ภาคความจริง : บทที่ 21
“แล้วเลิกกี่โมง ให้พ่อมารับไหม”
ม่านฟ้าหันกลับมามองพ่อที่เปิดกระจกมาถามหลังส่งพวกเขาลงหน้ามหาวิทยาลัย “ไม่เป็นไรหรอกพ่อ ไม่น่าจะถึงเย็นหรอกมั้ง เดี๋ยวกลับเองก็ได้ครับ”
ชายวัยกลางคนดูลังเลนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ เหลือบตาไปมองลูกชายอีกคนที่ไม่พูดอะไรทำเพียงยกยิ้มน้อยๆ มาตลอดทาง “งั้นก็กลับบ้านกันดีๆ ล่ะ เจอกันที่บ้าน”
ภูหมอกขยับยิ้มกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำนั้น ยกมือไหว้คนเป็นพ่ออีกทีก่อนรถสีดำจะเคลื่อนตัวออกไป ม่านฟ้าหันกลับมามองเด็กหนุ่มที่ยืนยิ้มเหมือนคนบ้าท่ามกลางแดดจ้าในยามเช้าแล้วก็ถอนหายใจ ผลักไหล่น้องชายให้เดินไปยังจุดนับพบของวันนี้
วันนี้ภูหมอกถูกเรียกตัวมาเป็นแบบสำหรับถ่ายรูปโปรโมทเฟรชชี่และตัวอย่างการใส่ชุดนิสิตที่ถูกระเบียบ เขาปล่อยน้องชายทิ้งไว้กับรุ่นเพื่อนรุ่นพี่ ฟังคำงอแงนิดหน่อยของน้องชายแล้วนั่งรถเวียนกลับไปที่หอใน เขารับปากกับรูมเมทไว้ว่าจะกลับมาช่วยเก็บของหลังจากเก็บไปบ้างแล้วบางส่วนตั้งแต่เมื่อวาน อยากจะรีบทำให้เสร็จก่อนน้องชายตัวดีจะงอแงขึ้นมาอีกรอบ
"แล้วแฟนมึงไปไหน ทำไมไม่มาช่วยกูเก็บของ"
คำถามของณัฐดนัยเรียกสายตาม่านฟ้าขึ้นมาจากชั้นเก็บของ พวกเขากำลังช่วยกันเก็บของครั้งใหญ่เพื่อให้ณัฐดนัยย้ายสำมะโนครัวไปอยู่กับคนรักโดยสมบูรณ์หลังเช่าหอไว้เป็นปีแต่แทบไม่ได้อยู่เลยสักวันเดียว
"แล้วมึงเป็นเมียน้อยมันเหรอ มันถึงต้องมาช่วยมึงเก็บอ่ะ"
คำถามง่ายๆ สไตล์มึนๆ ของม่านฟ้าเล่นเอาณัฐดนัยถึงกับหันขวับ
"แรงงง ปากร้ายมาก นี่มึงปากร้ายติดไอพีทมารึไง กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี แค่มึงกล้าไล่กูออกจากหอกูก็เจ็บมากแล้ว มึงยังจะพูดจาทำร้ายจิตใจแถมใส่ความกูแบบนี้อีก"
ม่านฟ้าเก็บของพร้อมฟังเพื่อนดราม่าไปเรื่อยๆ แต่สมองกลับยังวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องในวันนี้ จะว่าเหนือความคาดหมายก็ไม่แปลก จริงอยู่ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้เยอะแยะ แต่พอทุกอย่างมันจบลงได้แบบง่ายๆ เช่นนี้ก็เล่นเอาไปไม่ถูกเหมือนกัน
“กูแค่จะเตรียมเอาน้องมาอยู่ด้วย มีมึงเป็นรูมเมทตอนนี้ก็เหมือนไม่มี จะมาแชร์ค่าห้องกับกูทำไมตั้งหลายปี”
“ยังไงกูก็ยังอยากจะมีห้องเป็นของตัวเองบ้างนิหว่า ไม่ใช่ไปอยู่กับพี่เขาอย่างเดียวเลย” 'พี่' ที่ณัฐดนัยพูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากแฟนของเจ้าตัวนั่นแหละ แถมอายุยังห่างกันตั้งเจ็ดปีอีกต่างหาก
“แล้วตอนนี้? ” ม่านฟ้าหันไปเลิกคิ้วถามเพื่อนที่บทจะยอมย้ายก็ยอมง่ายๆ ทั้งที่ม่านฟ้าเคยบอกหลายต่อหลายรอบแล้วว่าจะย้ายก็ย้ายไป เขาหารูมเมทใหม่ได้
“พี่เขาบอกเดี๋ยวก็เรียนจบแล้ว ก็… เหมือนซ้อมไปอยู่ด้วยกันถาวรเลยดู”
"เออ ดีๆ ขอให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะมึง" ถึงตอนนี้จะเหมือนอยู่ด้วยกันถาวรแล้วก็เหอะ
"ไอxxx"
อ้าว โดนด่าอีก อุตส่าห์อวยพร
ม่านฟ้าส่ายหน้าขำๆ เมื่อเพื่อนรักสบถด่าออกมาเต็มคำ แต่ถึงจะแซวมันไปแบบนั้นแต่ก็ยินดีกับชีวิตดีๆ ของเพื่อนและคนรักที่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนอกจากงอนงุ้งงิ้งกันไปวันๆ
"เห้อ อีกเดี๋ยวก็ไฟนอลแล้ว เผลอแป๊บๆ เราจะจบปีสามกันแล้วนะไอเมฆ"
ม่านฟ้าพยักหน้าตอบรับคำเพื่อนแต่นึกได้ว่าต่างคนต่างก้มหน้าเก็บของจึงส่งเสียงตอบรับไปเบาๆ "อืม"
"ไอพวกที่ถ่ายรูปเฟรชชี่ของน้องมึงแม่งก็รีบ เรายังไม่ทันปิดเทอมแม่งเรียกเด็กมาถ่ายรูปล่ะ" ณัฐดนัยก็ยังเป็นณัฐดนัย เจ้าตัวสามารถพูดและเปลี่ยนเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปได้เรื่อยๆ แบบไม่มีหยุด
"เห็นบอกว่าพอปิดเทอม รุ่นพี่บางคนแม่งต้องไปค่ายหรือไม่ก็มีคนไปเวิร์ค เลยรีบๆ ถ่ายไปก่อนเลย" ม่านฟ้าคลายข้อสงสัยของเพื่อนก่อนจนถูกคำถามต่อไปยิงสวนมาอีก
"แล้วปิดเทอมนี้มึงไปไหนป่าว ต้องฝึกงานป่ะ ของกูก็ต้องไปฝึกงานเหมือนกัน แต่โคตรขี้เกียจ" ณัฐดนัยว่าแล้วเรียกม่านฟ้ามาช่วยยกลังที่เก็บของไว้จนเต็มไปไว้ที่หน้าห้อง
"ของกูไม่นะ กูยื่นฝึกไปตอนปีสี่เทอม 2 เลย กูอัดวิชาที่จำเป็นไว้แล้ว มีแต่ไอพีทอ่ะ ที่ต้องไปฝึกงาน"
"..."
"...อะไร" ม่านฟ้าถามกลับเมื่อโดนเพื่อนมองกลับมาด้วยสายตาเอือมระอาพร้อมเบะปากน้อยๆ
"ไม่ได้อยากรู้เรื่องแฟนมึง พูดเพื่อ" คนเตรียมย้ายออกทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงเมื่อมองซ้ายมองขวาก็เห็นว่าเก็บของทุกอย่างครบแล้ว
"อ้าว ก็เมื่อกี้มึงยังถามถึงผัวน้อยมึงอยู่เลย ทีแบบนี้ทำมาเป็นไม่อยากรู้" หนุ่มอักษรฯ ยักไหล่แล้วพูดขำๆ พิธานกับณัฐดนัยเป็นอีกคู่หนึ่งที่เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมากัน เจอหน้ากันทีไรต้องทะเลาะกันตลอดจนขนาดม่านฟ้ายังอดแซวไม่ได้
ทั้งๆ ที่อีกไม่นานก็จะดองกันอยู่แล้ว ยังจะกัดกันไม่เลิก
"โอ๊ยย รำคาญมึง" ณัฐดนัยบ่นขึ้นมาอีกหน่อยแล้วผลักหัวม่านฟ้าที่มานั่งอยู่บนพื้นเอาหลังพิงเตียงอยู่ข้างตัว "ว่าแต่เรื่องน้องมึง โอแล้วเหรอ"
"...อืม" ม่านฟ้าครางรับในลำคอเบาๆ ไหลตัวลงไปวางหัวกับที่นอนแล้วกล่าวต่อ "จบไปแบบงงๆ แต่ก็ดี"
"แต่น้องมึงนี่แม่งก็เก่งนะ หมอที่นี่คะแนนแม่งอย่างสูง น้องเพื่อนกู..."
เสียงของณัฐดนัยเริ่มเข้าสู่โสตประสาทของม่านฟ้าน้อยลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มเห็นพระอินทร์กวักมือเรียกอยู่ไกลๆ แต่ก็พยายามคิดตามในสิ่งที่เพื่อนพูด แล้วก็เห็นจะจริง
หมอกมันเป็นเด็กเก่งจริงๆ นั่นแหละ
'เรียนให้เก่งเข้าไว้หรือทำงานหาเงินให้ได้เยอะๆ ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วคนก็จะยอมรับได้เอง'
'พ่อแม่พร้อมจะมองข้ามเรื่องเพศไปเสมอตราบใดที่คุณประสบความสำเร็จ' ความคิดเห็นที่เคยอ่านจากกระทู้ในวันวานย้อนเข้ามาในหัวของเขา
ทุกคนก็คงคิดแบบนั้นสินะ
แล้วเขาล่ะ
'เพศที่สามเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้เหรอ ทำไมใครๆ ต้องบอกให้เก่งเหนือคนอื่น การเป็นเพศที่สามไม่ใช่ปมด้อยที่จำเป็นต้องเอาข้อดีด้านอื่นมาปกปิดไม่ใช่เหรอ' นั่นสิ ไม่ได้เหรอ เขาเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้จริงๆ เหรอ
----
วันหนึ่ง
พีท : ‘วันนี้กลับบ้านไหม’
‘ไม่อ่ะ ขี้เกียจ’ : เมฆ
พีท : ‘โอเค วันนี้กูกลับบ้านนะ เฮียเรียกตัวไปกินข้าวด้วย’
‘เค ขับรถดีๆ ’ : เมฆ
วันหนึ่ง
พีท : ‘กลับบ้านป่าว’
‘ม่าย’ : เมฆ
พีท : ‘เค’
พีท : ‘กูไม่อยู่หอนะ วันนี้กลับบ้าน ลืมชีทไว้’
‘อาห่ะ’ : เมฆ
วันหนึ่ง
พีท : ‘มึงอยู่ไหน’
‘หอ’ : เมฆ
พีท : ‘กลับบ้านป่ะ’
‘ไม่’ : เมฆ
‘มึงจะกลับบ้านอีกแล้วเหรอ’ : เมฆ
‘ทำไมช่วงนี้กลับบ้านบ่อยจัง’ : เมฆ
พีท : ‘อ๋อ’
พีท : ‘เปล่าๆ วันนี้จะไปทำงานคอนโดไอซัน คงไม่กลับหอ’
พีท : ‘ถามดู เผื่อมึงกลับ จะได้ไปส่ง’
‘อ๋อ ไม่เป็นไร’ : เมฆ
‘ไม่กลับๆ ’ : เมฆ
ม่านฟ้าวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกินข้าว เขากำลังทานข้าวอยู่ในโรงอาหารก็ถูกคนรักทักมาด้วย..เรื่องคล้ายๆ เดิม หลายวันแล้วที่พิธานทักมาด้วยประโยคคล้ายกัน แต่เนื้อความเดียวกันคือ ‘กลับบ้านไหม’ และทุกวันที่ทักมาก็ไม่ใช่วันศุกร์หรือวันที่ไม่มีเรียน แต่เป็นวันธรรมดาๆ เนี่ยแหละ
จะว่าแปลก แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน ก็แค่กลับบ้าน
ไม่ได้แอบไปมีกิ๊กซะหน่อย
ถึงการกลับบ้านของพิธานช่วงนี้จะทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เขาคิดถึงหรืออาวรณ์อะไรกันขนาดนั้น ปกติก็ไม่ได้ตัวติดกันมากอยู่แล้ว (ถึงช่วงที่ผ่านมาจะมากไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละ)
“ไอ้เมฆ ไงมึง”
เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้ม่านฟ้าเงยหน้ามอง เห็นรูมเมทของคนรักอย่างกรณ์เดินมากับเพื่อนสนิทอีกคนก็พยักหน้าทักทายตอบ สองหนุ่มที่มาใหม่เดินมานั่งตรงข้ามกับม่านฟ้าพร้อมจานข้าว การเจอคนรู้จักในโรงอาหารหอในไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอย่างไรก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ แต่ที่แปลกคือคำถามต่อมา
“ไม่ได้อยู่กับไอ้พีทเหรอ” ม่านฟ้าส่ายหน้าให้เล็กน้อยแล้วถามกลับไปแทน “นึกว่าไปทำงานด้วยกันหมด มันบอกไปทำงานหอซันนี่”
“...” สองคนมาใหม่เหลือบมองกันเล็กน้อยอย่างงุนงง แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ปฏิกิริยาของสองหนุ่มวิศวะตรงหน้าทำให้ม่านฟ้าเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรจนเมื่อประโยคต่อมาที่ทำเขาชะงักไปจริงๆ “ไอ้ซันมันลาทั้งอาทิตย์เพราะกลับบ้านต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอวะ”
อ้าว แล้วพีทไปไหน
คำถามจากสีหน้าของม่านฟ้าคงชัดเจนจนชายหนุ่มอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะเริ่มนั่งไม่ติด สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วก็ยิงคำถามกันทางสายตา ท่าทางเลิ่กลั่กเหมือนกลัวจะทำให้เพื่อนเดือดร้อนทำให้ม่านฟ้าถอนหายใจเบาๆ สองคนนี้คงไม่รู้เหมือนกันว่าพิธานไปไหน แต่เหมือนม่านฟ้าจะมีคำตอบที่ผุดขึ้นมาในใจ
กลับบ้านอีกแล้วเหรอ
แล้วทำไมต้องปิด หรือไม่อยากตอบคำถามที่เขาถามว่าทำไมถึงกลับบ้านบ่อย จริงๆ ถ้าพิธานจะกลับบ้านก็ไม่เห็นแปลก จะกลับไปโดยไม่บอกเขาก่อนเลยก็ได้ แต่นี่กลับถามเขาก่อนทุกครั้งว่าจะกลับบ้านไหม จนม่านฟ้าเหมือนจะเชื่อมโยงบางอย่างได้แต่ก็เหมือนจะไม่ได้
ช่างเถอะ
หนุ่มอักษรฯ คนเดียวในโต๊ะส่ายหน้าปัดความคิดออกไป ตัดสินใจว่าเจอหน้ากันค่อยถามก็ได้ ตลอดสี่ปีที่คบมาพิธานไม่เคยมีเรื่องให้เขาต้องกังวลอย่างการนอกใจ แม้แต่โกหกหรือปิดบังยังแทบจะไม่เคยด้วยซ้ำ หรือมี..แต่เขาไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีแล้วกัน
“เออ แล้วเรื่องฝึกงาน มึงรู้ไหมว่าไอ้พีทต้องไปฝึกที่ไหน บริษัทที่มันได้เขาชอบส่งไปไซต์ต่างจังหวัด รุ่นพี่ที่ได้ปีที่แล้วแม่งต้องไปถึงหาดใหญ่เลยนะเว้ย” ม่านฟ้าดึงความคิดตัวเองออกมาเมื่อเจอคำถามต่อมาจากเพื่อนคนรัก
นั่นสิ เขายังไม่ได้ถามเลยว่าพิธานจะต้องไปที่ไหน
.
.
"ระยอง"
พิธานตอบคนรักพร้อมเอาตัวโตๆ มาแปะติดไว้กับหลังของม่านฟ้าในอีกสองวันต่อมา ม่านฟ้าขยับหัวหลบอีกคนที่เริ่มทำตัวไม่มีกระดูกแทนเขาแล้วเอาคางมาเกยอยู่ที่บ่า พิธานที่ยื่นเรื่องขอฝึกงานไปกับบริษัทหนึ่งกำลังจะถูกส่งตัวไปฝึกงานที่ระยองเป็นเวลาเกือบสองเดือนในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนเข้าปีสี่
แท้จริงแล้วก็ใช่ว่าจะไปยาวไม่กลับตลอดสองเดือนหรอก แต่เพราะต้องทำงานหกวัน หยุดเพียงวันอาทิตย์วันเดียว พิธานจึงอาจจะกลับอาทิตย์เว้นอาทิตย์หรือแล้วแต่ความสะดวก โชคดีที่บริษัทมีบ้านพักสำหรับพนักงานอยู่ด้วย ไม่งั้นถ้าต้องจองโรงแรมหรือเทียวไปเทียวกลับคงแย่
“อย่าหงอยนะ คุณแฟนไม่อยู่เดี๋ยวทิ้งกางเกงในไว้ให้ดม”
‘คุณแฟน’ คนปากเสียที่ยังไม่ทิ้งลายเดิมโดนสบถด่าเข้าไปหนึ่งดอกจากคนรัก ม่านฟ้าส่ายหน้าระอากับคำพูดเพ้อเจ้อและความวอแวของเจ้าตัวที่ยังไม่เลิกนัวเนีย ไม่ได้คิดมากเท่าไหร่กับการที่ความรักของพวกเขาอาจจะต้องเป็นรักทางไกลกันสักพัก สำหรับคู่รักคู่อื่นอาจเป็นเรื่องใหญ่กับการต้องห่างกัน แต่พวกเขาเองก็ใช่ว่าจะตัวติดกันหรือหวานกันมากมายจนจะทนไม่ได้หากต้องจากกันสักระยะเช่นนี้
อืม ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะนะ
โอเค ยอมรับว่าแอบหงุดหงิดใจนิดหน่อย หงุดหงิดตัวเองที่เกิดความรู้สึกแปลกๆ นี่แหละ ม่านฟ้าไม่เคยคิดว่าการไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดของคนรักจะเป็นปัญหาหรอก แต่เพราะช่วงนี้พิธานมักทำตัวติดกับเขามากเกินไป เผลอก็จับ เผลอก็กอด แถมบางทียังมีจูบให้งงๆ เขินๆ กันไปอีก...จนเขาเริ่มชิน
เริ่มติด
ติดไปกับสัมผัสอุ่นๆ ของคนคนนี้ เสียงทุ้มที่ได้ยิน ร่างสูงที่มักเห็นอยู่ในสายตา พร้อมทั้งความรู้สึกดีๆ ที่มีใครคอยคุยเล่น ปรึกษา ปรับทุกข์ ไปจนถึงหยอกล้อเรื่อยเปื่อยอยู่เกือบทุกวัน
เกลียดการมาทำให้ติดแล้วก็ทิ้งแบบนี้จังว่ะ
“กูไม่อยู่ก็อย่าคิดมากล่ะ... อนุญาตให้คิดได้อย่างเดียวคือคิดถึงเค้า เข้าใจไหมตัวเอง”
ม่านฟ้าถอนหายใจใส่อีกคนแถมด้วยการมองบนไปอีกหนึ่งดอก อารมณ์หงุดหงิดใจหายไปเปลี่ยนเป็นเหนื่อยใจกับคนที่กอดอยู่ด้านหลังแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยแทน คำหยอดพวกนี้พวกเขาเคยมีกันที่ไหน ได้ยินทีไรขนลุกทุกที
“โอยๆๆ ล้อเล่นๆ แหม ก็อยากลองหยอดบ้าง เห็นคู่อื่นเขาก็หยอดกัน กะงุกะงิ” พิธานรีบรั้งเอวม่านฟ้าไว้เมื่อเห็นคนรักทำท่าจะขยับออกจากวงแขนจึงดึงมานั่งตรงหว่างขาเสียเลย คนถูกหยอดเหลือบตามองคนรักที่พูดภาษาแปลกๆ ออกมาแล้วส่ายหัว ยื่นมือออกไปอังหน้าผากคนรักให้มั่นใจว่าไม่ได้ป่วยจนเพี้ยนก่อนพยักหน้าตอบรับแกนๆ กลับไป “โอเคๆ เมฆจะคิดถึงพีทนะครับ”
ม่านฟ้าเผลอยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นอีกคนมีเลือดฝาดขึ้นที่ข้างแก้มอย่างคนเขิน สายตาคนตัวโตเบนออกไปทางอื่นแล้วพึมพำออกมาเบาๆ “เห้ยย อย่าแทนตัวเองด้วยชื่องี้ดิ มันดาเมจจ”
คนสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นเหมือนยังไม่สาแก่ใจหันกลับไปจูบเบาๆ ที่ปลายคางแล้วพลิกตัวมาซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง คนตัวโตที่โดนดาเมจซ้ำๆ กอดคนรักไว้นิ่งเหมือนรอเวลาให้เลือดเต็มหลอดก่อนก้มลงสูดกลิ่นที่คุ้นเคยเข้าไปอีกครั้ง “กูรู้สึกเหมือนช่วงนี้กูติดมึงมากยังไงไม่รู้ ไอพวกเพื่อนแม่งก็บอกงั้น”
“อืม..” คนตัวเล็กกว่ายังซุกหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม ไม่อยากบอกว่าเขาเองก็กำลังพยายามเก็บเกี่ยวความอบอุ่นของคนตรงหน้าไว้เหมือนกัน ทั้งเขินทั้งคันหัวใจแปลกๆ กับอาการราวกับข้าวใหม่ปลามันเช่นนี้ทั้งที่ก็คบกันมาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกอีกคนจี้ให้ตอบจนได้
“อืมอะไร”
“อืม…” ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเขาหมายความว่าอะไร ก็ยังจะเร่งให้เขาพูดมันออกมา “เหมือนกัน”
เมื่อได้คำตอบที่ถูกใจ พิธานก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบางๆ “แต่จะไปก็ยังอดห่วงมึงไม่ได้อยู่ดี” เขาขยับตัวม่านฟ้าออกมาเพื่อสบตากันตรงๆ เสยผมที่ปรกหน้าลงมาให้คนรักก่อนประคองแก้มอีกฝ่ายไว้ด้วยมือข้างเดียว “เมฆ”
“...” ม่านฟ้าได้แต่นิ่งรอฟังคำพูดของอีกคนที่เปลี่ยนท่าทางเป็นจริงจังมากขึ้น
“อย่าเพิ่งบอกอะไรกับพ่อทั้งนั้นตอนที่กูไม่อยู่ ไม่รู้ว่าพ่อจะโมโหขึ้นมาอีกไหม แต่ให้กูอยู่ใกล้ๆ มึงก่อน ไม่เอาตอนที่กูอยู่ไกลแบบนี้ รู้มั้ย” พิธานมองคนรักที่มองมาครู่หนึ่งก่อนหลุบตาหนีลงไป แล้วฝืนตัวเองเอนมาซบบ่าของเขาอีกครั้งอย่างเนียนๆ
“อย่าเงียบ รับปากกูมาก่อน เร็ว” ว่าที่นิสิตฝึกงานเขย่าตัวคนรักเบาๆ เป็นการเร่ง
"กูว่ากูลองคุยเองได้" ม่านฟ้าไม่ได้คิดจะจูงมือพิธานเข้าบ้านแล้วเดินไปสารภาพกับพ่ออย่าง 'พ่อครับ นี่แฟนผม' ให้ช็อกตาตั้งแบบนั้น ขืนทำเช่นนั้นจริงพิธานคงไม่พ้นโดนตะเพิดแถมโดนพ่อเกลียดขี้หน้าไปด้วยแน่นอน
"ไม่ดิ ไม่เกี่ยวกับให้กูไปด้วยไหม แต่หมายถึงให้กูสแตนด์บายอยู่ใกล้ๆ ก่อน ไม่ใช่เกิดเรื่องอะไรแล้วกูอยู่ถึงระยองโน่น" พิธานก็รู้ว่าม่านฟ้าคงไม่ยอมให้เขาเข้าไปคุยกับพ่อด้วย แต่ขออยู่ใกล้ไว้ก่อนอุ่นใจกว่า
"..." ม่านฟ้านิ่งเงียบเหมือนคนหลับอยู่ในอ้อมแขน
"มึงอยากให้กูขับรถเร็วๆ กลับมาหามึงเหรอ" แต่พิธานรู้ เจ้าตัวไม่ได้หลับหรอก
"..." พิธานชอบเรียกอาการนี้ว่าดื้อเงียบ แต่แท้จริงแล้วม่านฟ้ากำลังใช้ความคิดต่างหาก
"แล้วไม่ใช่คิดว่า แค่ยังไม่ต้องบอก แก้ปัญหาอะไรไปเอง รอกูกลับมาแล้วค่อยบอกนะ กูมารู้เรื่องอะไรทีหลังกูโกรธจริงๆ นะเมฆ" เมื่อซบก็แล้วนิ่งก็แล้วก็ยังไม่ได้ผล ม่านฟ้าก็เริ่มออกอาการเบะปากเล็กน้อย..แต่ไม่พ้นสายตาของคนตัวโต "เบะปากทำไม คิดจะทำใช่ไหม"
"..."
"..."
"พีท" หลังจากเงียบให้โดนบ่นมานาน ม่านฟ้าก็เริ่มออกปากบ้าง
"กูให้มึงเก็บเป็นความลับมาตลอด ทำให้มึงต้องอึดอัด แล้วพอถึงคราวที่จะบอกความจริง ก็ยังจะให้กูทำตัวเป็นภาระมึงอีกเหรอ" พอสิ้นคำของม่านฟ้าเสียงถอนหายใจแรงๆ ก็ดังมาจากอีกคน ก่อนจะถูกดันลงมานั่งข้างกัน ระดับความจริงจังเพิ่มขึ้นห้าระดับทันที
"นี่คิดแบบนี้เหรอ"
"ตอนนั้นที่มึงพากูไปหาป๊าม้าครั้งแรก" ม่านฟ้าไม่ได้ตอบคำถามของคนรักแต่เริ่มพูดในสิ่งที่คิดออกมา "เพราะมึงบอกท่านไว้แล้ว มึงจัดการความรู้สึกของคนในบ้านไว้หมดแล้ว ตอนกูไปครั้งนั้นมันเลย...ดีมาก ทั้งที่กูกลัวแทบตาย แต่ป๊าม้าเขาต้อนรับกูดีมากๆ เลย"
"กูก็แค่อยากทำให้ได้แบบนั้นบ้าง" ยิ่งพูดเสียงของม่านฟ้ายิ่งเบาลงเรื่อยๆ ใบหน้าก้มต่ำจนพิธานจับได้เพียงเสียงที่สั่นเล็กน้อย "แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง"
"...อืม"
เพียงได้ยินคำตอบรับสั้นๆ ของพิธาน คนตัวเล็กกว่าก็เหลือบตาขึ้นมองอีกคน สายตาของม่านฟ้าแดงก่ำซึ่งก็แทบไม่ต่างจากคนที่ส่งเสียงดุออกมาตอนนี้ ม่านฟ้าหดคอลงไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรู้ว่าตาแดงๆ ของพิธานก็เกิดขึ้นจากอารมณ์อ่อนไหวเช่นกัน
"..."
"มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม" ม่านฟ้าเม้มปากอยากจะบอกว่าไม่ แต่ปากก็หลุดพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกไปก่อน
"เมื่อไหร่เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างแฮปปี้เอนดิ้งเสียทีว่ะ"
หน้าตาหงอยๆ ของคนรักทำให้พิธานหลุดยิ้มออกมาอย่างอาดูร ก้มหน้าลงไปชนหน้าผากกับคนรัก "นั่นสินะ"
มือหนาของพิธานเอื้อมลงจับมือเรียวของอีกคนไว้ เขาไล่นิ้วโป้งกับหลังมือเนียนช้าๆ อย่างใช้ความคิด...และกำลังเรียบเรียงความรู้สึกของตัวเอง
"แล้วมึงรู้ไหม กูรู้สึกยังไง"
"..."
"หรือมึงคิดว่ากูควรรู้สึกยังไง” พิธานหายใจเข้าลึกจนรู้สึกได้ถึงไหล่ที่กระเพื่อมขึ้นลง “คนที่ยอมรับเงื่อนไขของมึงตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายก็ดิ้นรนจะทำลายเงื่อนไขนั้น ผลักให้มึงออกไปสู้กับพ่อของมึง เหมือนบังคับให้มึงออกไปสู้สิ ออกไปสู้เพื่อกู กูจะได้หายอึดอัด มึงคิดว่ากูต้องรู้สึกยังไง”
เสียงที่เริ่มสั่นของพิธานทำให้ม่านฟ้ากำมือของคนรักแน่นขึ้น “ถึงวันนั้นจะไม่ใช่เพราะพ่อรู้เรื่องของเรา แต่วันที่พ่อเข้าใจผิดแล้วมึงหนีออกจากบ้าน กูที่ต้องเห็นมึงร้องไห้อยู่กับอกกูเนี่ย ต้องเห็นตัวมึงเขียวมึงช้ำไปหมดเพราะโดนพ่อตี มึงคิดว่ากูต้องรู้สึกยังไงเมฆ”
ม่านฟ้านิ่งงันอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นน้ำตาของคนรักร่วงลงมาบนตัก พิธานไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เจ้าตัวเพียงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเหมือนคนที่อัดอั้นกับความรู้สึก
“กูอยากจะบอกให้มึงพอ พอแล้ว ไม่ต้องบอกแล้ว เราอยู่กันอย่างงี้ก็ได้...แต่กูก็ยังเห็นแก่ตัว”
“กูดิ้นรน กูอยากทำอะไรได้บ้าง กูอยากจะเดินไปให้พ่อมึงต่อย พ่อมึงตบ ถ้าเรื่องมันจะจบลงได้อย่างงั้น แต่กูก็รู้ว่ามันไม่ใช่...กูถึงทำได้แค่อดทน” ม่านฟ้าพยายามปาดน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้มของคนรัก ปวดหนึบที่หัวใจเมื่อสบกับสายตาที่อัดอั้นและเจ็บปวดของคนรัก เข้าใจความรู้สึกของพิธานที่ต้องเห็นเขาร้องไห้ซ้ำๆ ก็เมื่อต้องมาเห็นน้ำตาของคนรักเช่นนี้
“เพราะงั้นแค่ให้กูได้อยู่ข้างๆ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กูจะทำให้มึงได้...มึงให้กูเถอะนะ”
เป็นม่านฟ้าที่สะอื้นขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว เขาพยักหน้าให้คนรักซ้ำๆ เหมือนยิ่งย้ำให้คนรักเชื่อ “ได้ๆ กูสัญญา กูจะบอกมึง กูจะรอมึงกลับมานะ ไม่ร้องแล้วนะพีท กูขอโทษ”
พิธานหายใจเข้าลึกอีกหน หลับตาลงครู่หนึ่งอย่างปรับอารมณ์ตัวเอง กุมมือของม่านฟ้าเอาไว้ก่อนดึงขึ้นมาจูบเบาๆ “มึงจะขอโทษทำไม กูไม่ได้โทษมึงเลย มึงก็อย่าร้องนะ ขี้แยที่สุด แฟนกูเนี่ย”
ม่านฟ้าพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี ขยับเข้าไปกอดพิธานเอาไว้แล้วลูบหลังอีกคนเหมือนปลอบเด็กร้องไห้ให้หยุดร้อง จนพิธานเผลอยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“แทนที่มึงจะส่งกูไปฝึกงานอย่างหวานๆ ทำไมมันถึงเต็มไปด้วยน้ำตาแบบนี้กันเนี่ย”
TBC
Achaya (Writer) :
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันและคอมเมนต์นะคะ