บทที่ ๑๐
จุมพิตสีเลือด
สายนทีหลั่งหลากแหวกพรากม่านละออกหมอกปกคลุมอณูผิวเย็นยะเยือก ท้องฟ้าปิดทึบคือทัศนียภาพยามอรุณรุ่งแห่งกรุงเทพมหานคร ภัทรพจน์จ้องมองแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านหมู่ต้นไทรริมตลิ่ง ปรากฏศาลาท่าน้ำทรงไทยหลังเก่า ตั้งอยู่หว่างกลางไพรพฤกษานานาพรรณ ชานเรือนด้านหลังเปียกชื้นด้วยหยดน้ำค้าง พี่ส้มกำลังใช้ผ้าแห้งเช็ดถูทำความสะอาดพื้นกระดานอยู่ ท่ามกลางเสียงฮำเพลงลูกทุ่งของหญิงรับใช้ นกประหลาดตัวหนึ่งโผบินจากหมู่แมกไม้ยืนต้นด้านทิศเหนือของเรือนไทย กางปีกสีส้มสยายขนรับลมพยุงกระพือร่างใหญ่ขนาดเท่าไก่ชนพร้อมเสียงร้องแหลมสูง ร่อนหายลับเข้าสู่ไม้ใบของแนวต้นไทรริมตลิ่ง พจน์เคยเห็นนกตัวนี้หลายครั้งหลายหนแต่ไม่สามารถสังเกตได้ชัดถนัดตา จนไม่อาจระบุสายพันธุ์ของมันได้
“ไปโรงเรียนได้แล้ว ไอ้พจน์ พ่อมึงให้มาตาม”
พจน์พยักหน้าให้ไอ้ปาล์มในชุดนักเรียนตัวเมื่อวานซึ่งฝากพี่ส้มซักรีดแล้วเรียบร้อย เด็กหนุ่มตาสวย กระชับเสื้อกันหนาวหนังสีน้ำตาล
“มึงยืมเสื้อกันหนาวกูก่อนก็ได้นะ” พจน์เดินตามไอ้คนมานอนค้างเมื่อสังเกตุเห็นอาการสั่นสะท้าน
“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็คงอุ่นขึ้น” คุณชายปาล์มปฏิเสธหน้านิ่ง พจน์จึงวาดแขนโอบไหล่เพื่อนสนิท พร้อมรอยยิ้มกว้าง
“อยากให้กูกอดก็ไม่บอกดีๆนะ มึงอ่ะ” ปาล์มส่ายหน้าอมยิ้ม สองเด็กหนุ่มกอดกันกลมเหมือนแฝดสยามลงไปสมทบกับดาวและภพดนัย ณ โรงจอดรถ
หลังการรับประทานอาหารเช้ามื้อเย็นยะเยือก อาธนพลในชุดทำงานสีน้ำตาลก็รีบหุนหันไปทำงานทันที คุณปู่กับคุณชาญณรงค์แจ้งว่ามีเรื่องต้องสืบค้นจึงพากันคลุกตัวอยู่ห้องสมุดบริเวณปีกเรือนด้านขวา ทำให้การรับประทานอาหารเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าผิดหวังคือคำตอบของป้าแจ่มเมื่อมาพบภาชนะอาหารที่พร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ทำไมวันนี้คุณพ่อแต่งชุดดำครับ” พจน์ถามทันทีเมื่อนั่งลงเบาะหลังรถพร้อมไอ้ปาล์ม ดาราจับจองที่นั่งด้านหน้า ภพดนัยแต่งชุดแขนยาวสีดำกลัดกระดุมถึงเม็ดบน เนคไทดำ เช่นเดียวกับชุดสูท
“เพื่อนที่ทำงานพ่อเสียเมื่อคืนน่ะ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบกล่องพัสดุในห้องเกิดเหตุ แพทย์ชันสูตรตรวจเจอสารพิษในหลอดลมและปอดส่งผลให้ร่างกายเป็นอัมพาต นำส่งโรงพยาบาลไม่ทันเลยเสียชีวิตทันที ตำรวจกำลังสืบหาต้นตอของกล่องว่างเปล่าข้างผู้ตายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่” ภพดนัยอธิบายสีหน้าเศร้าหมอง
“เค้าเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเอง ถ้ากล่องพัสดุตรวจพบสารพิษปนเปื้อนจริง เขาก็ไม่น่าจะต้องมารับเคราะห์แทนพ่อเลย”
“หมายความว่ายังไงหรือคะ” ดาวตามเสียงตระหนกตกใจ
ภพดนัยลอบถอนหายใจหยิบแว่นกันแดดสีดำขึ้นสวมบดบังนัยน์ตาโศกเมื่อรถแล่นพ้นประตูรั้ว นักข่าวจำนวนมากเตรียมตั้งกล้องถ่ายพร้อมแสงแฟลชวูบวาบ ด้านนอกคงมีเสียงตะโกนถามดังสนั่น เบื้องหลังลุงชมจัดการปิดประตูได้ทันการณ์ รถยนต์แล่นฝ่ากองทัพนักข่าวได้อย่างอยากเย็น
“กล่องพัสดุนั่นจ่าหน้าชื่อถึงพ่อเอง ด้วยความหวังดีเพื่อนของพ่อคงแกะเปิดออกให้” พจน์รับรู้ถึงเสียงสั่นเครือได้ดี ไอ้ปาล์มขมวดคิ้วแน่นเช่นเดียวกับฝ่ามือซึ่งถือกระเป๋านักเรียน
“มีคนจะทำร้ายคุณพ่อหรือครับ” พจน์รู้สึกสับสน
“พ่อไม่เคยมีศัตรูหรือทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจอย่างแน่นอน พ่อยืนยันในข้อนี้ได้” พจน์เห็นด้วยกับคำพูดของภพดนัย ด้วยลักษณะนิสัยนุ่มนวล สุภาพนอบน้อมของผู้เป็นบิดา จะมีแต่ผู้คนรักใคร่เสียมากกว่า
กลุ่มหมอกเริ่มสลัวรางเมื่อแสงแดดระริกไหวเริ่มฉายฉาน ทัศนวิสัยบนท้องถนนยังไม่เกินกว่าห้าเมตร
“มันอาจเกิดการผิดพลาดบางอย่าง ต้องรอตำรวจสืบสวนให้เสร็จสิ้น ลูกไม่ต้องเป็นกังวลนะ พจน์ ดาว” ชายหนุ่มลูบผมเปียของลูกสาวปลอบโยนลูกชาย “แต่ต้องไม่ประมาท”
“ครับ” พจน์กดฟันตอบ
“ค่ะ” เด็กสาวรับคำเสียงหนักแน่น
เรื่องราวนี้รบกวนความคิดของพจน์ไม่น้อย เขาสัมผัสถึงอันตรายบางอย่างกำลังคลืบคลานมาสู่ครอบครัวเทพวิมาน แต่ไม่สามารถระบุได้แน่ว่าเป็นความจริงหรือคือสิ่งนึกคิดไปเอง
“คุณพ่อรู้จักคุณชาญณรงค์มานานหรือยังครับ” พจน์เปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศตรึงเครียด
ภพดนัยเลิกคิ้วขึ้นสูง เหลียวหลังมองลูกชายชั่วครู่
“แปลกนะที่อยู่ๆลูกพูดถึงคุณชาญณรงค์ พ่อคิดว่าลูกจะไม่ชอบเขาเสียอีก” ภพดนัยหัวเราะเสียงเบา
“คุณชาญณรงค์ออกจะน่ารัก นิสัยก็ดี เก่งเรื่องวาดรูปด้วย ยังมาดูรูปวาดของดาวพร้อมคำติชมบ่อยๆเลย” ดาวส่งเสียงร่าเริงทันทีเมื่อพูดถึงคนคนนี้
“ผมไม่ได้ไม่ชอบคุณชาญณรงค์ครับ” พจน์ตอบสีหน้านิ่ง
“โอเคๆ พ่อเข้าใจ ถามว่ารู้จักคุณชาญณรงค์เมื่อไหร่ คงเป็นตอนที่คุณปู่ของลูกๆรับเขาเข้ามาเป็นผู้ช่วยนั่นแหละ ก่อนหน้านั่นพ่อไม่เคยเจอคุณชาญณรงค์มาก่อนเลย” นี่คือสิ่งค้างคาใจพจน์เมื่อตอนรุ่งสาง เหตุการณ์ที่เขาพบเจอเป็นสัญญาณบอกว่า ชาญณรงค์ ชายหนุ่มผู้ช่วยของคุณปู่ มีท่าทีชอบพอบิดาของตนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
“แล้วคุณชาญณรงค์เคยพูดคุยแบบ...เอ่อ...แบบสนิทสนมกับคุณพ่อบ้างหรือเปล่าครับ” พจน์กลั้นหายใจถาม
“แบบสนิทสนมนี่หมายความว่ายังไง พจน์” ภพดนัยถามกลับ แววตาหลังแว่นดำสะท้อนกระจกมองหลังทำให้พจน์ไม่สามารถเห็นความจริงที่อยู่ในนั้นได้
“เปล่าครับ งั้นก็...ไม่มีอะไรแล้วครับ ผมแค่เกิดนึกสงสัยเฉยๆ”
“คราวหน้าถ้าสงสัยอะไร ถามคุณชาญณรงค์ได้เลย อย่างน้อยเขาก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรานะ พจน์” ภพดนัยไม่ได้ติดใจซักถามอีก พร้อมชี้แนะให้ลูกชายลองมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ช่วยของศาสตราจารย์วิชัยในคราวเดียวกัน
แฟชั่นเสื้อกันหนาวหลากสีราวลูกกวาดเคลื่อนที่ได้เป็นสิ่งแรกพบทันทีเมื่อพจน์ก้าวเข้าขอบรั้วโรงเรียน เขาอดสงสารไอ้ปาล์มไม่ได้ที่ต้องทนหนาวเพราะอาการปากแข็งสุภาพบุรุษของมัน จึงโอบไหล่เพื่อนรักตั้งแต่ประตูโรงเรียนจนถึงห้อง
“พี่ปาล์มมาค้างคืนกับพี่พจน์บ่อยๆนะคะ” ดาราฉีกยิ้มให้เพื่อนพี่ชาย
“เอ ทำไมหรือครับ” ไอ้เปรมณัฐถามกลับโคตรสุภาพ พจน์เองก็สงสัยเช่นกัน
“ดาวชอบให้พี่ปาล์มอยู่ใกล้ๆพี่พจน์ค่ะ มันดู...” ใบหน้าของเด็กสาวปรากฏเฉดสีชมพู “เพื่อนดาวก็ชอบพี่ปาล์มกับพี่พจน์ด้วยค่ะ แต่ไม่ใช่ชอบแบบนั้นนะคะ ชอบให้อยู่ด้วยกันน่ะค่ะ อย่าลืมมานอนค้างบ่อยๆนะคะ”
คุณชายปาล์มเหล่ตาขอความเห็นพจน์ซึ่งเขาพยักหน้าตกลง
“ได้สิครับ”
เพียงได้ยินคำตอบรับดาราก็รีบวิ่งเข้าสมทบกับกลุ่มนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ แล้วหลุดกรี๊ดรีบตะปบมือปิดปากเหมือนเพิ่งรู้ตัว แต่ละคนลอบมองเด็กหนุ่มรุ่นพี่ก่อนจะหัวเราะคิกคักจากไป
“มึงว่ามีอะไรแปลกๆเปล่าว่ะ” ไอ้ปาล์มสงสัยในพฤติกรรมน้องสาวของพจน์
“ไม่รู้ว่ะ เข้าห้องเถอะ” พจน์ดึงไหล่คนตัวหนาตามเข้าห้องเรียน
โต๊ะเรียนว่างเปล่าของไอ้กันเป็นสิ่งชินตาสำหรับทุกคนในห้อง มันหายไปไหน ไปทำอะไร และที่สำคัญเจ็บป่วยหรือเป็นตายร้ายดีอย่างใดหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้ นั่นทำให้พจน์ต้องยอมรับว่าอดห่วงเจ้านั่นไม่ได้จริงๆ
“มึงได้เอากระดาษแปลโคลงสี่สุภาพมาหรือเปล่า เมื่อคืนกูจะดูให้แต่มึงอยากนอนเสียก่อน” ไอ้ปาล์มหันหน้ามาถาม
“เอามา” พจน์หยิบกระดาษแปลให้คนร้องขอ เหลือเวลาอีกเพียงสองวัน หวังว่าไอ้กันคงไม่ลืมในสิ่งที่มันท้าทายพจน์และกลับมารอคำตอบ ใจหนึ่งพจน์อยากเห็นมันอีกครั้งว่ายังสบายดีอยู่หรือไม่
“มึงถอยออกไปเลย ไอ้ปาล์ม” ไอ้เตี้ยน้ำเดินมาแทรกกลางเด็กหนุ่มทั้งสองจับแยกคนทั้งคู่ออกห่าง “หมดหน้าที่ของมึงแล้ว วันนี้เป็นเวรกูเฝ้าดูแลไอ้พจน์เอง ไป ไปไหนก็ไป”
คุณชายเปรมณัฐยิ้มขำมุมปาก ส่ายหน้าน้อยๆแล้วนั่งลงเก้าอี้ของตัวเอง เสียงกลุ่มเพื่อนของพจน์อีกเจ็ดคนร้องต้อนรับ ส่วนหนึ่งกำลังลอกการบ้าน ซึ่งไม่พ้น ไอ้กีลูกครึ่งอังกฤษ ไอ้ต่อหน้ายาว ทรงผมสกินเฮด ไอ้โบทหน้าตี๋ และไอ้เอกผิวสีแทน ส่วนที่เหลือกำลังเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือแข่งกันอยู่
“ไอ้ปาล์มดูแลมึงดีเปล่าวะ” ไอ้น้ำกระซิบถามไม่ให้เจ้าตัวได้ยิน พจน์นั่งเก้าอี้ส่วนตัวพยักหน้า เหล่ตามองคนถูกพาดพิงซึ่งกำลังคร่ำเคร่งกับการถอดความโคลงสี่สุภาพตรงหน้า น้องน้ำจัดการย้ายไอ้โบทให้ไปนั่งที่เดิมของมันแล้วปีนตัวเองมานั่งคู่กับพจน์แทน ไอ้เตี้ยน้ำเถียงคอเป็นเอ็นว่าเพื่อจะได้ดูแลพจน์ให้ทั่วถึง ส่วนไอ้โบทโวยวายพอเป็นพิธีก่อนรีบลอกการบ้านวิชาสังคมต่อ
“มึงอย่าลืมเอากระดาษแปลโคลงของไอ้กันมาให้กูดูด้วยนะโว้ย กูกลัวว่ามึงต้องไปแฟนมันว่ะ” น้องน้ำทำหน้าปุเลี่ยนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เออ ครูประจำชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนฝากกูมาบอกให้มึงไปหาด้วยเย็นนี้ เห็นบอกว่ามีเรื่องให้ช่วยอะไรไม่รู้ไม่ยอมบอกกู” มันทำตาโตปากยืนปากยาวแสดงอาการงอน ไอ้น้ำเป็นคนดูออกง่ายว่ามันรู้สึกอะไร เพราะทุกอย่างล้วนแสดงออกทางสีหน้าและการกระทำทุกอย่าง
“น้องน้ำหยุดพูดเหอะ พวกกูต้องใช้สมาธิแข่งเกมส์กันโว้ย” ไอ้เพรียวคางแหลมดักคอ ไอ้นายกับไอ้รักหัวเราะตบท้าย นั่นทำให้น้องน้ำหน้าคว่ำทันที ชี้หน้าพวกมันเรียงตัวเหมือนคาดโทษ พอดีกับเสียงสัญญาณเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น ทุกคนจึงรีบลงไปที่สนามหน้าตึกเรียน
เมื่อคาบเรียนวิชาแรกจบลง หัวหน้าห้องจึงประกาศว่าคาบวิชาภาษาไทย คุณครูติดธุระด่วนให้ทำสรุปเนื้อหาหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดและพร้อมส่งในวันพรุ่งนี้ เสียงโอดครวญดังตามติด กลุ่มของพจน์ลุกขึ้นยืนตกลงว่าจะไปนั่งม้าหินอ่อนข้างตึกเรียนใต้ต้นมะฮอกกานี โชคดีสำหรับพจน์เพราะได้นำหนังสือ
อัญมณี ประวัติความเป็นมาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ ติดกระเป๋ามาด้วย
กลุ่มของพจน์ไม่ใช่นักเรียนกลุ่มเดียวที่จับจองพื้นที่สวนป่าข้างตึกเรียน แต่ยังมีกลุ่มนักเรียนหญิงชั้นมัธยมต้นในชุดพละสีเทานั่งอยู่ก่อนแล้ว
พจน์สรุปเนื้อหาได้เกือบครึ่งของเล่มแล้ว ส่วนไอ้โบทแทบไม่ได้แตะหนังสือแม้แต่น้อยนั่นทำให้ไอ้พวกเข้าข่ายกำลังโดนไฟรนก้นรีบก้มหน้าเขียนสรุปความโดยแทบไม่ปริปากพูดคุยกัน ไอ้ปาล์มยื่นกระดาษแปลโคลงสี่สุภาพคืนพร้อมร่องรอยดินสอขีดเขียนเพิ่มเติม พจน์กวาดสายตาดูและพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่มันแก้ไข ไอ้น้ำนั่งอยู่ข้างซ้ายของพจน์ประกบติดราวกับกลัวพจน์หายตัวหรือโดนทำร้ายอย่างปัจจุบันทันด่วน
“ขอโทษค่ะ” เสียงเด็กสาวดังขัดจังหวะกิจกรรมคร่ำเคร่ง ทุกคนในกลุ่มต่างเงยหน้ามองเด็กสาวผู้สวมใส่ชุดพละเป็นตาเดียวกัน ใบหน้ากระจ่างใส รวมกับดวงตากลมโตไม่แพ้น้องน้ำทำให้ไอ้พวกเพื่อนของพจน์จ้องกันตาเยิ้ม
“ว่าไงครับ คนสวย” ไอ้กีรีบรับสมอ้างทันควัน
“ไม่ใช่พี่ค่ะ เพื่อนหนูฝากของขวัญมาให้พี่พจน์น่ะคะ” เด็กสาวมีท่าทีเขินอายเมื่อโดนสายตาเด็กหนุ่มทั้งสิบจ้องมอง คนอื่นส่งเสียงโอดโอยเมื่อบุคคลที่สาวเจ้ามาหาคือพจน์
“มึงอีกละ ไอ้พจน์ พี่ถามจริง ไอ้นี่มันมีอะไรดีหรือครับน้อง มีแต่สาวตามจีบมัน พวกพี่ๆหลายคนก็ยังโสดเหมือนกันนะครับ” ไอ้โบทกล่าวตัดพ้อยืดยาวตามประสาคนช่างคุย
เด็กสาวหัวเราะกลบเกลื่อน พลางยืนกล่องของขวัญขนาดเล็กห่อกระดาษสีชมพูพร้อมกระดาษข้อความสีครีม กลุ่มนักเรียนหญิงชุดพละซึ่งคาดว่าเป็นเพื่อนลุกขึ้นยืนเหมือนลุ้นรางวัล
พจน์ไม่อยากปฏิเสธให้ขายหน้าไอ้พวกนี้เลยพยายามยิ้มตอบ กำลังจะยื่นมือเข้าหาก็ถูกไอ้เตี้ยน้ำคว้ากล่องมาถือโดยเร็ว
“เพื่อนพี่ฝากขอบใจด้วยนะ” ไอ้น้ำพูดรัวเร็ว
“อ่อ ค่ะๆ” เด็กสาวล่าถอยกลับอย่างงุนงง กลุ่มของพวกเธอเดินจากไปทางสนามกีฬา จำได้แล้วว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยให้กล่องของขวัญพจน์ในตอนเย็นที่มีพายุฝนตกหนัก และพจน์ลืมทิ้งไว้บนโต๊ะโรงอาหาร กลับมาหาวันรุ่งขึ้นก็ไม่เจอเสียแล้ว
“มึงนี่นะ ตัดบทไอ้พจน์ตลอด” ไอ้ต่อว่าให้น้องน้ำ แต่รอยยิ้มสะใจนั้นมอบมาให้พจน์
“กูเห็นมันลีลาอยู่นั่น อีกอย่างมันเป็นหน้าที่กูเว้ย วันนี้กูเป็นเวรดูแลไอ้พจน์ ก็ต้องดูแลอำนวยความสะดวกให้มันทุกอย่าง” ไอ้น้ำหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
“แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพด้วยว่ะ ฟังนะ” ทุกคนดูตื่นเต้นไม่ต่างจากไอ้น้ำพากันตั้งใจฟัง
“มวลบุปผากิ่งก้าน ดอกใบ ชื่นเอย
รินหลั่งเลือดโลมไหล หล่อค้ำ
ผุดดอกเพลิงต้นไฟ เกิดก่อ ฤาดับ
โค่นไพร่ศัตรูซ้ำ ต่อสู้ ขัดขืน” “เพราะนะ แต่แปลกๆว่ะ” ไอ้ปาล์มออกความเห็นหน้านิ่ง
“นี่มันโคลงบอกรักหรือโคลงช้ำรักกันแน่เนี่ย กูบริการแกะให้มึงดูดีกว่า ข้างในจะเป็นอะไรวะ”
สีหน้าตื่นเต้นของคนลงมืออาสาทำให้พจน์ไม่อยากขัดขวางความสุขของเพื่อน อยากรู้เหมือนกันว่าของในกล่องคือสิ่งใด ฝ่ามือเรียวรีบแกะกระดาษห่อแล้วค่อยๆเปิดฝากล่องทันที ภายในกล่องของขวัญปรากฏดอกลีลาวดีสีขาวดอกหนึ่ง สดสวยงดงาม น่าดอมดม เสียงถอนหายใจดังระงม นึกว่าของขวัญจะเซอร์ไพรส์มากกกว่านี้ ล่าถอยกลับนั่งทำงานของตนเองต่อทันที ทุกคนรู้ว่าพจน์ชอบดอกลีลาวดี
“อะไรวะแมร่ง ไม่ลงทุนเลย เด็ดมาจากไหนละเนี่ย”
ทันทีเมื่อไอ้น้ำหยิบสัมผัสดอกลีลาวดี ร่างของเด็กหนุ่มตาโตก็สั่นสะท้าน ไอ้น้ำอ้าปากร้องไม่มีเสียงพจน์รับรู้อาการผิดปกตินี้ทันควัน ฉับพลันกลีบดอกสีขาวของลีลาวดีจึงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานทั่วทุกกลีบดอก สร้างความพิศวงแก่ทุกสายตาอย่างยิ่ง เสียงแผดร้องของนกบนต้นมะฮอกกานีเสริมส่งความสับสนอลม่าน
“ไอ้น้ำ มึงเป็นอะไรเปล่าวะ” พจน์เขย่าตัวร่างเล็ก ทุกคนลุกฮือด้วยสีหน้าซีดเผือด รุ่นน้องร่วมโรงเรียนบริเวณใกล้เคียงต่างชะเง้อมองร่างคนตัวเล็ก
แรงปัดจากฝ่ามือคนคนหนึ่งทำให้ดอกลีลาวดีนั่นร่วงหล่นบนพื้นโต๊ะหินอ่อน
“มึงรีบพามันไปห้องพยาบาลเดี๋ยวนี้”
เสียงทุ้มต่ำที่พจน์จำได้ดีแม้ไม่ต้องหันมองคือไอ้กันในชุดนักเรียนยืนอยู่ด้านหลังพจน์ด้วยสีหน้าถมึงทึง ไอ้กีรีบช้อนแขนอุ้มไอ้น้ำซึ่งหมดสติเสียแล้วไว้ในอ้อมแขน วิ่งรวดเร็วสู่ห้องพยาบาลที่อยู่ในตึกเรียนชั้นแรก ไอ้ต่อ ไอ้โบท เขย่าแขนไอ้น้ำให้คืนสติ ส่วนไอ้เอก ไอ้รัก ไอ้เพรียววิ่งรุดหน้าไปแจ้งครูประจำชั้น
พจน์มองตามหลังหมู่เพื่อนรักด้วยสติอันเลื่อนลอย มือสั่นสะท้านยากเกินควบคุม รับรู้น้ำตาเอ่อคลออยู่ทั้งสองข้าง
“กูเตือนแล้วว่าจะมีคนทำร้ายมึง” ไอ้กันพูดเสียงเข้ม พจน์เพิ่งสังเกตุเห็นรอยฟกช้ำทั่วใบหน้าของมันโดยเฉพาะตรงมุมปาก และพลาสเตอร์ปิดแผลเหนือคิ้วขวา ดวงตาดุเขม้นมองพจน์ การ์ดสีครีมจดจารโคลงสี่สุภาพถูกไฟปริศนาลุกท่วมมอดไหม้ ฉับพลันดอกลีลาวดีสีเลือดบนโต๊ะจึงเปลี่ยนเป็นดำทมิฬและสลายกลายเป็นผุยผงโดยเร็ว ดอกไม้ประหลาดนี่คือเรื่องตลกอะไรกัน
“
ลีลาวดีเพลิง” ไอ้กันตอบคำถามพจน์ “หรือรู้จักกันในอีกนามว่า
จุมพิตสีเลือด”
50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป