บทที่ 10
อาจมีเนื้อหาบางส่วนที่มีความรุนแรงและไม่เหมาะสม ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ตอนนี้ผมเองพยายามวิ่งย้อนกลับไปทางที่มันพามาโดยวิ่งอยู่ในป่า ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวว่าในป่าจะมีอะไร ผมกลัวแต่ว่ามันจะตามมาทัน ผมพยายามไม่ให้ห่างจากถนนมากนัก เพราะผมกลัวที่จะหลงเข้าไปในป่า ระหว่างทางผมวิ่งไปก็คล่ำหามือถือไป ก็พบว่าผมเองตอนนี้ไม่มีมือถือแล้วมันคงจะหล่นในรถนั้นแน่ ๆ
“แฮก ๆ“
ผมไม่รู้วิ่งมาไกลเท่าไหร่แล้ว แต่ผมเองที่วิ่งแบบไม่คิดชีวิตก็แทบที่จะล้มลงไปกับพื้นทันที ผมเหนื่อยเกินกว่าที่จะก้าวขาออก ผมหายใจไม่ค่อยสะดวกนักเพราะหน้าผมตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำจากฝนที่ตกลงมา บดบังทัศนียภาพรอบ ๆ ที่ปกติก็มองเห็นได้ยาก ตอนนี้ก็กลับมองเห็นยากยิ่งกว่าเดิม
ผมต้องรอด
ผมบอกกับตัวเองยังนั้นก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไปตรงไป
ผมเห็นแสงสว่าง แสงสว่างจากสิ่งที่รูปร่างเหมือน ‘บ้าน’
เหมือนความหวังของผมเริ่มจุดประกายไฟอีกครั้ง ผมที่ควรจะเหนื่อยกลับหายเหนื่อย
ผมวิ่งไปถึงก็พบว่าเป็นเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางบริเวณที่เต็มไปด้วยป่า ผมวิ่งไปตรงประตูหน้าบ้านก่อนที่จะเคาะประตูรั่ว ๆ
ก๊อก ๆ ๆ ๆ “ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย”
ผมทั้งตะโกน ทั้งเคาะประตูหวังที่จะให้คนในบ้านเปิดประตูอย่างรวดเร็วที่สุด ผมที่ดีใจที่ประตูตรงหน้าเริ่มมีอะไรบางอย่างที่แสดงว่า มันกำลังจะเปิดออกมา เสียงปลดล็อกกลอนดังขึ้นมา ก่อนที่เสียงฝืดของประตูก็ค่อย ๆ ดังตัดกับเสียงฝนที่ตกลงมา แสงสว่างภายในเริ่มลอดออกมาที่ภายนอกตามความกว้างของประตูที่เปิดออกมา
เหมือนกับแสงความหวังของผม
เมื่อประตูเปิดกว้างผมก็ค่อย ๆ ปรับสายตาให้กับร่างตรงหน้าที่สูงพอประมาณ แต่ร่างนั้นก็ค่อยเดินออกมาใกล้ ผมเช็ดฝนที่ทำให้ตาของผมพร่ามัว และเมื่อผมเห็นคนตรงหน้าชัดเจนขึ้น
ความหวังของผมก็ดับลงไปทันที
ร่างของคนที่คุ้นตายืนปรากฏกายตรงหน้า
มัน คนนั้น
คนที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นที่พยายามมัดผมไว้
ตอนนี้ใบหน้าแสยะยิ้มของมันจ้องตรงมาที่ผม สายตาของมันมีหลากหลายความหมาย ไม่สามารถบอกได้ว่ามันต้องการอะไรกันแน่
ผมรีบวิ่งออกจากห่างบ้านหลังนี้ แล้วมุ่งตรงเข้าไปในป่าทันที
เสียงโวยวายของพวกเดรชานมนุษย์กำลังไล่หลังผมมาติด ๆ ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ เสียงของพวกมันก็เหมือนเข้ามาใกล้ทุกที
ทุกฝีก้าวที่วิ่งของผมทั้งเจ็บ ทั้งลื่น เพราะตอนนี้ฝนเองก็ยิ่งตกหนักมากขึ้น มากขึ้น
และทางข้างหน้าที่มืดมิดเหมือนกับชีวิตของผมตอนนี้
เปรี้ยง!!! เสียงฟ้าผ่าลงมา พร้อมกับไปที่เปิดทางสว่างของผมเพียงเสียววิ แต่มันเป็นเสียววิที่มีความหมายสำหรับผม อาจเป็นทางรอดและทางตายที่กำลังรอผมอยู่
ผมเหนื่อย
ผมเริ่มมองหาจุดที่มืดที่สุดบังสายตาพวกมันไว้ ผมพยายามเพ่งมองฝ่าเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเจอกพุ่มไม้เล็ก ๆ ผมรีบคลานเข้าไปหลบทันที
เสียงหอบของผมที่ดังก็ไม่อาจสู้เสียงฝนที่ตกกระทบลงได้ ตอนนี้ผมกำลังตั้งใจฟังเสียงภายในความมืดเพื่อจะได้ยินพวกมันว่ามันกำลังมาทางไหน
“ไอ้ลีไปทางซ้าย ไอ้แมนไปทางนั้น กูจะไปทางนี้”
เสียงตะโกนของพวกมันที่ระคนไปกับเสียงฝนและเสียงฟ้าร้องดังแว่วใกล้เข้ามา
ผมรู้ดีว่า…เวลาชีวิตของผมกำลังจะหมดลง
พระเจ้าครับ ทำไมผมต้องมาเจอกับสิ่งแบบนี้ด้วย ทำไมผมต้องเจอกับการกระทำที่ชั่วช้าของมนุษย์พวกนี้ด้วย
มนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐทำไมถึงทำกับมนุษย์ด้วยกันมากมายถึงขนาดนี้
ผมไม่เข้าใจเลย
ผมไม่เข้าใจมันเลยสักนิด
ชีวิตของคนเราที่ยากแค้นลำบาก บททดสอบอันหลากหลายที่ไม่มีคะแนน ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าต่อให้คุณพยายามแค่ไหน
มันก็สิ้นเปล่า
ชีวิตมนุษย์ ธรรมชาติไม่ได้ทำขึ้นมารองรับการกระทำที่แลกเปลี่ยน
ต่อให้คุณไม่เหลืออะไร ธรรมชาติก็ไม่มีทางที่จะเห็นใจคุณ ธรรมชาติจะทำหน้าที่เพียงแค่
ทวงคืนสิ่งที่มันให้เรามา นั้นคือ ‘ชีวิต’
“จับมันให้ได้”
เสียงตะโกนคำรามเข้ากันได้ดีกับเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นสัญญาณเตือนของมัจจุราชที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาผม ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักช่วยบังทัศวิสัยของพวกมันรวมถึงผมได้เพียงแค่นิดเดียว ตัวผมตอนนี้กำลังอยู่ในพุ่มไม้สูงเนื้อตัวหนาวสั่นจับใจ ฟันกระทบกันสั่นจนไม่สามารถควบคุมได้เหมือนกับใจที่อยู่ภายในที่เต้นดังราวกับงานเฉลิมฉลอง น้ำที่ไหลมาบนหน้าไม่สามารถแยกออกได้ว่ามันคือน้ำฝนหรือน้ำตามันไหลออกมามากมายจนผมควบคุมไม่ไหว ผมได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้เพื่อรอ เพื่อรอให้พวกมันไม่เจอผม ผมภาวนา ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ผมรอดจากที่นี่
รอดจากช่วงเวลาลานรกแห่งนี้ ผมสิ้นหวังแล้ว เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้ผมเริ่มที่จะกลัวมาก ๆ กลัวจนตัวของผมนั้นสั่นสะท้าน ที่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความหนาวจากฝนหรือความกลัวตายที่กำลังคืบคลานอยู่ในจิตใจ
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาและก็เงียบหายไปจนผมสงสัย
หรือว่ามันจะไปแล้ว
ไม่มีทาง พวกมันไม่ทางปล่อยผมไปแน่ ๆ
ผมนั่งนิ่ง ๆ และพยายามกั้นหายใจเหมือนกับตอนที่ผมเด็ก ๆ เพื่อปลุกความหวังอันน้อยนิด น้อยนิดจริง ๆ ว่ามันจะไม่เห็นผม
เสียงฝีเท้าหายไป แทนที่ด้วยเสียงฝน
ตุ้บ เสียงบางอย่างดังขึ้นพร้อมกับอาการเจ็บที่หัวอย่างรุนแรง ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่าสติสัมปชัญญะของผมดับลงทันที
.
.
.
ความมืดมิดปกคลุมไปรอบตัว มองไม่เห็นทางสว่างแม้แต่น้อย สิ่งที่สัมผัสได้คือเสียง เสียงจากรอบกายที่ไม่สามารถจับใจความได้ว่ามันเป็นอะไรรู้แต่ว่า เสียงเหล่านั้นใกล้เข้ามา แล้วมีมือของใครบางคนจับไปที่ขา จับไปที่แขน และอีกมือที่เริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกายที่มักจะวนเวียนอยู่บริเวณบั้นท้าย
สัมผัสอันน่าขยะแขยงทำให้เด็กชายกลับไปเห็นภาพตอนที่เห็นพ่อเลี้ยงค่อย ๆ ถอดเสื้อ ถอดกางเกง แล้วมองมาที่เขาอย่างหื่นกระหาย
แต่ใบหน้าพ่อเลี้ยงกลับมัว ๆ ไม่ชัดเจน ใบหน้าในความทรงจำของเขากำลังจะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถรู้เลยได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ทุก ๆ อย่างมันประสมปนเปกันไปหมด
เขากลัวแล้ว
ช่วยด้วย
เขายอมแล้ว
.
.
. “ปลุกมันสิ!”
เสียงของใครสักคนได้ปลุกผมขึ้นมาจากความฝันที่น่าสะอิดเอียน แต่ไม่ทันที่จะได้ลืมตาใบหน้าของผมก็โดนตบเข้าอย่างรุนแรง ทำให้หน้าของผมหันไปตามแรงตบ ความเจ็บที่บริเวณแก้มมันทำให้ผมเองก็เริ่มที่จะรับรู้ถึงความจริง
มันไม่ใช่แค่ฝันร้าย
“อย่ารุนแรงกับดาราของเรานักสิ เดี๋ยวพวกเขาเห็นจะพาลคิดว่าเราบังคับคุณเข้ามา”
เสียงของใครสักคนพูดขึ้น แต่ผมเองก็ยังจับใจความอะไรไม่ได้นัก หัวของผมเองก็เริ่มที่จะเจ็บปวดจากการโดนตีที่ศรีษะ และตอนนี้สายตาของผมที่เพิ่งตื่นก็เริ่มที่จะมองเห็นอะไรบางอย่างได้ชัดเจนขึ้น
ผมอยู่ในห้องกับชายฉกรรจ์สี่คน พร้อมกับตัวผมที่ถูกพันธนาการบนเก้าอี้
ทุกคนล้วนคุ้นหน้าหมด
ผมมองหน้าพวกมันอย่างอ้อนวอน พร้อมกับน้ำตา
ทำไมนะ ทำไมพวกมันถึงได้ทำกับผมขนาดนี้
“ตื่นแล้วว่ะ”
ใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม และน่าจะเป็นคนที่ “ปลุก” ผมด้วยวิธีเมื่อสักครู่ มันใช้มือบีบที่คางของผมพร้อมกับเชยคางของผมให้มองขึ้นมา
“ร้องไห้ทำไมจ๊ะ เดี๋ยวตัวเองก็จะมีความสุขแล้ว”
“ปะ…ปล่อย ผะ…ผม ไปเถอะ ฮึก”
ผมอ้อนวอนสุดความสามารถที่มีตอนนี้ ผมเองก็แทบจะไม่สามารถพูดออกมาได้เป็นคำเลยสักนิด เพราะทั้งหวาดกลัว ทั้งตื่นตระหนก
“ลี ปล่อยมันเดี๋ยวไอ้หมีก็มาโวยวายหรอกว่าดาราของมันไม่สวยสมบูรณ์”
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาผม คนที่มันคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างของเรื่องทั้งหมด ผมมองใบหน้าของมันอย่างชัด ๆ เพื่อที่จะเก็บไว้ในความทรงจำบางอย่าง
“ดีใจไหมที่จะได้เป็นดารานะ คุณหนู”
ผมไม่ตอบนอกจากมองหน้าของมัน
“มองดูพระเอกในอนาคตหรือจ๊ะได้เลย จำไว้เลยนะ”
มันจับผมของผมดึงอย่างรุนแรง
“กูชื่อทิดจำไว้ให้ดีนะจ๊ะ”
มันปล่อยผมแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งสี่คน เสียงหัวเราะของพวกมันเหมือนกับหัวเราะอย่างมีความสุขที่สุดในโลกราวกับว่าจะไม่มีอะไรในโลกที่สนุกเท่านี้อีกแล้ว เสียงของมนุษย์ที่ใกล้เคียงกับปิศาจ
มนุษย์ที่มีความสุขกับการทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง
“หัวเราะอะไรกันวะ!!”
เสียงของใครสักคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ร่างของมันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ในมือของมันถือบางอย่างที่ยาวและเหมือนจะเป็นขาตั้งอะไรสักอย่าง
วางไว้ตรงหน้าของผมไม่ห่างมากนัก
“มุมนี้ดี ไอ้แมนไอ้ทิดมาช่วยตั้งกล้องหน่อยสิวะ”
“ไอ้เชี้ยลีกับมิ่งไปยืนข้างมันจะได้ดูมุม”
พวกมันแบ่งหน้าที่กันอย่างคล่องแคล่ว คนชื่อหมีคือคนที่ผมคุ้นหน้ามันมากที่สุด มันคือคนที่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ทำไม!!”
ผมตะโกนออกมา พวกมันที่กำลังวุ่นวายนั้นหยุดชะงัก ผู้ชายทั้งสองที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมก็เริ่มที่จะจับตัวผม
คนชื่อหมีหยุดนิ่งนิดหนึ่งก่อนที่จะเดินเข้ามาหาผม
“ผมบอกพี่ให้ย้ายออกแต่แรกก็ไม่เชื่อ ผมก็เลยเดาว่าพี่คงชอบอะไรแบบนี้เหมือนกับที่ ‘คนอื่น’ ชอบ”
“เพื่ออะไร”
“มันไม่มีเหตุผลหรอกนะครับ แต่ที่ทำไปมันมีแต่ความสนุก ฮ่า ๆ”
“พวกแกยังมีคดีอยู่ พวกแกไม่กลัวเหรอ”
ผมลองที่จะขู่พวกมันไป
“ผมไม่กลัวหรอกนะ พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าขนาดที่พวกผมถูกจับโดยมีหลักฐานขนาดนั้น พวกผมยังถูกปล่อยออกมาได้อย่าง่ายดาย แต่ถ้าจะติดคุกจริง ๆ ก็ขอให้ได้ทำเป็นผลงานสุดท้ายที่จะสร้างให้แก่วงการหนัง”
ผมไม่เข้าใจที่มันพูดสักนิด
“ไอ้หมีมันอยากเป็นผู้กำกับนะพี่ พี่ไม่ดีใจที่จะได้เป็นนักแสดงดังในโลกออนไลน์กับหนังเฉพาะกลุ่ม ฮ่า ๆ”
คนชื่อลีพูดออกมา
“โชคร้ายหน่อยนะครับ ที่พวกเรามีต้นทุนไม่มากหนังเรื่องนี้นักแสดงเลยต้องเจ็บจริง ทำจริง”
คนชื่อหมีพูดออกมาอีกครั้ง
ผมร้องไห้อย่างหนักหน่วง
“หนังแนวอะไรวะที่มึงพูด สนง สนัฟอะไรสักอย่าง”
เสียงหนึ่งในพวกมันถาม
“สนัฟฟ์ฟิล์มไงไอ้โง่ แบบที่พวกเราทำกันมาตลอด”
พวกมันพูดเสร็จก็จัดกล้องกันต่อจนเสร็จ
“แสงสวย”
“ภาพสวย”
“บอกแล้ว โลเคชั่นก็โอเค วงการนี้ไม่เคยมีภาพสวยขนาดนี้มาก่อน”
พวกมันพูดและหัวเราะราวกับโรคจิต เดนมนุษย์พวกนั้นหันมามองที่ผมด้วยสายตาที่ผมเองก็คาดเดาไม่ได้
“กูจะทำให้หนังของกูดังกว่าไอ้วัยรุ่นที่ฆ่าคนแก่ซะอีก”
“มันต้องเป็นตำนานแน่ ๆ”
พวกมันพูดเสร็จก็หันมามองผมอีกรอบ
“ไอ้ทิดมึงจำบทได้นะ”
“ได้”
“อีคุณหนูนี่ ใช้อารมณ์ธรรมชาติอย่างเดียวไม่ต้องมีบท จะได้ดูเป็นการแสดงที่สมจริง โอเคเริ่มถ่าย”
สีหน้าของคนที่ชื่อทิดที่ดูเกร็ง ๆ ขึ้นมาเดินมาอยู่ตรงหน้าผม ผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ถอยออกไป
“เรามาลองออเดิร์ฟกันก่อนนะพี่”
คนชื่อทิด ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของมันออกจนหมด ผมรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที
“หันไปทำไม กูอยากเห็นมึง’ทำ’ให้กู เร็ว ๆ เข้า”
ผมพยายามส่ายหน้าหนีเมื่อบางสิ่งของมันที่พยายามเอาเข้ามาในปากผมให้ได้
ผัวะ! มันตบที่หน้าของผมอย่างรุนแรง ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกถึงเลือดที่ไหลออกมาจากปากของผม ผมมองหน้าของมันที่ดูเหมือนสะใจที่ผมได้เจ็บตัว
“แบบนี้กูยิ่งชอบ และมึงล่ะชอบไหม”
ก่อนที่มันจะบีบคางของผมแล้วยัด “สิ่งนั้น” เข้ามาในปากของผมจนได้ มันผลุบเข้าออกอย่างรวดเร็ว
“ฮา ๆ เสียวโว้ย!!!”
ผมมองมันทั้งน้ำตา และในหัวของผมก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
“อ๊ากกกกก”
ไอ้ทิดมันเอาของมันออกจากปากของผมทันที หลังจากที่ผมกัดของมันอย่างรุนแรงและแน่นอนสิ่งที่ผมทำเหมือนยิ่งไปปลุกความน่ากลัวของมันเข้า มันเดินเข้ามาตบหน้าหน้าผมและทุบที่ท้องผมอย่างรุนแรง
“พอ ๆ ไอ้ทิด เดี๋ยวมันตายก่อนพวกกูจะไม่ได้สนุกกัน”
“มันกัดของกู”
ไอ้ทิดพูดอย่างโทสะ
“ไม่เป็นไร นี่ ไอ้พวกที่เหลือไปเข้าฉาก เตรียมทำฉากหมู่”
ไอ้หมีพูดจบพวกที่เหลือก็เฮฮา
“ปล่อยผมไปเถอะ”
แต่พวกมันก็ยังคงหัวเราะออกมา
“ได้โปรด”
พวกมันไม่ฟังแล้วเดินเข้ามาที่ผมพร้อมร่างที่เปลือยเปล่า
ผมร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง
“แบบนี้สิได้อารมณ์ดี”
.
.
.
ผมตื่นขึ้นมานอนอยู่ที่พื้น ผมไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว รู้แต่ว่ามันยาวนานยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดตอนที่อยู่ในขุมนรกแห่งนี้
นรกบนดินที่ผมเผชิญ
ตัวของเองก็แทบจะไม่รู้สึกว่าเป็นตัวของผมเลยสักนิด ร่างกายที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากมนุษย์เดรัจฉาน ยังคงทิ้งร่องรอยไว้พร้อมกับสิ่งสกปรกโสโครก
ร่างกายของกำลังจะตาย
และผมอยากที่จะตาย
ผมไม่เห็นมันอีกแล้วชีวิตข้างหน้าที่รออยู่ ภาพที่เห็นมีแต่ความมืดและความเลวร้ายที่อยู่ในความทรงจำของผมวนเวียนสับสนปนเปไปมา ทั้งตอนผมยังเด็กและตอนที่ผมโตขึ้น
มันไม่ต่างเลยสักนิด
ชีวิตของผมเองก็ต้องกลายเป็น “เหยื่อ” ของพวกแบบนี้ตลอดไปเหรอ
นี่คือชะตาชีวิตที่เป็นของผมใช่ไหม
งั้นผมไม่ต้องการเลย
ผมไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว
เสียงเดินที่สะเทือนไปทั้งพื้นทำให้ผมรู้สึกได้ ว่าผมเองก็ยังมีความรู้สึก
คนที่เดินข้ามานั่งยอง ๆ ก่อนที่จะเอามือลูบผมของผมไปมา
“น่าสงสารนะครับ คนแบบพี่ไม่น่าจะมาเจอพวกผม”
ผมเองไม่ได้ตอบโต้อะไรอีกแล้ว
“สักพักพวกตำรวจเพื่อนพี่และแฟนพี่ก็คงจะมา เขาจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นว่าพี่ทั้งตัวมีแต่ความสกปรกและเน่าเฟะ”
“ตัวของพี่ไม่เหมือนคนเมื่อก่อนเลยนะครับ ตอนนั้นมีแต่ความหยิ่งทะนง และความผู้ดีของพี่ที่ชอบดูถูกคนอื่น แต่ตอนนี้พี่เองก็จินตนาการไม่ออกสินะว่าพี่เองนั้นโสมมขนาดไหน”
มันพูดเสร็จพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นกล้องที่มันใช้ถ่ายผม
“ดูสิพี่ ว่าพี่นะแสดงดีแค่ไหน พี่ได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมได้เลยนะ อินเนอร์สมจริงสุด ๆ”
วิดีโอตรงหน้าที่กำลังแสดงภาพป่าเถื่อนของมนุษย์ที่กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเองอย่างไร้ความปราณี
“อย่าเพิ่งตายสิ”
มันดึงหัวผมที่นอนอยู่ขึ้น
“ฆะ ฆะ”
ผมพยายามพูด
“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
“ฆะ ฆ่า”
“ฆ่าใครเหรอ”
พร้อมกับสีหน้าที่ดูสนุกของมัน
“ฉะ ฉันเถอะ”
“ฮา ๆ ๆ”
มันหัวเราะดังลั่นราวกับคำขอนั้นเป็นเพียงมุกตลก
มันถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า
“ผมกำลังจะทำ”
มันค่อย ๆ วางหัวของผมลงที่พื้น
“ไม่ใช่เพราะพี่ขอ แต่หนังมันเป็นแบบนี้ ฆ่าตายหลังจากเซ็ก นี่แหละคือหนังสนัฟที่ยอดนิยม”
มันพูดเสร็จก็เดินออกไปข้างนอกและกลับเข้ามาพร้อมกับพวกมันทั้งหมด
“จะดีเหรอวะ แค่นี้มันก็แทบเหมือนจะตายแล้ว”
“นั้นแหละ แต่สุดท้ายพวกมึงก็ต้องโดนคดีเท่ากับฆ่าคนตายด้วยซ้ำ มึงจะกลัวทำไม”
พวกมันเหมือนจะเห็นด้วย ก่อนที่จะเดินมายืนรอบ ๆ ตัวผม
“ฉากนี้สำคัญและทรงพลังนะพวกมึง เอามีดที่ถือมาค่อย ๆ กรีดช้า ๆ และพยายามอย่าให้มันตายเร็ว”
พวกมันที่เหลือนั่งลงรอบตัวผม
“ไอ้ทิดเริ่มที่มึง เอามีดลงไปกรีดที่หลังมันช้า ๆ”
แล้วทิดก็ทำตามคำสั่งของมันทันที มีดที่กรีดลงไปผิวหนังของผมช่างเจ็บทรมานมากมายจนผมแทบจะทนไม่ไหว
ผมพยายามร้องแต่มันก็ร้องไม่ออก
ทิดยังคงกรีดต่อไป และต่อไป
“เลือดไหลออกมาเยอะเลยว่ะ”
ทิดพูด
“ตามึงแล้วไอ้มิ่ง”
“ดะ ได้”
เสียงสั่น ๆ ของมันทำให้ผมใจกระตุกชา ความสั่นของมีดที่เริ่มเข้ามาที่หลังของผม
“อย่าสั่นสิวะ”
มันค่อย ๆ กรีดมีดที่สั่นของมันลงทันที ความเจ็บครั้งนี้มันทรมานมากกว่าของที่ไอ้ทิดทำกับผมจนผมร้องออกมา
“โอ๊ยยยยยยย”
พร้อมกับเสียงบางอย่างที่พวกมันเองก็สงสัย
“มีคนมา”
“รีบฆ่ามันเร็ว”
ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นเป็นอะไร รู้แต่ว่ามีมีดเล่มหนึ่งกำลังปักอยู่ตรงที่หลังของผม
ผมไม่ได้ร้องออกมา ผมมีแต่ภาพบางอย่างในหัวที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร มันเป็นภาพของผมที่กำลังเป็นเด็ก และเรื่องที่เห็นก็มีแต่ความสุขจนผมเองต้องยิ้มออกมา
แสงสีขาว
ผมเห็นแต่แสงสีขาวเต็มไปหมด
พระเจ้ากำลังมารับผมแล้วใช่ไหม
นี่สินะ ความตาย
ทำไมมันถึงสวยจัง มันไม่น่ากลัวสักนิด
ผมกำลังจะตาย
ผมจะไม่ทรมานอีกแล้ว
“ริน ริน ริน!!!!”
เสียงบางอย่างที่คุ้นเคยของผมพยายามเรียกชื่อผม แต่ผมเองแหละที่ไม่อยากจะได้ยิน เพราะผมไม่อยากตื่นเลย
ผมอยากที่จะหลับไหลไปตลอดกาล
สนัฟฟ์ฟิล์ม คือหนังใต้ดินที่ส่วนใหญ่จะเป็นการตายจริง ๆ โดยมีความรุนแรงทุกรูปแบบในหนัง ส่วนตัวแล้วหนังพวกนี้คงจะเรียกว่าหนังก็ไม่ค่อยได้ แต่ว่ามันมีและก็ดังในอินเตอร์เน็ต(บางเรื่อง) ขอไม่บอกชื่อเพราะมันค่อนข้างหดหู่พอสมควรและไม่แนะนำให้หา เพราะผมยังไม่เคยดูเลย
สารภาพว่าตอนนี้ค่อนข้างรวบรัด(จริง ๆ) เพราะไม่อยากให้มันยาวจนเป็นตอนต่อไป ส่วนตัวแล้วการบรรยายฉากพวกนี้นั้นยากมากยังต้องฝึกอีกเยอะ แต่ยังไงก็ขอขอบคุณคนอ่านทุกคนนะครับ