MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.12 : Your Story
“เคยมีคนด่ากูว่าติดแฟนจนโอเวอร์แล้วใครกันวะที่ต้องกลับมาก่อนกำหนดเพราะคิดถึงเด็ก”
“มึงก็มั่วรามิลกูกลับมาเคลียร์งานเฉยๆ เว้ย”
“มึงจะอ้างอะไรกับใครก็ได้แต่ไม่ใช่กับกู รามิลที่ตัวติดกับมึงมาตั้งแต่สามขวบ”
“กลับไปหาเมียได้แล้วมึงอ่ะ”
“ปลุกกูแต่เช้าให้ให้มารับที่สนามบินแล้วยังมีหน้ามาไล่กูอีกแล้วยังไงน้องคีตารู้ยังว่ามึงกลับมาหาเขาแล้ว”
“กูบอกว่ากูกลับมาเคลียร์งาน”
“เบนจามิน”
“เออๆ กูไม่เคยโกหกมึงได้เลยว่ะไอ้หัวหน้าแกงค์”
รามิลได้แต่หัวเราะแน่ล่ะเขากับเบนจามินตัวติดกันยังกะฝาแฝด เจอกันตั้งแต่ใส่ชุดเอี๊ยมแดงวิ่งเล่นไล่จับ พอโตมาก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันจบมหา’ลัยเห็นหน้ามันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง จะว่าไปรามิลก็แปลกใจอยู่เหมือนกันที่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรักตั้งแต่ตีห้าบอกว่ามารับที่สนามบินด้วย
ตอนแรก งง ฉิบหายมันเพิ่งจะไปเองไม่ใช่เหรอวะ ทุกทีเวลามันกลับไปฮ่องกงนี่ไปอยู่เป็นอาทิตย์ เรียกว่าลาพักร้อนเพราะคุณชายเบนกินหรูอยู่สบายมากญาติฝั่งนั้นก็รักมันจะตาย นี่ก็นึกว่าจะกลับมาเคลียร์งานที่ค้างไว้ก็มันบอกให้เขามาส่งที่ KTD ไม่ใช่ที่คอนโด รามิลยังคิดเลยเดี๋ยวนี้ขยันผิดปกติมาก ขนาดมาร์ชมันยังไม่รู้เลยว่าเจ้านายมันกลับมาก่อนกำหนดเห็นวิ่งหน้าตั้งตอนที่เบนโทรมาหา แต่ทันทีที่เจอหน้ามาร์ชรามิลก็เข้าใจแล้วว่าทำไม
“คุณคีตาอยู่ที่ห้องทำงานของคุณสองครับตอนนี้”
อ้อ..งานไม่ยุ่ง
แต่ความคิดถึงมันห้ามไม่ไหวจริงๆ รามิลเข้าใจ
“เบน กูถามจริงๆ นะตอนนี้มึงกับคีตานี่ยังไงวะ”
“ก็ไม่ยังไง”
“อยู่ด้วยกันแต่ไม่มีสถานะมันฮิตนะแต่ไม่เท่”
“กูรู้”
“แค่มึงบินกลับมาจากฮ่องกงก่อนกำหนดกูก็ว่าหนักอยู่ เด็กอ้อนเหรอขนาดไหนวะทำให้พี่เบนบินกลับมาหาได้”
“หนักอะไรของมึงกูไม่ได้เป็นถึงขนาด..”
เสียงตึงตังหน้าห้องทำงานทำให้ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมามองและแน่นอนว่าเป็นคนที่เขาสองคนกำลังพูดถึง คีตาเปิดประตูห้องทำงานแล้วหยุดอยู่หน้าห้อง เบนจามินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานมองคนที่ยืนหอบหายใจเหมือนวิ่งมาจากที่ไหนสักแห่ง เบนเลยลุกขึ้นแล้วเดินมาพิงโต๊ะทำงานรอให้คนที่หอบหายใจได้พักหายเหนื่อย
“วิ่งมาจากไหน”
“กลับมาแล้ว”
“........................................................”
“พี่เบนกลับมาแล้วจริงๆ ด้วย”เบนเงียบลงเมื่อนักแต่งเพลงเดินเข้ามาหาแล้วยิ้มให้จนลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลงไป รามิลได้แต่ยืนกอดอกมองภาพคนสองคนที่เอาแต่ยืนยิ้มให้กันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าไอ้เบนลืมไปแล้วหรือเปล่าว่ามีเขาอยู่ในห้องด้วยถึงได้ยกมือลูบแก้มป่องๆ นั่นอย่างเพลินมือ แถมคีตาก็ยังยืนนิ่งให้ไอ้เบนทั้งจับทั้งหยิกถ้าเขาไม่แกล้งส่งเสียงสงสัยคงได้ไร้ตัวตนสำหรับสองคนนั้นจริงๆ
“ขอบใจเว้ยรามิลที่มารับกู”
รามิลเดินเข้ามาหาตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ สองสามที
ก่อนจะโน้มตัวมากระซิบ
“มึงเป็นหนักกว่าที่กูคิดอีกว่ะเบน”
MUSIC BOX
“เบนกลับมาแล้วเหรอคีย์”
“กลับมาแล้วครับ”
“คีย์ก็ไม่หงอยแล้วสินะ”
“ผมไม่ได้หงอยสักหน่อยพี่สอง”
“เบนไปแค่สามวันเรานี่เหี่ยวเป็นต้นไม้ไม่ได้รดน้ำเลย”
สองยกมือเอาเนื้อเพลงตีลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลนั่นเบาๆ เดี๋ยวนี้เขาเริ่มสนิทกับคีตา นันทสกุลแบบเล่นหยอกล้อต่อเถียงได้แล้ว เอาเข้าจริงคีตาก็ไม่ได้เก็บตัวหรือหยิ่งแบบที่เขาลือกัน อาจจะมีบ้างที่เงียบๆ หรือทำหน้านิ่งๆ ไม่ยอมยิ้ม พอสนิทก็คุยเล่นกันได้เหมือนรุ่นน้องทั่วๆ ไปแต่สองเองก็รู้ว่าคีตายังมีบางอย่างในใจที่เป็นอุปสรรคในการแต่งเพลง
ถึงแม้ในตอนนี้คีตาจะแต่งเพลงรักได้บ้างแล้วแต่พอเขาลองให้ปรับเปลี่ยนอะไร คีตามักจะถามว่า
“มันจะเป็นแบบนี้เหรอครับผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่”เหมือนกับว่าไม่เชื่อเรื่องความรักที่สมหวังอะไรแบบนี้เลยสักนิด สองเองก็ได้แต่อธิบายคร่าวๆ ว่าความรักของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันแต่ก็ไม่รู้ว่าคีตาจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน
“กลับบ้านกลับช่องได้แล้วนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ ห้ามทำงานข้ามวันข้ามคืน”
“บอสไล่แล้วว่ะเก็บกระเป๋ากลับบ้านแล้วนะ”
สองก็เพิ่งรู้ว่าเวลามันล่วงเลยมาเกือบสองทุ่ม ปกติเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องเวลาเท่าไหร่เพราะอาชีพเขาทำงานไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว แต่สงสัยทายาทKTDจะคิดถึงนักแต่งเพลงมากถึงได้มาตามด้วยตัวเองแบบนี้ สองหันไปมองทั้งคู่ที่นั่งคุยกันอยู่ เบนนั่งลงบนที่วางแขนโซฟาแล้วคีตาก็ยื่นโน๊ตเพลงให้เบนอ่าน แต่นั่นแหละเบนจามินไม่เข้าใจเรื่องแต่งเพลงเท่าไหร่เลยพยักหน้าไปแต่คิ้วก็ขมวดไป สงสัยจะ งง อยู่เหมือนกัน
“ผมควรแก้ตรงไหนอีกไหม”
“ตรงไหนล่ะ”
“คุณเบนไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลย”
“ฟังโว้ยแต่มันไม่เข้าใจพูดภาษาคนสิ”
“พี่สองยังเข้าใจเลย”
“คีตากวนตีนเหรอเดี๋ยวเจอภาษาเศรษฐศาสตร์บ้างจะพูดไม่ออก”
ถึงจะเถียงกันแทบทุกประโยคแต่เบนจามินก็รั้งให้คีตาเอนตัวเข้ามาหา มือก็เล่นผมคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ไปด้วย สองก็ไม่รู้หรอกนะว่าระดับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตอนนี้มันอยู่ในระดับไหน แต่คิดว่าก็น่าจะสนิทมากกว่าเขาที่เป็นแค่โปรดิวเซอร์ที่เจอกันเฉพาะเวลาทำงาน
“เบน พี่ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”
“งานเหรอพี่? ”
“อืม งานของเรา”
ท่าทางของพี่สองดูจริงจังจนเบนต้องบอกให้คีตาไปรอที่ห้องทำงาน ทันทีที่นักแต่งเพลงปิดประตูไปแล้วสองก็เดินไปหยิบกระป๋องเบียร์ที่แช่ไว้พร้อมกับยื่นให้เบนที่รับมา งงๆ ก่อนจะเดินตามโปรดิวเซอร์ไปที่ระเบียง วิวจากชั้นยี่สิบก็สวยดีแสงไฟจากตึกระยิบระยับจนเบนเองก็ยิ้มออกมาไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน
“งานมีปัญหาเหรอครับพี่”
“เรารู้เรื่องคีตาบ้างหรือเปล่าเบน”
“เรื่องอะไรครับ”
“ครอบครัว เพื่อน ความรัก”
“รู้แค่ว่าแม่เลิกกับพ่อแล้วแม่มีครอบครัวใหม่คีตาอยู่กับพ่อผมรู้แค่นั้น”
“ออกข่าวด้วยนิคุณเพลงกับคุณอคิราห์พี่ยังเคยดูข่าวเลย เมื่อก่อนเป็นคู่ที่ดังมากนะมือกีตาร์กับครูสอนร้องเพลง”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคีย์เหรอครับ”
“เบนรู้อะไรไหมยังไม่มีเพลงไหนที่คีย์แต่งเสร็จ เหมือนไม่มั่นใจแก้แล้วก็แก้อีกทั้งๆ ที่คีย์แต่งออกมาเป็นสิบๆ เพลงแล้วแต่พอให้เลือกเพลงที่ต้องใช้กลับไม่เลือกบอกว่ายังไม่พอใจ”
“..............................................................................”
สองเคยได้อ่านเนื้อเพลงที่คีตาแต่งมาบ้างมันก็หวานเหมือนเพลงรักที่เขาเองเคยแต่ง เขายังแซวอยู่เลยว่าหวานหยดย้อย แต่วันต่อมาเนื้อเพลงก็ถูกแก้อีก แก้เป็นสิบๆ รอบเหมือนคีตาไม่มั่นใจกับเพลงที่แต่งออกมา จนเขาเองก็เริ่มจะกังวลขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
“โปรเจคสิบเพลงรักนี่เหลือเวลาอีกกี่เดือนนะ”
“อีกสามเดือนกว่าๆ ครับ เจ้เบอร์ดี้อยากให้เปิดตัวโปรเจคให้ตรงกับช่วงวันวาเลนไทน์พอดี”
สองยื่นกระป๋องเบียร์มาชนกับเบน
ก่อนยกขึ้นมาดื่ม
“เคยได้ยินเนื้อเพลงใช่ไหมที่บอกว่า เพลงรักถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้”
“เคยครับ”
สองหันมายิ้มให้กับทายาทKTD ที่เขาเองก็รู้จักมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานที่นี่ จะว่าไปเบนจามินก็โตขึ้นเยอะเหมือนกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มีทางมายืนคุยอะไรกับแบบนี้กับเบนแน่ๆ เมื่อก่อนเบนจามินเอาแต่เล่นไม่เคยจริงจังกับงานสักอย่างแต่ตอนนี้ผู้ชายหน้าตี๋สูงร้อยแปดสิบกว่าๆ เปลี่ยนไปจนทุกคนในKTDยังแปลกใจกับเบนจามินเวอร์ชั่นนี้ แต่มันถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี สองวางมือลงบนไหล่หนานั่นแล้วตบเบาๆ
“ช่วยเขาหน่อยนะทำให้เขารู้ทีว่าโลกนี้ยังมีความรักดีๆ รอให้เขาได้เจออยู่”MUSIC BOX
เวลาสี่ทุ่มครึ่งกับคนที่อยากว่ายน้ำ
คีตานั่งดีดกีตาร์มองคุณเบนจามินที่ถอดเสื้อว่ายน้ำไปมารอบที่สิบ สระน้ำคอนโดไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากคุณเบนว่ายสองทีก็ถึงอีกฝั่ง นี่ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้ชวนเขามาเล่นน้ำในเวลานี้ ตอนแรกเกือบโดนจับลงสระแต่เขาบอกก่อนว่าไม่อยากเปียกถึงได้ปล่อยให้เขานั่งเล่นกีตาร์อยู่ตรงนี้
ดีเหมือนกัน
วันนี้ยังแต่งเพลงไม่ได้เลยสักนิดหัวสมองมันว่างเปล่าไปหมด
“ลงมาไหม”
“ไม่เอา”
“มานั่งใกล้ๆ หน่อยมาดีดกีตาร์ตรงนี้”
“มันเปียก”
“นับหนึ่งถึงสามถ้าไม่มาจะขึ้นไปอุ้มเลยนะ หนึ่ง สอง”
พอได้ยินเสียงนับเลขคีตาเลยวางกีตาร์แล้วมานั่งห้อยขาจุ่มน้ำเบนเลยว่ายเข้ามาหา ท่าทางวันนี้นักแต่งเพลงจะเจอเรื่องเครียดเพราะเห็นทำหน้ายุ่งแล้วก็ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
“เครียดเหรอไง”
“นิดหน่อยครับ”
“สิบเพลงรักนี่ไปถึงไหนแล้ว รายงานให้บอสฟังซิเจ้าหนู”
“...................................................”
“เงียบอีก”
“คุณเบน”
“ฟังอยู่”
“ผมแต่งเพลงรักไม่ได้”“...................................................”
“เคยคิดว่าแต่งได้แต่มันไม่ใช่ เพลงที่แต่งแล้วมันก็ไม่ใช่มันไม่ใช่เพลงที่คีตา นันทสกุลยากแต่งมันฝืนจนไม่อยากแต่งแล้ว”“...................................................”
“โกรธหรือเปล่าครับ”
“เป่ายิ้งฉุบกัน”
“ครับ?”
“เป่ายิ้งฉุบที่ต้องออกค้อน กระดาษ กรรไกร”
“รู้..แต่ไม่อยากเล่นตอนนี้”
“ถ้าแพ้นี่ต้องทำตามคำสั่ง”
“ฟังกันบ้างไหมเนี่ย”
“เป่ายิ้งฉุบเร็ว หนึ่ง สอง สาม”
คีตาออกค้อนอย่าง งง ๆ เมื่ออีกฝ่ายอยู่ดีๆ ก็บอกว่าจะเล่นไม่รู้เหมือนกันว่าคุณเบนคิดอะไรอยู่แต่ก็นะแพ้จนได้เมื่ออีกฝ่ายออกกระดาษเบนกำมือคนที่ออกค้อนไว้ก่อนจะกระเถิบตัวเข้ามาหา คีตายกมืออีกข้างขึ้นมาวางบนไหล่หนานั่นเมื่อเห็นว่าคุณเบนแทรกตัวมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างขา
“เราแพ้นะทำตามคำสั่งด้วย”
“คุณเบนขี้โกงผมไม่ทันได้ตั้งตัวเลย”
“เป่ายิ้งฉุบเขาใช้ดวงจะต้องมาตั้งตัวอะไรกัน”
“จะสั่งให้ทำอะไรบอกมา”
เบนยกมือขึ้นมาวางระหว่างตัวคีตาก่อนจะเปลี่ยนมากอดเอวไว้หลวมๆ
คีตาเลยก้มลงมาหาเพราะนึกว่าจะโดนสั่งให้ทำอะไรแปลกๆ
“ความรักที่คีตาเจอมามันเป็นแบบไหนเหรอครับ เล่าให้พี่เบนฟังได้ไหม”“...................................................”
ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทมีเพียงสองคนที่มองตากันอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มของคีตาค่อยๆ หายไปแต่เบนกลับไม่ยอมปล่อยให้คีตาลุกหนีไปไหน เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้นจนเบนเองเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้มือใหญ่ค่อยๆ ละจากเอวคนที่นั่งอยู่ตั้งใจจะไปว่ายน้ำให้หัวสมองโล่งแต่ไหล่กลับโดนสองแขนรั้งไว้ให้กลับมายืนตามเดิม
“ผมเคยคิดว่าผมมีครอบครัวที่ดีมากๆ พ่อที่เล่นกีตาร์เก่งแม่ที่ร้องเพลงเพราะ ผมเติบโตมาพร้อมกับเสียงเพลงพ่อกับแม่ช่วยสอนผมเล่นเครื่องดนตรี เราสามคนร้องเพลงเล่นดนตรีด้วยกัน”
“...................................................”
“และมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอด ผมใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกวันตื่นเช้าไปเรียน กลับบ้านเจอแม่ทำอาหารเย็น พ่อเล่นกีตาร์ร้องเพลงรอก่อนเราจะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ผมไม่รู้อะไรเลยว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่..”
“...................................................”
“วันเกิดผม แม่จะให้กล่องดนตรีเป็นของขวัญทุกปีเพราะแม่บอกเองว่าผมเหมือนเจ้าสิ่งนั้น เสียงดนตรีจากผมจะทำให้คนที่ฟังมีความสุขเหมือนที่พ่อกับแม่ได้ฟัง”
“...................................................”
“วันนั้นเป็นวันเกิด ผมแค่อยากกลับบ้านเร็วเพราะอยากรู้ว่าแม่จะให้กล่องดนตรีแบบไหนกับผม แต่สิ่งที่ผมเจอ..”
คีตาค่อยๆ ก้าวทีละก้าวเพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะได้ยินเสียงว่าเขากลับมาก่อนเวลาเลิกเรียน คีตาเห็นพ่อกับแม่อยู่ตรงห้องนั่งเล่นตั้งใจจะเข้าไปโผล่ให้แม่ตกใจเล่นแต่เสียงของพ่อที่ตะโกนขึ้นมาทำให้คีตาต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่
“ผมไม่อยากให้คีย์เสียใจ เพลงก็รู้ว่าคีย์รักเพลงมากแค่ไหน ถ้าเขารู้ว่าจริงๆ แล้วเราเซ็นใบหย่ากันมาเกือบปีคีย์จะรู้สึกยังไง”
“อาร์…เราจะปิดบังลูกไปถึงเมื่อไหร่เราต้องแกล้งทำเป็นรักกันไปจนถึงเมื่อไหร่ คุณก็รู้ว่าฉัน..”
“ผมรู้ว่าคุณต้องไปหาเขาๆ รอคุณอยู่แต่เพลงคีตาคือลูกของเรา คุณอยากให้คีตารู้เหรอว่าทุกวันนี้เราแกล้งทำเป็นรักกัน ไอ้ครอบครัวสุขสันต์มันไม่มีตั้งนานแล้ว”
“ที่ฉันยังอยู่ที่นี่ก็เพราะคีตารู้ไว้ด้วยนะคุณ! ถ้าไม่มีคีตาฉันไปตั้งนานแล้วฉันไม่อยากอยู่ที่นี่กับคุณอีกแล้ว!”
คีตาโตพอจนรู้ว่าเรื่องที่พ่อกับแม่คุยกันคือเรื่องอะไร ทุกคำพูดมันฝังลงในใจ ทั้งๆ ที่อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้แต่คีตากลับก้าวขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ภาพที่แม่ร้องไห้จนแทบขาดใจเพราะไม่อยากอยู่ที่นี่เป็นภาพที่คีตายังจำได้ไม่เคยลืม คีตาไม่ได้วิ่งหนีไม่ได้โวยวายเหมือนเด็กไม่รู้จักโตเขาแค่ยืนปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ จนพ่อกับแม่หันมาเจอ
แม่เพลงร้องไห้แล้วกอดคีตาไว้แน่นแต่คีตาก็ทำได้แค่ยืนนิ่งเหมือนคนไร้ความรู้สึก จนพ่อเป็นฝ่ายเข้ามาหาแล้วพาเขาขึ้นไปรอข้างบนห้องนอน ตอนนั้นจำได้ว่าร้องไห้จนหลับเป็นวันเกิดที่เขาเองจำได้ไม่ลืม ไม่มีเค้กก้อนโต ไม่มีเพลง Happy Birthday สุดท้ายพ่อก็เป็นฝ่ายเล่าทุกอย่างให้ฟัง คีตาจำสัมผัสครั้งสุดท้ายจากแม่ได้จากวันนั้นเพราะแม่ทิ้งไว้แค่กล่องดนตรีรูปกีตาร์ที่เป็นของขวัญวันเกิด
และมันก็เป็นกล่องดนตรีอันสุดท้าย
ที่เขาได้จากแม่“พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันมานานแล้วครับ ทั้งสองคนตัดสินใจจะหย่ากันมานานแล้วแต่ที่ยังอยู่ด้วยกันก็เพราะผม มันจะต้องแย่มากแน่ๆ ถ้าไม่ได้รักกันแล้วแต่ต้องทนอยู่ด้วยกันทุกวัน ”
“...................................................”
“เพราะผมคนเดียวถ้าไม่ใช่เพราะผม แม่ก็มีความสุขไปตั้งนานแล้วไม่ต้องมาทนอยู่ หลังจากนั้นทุกอย่างเหมือนหายวับไปกับตาเลย ไม่มีคำว่าครอบครัวไม่มีเสียงดนตรีไม่มีเสียงร้องเพลงจากแม่ไม่มีพ่อที่เล่นกีตาร์รอแม่ทำกับข้าว มีแค่ผมกับเสียงเพลงจากกล่องดนตรีอันสุดท้ายที่แม่ทิ้งไว้ให้”
“คีตา”
“คำว่า ทนอยู่ แกล้งทำเป็นรักกัน ไม่อยากอยู่ที่นี่มันอยู่ในใจผมมาตลอด ใครๆก็บอกว่าพ่อกับแม่เลิกกันตอนโตลูกอย่างผมเลยไม่มีปัญหา แต่เพราะว่าโตแล้วผมถึงจำความรู้สึกจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ยอมลืมมันสักที”
“...................................................”
“ความรักที่ผมเจอมันเจ็บปวดจนผมไม่อยากรู้จักกับใคร ไม่อยากสนิทกับคนอื่น กลัวว่าสักวันเขามาต้องมาทนอยู่เพราะผม ผมเลยเลือกที่จะอยู่คนเดียว”
เบนจามินรู้ว่าเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องอ่อนไหวและมันก็เป็นเรื่องที่ใครไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ คีตาฝังใจมาตลอดว่าพ่อกับแม่ต้องทำเป็นรักกันเพราะตัวเอง คีตาไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นเพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ เบนเลยเอื้อมมือไปปาดมันออกเบาๆ ก่อนจะอุ้มคีตาให้ลงมาในน้ำเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเครียดไปมากกว่านี้
“ปลอบใจคนไม่เก่งแต่ขอพูดอะไรหน่อย”
เบนอุ้มคีตาไว้ทั้งตัวให้ลงมาในน้ำด้วยกันจนนักแต่งเพลงต้องกอดคอคนที่อุ้มอยู่ไว้แน่น
สัมผัสแนบชิดทำให้คีตาต้องมองหน้ากันตรงๆ
“ผมรู้ว่าที่คุณเจอมันหนักแต่คุณรู้ใช่ไหมถ้าคุณยังติดอยู่กับมันๆ จะทำให้คุณไม่มีความสุข อย่าเอาเรื่องนี้มาคิดว่าความรักมันจะแย่ไปหมด”
“...................................................”
“บนโลกนี้ยังมีความรักอีกหลายแบบที่คุณจะต้องเจอ มันก็อาจจะดีบ้างแย่บ้างแค่เราต้องเรียนรู้ และอีกอย่างทุกคนมีเหตผลของตัวเองทั้งนั้นตอนนั้นพ่อกับแม่เราเขาก็มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้นเหมือนกัน”
“ผมไม่ได้เจอแม่อีกเพราะแม่ย้ายมาอยู่กรุงเทพ แม่เคยโทรมาหาแต่ผมก็ไม่ได้รับแต่พ่อก็บอกตลอดว่าให้คุยกับแม่บ้าง แต่ผมกับแม่เราห่างกันจนตอนนี้ผมไม่กล้าที่จะเจอ แม่เองก็มีครอบครัวใหม่”
“...................................................”
“จริงๆ ผมไม่ได้โกรธแม่หรอกแต่กลัวว่าแม่จะไม่คิดว่าผมเป็นลูก ผมไม่ใช่กล่องดนตรีของแม่อีกต่อไปแล้ว”
เบนจามินไม่เคยเล่าเรื่องที่เจอแม่ของคีตาที่โรงพยาบาลให้ฟัง แต่จากท่าทางความเป็นห่วงและแววตาก็พอทำให้เบนรู้ว่าแม่ของคีตายังรักลูกเหมือนเดิมแต่คงเพราะเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้ไม่สามารถแสดงออกได้ก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยให้ทุกอย่างมันดีขึ้นมากกว่าเดิม
“เขาอาจจะไม่ได้รักกันแล้วแต่สำหรับผมเชื่อว่าเขาทั้งสองคนก็ยังรักคุณ คีตา คุณยังเป็นกล่องดนตรีของพ่อกับแม่เหมือนเดิมนั่นแหละ
“...................................................”
“อย่าเอาอดีตมาทำร้ายชีวิตปัจจุบันเลย ปล่อยให้มันเป็นแค่ความทรงจำก็พอชีวิตต้องเจออะไรอีกเยอะ ใช้ชีวิตให้มันสมกับเด็กอายุยี่สิบห้าหน่อย นี่อะไรหม่นหมองไปหมดยิ้มด้วยลักยิ้มก็มียิ้มให้มันเยอะๆ เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”
คีตาพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่เบนจะยิ้มจนตาตี่ๆ นั่นตี่ลงมากกว่าเดิมมันดูตลกจนคีตายิ้มออกมา เบนเลยยกมือขึ้นจับผมหน้าคีตาที่เปียกน้ำแล้วจัดให้มันไม่ปิดหน้าปิดตา คีตารู้ว่าเขายังฝังใจกับความรักที่ได้เจอมาแต่มันก็จริงอย่างที่คุณเบนว่าถ้าเขายังยึดติดกับเรื่องนี้เขาคงไปไหนสักที
เพลงที่แต่งอยู่แบบเดิมๆ เนื้อหาเดิมๆ
มันคงถึงเวลาที่ต้องเริ่มใหม่สักที
คีตามองคนที่ยังกอดเขาแน่นอยู่กลางสระก่อนจะมองใบหน้าที่เขาคิดว่ามันกวนตีนตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก ไม่คิดมาก่อนว่าเบนจามินคนนั้นจะกลายเป็นคนแรกที่เขายอมเล่าเรื่องที่ติดอยู่ในใจให้ฟัง
“มีคนบอกไหมว่าพี่เบนมีพลังด้านบวกเยอะมาก”
“เยอะแยะ…บางทีก็บอกว่าอารมณ์ดีเหมือนคนบ้า”
“เป็นผู้ชายใจดี”
“อันนี้เพิ่งเคยได้ยิน พวกผู้หญิงชอบด่าว่าใจร้ายมากกว่า”
“ดีกับผมก็พอแล้ว”“ประโยคนี้นี่มันอยู่ในเพลงอะไรหรือเปล่า ทดสอบอะไรอยู่ใช่ไหมนี่ก็เขินเป็นเหมือนกันนะเว้ย”
“เด็กอายุยี่สิบห้าก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ทำยี่สิบเก้าเป๋ได้เลยนะ”
คีตาหลับตาลงเมื่อเบนแกล้งดีดน้ำใส่หน้า
แต่พอจะดันตัวออกเบนกลับกอดกระชับให้แนบชิดมากกว่าเดิม
“ถึงเวลามองโลกในแบบใหม่แล้วนะจ๊ะหนู อย่ามัวแต่แต่งเพลงอกหักรักคุดขอแบบรักกันจะเป็นจะตายสักสิบเพลง”
“ผมว่าผมจะแต่งเพลงใหม่หมด”
“หมดเลย? ที่ผ่านมาไม่เอาเลย”
“ไม่เอาเลยขอเริ่มใหม่ทั้งหมด”
“พี่สองร้องไห้ตายห่าแน่ๆ ช่วยแก้ไปแล้วเป็นสิบๆ เพลง”
เบนจามินกอดเอวคนที่หัวเราะเมื่อนึกถึงหน้าโปรดิวเซอร์ของ KTD คีตากอดคอเบนให้แน่นขึ้นจนใบหน้าทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากกว่าเดิม สายตาที่มองกันอยู่ทำให้คีตาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ผมจะแต่งเพลงจากความรักของผม”
“กับใคร”
“รอฟังซิครับ”
“คีตา..พี่ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเราเองก็รู้ใช่ไหมถ้าสักวันหนึ่งเราต้องร้องไห้เพราะพี่..ถ้าเกิดว่าพี่ทำให้เราเสียใจ”
“ผมไม่รู้ว่าพี่เบนดีไม่ดียังไงไม่รู้ด้วยว่าอนาคตมันจะเป็นแบบไหนแต่ตอนนี้พี่คือคนที่ทำให้ผมอยากแต่งเพลงรัก ผมรู้แค่นี้”เบนจามินเงียบลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นชัดๆ คีตาหลับตาลงเมื่อเบนจูบลงบนหน้าผากขาวแล้วค่อยๆ ไล่ลงมาที่ปลายจมูกริมฝีปากที่เฉียดกันไปมาแต่ไม่กล้าที่จะสัมผัสกันเบนเลยถามเบาๆ
“จูบได้ไหม”
“ไม่ได้”
“ถ้าเป็นในละครนี่ต้องได้แล้วนะ”
“เคยดูแต่พระเอกจูบเลยโดยไม่ถาม”
“...........................................................................”
โห..ไอ้เด็กยี่สิบห้าเบนอุ้มคีตาให้นั่งลงบนขอบสระก่อนที่ตัวเองจะแทรกตัวแล้วก้มลงไปหาคนที่หลับตาลง เบนรู้ลิมิตตัวเองว่าเขาจะไม่ล่วงเกินคีตาไปมากกว่านี้ มือใหญ่รั้งให้คีตารับจูบที่เขาตั้งใจมอบให้ เบนค่อยๆ ไล้ไปตามแผ่นหลังเล็กเบาๆ เมื่อคีตาที่วางแขนบนไหล่กว้างกอดกระชับแน่น
ไม่ได้ถึงขั้นดีฟคิสเพราะเบนคิดว่าสำหรับคีตายังไม่ถึงเวลา แต่แค่นี้ก็ทำให้เขาแทบบ้าได้เหมือนกัน ถ้าแกงค์ลูกเพื่อนแม่มาเห็นว่าเขาใจเต้นแทบระเบิดกับจูบไม่ประสีประสาของเด็กผู้ชายตัวเล็กแก้มป่องคงโดนล้อแน่ๆ
นึกแล้วก็ตลกอยู่เหมือนกันถ้าเป็นเมื่อก่อนบรรยากาศแบบนี้คงต้องเป็นผู้หญิงหุ่นระดับนางแบบใส่บิกินี่ตัวจิ๋วแต่คนที่ทำให้เบนไม่อยากปล่อยมือในตอนนี้กลายเป็นเด็กผู้ชายที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงบอล แถมยังจูบไปเขินไปจนทำให้เขาใจสั่น เบนผละออกมาแล้วแนบหน้าผากมองคนที่หอบจนหน้าแดง เบนเลยยิ้มนิดๆ แล้วก้มลงมาหอมแก้มนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะกระซิบเบาๆ ให้นักแต่งเพลงได้ยิน
“อย่างน้อยวันนี้ต้องได้เพลงรักสักเพลงแล้วคีตา”TO BE CON
ปล.กลับมาแล้วจ้าาาาหายไปนานเหลือเกิน สิ้นปีเหมือนสิ้นใจงานหรืออะไรทับถมมาก
HNY นะคะทุกคน 2019 จะไม่หานไปนานแน่นอน ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ ^^
ปล2 พี่เบนไม่ใช่ผู้ชายที่ดี..
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo