจ เดือดร้อนให้เพื่อนต้องแบกไปเติมออกซิเจนถึงห้องพยาบาล)
“ไอ้ที~”
ไม่ต้องมองหา ผมก็รีบขยับตัวหลบแล้ว เลยทันเห็นหว้ากอ เอ้ย ลูกหว้าพุ่งตรงมายังจุดที่ผมอยู่เมื่อกี้ประดุจนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล แล้วเซถลาเลยผ่านผมไปอีกระยะ ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปนั่งร่วมกลุ่มกับเพื่อนอีกสี่คน ได้เจอเจ้าพวกนี้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของผมก็ค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น
กลุ่มผมมีกันหกคนครับ แบ่งตามชุดนักศึกษาก็ชายสาม หญิงสาม แต่ความจริงชายสอง หญิงสี่ต่างหาก เพราะไอ้เด็นตกเป็นเมียคนอื่นไปแล้ว
ผมทักทายนนท์ ศิ มินต์ตามลำดับ แกล้งข้ามอีกคนไปดื้อๆ
“แล้วกูล่ะครับ คิดจะทักกันบ้างไหม”
ผมปรายตามองเด็นที่นั่งข้างนนท์ แกล้งทำหน้าตกใจ “อ้าว มึงหรอกเหรอ กูคิดว่าเพื่อนไม่แมนของไอ้นนท์ซะอีก”
“ไอ้ที! แค่กูมีผัว ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่แมนนะมึง”
“เหรอ” ผมลากเสียงยาว สายตามองมันไม่เชื่อถือ “มึงอาจไม่รู้ตัวนะ แต่เดี๋ยวนี้มึง…ส๊าวสาว ไม่เชื่อถามไอ้นนท์ดูก็ได้”
“จริง” นนท์รับเป็นลูกคู่ให้ผมตามที่เตี๊ยมกันไว้เมื่อวาน บอกเพื่อนหน้าตาย “มึงโตจนแตกเนื้อสาวแล้ว”
แล้วมันก็นั่งหน้าเครียด คิ้วขมวดจนจะพันกันอยู่แล้ว พวกผมปล่อยให้เด็นคิดเองเงียบๆ อันที่จริงนี่เป็นการเตือนอย่างหนึ่ง และมันก็ขี้หึงเกิน เดี๋ยวสามีมันไม่ปลื้ม แล้วพาลเบื่อมันขึ้นมา พวกผมนี่แหละที่ต้องคอยเช็ดน้ำตาให้ แต่ถ้าเพื่อนผมโดนทิ้งจริง ผมไปตั๊นหน้าสามีเพื่อนแน่ โทษฐานทำเพื่อนผมเสียเอกราช แล้วไม่รับผิดชอบให้ถึงที่สุด
หมับ!
สองแขนเล็กโอบรัดคอผมแน่น โอ๊ย ลูกหว้า คิดจะฆ่ากันใช่ไหม! ก่อนเพื่อนจะฆาตกรรมเพื่อนท่ามกลางพยานตรงหน้าตึก ใครสักคนก็ช่วยแงะลูกหว้าออกจากผมได้สักที
“แค่กๆๆ” เช้านี้ผมไอไปกี่รอบแล้ววะ
“เล่นอะไรเนี่ย” ศิดุเพื่อนสาว
“ก็มันเมินเรานี่!”
“พุ่งจู่โจมใส่แบบนั้นเป็นกูก็หนีเถอะ” นนท์พึมพำเบาๆ แต่ไม่อาจรอดพ้นหูนรกของลูกหว้าได้ เลยได้รับการแจกค้อนไปวงใหญ่ๆ
ผมรับน้ำที่พึ่งเปิดขวดจากมินต์ น้ำเย็นๆ ช่วยได้มากจริงๆ พอกลับเป็นปกติเลยออกปากถาม ถือเป็นการง้อไปในตัว “อ๊ะ สนใจแล้ว มีอะไรพูดมาเลย”
“หึ” ลูกหว้าสะบัดหน้าใส่ผมครับ แต่วินาทีต่อมากลับหันหน้าส่งแววตาเปล่งประกายเหมือนครู่นี้ไม่ได้งอนใส่
…งอนพอเป็นพิธีจริงๆ
“ไปรู้จักรองเดือนนิติได้ไงอ่ะ!”
ผมขมวดคิ้ว “หมายถึงใคร?”
“ก็คนที่มึงเดินคุยก่อนมาเจอพวกกูไง”
ผมนิ่วหน้า ก่อนมาถึงโต๊ะประจำกลุ่มได้คุยตั้งหลายคน แต่คนอื่นไม่มีใครอยู่นิติสักคน ยกเว้นเพื่อนใหม่ที่ผมยังไม่รู้คณะเลยลองถามดู “หมายถึงพาร์?”
“ใช่ๆ พาร์ ภควัติ วิวัฒน์ชัย รองเดือนนิติ หล่อมากกก”
โอ้ มาทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง แถมนามสกุล เอ่อ หน้าตาดีขนาดนั้นเป็นได้แค่รอง ผมชักอยากเห็นหน้าเดือนนิติแล้ว
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นค่ะคุณที” ลูกหว้าพูดสุภาพประชดผม พร้อมช่วยตอบสิ่งที่ผมสงสัยดุจเป็นพยาธิแฝงตัวในท้อง “หน้าตาเดือนนิติแย่กว่ารองค่ะ”
“อ้าว” มินต์อุทาน “ไหงเป็นได้แค่รองล่ะ?”
“เขาไม่เอาน่ะสิ บอกว่าไม่มีเวลา เพราะต้องดูแลน้องสาว” ลูกหว้าชักตาเพ้อๆ ร้องกรี๊ดเบาๆ ดีที่ยังพอรู้จักเกรงใจหน้าตาเพื่อนบ้าง “หล่อ เท่ แฟมิลี่แมน นี่แหละพ่อของลูก!”
“ในฝัน” ศิพูดเสริมทันควัน เลยได้รับค้อนไปอีกวง
“จะไม่ฝันแล้วยะ ใช่ไหมเพื่อนที เพื่อนสุดหล่อ”
ผมมองแววตาเว้าวอน แลดูอ้อนบาทาชอบกล ก่อนตัดความหวังเพื่อนซึ่งหน้า “ยากวะ อุปสรรคเยอะเกิน”
“ยังไง”
เห็นเพื่อนสนใจจริงจัง ผมเลยสนอง “อย่างแรก คนหล่อคู่แข่งเยอะ 2. น้องสาวน่าจะหวงพี่ชาย 3. เขาจะเอามึงรึเปล่าเถอะ”
ข้อที่4.ผมละไว้ในใจ เพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวอยากเปิดเผยให้คนอื่นรู้เรื่องมีคนชอบแล้วแค่ไหน
เพื่อนผมที่เหลือส่งเสียงถูกอกถูกใจ โดยเฉพาะเหตุผลข้อที่3. ทำเอาลูกหว้านั่งหน้ามุ่ย
“ไม่เชียร์แล้วยังกระทืบซ้ำอีก”
“กูแค่บอกด้วยความหวังดี มึงจะได้ไม่เพ้อมาก” ผมหยุดพูดไม่กี่วิก็พูดต่อ หลังทนเห็นเพื่อนทำหน้าหมาหงอยไม่ได้ “ถ้าแค่แนะนำเพื่อนกับเพื่อนน่ะได้ ที่เหลือมึงต้องพยายามเอาเอง”
“โอ๊ยที กูรักมึง” ว่าแล้วลูกหว้าก็โผเข้ามากอด
เออ รักกูแค่เฉพาะตอนนี้แหละ
“แต่!” ผมรีบพูดขัด “มึงต้องรู้อีกอย่างก่อนไปจีบเขา”
“ว่ามาเลย”
“น้องสาวเขาคงไม่รับมึงเป็นพี่สะใภ้ง่ายๆ” ผมเตือนแบบอ้อมๆ ว่าให้ยอมตัดใจ “เห็นว่าเล็งตัวพี่สะใภ้ไว้แล้ว”
“อ้อ ถ้าแค่นั้นไม่กลัวหรอก”
ผมถอนหายใจ ลูกอ้อมไม่ได้ผลก็ต้องลูกตรง “คือพารอาจจะมี…” กำลังเอ่ยประโยคสำคัญ แต่เสียงไลน์ดังขัดจังหวะซะก่อน ว่าจะไม่สนใจ แต่ลูกหว้าหันไปเมาส์กับคนอื่นแล้ว ผมเลยหยิบสมาท์โฟนออกมาดูพบว่าเป็นข้อความไลน์จากยัยน้ำ
หืม? ชวนเข้ากลุ่ม
ผมตอบรับไปครับ ขึ้นตัวเลขมาสอง ผมเดาว่าสองสาว อ๊ะ สามแล้ว น่าจะเป็นพาร์ เพราะชื่อกลุ่มคือ
[River X Golf]
เออ เข้าใจคิด นี่ถ้าเจ้าตัวเล็กเล่นไลน์เป็น คงโดนลากมาร่วมกลุ่มด้วยแหง เสียงแจ้งเตือนไลน์กระหน่ำทันทีจนต้องกดเปิดเสียง สองสาวส่งมารัวๆๆ จนผมสงสัยว่าไม่มีเรียนกันเรอะ มันแปดโมงกว่าแล้วนะ ถึงอย่างนั้นก็ไล่อ่านอยู่ดี ข้อความทั่วไปครับ ถามว่าอยู่ไหน เมื่อเช้าเป็นไงบ้าง พวกพี่เจอกันหรือยัง มาสะดุดเอาหลังพาร์ ผู้พิมพ์ข้อความเร็วกว่าผมตอบคำถามสองน้องสาวไปหมดสิ้น ส่วนผมได้แต่ส่งสติกเกอร์ไปยืนยันว่ายังอยู่เท่านั้น
Birdie: วันนี้พวกพี่จะกลับบ้านด้วยกันเหรอค่ะ!
ไม่ต้องส่งสติกเกอร์เขินอายต่อท้ายประโยคก็ได้นะครับน้องเบอร์ดี้
PAR: ใช่
NaM: กรี๊ดดดดดดดด
จะพิมพ์เสียงกรีดร้องมาทำไมฮะยัยน้ำ ดูท่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกสะดุด เพราะข้อความจากพาร์หายไปเหมือนกัน
NaM: เค้กๆ แวะซื้อเค้กมาให้ด้วยนะ
TEE: จะเอาไปทำอะไร
คราวนี้ข้อความแรกของผมขึ้นมาแล้ว หุหุ ไม่พิมพ์เสียเปล่าแล้วโว้ย
ถึงจะดีใจ แต่เชื่อเถอะ เพราะใครบางคนไม่ยอมพิมพ์ตอบต่างหาก คิดแล้วเซ็ง สงสัยผมต้องหัดฝึกจิ้มตัวอักษรเร็วๆ ไม่งั้นพิมพ์ตามคนในกรุ๊ปนี้ไม่ทันแหง
NaM: ฉลองสิ เนอะเบอร์
Birdie: อื้อๆ พวกหนูอยากกินเค้กค่ะ
ตามด้วยสติกเกอร์ยิ้มแป้น
หลังจากนั้นเป็นข้อความตอบโต้ของสองสาวกับพาร์เรื่องเค้กล้วนๆ ผมพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพาร์ชอบของหวานมาก ข้อมูลนี่แน่นปึก จนได้ข้อสรุปว่าพวกผมจะแวะไปรับเค้กให้ (พาร์สั่งทำกับทางร้านไปแล้ว เร็วดีจริงๆ)
PAR: งั้นพวกพี่ไปรับเค้กก่อน ค่อยไปรับน้องอัน
ผมกับสองสาวส่งสติกเกอร์โอเคไปให้ แบบนี้ก็ดีครับ ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา รับน้องแล้วตรงกลับบ้านได้เลย
TEE: ไปเรียนกันได้แล้ว
น้องๆ ส่งสติกเกอร์ตกลงกันมา แต่ก่อนจากยังพากันทิ้งระเบิดให้พวกผมอีก
Birdie: ถ้าพวกพี่จะคบกัน พวกหนูสนับสนุนนะ
ต่อท้ายด้วยสติกเกอร์สู้ๆ
NaM: ช่ายๆ ไม่ต้องถึงขั้นคบก็ได้ค่ะ ดูใจกันเฉยๆ ก่อนก็ได้
ตั้งแต่ผมอธิบายความหมายของคำว่าดูใจให้น้องสาวฟัง ยัยน้ำมักเอาคำนี้มาใช้บ่อยเหลือเกิน
แน่นอนว่าฝ่ายพี่อย่างพวกผมขึ้นแค่อ่าน ผมกดล็อกหน้าจอดื้อๆ วางมือถือไว้บนโต๊ะ หันไปสนใจบทสนทนาของเพื่อนๆ คุยกันสนุกเชียว ระหว่างฟังนนท์เล่าเรื่องตลกที่ได้พบเจอมาเมื่อวาน สายตาผมเลื่อนหยุดที่ลูกหว้าแทนคนเล่า พร้อมลอบถอนหายใจเงียบๆ
ถ้าเพื่อนคนนี้คิดจีบรองเดือนนิติจริงๆ ต้องรู้อุปสรรคใหญ่ก่อน คิดแล้วก็ได้แต่บอกในใจ เพราะไม่อยากขัดรอยยิ้มร่าของลูกหว้าตอนนี้
เพื่อนเอ๋ย พาร์มีคนที่ชอบแล้ว…แถมน้องสาวของคนที่มึงถูกใจกำลังสมคบคิดกับน้องกู เพราะอยากให้พี่ชายคบกันเองอีก!
แค่คิดถึงสองสาวผมก็กลุ้มใจทันที เฮ้อ…
############
ประกาศๆ ตอนนี้เรื่องชลนทีเปิดเกมให้เล่นค่ะ >>
จิ้มโลด <<
หมดเขตวันที่ 28 ก.ค. 2559
(หมดเขตเล่นเกมแล้วค่ะ)