The Scarlet Thread
-2-
ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย คล้ายกับกำลังยืนอยู่บนเรือที่โคลงเคลงไปตามคลื่นลมของทะเลในวันที่มีพายุ
“อ้วกกก” ตั้งตัวตรงไม่ทันครบนาทีก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเอาหัวจ่อชักโครกขับสารพิษออกจากร่างกาย
เวียนหัวชิบหาย...
ผมหอบหายใจฟุบหน้าลงกับฝาชักโครงที่เพิ่งกดน้ำลงไปอย่างหมดท่า อยากจะหลับตาแล้วตื่นมาใหม่ทั้งๆ อย่างนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ตอนที่กำลังจะลดเปลือกตาลง หางตาของผมดันเหลือบไปเห็นสิ่งแปลกปลอมบางอย่างบนร่างกายตัวเอง
“เชี่ยยยย” เบิกตากว้างสุดชีวิต ลุกขึ้นมานั่งตั้งสติแทบไม่ทัน
นะ...นี่มัน ดะ... ด้าย... ด้ายแดง!?
อาการเมาค้างที่เล่นงานอยู่เหมือนจะหายไปจนหมด เส้นขนทุกเส้นบนตัวพร้อมใจกันตั้งชันขึ้นมาเมื่อเห็นชัดว่ามีเส้นด้ายกำมะหยี่สีแดงผูกอยู่ที่ข้อมือของผมจริงๆ
เชี่ย... นี่มัน... นี่มัน... เชี่ยยยย
ได้แต่อุทานคำเดิมซ้ำๆ อย่างหมดคำอธิบาย ในหัวมันโล่งไปหมด กว่าจะได้สติว่าควรทำอะไร ก็กินเวลาไปเกือบนาที
ผมใช้มืออีกข้างหนึ่งจับเส้นด้ายอ่อนนุ่มราวกับไม่มีอยู่จริงนั่นขึ้นมา มองตามเส้นสายที่ทอดยาวออกจากปมบนข้อมือออกไปด้วยหัวใจที่เต้นรัว
เชี่ยๆๆๆ
ฝ่ามือทั้งสองข้างเริ่มสาวเส้นด้ายอย่างช้าๆ พร้อมกับขาที่เริ่มขยับอย่างมึนงง ผ่านกรอบประตูห้องน้ำ... ทอดตัวบนพื้นไม้เทียมสีน้ำตาลอ่อนลอดช่องว่างด้านล่างของประตูห้องนอนออกไป ผมเร่งจังหวะการไล่ตามเส้นด้ายแห่งโชคชะตาเมื่อตระหนักได้ว่าปลายทางมันคงจะไม่ได้อยู่ภายในห้องของผมแน่นอน ฝีเท้าเร็วขึ้นจนแทบจะกลายเป็นวิ่งไปคว้าลูกบิดบนบานประตูสีขาว ออกแรงหมุนให้เปิดออก...
ใจสั่นระรัวด้วยความรู้สึกมากมายที่ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก ขณะที่เริ่มก้าวเท้าตามเส้นด้ายที่เชื่อมต่อกับข้อมือของตัวเองไปอีกครั้ง
...ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่บานประตูสีขาวของห้องข้างๆ
ได้แต่นิ่งค้าง... ตามไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้เส้นด้ายบางเบาจะทอดยาวลอดผ่านประตูบานนี้ไปจริงๆ แต่ว่า...
ล้อเล่นแล้ว ปลายทางของเส้นด้ายมันจะไปอยู่ที่ห้องนี้ได้ยังไง ในเมื่อ...
แกรก!
ยังไม่ทันจะประมวลผลอะไรได้ เสียงลูกบิดก็ดังขึ้นมาพร้อมกับประตูที่เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเจ้าของใบหน้าคมติดจะงัวเงียในสภาพเปลือยท่อนบนมีเพียงกางเกงยางยืดขายาวที่เกาะเอวไว้หลวมๆ อวดเรือนร่างสมส่วนแสนน่าอิจฉา ใบหน้าแสนคุ้นตาที่เรียกความทรงจำอันเลือนรางของเมื่อคืนกลับมา
“ทำอะไรอ่ะ”
“...” ว่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันคือเรื่องจริง
“ไอ้นี่มันกระตุกไม่หยุดเลย”
หลักฐานก็คือ ‘ไอ้นี่’ ที่กระตุกยิกๆ อยู่บนข้อมือข้างซ้ายของเขา ...คือด้ายเส้นเดียวกันกับที่ผูกอยู่บนข้อมือข้างซ้ายของผม
ชัด... ชัดเลย...
เชี่ยเอ๊ย! เนื้อคู่กูเป็นผู้ชาย!
เขาชื่อคิน... อายุมากกว่าผมสองปี มีอาชีพเป็นเชฟในภัตาคารอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง และห้องของเราอยู่ห่างกันแค่กำแพงคั่นนี่เอง
หล่อ แสนดี สุภาพ อบอุ่น คือนิยามของพี่คินที่ป้าศรี แม่บ้านวัยสี่สิบปลายๆ ท่องให้ผมฟังทุกครั้งที่เข้ามาทำความสะอาดห้องผมถัดจากห้องพี่เขา เราเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน เพราะตอนที่พี่คินย้ายมาใหม่ๆ เขามาเคาะห้องผมเพื่อแนะนำตัวและผูกมิตรด้วยซูชิทะเลรสเลิศที่ทำผมคิดถึงรสชาติไปอีกหลายวัน หลังจากนั้นเวลาเจอกันเราก็ทักทายกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น...
ผมเจอพี่เขาไม่เกินอาทิตย์ละครั้งด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้ข่าวคราวของพี่คินผ่านป้าศรีอยู่เสมอ คำพูดอวยสรรพคุณเกินมนุษย์ที่ถูกกรอกเข้าหูอาทิตย์ละสองวัน บวกกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ไม่มีอะไรขัดแย้ง ทำเอาผมเชื่อสนิทใจแล้วว่าพี่เขาเพอร์เฟ็กต์ซะขนาดนั้นจริงๆ
แต่ผมก็ไม่ได้อยากได้พี่คินมาเป็นเนื้อคู่ผมมั้ยวะ
“เชี่ยเอ๊ยยย!” ผมสบถคำเดิมซ้ำๆ มากว่าชั่วโมง เดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิมพลางยกมือขึ้นมากัดเล็บตัวเองจนแทบหลุดก่อนจะสบถเสียงดังอีกรอบ
พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรวะเนี่ย
ผมก้มลงมองด้ายแดงที่ข้อมือตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะใช้มืออีกข้างพยายามแกะปมที่ผูกเอาไว้ออก แต่ดึงก็แล้ว กระชากก็แล้ว เส้นด้ายแสนเหนียวแน่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด แถมผมยังลืมไปว่า การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นกับเส้นด้ายฝั่งนี้ มันจะกระทบไปถึงปลายเส้นด้ายอีกฝั่งที่มองไม่เห็นด้วย
ก๊อกๆ
ผมสะดุ้ง มองไปที่ประตูห้องตัวเองอย่างหวาดกลัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครรออยู่หลังประตู ก่อนหน้านี้หลังจากรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมก็รวบรวมสติอย่างไวก่อนจะวิ่งกลับห้องตัวเองมาโดยไม่ได้เอ่ยอะไรกับอีกคน หวังให้นี่เป็นความฝันเพี้ยนๆ ที่พอตื่นมามันก็จะหายไป กลายเป็นเช้าวันใหม่ที่ผมนั่งแฮงค์เหล้าโดยไม่มีไอ้ด้ายเวรนี่มากวนใจ
ตื่นสิวะไอ้ธาม ตื่นๆๆ
ก๊อกๆ
“อยู่มั้ย?” เสียงทุ้มที่เอ่ยลอดประตูมาทำให้ผมชะงักไปอีกครั้ง รู้ว่าเขาถามไปอย่างนั้นในเมื่อด้ายแดงที่ข้อมือน่าจะให้คำตอบได้ดี
เอาไงดีวะ
“ธาม” แต่ขณะที่ผมกำลังทึ้งหัวตัวเองอย่างหนักใจ เสียงทุ้มที่อีกฝั่งของประตูกลับดังขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังไม่เบา ทว่ากลับทำให้ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งไป
ทำไมอยู่ๆ มันถึงได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา...
กว่าจะรู้ตัว ผมก็เดินมาหยุดอยู่หน้าประตู ฝ่ามือเอื้อมไปจับลูกบิด สูดหายใจลึกครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดประตู
เชื่อเถอะว่าผมไม่ได้เตี้ยเท่าไหร่ แต่คนตรงหน้ากลับสูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย คราวนี้เขาใส่เสื้อแล้วเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวถูกพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก ท่อนล่างที่เคยเป็นกางเกงนอนถูกเปลี่ยนเป็นกางแกงสแล็คห้าส่วนดูเกือบจะเป็นทางการ
เป็นชุดแบบเดียวกับที่ผมเห็นเขาใส่ทุกครั้งตอนออกไปทำงาน
“ซุปมิโซะ” หลังจากยืนสำรวจร่างสูงกว่าอยู่นาน เขาก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง พลางยื่นกระปุกเก็บความร้อนมาตรงหน้า
ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะอยู่ในอาการเมาค้างจากการกินเหล้าเมื่อคืน
“ขอบคุณครับ” รับมาง่ายๆ เพราะยังไงก็เป็นรสชาติอาหารที่คุ้นเคย
ด้วยความที่มีอาชีพเป็นฟรีแลนซ์ รับงานกราฟฟิคดีไซน์จากบริษัทใหญ่ที่จะติดต่อมาทางอีเมลอีกที ชีวิตส่วนใหญ่ของผมจึงอยู่หน้าจอคอมพ์ฯ ไม่ค่อยได้ออกจากห้องเท่าไหร่นัก เรื่องอาหารการกินจึงถูกจัดการโดยแม่บ้านที่เข้ามาทำงานอาทิตย์ละสองครั้ง ป้าศรีจะเอาอาหารสำเร็จรูปหรืออะไรก็ตามที่พอให้ผมประทังชีวิตอยู่ได้ทิ้งไว้ให้ในตู้เย็น
รวมทั้งอาหารฝีมือพี่คินที่ถูกฝากมาเป็นประจำ
ก็เหมือนกับที่เล่าเรื่องพี่คินให้ผมฟัง ป้าแกก็คงเล่าเรื่องผมให้พี่ชายข้างห้องฟังเหมือนกัน ถึงได้แสดงความปรารถนาดีด้วยการเนียนส่งอาหารมาตุนให้ไม่ขาด และฝากมากำชับให้ผมกินอาหารตรงเวลา
เขาเป็นเชฟ และอาหารก็ถูกปาก ที่ผ่านมาก็ไม่คิดอะไร คิดว่าเป็นความจากเพื่อนบ้านธรรมดาๆ แต่ว่าตอนนี้... ไม่คิดไม่ได้แล้วล่ะ
ว่าบางทีพี่เขาอาจจะคิดอะไรกับผม
ผมเคยรู้มาว่าเปอร์เซ็นต์ของการตกหลุมรักก่อนด้ายแดงปรากฏ กับการที่ด้ายแดงปรากฏขึ้นมาก่อนแล้วค่อยรักกันมันมีแบบครึ่งต่อครึ่ง แต่ก็ไม่กล้าเดาว่าในกรณีของพี่เขามันเป็นครึ่งไหน
“สีหน้าไม่ค่อยดีนะ” เขาว่า “กินซุปแล้วนอนพักซะ” ฝ่ามือหนาถือวิสาสะขยี้ลงมาบนหัวผมเบาๆ
เฮ้ยคุณ... ใช่ว่าพอรู้ว่าเป็นเนื้อคู่กันแล้วจะทำอะไรกับหัวผมก็ได้นะครับ...
แล้วทำไมหัวใจผมต้องเต้นแรงด้วยวะ
นี่เหรอผลข้างเคียงของปรากฏการณ์ด้ายแดง...
“พี่คิน” ผมเรียกชื่อเขาเมื่อคนตัวสูงทำท่าเหมือนจะตัดใจจากการพูดอะไรบางอย่างและกำลังจะหันหลังกลับไป “ผมอยากคุย”
คิ้วเข้มขยับด้วยสีหน้าตั้งคำถาม ก่อนจะยกมือข้างเดียวกับที่มีด้ายแดงผูกไว้คู่กับนาฬิกาขึ้นมาดู แล้วพยักหน้า
“เอาซุปมา เดี๋ยวใส่ถ้วยให้”
แล้วผมก็ยื่นกระปุกซุปกลับไปให้เขาอีกครั้งพลางถอยหลังให้ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องตัวเองอย่างง่ายดาย
พี่คินไม่เคยเข้ามาในห้องผมเลยสักครั้ง...
แหงล่ะ มีเหตุผลอะไรให้ต้องมากัน แต่เขาคงประหลาดใจน่าดูที่เขาเห็นสารพัดข้าวของเครื่องใช้ตัวเองในครัวห้องผม ถึงจะเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าควรเอาไปคืน แต่ก็ลืมทุกที ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นกระติกใส่ซุป กล่องพลาสติกเก็บอาหาร จานชามเซรามิคอย่างดี หรือแม้กระทั่งตะเกียบที่ถูกใช้อยู่เป็นประจำล้วนเป็นของที่ผมริบอ้อมๆ มาจากพี่คินทั้งนั้น
ด้วยความที่แปลนห้องถูกออกแบบมาให้เหมือนกันแต่กลับด้าน ร่างสูงจึงรู้ว่าควรเดินไปทางไหนโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องชี้นำ เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์หยิบชามเซรามิคสีเข้มออกมาเทน้ำซุปร้อนๆ ใส่ลงไป ผมไล่สายตามองตามด้ายแดงที่ทอดยาวจากข้อมือตัวเองออกไปยังเจ้าของแผ่นหลังตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ท่วงท่าคล่องแคล่วทว่าพลิ้วไหวทำเอาหัวใจที่เพิ่งสงบกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
เอาอีกแล้ว ผลข้างเคียงของด้ายแดง
“อ่ะ” ไม่นานพี่คินก็หันกลับมา เขาเลื่อนชามน้ำซุปมาตรงหน้าผม ก่อนจะเท้ามือลงที่ขอบโต๊ะฝั่งตรงข้าม มองมานิ่งๆ เหมือนรอให้ผมเริ่มกิน
ผมก้มลงมองน้ำซุปธรรมดาๆ แต่กลับดูพิถีพิถัน เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุปเข้าปาก
ส่งเสียงครางในลำคอเมื่อพบว่ารสชาติที่ผ่านปลายลิ้นมันละมุนละไมไม่เสียทีที่เป็นน้ำซุปฝีมือเชฟภัตตาคาร
รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองโชคดี ที่มีเนื้อคู่ที่มีเสน่ห์ปลายจวักขนาดนี้
เอ่อ... ไม่ใช่ดิวะ
ผมชะงักมือที่กำลังตักน้ำซุปคำถัดไป เงยหน้าขึ้นมาทันเห็นว่าเขากำลังยิ้ม... รอยยิ้มอ่อนโยนเสียงยิ่งกว่าคำโฆษณาที่ได้ยินมาหลายเท่า
“จำได้ป่ะว่าเมื่อคืนทำไรไว้” หย่อนสะโพกลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม กอดอกถามทีเล่นทีจริง
ผมชะงัก พยายามคิดว่าตอนเมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่นอกจากเรื่องที่ผมเดินโซเซจนล้มและเรื่องที่มีด้ายแดงปรากฏขึ้นมา ผมก็จำอะไรไม่ได้
เอ๊ะเดี๋ยวนะ... เหมือนจะมีอีกเรื่องนี่หว่า...
เชี่ยย นึกออกละ
“เฮ้ยพี่ ผมขอโทษ” ผมวางช้อน แทบจะยกมือไหว้ ซุปมิโซะแสนอร่อยไม่น่ากินอีกต่อไป
เมื่อคืนผมแม่ง อ้วกใส่พี่เขา
ทำไมเมาแล้วเรื้อนขนาดนั้นวะ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร” พี่คินหัวเราะน้อยๆ เอื้อมมือมาดันชามซุปเป็นเชิงบอกว่าให้ผมกินเถอะ ไม่แกล้งแล้วอะไรทำนองนั้น
ผมเริ่มกินอีกครั้งอย่างรักษามารยาท และรสชาติของซุปก็ดีเลิศซะจนเสียดายถ้าปล่อยให้มันเหลือ ดังนั้นผมจึงซดมันจนเรียบในเวลาเพียงไม่กี่นาที
“เอาอีกมั้ย” เขาถาม ผมส่ายหน้า
ถึงจะอยากกินอีก แต่ผมไม่อยากเสียเวลาแล้วล่ะ
พี่คินก็เหมือนจะอ่านสายตาผมออก พี่เขาจึงกอดอกสีหน้าเหมือนจะบอกว่าให้ผมเปิดประเด็นได้เลย
“ผมว่ามันอาจมีอะไรผิดพลาด” ผมยกแขนข้างซ้ายที่มีด้ายแดงเชื่อมระหว่างเราสองคน “ผมไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน ดังนั้นมันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
ผมโกหก... อันที่จริงผมไม่เคยชอบใครมาก่อนเลยต่างหาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกชอบมันเป็นยังไง หวังแต่จะให้ด้ายแดงช่วยส่งเนื้อคู่สวยๆ มาให้สักคนทั้งๆ ที่ตัวเองนั่งทำงานงกๆ อยู่ในห้องเนี่ยแหละ
แต่ใครจะไปรู้ว่าพระเจ้าจะส่งผู้ชายหล่อสัสๆ มาแทน
“แต่พี่ชอบผู้ชาย” พี่คินกอดอกนิ่ง มองมาอย่างสงบ แต่ผมไม่รู้เลยว่าพี่เขากำลังคิดอะไร “และไม่คิดว่าเรื่องของเรามันผิดพลาด”
“...”
“พี่ชอบเรา... ตั้งแต่ก่อนมีด้ายแดงนี่เสียอีก”
ชิบ... หาย...
ว่าแล้วไง
“ดะ...เดี๋ยวนะ” ผมยกมือห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน รู้แต่ว่าหัวใจมันกำลังจะระเบิด ผมเบือนหน้าหนีจากสายตาสงบนิ่งทว่าจริงจังของพี่คิน แล้วยกมือขึ้นมานวดหน้าอกของตัวเองเบาๆ กระพริบตาปริบๆ อย่างตั้งตัวไม่ทัน คำพูดที่เตรียมไว้แม่งวิ่งหายออกไปจากหัวหมดเลย “ชอบ... ได้ไง”
บอกแล้วไงว่าเราคุยกันนับครั้งได้ด้วยซ้ำ
พี่คินยักไหล่ “จะชอบใครต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”
ได้เหรอวะ ตอบแบบนี้ได้ด้วยเหรอ
พี่คินหัวเราะขำกับหน้าเหวอๆ ของผม ก่อนจะถอนหายใจ “มันออกจะแปลกๆ นิดหน่อย” นิ้วเรียวสวยถูกยกขึ้นมาเกา
ปลายจมูกโด่งที่ขึ้นสีระเรื่อนิดๆ หลบสายตาเหมือนกำลังเขินอาย
ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกอายไปด้วย แม่งไม่ใช่เรื่องเลย
“พอฟังจากป้าศรีว่าธามใช้ชีวิตยังไง ก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา” พี่คินเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้ว สายตาแสดงออกว่าเป็นห่วงผมจริงๆ “จำได้มั้ยตอนที่ธามป่วยอยู่ในห้อง ไม่มีรู้จนป้าศรีแกมาเจอ แล้วให้พี่ช่วยพาส่งโรงพยาบาล”
ผมขมวดคิ้ว จำได้รางๆ ตอนนั้นป่วยหนักมากจนไม่มีสติรับรู้ว่าใครมาช่วยบ้าง รู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว ป้าศรีเอ็ดผมยกใหญ่ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ดูแลสุขภาพ จำได้ว่าป้าศรีพูดถึงพี่คินด้วย ยังคิดอยู่เลยว่าควรตอบแทน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำสักที
“ตอนนั้นพี่เป็นห่วงมากนะ อยู่ข้างห้องกันแท้ๆ แต่ธามเป็นอะไรพี่ไม่เห็นรู้เลย ถ้าตายคาคอนโดขึ้นมาทำไง”
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้ชาวบ้านก็วันนี้
“หลังจากนั้นพี่ก็เลยอยากรู้เรื่องธามตลอด ให้ป้าศรีอัพเดตให้ฟัง วันไหนไม่กินข้าว ทำงานไม่หลับไม่นอน พยายามเงี่ยหูฟังเผื่อเป็นอะไร... รู้ตัวอีกทีก็มีแต่เรื่องเราเข้ามาให้คิด ให้วุ่นวายใจอยู่ตลอด”
“พี่คิน...” ผมอึกอัก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร หัวใจมันเต้นแรงจนต้องยกมือปรามให้อีกฝ่ายหยุดพูดก่อนหัวใจจะหลุดออกมา
บอกตามตรงว่าไม่ชิน... โคตรไม่ชินกับการที่ต้องมาฟังอะไรแบบนี้ จากผู้ชายอีกต่างหาก
แล้วใครจะไปคิด ว่ากามเทพตัวจริงจะเป็นป้าศรีนี่เอง เห็นทีต้องโวยวายบ้างที่เอาเรื่องของผมไปพูดมาก... แต่พอคิดอีกที ผมก็รู้เรื่องมากมายของพี่คินผ่านป้าศีเหมือนกัน
ถือว่าหายกันละกัน
“พี่ชอบธามจริงๆ” ผมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีนิลที่มองตรงมาอย่างแน่วแน่จริงใจ “แต่ถ้าธามไม่โอเคก็ไม่เป็นไร” เขาพูดน้ำเสียงยังคงฟังสบาย ทว่าพอผมหันกลับไปเห็นว่าคิ้วเข้มกำลังขมวดน้อยๆ ก็รู้ว่าพี่เขาไม่ได้กำลังรู้สึกสบายใจ
“มันมีนะ วิธีตัดด้ายแดง”
“จริงเหรอพี่!” ผมเบิกตากว้าง แทบจะกระโดดไปนั่งตักเขาเขย่าให้รีบบอกว่ามันคือวิธีอะไร
“หึ” พี่คินหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นเสียงหัวเราะในลำคอที่ฟังดูขืนกว่าปกติ เขาหลบสายตาลงแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาสบตาผม
“เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่ปรากฏการณ์ด้ายแดงเริ่มเกิดขึ้นใหม่ๆ มีชายหญิงคู่หนึ่งที่ไม่พอใจในคู่แท้ของตัวเอง ก็เลยหาวิธีตัดด้ายแดงออก...”
เขาวรรค ผมลุ้นตาม
“แล้วทำได้มั้ย?”
“อืม” พี่คินพยักหน้า “เหมือนกับพิธีผูกวิญญาณในการแต่งงาน แต่ตรงข้ามกัน การทำให้ด้ายแดงหายไป ทำได้ด้วยวิธีตัดวิญญาณ แต่...”
“แต่?”
“มันมีผลข้างเคียงนิดหน่อย”
ว่าแล้วเชียว แค่คำว่าตัดวิญญาณก็ฟังดูน่ากลัวแล้ว จะทำได้โดยไม่เกิดอะไรขึ้นเลยได้ยังไง
“คู่ที่ตัดวิญญาณ จะไม่สามารถมีความรักได้อีกเลย” เขามองหน้าผมเหมือนกำลังอ่านอะไรบางอย่างจากสายตา
“...”
“มันไม่เหมือนการครองโสดตลอดชีวิตที่พระเจ้ามอบให้ เพราะไม่ใช่แค่ต้องตัดขาดจากคนรัก... แม้แต่เพื่อน หรือครอบครัว ความสัมพันธ์ที่มีความรักเป็นสื่อกลางจะถูกทำลายลงทั้งหมด กลายเป็นคนไร้หัวใจ... ไร้ความหวัง ร่างกายเหี่ยวเฉาและโรยรา แต่ว่ายังหายใจ”
นั่นมัน... ไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็นเลยไม่ใช่หรือไง
ถ้าไม่มีความรัก ชีวิตจะมีความหมายอะไร
“มันเป็นแค่เรื่องที่พี่เคยได้ยินคนในครัวเขาเม้าท์กันล่ะนะ ไม่รู้หรอกว่าจริงมั้ย” พี่คินคงอ่านสีหน้าหวาดกลัวของผมได้ ถึงเอ่ยเหมือนปลอบใจขึ้นมา “แต่ถ้าเราอยากลอง พี่ก็จะตามใจ”
“เฮ้ย ไม่เอา!” ผมโวย ดึงมื้อซ้ายมาแนบอกพลางใช้มืออีกข้างกุมด้ายไว้อย่างหวงแหน
พี่คินยิ้มอีกแล้ว
เขาจะรู้มั้ยนะว่ารอยยิ้มบางๆ ของตัวเองมันเป็นผลข้างเคียงอันร้ายกาจของปรากฏการณ์ด้ายแดงที่ส่งผลต่อผมอย่างจัง...
ไม่ชอบเลยว่ะ ที่ร่องรอยการขยับมุมปากแค่ไม่กี่เซนต์ทำให้ผมใจเต้นแรงขนาดนี้
“ถะ...ถ้างั้นเอาไงดี” ผมเบือนหน้าหนี เสียงตะกุกตะกักอย่างคุมไม่ได้
พี่คินเงียบไปพักใหญ่ เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นกลับไปสบตาเขาอีกครั้ง ดวงตาสีนิลคู่นั้นฉายแววแน่วแน่ปนรอยยิ้ม
“ก็ถ้าธามไม่ว่าอะไร...”
“...”
“พี่อยากรู้จักเราให้มากกว่านี้”
-- Timeless_O --