My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 172877 ครั้ง)

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
แคทก็เลยปะติดปะต่อเรื่องได้ จึงเอาสิ่งที่คิดถามคุณลุงว่าใช่ไหม คุณลุงทรงพลก็ยอมรับมาตามตรงว่าทำไม่ดีกับคุณเรียวจริงๆ แต่ทำไปเพราะความรัก

แคทก็เลยพูดขู่ๆไปนะคะว่า ถ้าคุณลุงยังขืนไปฟ้องร้องอาจจะแพ้ก็ได้ หากคุณเรียวฟ้องกลับ เพราะคุณลุงก็ทำกับคุณเรียวเจ็บแสบเหมือนกัน

แคททั้งขู่ทั้งปลอบแก ยกเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาอ้าง จนกระทั่งบอกกับแกว่า แคทจะเล่าให้ท่านประธานฟังถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แกก็เลยยอมอ่อนให้ แต่กว่าจะอ่อนลงก็นานเหมือนกันนะคะ

ตกลงเป็นว่า แกไม่ฟ้องแล้ว ทีนี้ แคทก็จะมาทวงคำตอบจากคุณเรียวบ้างล่ะ แคททำให้คุณจนสำเร็จแล้ว คุณล่ะ ยินดีจะช่วยแคทไหม”

ผมหันไปมองเดียร์ ก็เห็นเขามองมาที่ผมกับคุณแคทลียาเขม็ง แต่คุณแคทลียาไม่เห็นเพราะเธอยืนหันหลังให้กับเด็กหนุ่ม และอยู่ไกลกันด้วย

ผมหลบสายตาของเดียร์แล้วหันมามองคุณแคทลียา เธอทำหน้าเหมือนรอคอยความหวังจากผม การช่วยเหลือด้วยการแสร้งเป็นแฟนกันหลอกๆเพื่อให้ใครบางคนที่เธอว่าสำนึกผิดที่ทำให้เธอเสียใจ

เอาเถอะ ในเมื่อเธอช่วยไปพูดกับตาแก่หัวรั้นจอมลามกให้เลิกเอาเรื่องเดียร์ ทำให้หนุ่มน้อยของผมไม่ต้องเผชิญกับปัญหาจนต้องไปพัวพันกับคุกตะราง ผมควรจะต้องตอบแทนความดีของเธอบ้าง

มันเป็นแค่การโกหกเพื่อช่วยคนที่ช่วยเรานี่นา ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย ผมไม่ได้เป็นแฟนกับเธอจริงๆ พอเธอคืนดีกับคนๆนั้นแล้ว เราก็เลิกรากัน

“ตกลงครับ...ผมจะช่วยคุณเป็นการตอบแทน แต่แค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นนะครับ”

สิ้นคำพูดของผม คุณแคทก็ผวาเข้ามาจับมือจับไม้ ท่าทางดีอกดีใจ

“จริงหรือคะ อุ้ยดีใจจังเลย ไม่เป็นไรค่ะ แคทก็ไม่ได้อยากให้คุณมาเป็นแฟนแคทถาวรหรอก ไม่ต้องกลัวค่ะ ถึงคุณจะเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา และจิตใจดีแค่ไหน แคทก็ชอบคุณเหมือนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเท่านั้นนะคะ

แล้วคุณก็มีแฟนแล้วด้วย คงรักกันมาก แคทไม่แย่งหรอกค่ะ ส่วนแคทเองก็ยังคงรักใครคนนั้นอยู่ แค่อยากสั่งสอนให้เขาสำนึกว่าเวลาที่แคทไม่ง้อ และมีคนอื่นบ้าง เขาจะว่าอย่างไร ยิ่งได้คนหล่อๆแบบคุณมาช่วย จะได้ทำให้คนๆนั้นสำนึกเร็วขึ้นไงคะ”

ตาของผมเหลือบแลไปที่เดียร์อีกครั้ง ก็เห็นว่าเขาคุยกับเจ้าสันต์อยู่ แต่ตาของเด็กหนุ่ม ยังคงมองผมอยู่ไม่วางตา
“ไปเต้นกันเถอะค่ะ เร้วๆๆๆ”

คุณแคททำท่ากระตือรือร้น ฉุดไม้ฉุดมือผมให้เข้าไปในห้องประชุมอีกครั้ง เพื่อซ้อมเต้นกันต่อ จังหวะที่เดินผ่านเดียร์ ผมเห็นเขาจ้องผมด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย แต่ผมแสร้งเดินผ่านไม่ทักทาย

ถึงแม้จะมีคนรู้จักเดียร์กับผม แต่มันก็แค่สามคนเท่านั้น ผมไม่อยากขยายวงให้กว้างขึ้นไปอีก และรู้ดีว่าเดียร์จะต้องตั้งคำถามเอากับผมว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมผมจึงเฉยชากับเขา แต่พูดคุยยิ้ม
“จริงหรือคะ อุ้ยดีใจจังเลย ไม่เป็นไรค่ะ แคทก็ไม่ได้อยากให้คุณมาเป็นแฟนแคทถาวรหรอก ไม่ต้องกลัวค่ะ ถึงคุณจะเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา และจิตใจดีแค่ไหน แคทก็ชอบคุณเหมือนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเท่านั้นนะคะ แล้วคุณก็มีแฟนแล้วด้วย คงรักกันมาก แคทไม่แย่งหรอกค่ะ ส่วนแคทเองก็ยังคงรักใครคนนั้นอยู่ แค่อยากสั่งสอนให้เขาสำนึกว่าเวลาที่แคทไม่ง้อ และมีคนอื่นบ้าง เขาจะว่าอย่างไร ยิ่งได้คนหล่อๆแบบคุณมาช่วย จะได้ทำให้คนๆนั้นสำนึกเร็วขึ้นไงคะ”

ตาของผมเหลือบแลไปที่เดียร์อีกครั้ง ก็เห็นว่าเขาคุยกับเจ้าสันต์อยู่ แต่ตาของเด็กหนุ่ม ยังคงมองผมอยู่ไม่วางตา

“ไปเต้นกันเถอะค่ะ เร้วๆๆๆ”

คุณแคททำท่ากระตือรือร้น ฉุดไม้ฉุดมือผมให้เข้าไปในห้องประชุมอีกครั้ง เพื่อซ้อมเต้นกันต่อ จังหวะที่เดินผ่านเดียร์ ผมเห็นเขาจ้องผมด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย แต่ผมแสร้งเดินผ่านไม่ทักทาย ถึงแม้จะมีคนรู้จักเดียร์กับผม แต่มันก็แค่สามคนเท่านั้น ผมไม่อยากขยายวงให้กว้างขึ้นไปอีก และรู้ดีว่าเดียร์จะต้องตั้งคำถามเอากับผมว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมผมจึงเฉยชากับเขา แต่พูดคุยยิ้มแย้มกับคุณแคทลียา ซึ่งผมไม่อยากจะตอบเขาตอนนี้ ด้วยเกรงว่าจะเสียเรื่อง เอาไว้มีโอกาสเหมาะๆค่อยเล่าให้เดียร์ฟังทีหลัง

ดึกแล้ว ผมกลับมาถึงบ้านอย่างเหนื่อยล้า หลังจากซ้อมการแสดงให้บริษัทเสร็จ ผมก็ไปทานข้าวกับผู้บริหารท่านอื่นๆ โดยมีเจ้านายของผมควักทุนเลี้ยง เขาชวนเดียร์ไปด้วย แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธ เพราะต้องกลับไปซ้อมเต้นต่อที่บริษัท

สองคืนแล้วที่เดียร์ไม่ได้กลับมาที่บ้านผม เขาโทรมาบอกเพียงแค่ว่า ต้องซ้อมเต้นเยอะมาก เพราะทางค่ายไปได้งานใหญ่มา และต้องทำให้ดี เพราะเสร็จจากงานนี้แล้ว ทางบริษัทที่จัดให้ไปเต้นก็ทาบทามต่อให้ไปแสดงในงานสัมมนาประจำปีที่จัดให้กับฝ่ายขายของบริษัท ซึ่งใหญ่กว่างานนี้อีกหลายเท่า หากทำครั้งนี้ได้ดี ก็มีหวังได้งาน แต่ถ้าลูกค้าไม่พอใจก็ชวด ทางผู้จัดการจึงสั่งลงมาให้แดนเซอร์ซ้อมเต้นกันอย่างเต็มที่ ห้ามพลาดเด็ดขาด

ด้วยความเหงาอย่างประหลาด ทำให้ผมไม่กลับบ้าน และตกปากรับคำไปกับเจ้านาย ซึ่งสันต์ ศักดิ์ชายและคุณแคทก็พ่วงไปด้วย กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบห้าทุ่ม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเอง ผมเหลียวมองไปด้านข้างโดยอัตโนมัติ แต่ไม่เจอสิ่งที่คุ้นตา พยายามข่มตาลง ก็นอนไม่หลับ รู้สึกแปลกๆที่เตียงที่ผมเคยนอนมันกลับดูเย็นเยียบ และกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน คล้ายกับผมเป็นเพียงจุดเล็กๆที่อยู่บนกระดาษแผ่นใหญ่ คนที่เคยทำให้เตียงของผมคับแคบไปเนื่องจากร่างกายอันใหญ่โตของเขาไม่อยู่เสียแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเดียร์จะมีอิทธิพลต่อผมได้ถึงเพียงนี้ นี่ถ้าต่อไปเราจะต้องจากกัน ผมจะสามารถอยู่โดยไม่มีเขาได้ไหมหนอ
หนุ่มน้อยของผม หายไปสองวันเต็มๆ พอตกตอนเย็นเขาก็มาทำหน้าที่สอนตามเดิม แต่วันนี้ เขาพาเพื่อนมาด้วย เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีทีเดียว รูปร่างอ้อนแอ้นคล้ายผู้หญิง เขาแนะนำเพื่อนของเขาให้พวกเรารู้จักว่าเป็นคนที่จะมาช่วยสอนเต้น เนื่องจากวันนี้ จะมีท่าเข้าคู่

เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อ อชิตะ แต่ผมเห็นเดียร์เรียกด้วยท่าทางสนิทสนมว่า พี่ชิ เดียร์ให้พวกเราทวนท่าที่สอนไปเมื่อวาน ถ้าหากเห็นใครเต้นผิดไปจากลายที่สอนไว้ เขาจะแก้ทันทีไม่ยอมปล่อยผ่าน ตอนที่เขาสอน น้ำเสียงจะดูดุนิดหน่อย แต่หน้าตาของเดียร์จะยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ค่อยมีใครโกรธเขา เมื่อเห็นว่าพวกเราพอจะเริ่มทำได้แล้ว เขาก็สอนท่าใหม่ ซึ่งเป็นท่าจับคู่กัน เต้นในสไตล์ละติน แต่เป็นแบบเบาๆช้าๆ เขาจับคู่กับชิ เต้นให้ดูรอบแรก เพื่อให้นับจังหวะก่อน จากนั้นก็ให้พวกเราจับคู่กัน ผมได้คู่กับคุณแคท ในขณะที่หัวหน้าของผมจับคู่กับผู้บริหารหญิงอีกท่านหนึ่ง โชคดีที่มีการคัดเลือกผู้แสดงให้มีฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงอย่างละเท่าๆกัน เจ้าสันต์และ ศักดิ์ชายเลยไม่ต้องมาจับคู่กันเอง

เดียร์กับชิ ให้พวกเราเต้นตามพวกเขาสองคน ซ้ำไปซ้ำมาอีกครั้ง แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่น่าพอใจ เนื่องจากพวกเราไม่ใช่แดนเซอร์มืออาชีพ เลยเต้นพลาด ผมกับคุณแคทพลัดกันเหยียบเท้า จนต้องหัวเราะออกมาด้วยความขำ ทุกครั้งที่เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของเพื่อนร่วมงานของผมดังออกมา เดียร์ก็จะจ้องมองมาที่เราสองคนแทบทุกครั้ง ดูท่าทางหึงหวงยังไงไม่รู้
ในที่สุด เดียร์ก็หันมาแยกผมกับคุณแคทออกจากกัน อ้างว่าเพื่อให้สามารถเต้นได้ถูกต้อง เขาให้คุณแคทลองเต้นกับชิ เพื่อนของเดียร์โอบประคองคุณแคทโลดแล่นไปตามจังหวะเพลงที่สนุกสนาน ส่วนผมซึ่งยืนเอ๋อเพราะถูกแยกคู่ก็ถูกเดียร์จับมาให้เต้นกับเขา โดยเขาให้ผมเต้นในแบบผู้ชายตามเดิม ส่วนเขาจะเต้นเป็นผู้หญิง และบอกให้ทุกคนจับตาดู ทั้งสองคู่ระหว่างชิกับคุณแคท และเดียร์กับผม พยายามจับจังหวะและเต้นตามให้ได้

ตอนแรกผมจะไม่ยอมเต้นกับเดียร์เพราะรู้ถึงเจตนาของเขา แต่เพื่อนคนอื่นๆเข้าใจว่าผมเขิน เลยยุส่ง บอกว่า ผมเต้นดี อยากให้ผมลองทำให้ดู พวกเขาจะได้เห็นและเลียนแบบได้ ผมเลยจำใจต้องเต้นกับเขา เดียร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยิ้มให้ผม และยื่นมือมาแตะไหล่ผมไว้ อีกข้างหนึ่ง ก็จับมือผมและชูขึ้น และขยับกายตามท่วงทีลีลาของการเต้นแบบละติน

“ท่าทางคุณสนิทกับคุณแคทจังเลย จะยั่วให้ผมหึงหรือไง”

เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน ผมไม่ตอบทำทีเป็นใส่ใจอยู่กับการเต้น

“คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า”

เดียร์ถามเสียงอ้อน แต่ผมทำหน้าดุใส่เขา และเอ่ยเตือน

“ขอร้องล่ะเดียร์ นี่มันที่ทำงาน ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเรา ช่วยกรุณาทำให้เหมือนกับครูสอนเต้นทั่วๆไปหน่อย”

“ครับ”

เดียร์รับคำเสียงอ่อย จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก จนกระทั่งเต้นจนจบท่าที่เขาต้องการสอนจึงผละออกจากผม พร้อมๆกับที่ชิก็ผละออกมาจากคุณแคทเช่นกัน ทั้งสองคนเดินไปคุยกันอย่างสนิทสนม เพื่อนร่วมงานสาวของผมเดินยิ้มเข้ามาหา ท่าทางสนุกกับการเรียนรู้ ในขณะที่ผมเริ่มที่จะเซ็ง

หลังจากฝึกซ้อมเต้นโดยที่เดียร์กับชิจับคู่กันเต้นนำจนกระทั่งพวกเราสามารถทำได้อย่างถูกต้อง เดียร์ก็ให้พวกเราพัก ผมรีบเดินออกมานอกห้อง ต้องการจะหนีไปให้พ้นๆเดียร์ เพราะกลัวเขาจะตามมาพูดคุยด้วยอีก แต่เขากลับไม่ตามมา เพราะกำลังคุยอยู่กับเพื่อนของเขา สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสขณะพูดคุยกับชิ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกขวางหูขวางตา บอกไม่ถูกว่าอยู่ดีๆ ทำไมถึงเกิดไม่พอใจขึ้นมา รู้แต่ว่าไม่อยากจะเห็น

ใจสั่งให้ไม่มอง แต่ตามันก็คอยแอบชำเลืองแลอยู่ดี ตอนนี้มีคนเข้าไปร่วมวงคุยกับคนทั้งคู่อีกคือเจ้าสันต์ คุณแคท และรวมถึงศักดิ์ชายด้วย ผมเบือนหน้าหนีมาจากภาพนั้น พอหันมาก็เจอเจ้านายของผม ยืนถือถ้วยกาแฟอยู่ข้างๆ เขาถามว่าผมจะทานกาแฟหรือเปล่า เพราะผมยืนบังตู้กดน้ำไว้ ผมเลยรีบหลีกทางให้เจ้านาย พอเขากดน้ำร้อน และชงกาแฟผงจนละลายเรียบร้อยจึงเอ่ยประโยคแรกกับผม

“คุณโชคดีมากเลยนะเรียว คุณทรงพลไม่เอาเรื่องคุณกับเพื่อนแดนเซอร์ของคุณแล้วล่ะ”

“งั้นหรือครับ”
“ใช่...ตอนที่ผมไปพูดกับท่านประธาน ท่าทีของคุณทรงพลก็ยังคงแข็งกร้าวอยู่ แต่ถัดจากนั้นไม่กี่วันก็อ่อนลงไป เห็นได้ข่าวว่าคุณแคทไปช่วยเจรจาให้ด้วยไม่ใช่เหรอ ไม่รู้ว่าพูดกันอีท่าไหนถึงยอมให้คุณทรงพลยอมได้ แต่ก็นับว่าเก่งพอสมควร คุณควรจะไปขอบคุณเธอนะ”

หึหึหึ ผมแอบหัวเราะในใจ ช้าไปแล้วล่ะครับ ผมขอบคุณเธอเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยการยอมเป็นแฟนกับเธอไง จนกว่าเธอจะกลับมาคืนดีกับแฟนเก่า ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆ ไม่ได้พูดในสิ่งที่คิดออกมา

“เจ้านายกับลูกน้อง แอบมาคุยเรื่องงานกันอีกแล้ว.....ขอยืมตัวคุณเรียวสักครู่นะคะ”

เราสองคนสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงที่ขัดจังหวะขึ้นมา คุณแคทมาตั้งแต่เมื่อไหร่รู้ มาถึงก็มาคล้องแขนผม และดึงออกจากการสนทนา พอออกไปห่างจากคนอื่นๆ คุณแคทก็เปิดฉากขอร้องผมทันที เธอต้องการให้ผมไปเป็นเพื่อนในงานแต่งงานของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ในวันที่ 14 มกราคม ก่อนหน้างานปีใหม่ของบริษัทหนึ่งวัน คุณแคทบอกว่างานนี้ คู่รักเก่าของเธอคนที่ทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจก็ไปด้วย ถ้าโชคดี เขาหึงเราสองคน และกลับมาขอคืนดี ข้อตกลงเป็นแฟนกันระหว่างผมกับเธอจะได้สิ้นสุดกันเสียที ผมรีบตกลงโดยไม่ลังเลใจ เพราะเริ่มอึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ผมกลัวว่าเดียร์จะรู้ว่าผมตกลงเป็นแฟนกับคุณแคทซ้อนกันกับเขา ไม่รู้ว่าเดียร์จะโกรธมากมายหรือเปล่าที่ผมทำแบบนี้ เขาจะคิดว่าผมละเมิดสัญญาไหม เพราะเราตกลงกันแล้วว่า ระหว่างนี้จะไม่มีใคร ถึงแม้ว่าผมจะทำเพื่อช่วยไม่ให้นายทรงพลเอาเรื่องกับเขาก็ตาม และลึกลงไปแล้วความรู้สึกบางอย่างบอกกับผมว่า ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะมีแฟนเป็นผู้หญิงอีกต่อไป

พอกลับเข้าไปในห้องสำหรับซ้อมเต้นอีกครั้ง ผมก็เห็นเดียร์มองผมด้วยแววตาน้อยอกน้อยใจอีกแล้ว และอย่างเคยผมแสร้งทำเป็นเมิน มองไม่เห็น จับคู่เต้นรำกับคุณแคทต่อ ทำเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เดียร์เองก็หันกลับไปเต้นกับชิต่อ ผมมองสองร่างที่แนบชิดกัน เห็นยิ้มหวานๆ กับตาเชื่อมๆที่ชิมองเดียร์ ส่วนหนุ่มน้อยของผมก็ยิ้มตอบด้วยดวงตาซึ้งๆ การได้เห็นคนทั้งคู่ออกอาการหวานเหมือนเป็นคู่รักกัน ทำให้ผมพาลหมดอารมณ์ที่จะเต้น แต่ต้องจำใจซ้อมให้มันหมดๆเวลาไป หลังจากเลิกคลาสแล้ว ผมก็เดินจ้ำอ้าวออกไปจากห้องทันที โดยมีคุณแคทวิ่งตามมาติดๆ

เธอถามว่าผมหงุดหงิดอะไรหรือเปล่า หรือเธอเต้นไม่ดีจนผมไม่พอใจ ผมปฏิเสธ บอกว่า รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมา เพราะนอนดึกหลายคืนติดต่อกัน อยากกลับไปพัก เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ และปล่อยผมกลับไปแต่โดยดี
เดียร์โทรเข้ามาที่มือถือของผมขณะที่กำลังจะขับรถออกจากบริษัท บอกว่าคืนนี้ถ้าซ้อมเสร็จเร็วจะมาหาผมที่บ้าน เขาพูดเสียงอ้อนๆว่าคิดถึงผมมาก ไม่ได้เจอมาสองวันแล้ว อยากนอนกอดให้ชื่นใจ แต่ด้วยความที่ผมหงุดหงิดที่เห็นเขาหัวเราะต่อกระซิกกับชิ ทำให้ผมปฏิเสธเขาไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆว่าไม่ต้องมา ผมไม่อยากให้เขารบกวน เพราะผมนอนดึกมาหลายคืนแล้ว อยากพักผ่อนให้เต็มอิ่ม ถ้าหากเขายังดื้อรั้นไม่ฟัง ผมจะไม่พูดกับเขาอีกเลย

พอเดียร์วางสายไปแล้ว ผมก็ซบหน้าตัวเองกับพวงมาลัย รู้สึกสับสนไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำไมผมต้องโกรธด้วย ที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ทั้งที่ผมควรจะรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำ หากว่าเดียร์เลิกรักผมแล้ว และมีคนรักใหม่ ไม่แน่ใจว่าที่ผมนึกโกรธเขาขึ้นมานี่เป็นเพราะผมรักเดียร์มาก จนถึงขั้นหึงหวงหรือเปล่า ถ้าใช่ มันก็น่าจะเป็นอันตรายกับตัวเองไม่ใช่น้อย เพราะผมอาจจะไม่สามารถสลัดเดียร์ออกไปจากใจได้เลย

เพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้รักเดียร์ถึงขั้นที่จะขาดเขาไม่ได้ เวลาที่เดียร์มาซ้อมให้กับพวกเรา ผมก็หาโอกาสที่จะหลบเลี่ยงไม่อยู่ใกล้เขาตลอดโดยได้คุณแคทเป็นกันชน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้อตกลงที่ผมให้ไว้กับคุณแคทหรือเปล่าที่ทำให้เธอพาตัวเข้ามาชิดใกล้กับผม พูดคุยหยอกล้อด้วยไม่ยอมห่าง หลายวันมานี้ เธอชอบตามไปทานข้าวกับผมที่ร้านบ้านคุณป้าด้วยบ่อยๆ หลายครั้งที่ผมเห็นเดียร์แอบมายืนเมียงๆมองๆ อยากรู้อยากเห็นว่าความสัมพันธ์ของผมกับคุณแคทอยู่ในขั้นไหน สายตาที่มองมา บางทีก็ออกอาการหึงหวง

ผมรู้ว่าเดียร์ไม่พอใจอย่างมาก ที่ผมทำเหมือนมีลับลมคมในกับเขา เหมือนคนที่กำลังไม่ซื่อสัตย์ต่อคนรัก ใจหนึ่งก็กลัวว่าเดียร์จะโกรธ แต่ใจหนึ่งก็บอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมเป็นแฟนกับคุณแคทเพราะอยากช่วยเขาต่างหาก แต่ถ้าเกิดเขาไม่เข้าใจโกรธผมจนเลิกราไป ผมก็จะมีชีวิตอิสระเสียที ผมพยายามคิดในแง่นี้เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น แต่กลับเป็นว่ายิ่งทำให้ความรู้สึกแย่ลง การพิสูจน์ความรักที่ผมมีต่อเดียร์แบบนี้ ได้ข้อสรุปตอกย้ำลงไปชัดเจน ว่าผมรักเดียร์มากมายแค่ไหน

แค่เดียร์มองมาด้วยสายตาโกรธๆ ผมก็ใจแป้ว ต้องรีบชิ่งห่างจากคุณแคทแทบทุกทีที่เขามองมา แต่ดูเหมือนว่าคุณแคทจะไม่รู้อะไรเลย เพราะเธอคอยแต่จะเข้ามาหา คลุกคลีอยู่ใกล้ๆ ราวกับว่าผมเป็นคนรักของเธอจริงๆ


ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
รัก ไต๋ จริง ๆ เลย แค่นึก ๆ ไต๋ ก็มา

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณมากๆนะคะ  :L2:

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
วู้       อ่านทันแล้ว


แต่แคทมานัวเนียอะไรเรียวเนี่ย

เรียวใจร้ายอ่ะม่ะสงสารเดียร์เลย

 

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
^
จิ้มก้น แนน ตัดหน้าเค้าได้ไงอ่ะ

แวะมา +1 ให้กับความขยัน ของพี่แอนคร้าบบ o13

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
มา ต่อ ไวไว


น่ะ คร้าบบบบบบบบ


คอย อ่าน ทุก วัน เรยยยยยยย o13 o13 o13

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
«ตอบ #216 เมื่อ03-02-2009 12:15:24 »

บทที่ 29

ผมยืนสำรวจตัวเองในกระจกดูความเรียบร้อย ภาพที่สะท้อนออกมา เป็นร่างของชายหนุ่มผิวขาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมีสูทสีเทาเข้มที่ตัดด้วยผ้าเนื้อดีสวมทับเข้ากับกางเกงสีเดียวกัน ผมขยับเนคไทลายสวยที่เจ้าสันต์เลือกให้ มองที่กระจกอีกครั้งจนพอใจแล้วว่าไม่มีส่วนใหนที่ยับย่นดูไม่งามตา จากนั้นก็ก้าวออกมาจากห้องนอน

วันนี้ผมนัดกับคุณแคท ว่าจะไปเป็นคู่ควงในงานแต่งงานของเพื่อนเธอ เพื่อยั่วให้แฟนเก่าเธอหึงหวง เราสองคนซ้อมเต้นได้แค่ครึ่งชั่วโมง แล้วก็ขอตัวกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปให้ทันงานแต่งตอนทุ่มครึ่ง ตอนออกมาจากห้อง เดียร์ทำท่าไม่ค่อยพอใจที่ผมไม่อยู่ซ้อม แต่กลับมาพร้อมกับคุณแคท ผมไม่มีเวลาอธิบายให้เด็กหนุ่มรับฟัง ไม่มีใครรู้เรื่องผมกับเดียร์นอกจากเจ้านายและเพื่อนๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องไปคอยบอกกล่าวให้กับครูสอนเต้นได้รับรู้ว่าผมจะไปไหน

ตอนที่ผมกำลังจะขับรถออกจากบ้าน พี่สมชายก็เปิดประตูรั้วออกมาพอดี เขาแต่งตัวราวกับจะไปงานเหมือนกับผม วันนี้เขาไม่ขับรถออกมา เพราะรถของพี่สมชายถูกชนตอนนี้อยู่ในอู่ซ่อมรถ ส่วนรถอีกคัน เมียของแกก็จะพาลูกๆไปกินข้าวที่ห้าง แกก็เลยจะเดินออกไปเรียกแท็กซี่ข้างนอก ผมเห็นว่ามันน่าหัวเราะที่เขาจะเดินออกไปในเสื้อสูทอย่างนั้น ก็เลยรับขึ้นรถมาด้วย และถามทางว่าเขาจะไปที่ไหน จะได้แวะส่งใกล้ๆ เขาบอกว่าจะไปงานแต่งงานของเพื่อน เป็นโรงแรมเดียวกับที่ผมจะไปเสียด้วย จึงนับว่าโชคดีมากที่เขาได้มาเจอผม เพราะจะได้ไปและกลับพร้อมกัน

คุณแคทรอผมอยู่ก่อนแล้วตรงล็อบบี้ในโรงแรม ทันทีที่เห็นผมกับพี่สมชายเดินมาด้วยกัน เธอก็ชะงัก มองเราสองคนนิ่งนาน จนผมแนะนำให้เธอรู้จักกับพี่สมชาย เธอจึงปรับสีหน้าเป็นปกติ ท่าทางเธอคงจะงงมาก ที่ผมมีคนมาด้วย

“แปลกไหมคุณแคท พี่สมชายได้รับเชิญมางานนี้ด้วย แกบอกว่ารู้จักกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว นัยว่าเคยเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันมาล่ะ คุณเองก็เรียนที่เดียวกันกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว คุณรู้จัก หรือเคยเห็นพี่สมชายบ้างหรือเปล่า”

ผมถามคุณแคท หลังจากที่พี่สมชายเดินแยกออกไปแล้ว คุณแคทยืนนิ่งไม่ยอมตอบคำถามผม จนต้องถามซ้ำ เธอถึงได้ทำท่าเหมือนตื่นจากภวังค์

“จำไม่ได้หรอกค่ะ แคทไปเมืองนอกตั้งนาน”
“แปลกไหมคุณแคท พี่สมชายได้รับเชิญมางานนี้ด้วย แกบอกว่ารู้จักกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว นัยว่าเคยเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันมาล่ะ คุณเองก็เรียนที่เดียวกันกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว คุณรู้จัก หรือเคยเห็นพี่สมชายบ้างหรือเปล่า”

ผมถามคุณแคท หลังจากที่พี่สมชายเดินแยกออกไปแล้ว คุณแคทยืนนิ่งไม่ยอมตอบคำถามผม จนต้องถามซ้ำ เธอถึงได้ทำท่าเหมือนตื่นจากภวังค์

“จำไม่ได้หรอกค่ะ แคทไปเมืองนอกตั้งนาน”

เธอตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง จากนั้นก็ควงแขนผมพาเดินเข้าไปในงานซึ่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ด้านหน้า สองหนุ่มสาวต่างทำท่าแปลกใจเมื่อเห็นคุณแคทลียาที่เดินควงคู่มากับผม ปากก็เอ่ยชมว่าคุณแคทเปลี่ยนไปเยอะมาก จนจำเกือบไม่ได้ แถมยังได้แฟนหล่อเสียด้วย

คุณแคทยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง จากนั้นผมก็ได้ยินเจ้าสาวแอบถามคุณแคทว่าทำใจได้หรือยัง แฟนเก่าของคุณแคทมางานนี้ด้วย คุณแคทชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปด้วยสีหน้ามั่นใจว่าเธอพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ทุกอย่างโดยไม่หวั่นไหว

หลังจากพูดคุยกันสักพัก เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ขอตัวทำหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อต่อ เราสองคนถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาวจากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในซึ่งจัดงานเลี้ยงแบบค๊อกเทล มีบรรดาแขกเหรื่อ ยืนอยู่รอบๆซุ้มอาหาร

พี่สมชายยืนพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับเพื่อนสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่มุมหนึ่ง เขาหันมาเห็นผมที่เดินควงแขนกับคุณแคทแล้วก็ยิ้มให้อย่างเจื่อนๆ ตามองผมกับคุณแคทสลับไปมา

ผมยิ้มตอบไปอย่างแกนๆเช่นกัน ในขณะคุณแคทเพียงแค่ปรายตามองพี่สมชายเท่านั้น แล้วก็ทำท่าเชิดๆใส่ จนผมเองก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้

คุณแคทบอกว่า ไม่รู้จักพี่สมชาย แต่เวลาเจอกันทีไรผมเห็นคุณแคทลอบมองพี่สมชาย นัยน์ตาก็ฉายแววเจ็บปวดบางอย่าง แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าผมสังเกตอยู่ เธอก็จะทำคอแข็ง มองเพื่อนบ้านของผมด้วยแววตาเฉยเมย เหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน

ผมเดินเข้าไปหาพี่สมชายและปักหลักยืนอยู่ตรงนั้น เพราะผมไม่รู้จักใครเลยในงานนี้ นอกจากคุณแคทเพียงคนเดียว และรู้สึกเขินๆที่ถูกจ้องมองเวลาผมเดินไปพร้อมกับคุณแคท สายตาที่จับจ้องมองมาเหมือนอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคุณแคทเป็นคนที่สวยมากกระมัง เลยถูกจับตามองเป็นพิเศษ ว่าเธอควงคู่มากับใคร

พี่สมชายเชิญชวนให้ผมลองทานอาหารในซุ้ม ซึ่งเป็นพวกอาหารไทยๆ จำพวกเป๊าะเปี๊ยะทอด กระทงทอง และขนมปังหน้าหมูหั่นเป็นชิ้นพาคำดูน่าอร่อย ผมหยิบจานยื่นให้คุณแคท เธอรับมาถือไว้ และกล่าวขอบคุณพร้อมกันนั้นก็อิงแอบเข้ามาซะใกล้ชิดจนผมรู้สึกอึดอัด

“เรียวช่วยตักกระทงทองให้แคทหน่อยได้ไหมคะ”

เธอพูดเสียงอ้อน มองผมด้วยดวงตาหวานเยิ้ม แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยปกติคุณแคทจะเป็นสาวมั่น ร่าเริงแจ่มใส พูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม แม้จะเป็นคนหน้าตาสะสวย แต่เธอก็ไม่เคยมีจริตเหมือนหญิงสาวทั่วไป

เธอออกจะเก่งกล้าไม่เคยอ้อนขอให้ผู้ชายคนไหนในออฟฟิศช่วยเหลือเธอสักครั้ง แต่คราวนี้เธอทำเป็นไร้เดียงสา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้กระทั่งการตักอาหาร มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงมารยาหญิงที่เธอแสดงออก ทำแบบนี้ แปลว่า คนบางคนที่ทำให้เธอเจ็บปวดอยู่ใกล้ๆแถวนี้กระมัง เธอจึงเลือกที่จะอ้อนผมเผื่อยั่วให้ใครบางคนหึง

ไหนๆก็รับปากเธอแล้วว่าจะช่วยทำให้สำเร็จ ผมจะได้หมดบุญคุณกับเธอไป แล้วมีชีวิตอิสระกับเธอเสียที ขืนชักช้าไปเกิดเดียร์รู้ขึ้นมา ผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีก แค่นี้ผมก็รู้สึกสับสนวุ่นวายใจจะแย่อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงต้องเล่นตามน้ำด้วยการแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษที่เทคแคร์หญิงสาวด้วยการตักอาหารใส่จานให้และพูดคุยด้วยท่าทีนุ่มนวล แต่ตาของผมก็คอยลอบมองว่ามีใครที่ต้องสงสัยในบริเวณนั้น
มีผู้ชายหนุ่มหลายคนยืนปะปนกันอยู่แถวซุ้มอาหาร

คุณลุงคนนั้นไม่น่าจะใช่ เพราะแก่เกินกว่าจะเป็นรุ่นพี่คุณแคทได้น่าจะเป็นญาติข้างฝ่ายเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวมากกว่า

หนุ่มคนนั้นมากับแฟนสาว เห็นท่าทางกระหนุงกระหนิงกัน

ผู้ชายที่หน้าตาดีคนนั้นมาคนเดียว แต่ท่าทางออกตุ้งติ้ง ไม่น่าจะใช่อดีตคนรักของคุณแคท

หนุ่มใส่แว่นมาดดีนั้นก็ไม่เหลือบแลมาทางคุณแคทเลยแม้แต่นิดเดียว มัวแต่ก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับอาหาร

มีอยู่สองสามคนที่มองมาทางผมและคุณแคท พวกเขายิ้มให้ แต่ตักอาหารเสร็จแล้วก็เดินจากไปยังซุ้มอาหารอีกฝาก

ผมกวาดตามองไปทั่วจนกระทั่งเจอเข้ากับดวงตาของพี่สมชายที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมสบตาด้วย พี่สมชายก็เอ่ยปากถามยิ้มๆ

“อร่อยถูกปากไหมครับ”

“เอ้อ....”

ผมงงเพราะยังไม่ได้ทานอะไรเข้าไป หันไปมองคุณแคทก็เห็นเธอกำลังมองพี่สมชายอยู่ พอหันไปมองเพื่อนบ้านของผมก็พบว่าเขามองคุณแคทด้วยเช่นกัน

สองคนประสานสายตากันนิ่งนาน และแล้วมือข้างหนึ่งของคุณแคทก็เลื่อนมาโอบเอวผมไว้โดยอัตโนมัติ ศีรษะได้รูปสวยเอนมาอิงซบกับบ่าของผม

แม้จะรู้สึกตกใจที่เธอทำกริยาอย่างนั้น แต่ผมก็ทำสีหน้ายิ้มแย้มแสร้งทำเป็นพอใจเพื่อให้ใครบางคนที่ผมยังไม่รู้จักตัว ได้เห็นเพื่อแผนปฏิบัติการณ์ทวงคนรักคืนของคุณแคท

..................................................

วันนี้ลงให้สองตอนก่อนนะคะ ไว้พรุ่งนี้จะลงให้ใหม่นะคะ นอนหลับฝันดีทุกคนค่ะ
“คิดว่าคงอร่อยมั๊งครับ เพราะท่าทางคุณแคทเธอจะชอบ ใช่ไหมครับคนดี”
“ค่ะ เรียว แหม คุณนี่รู้ใจแคทจริงๆว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เป็นผู้ชายที่น่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ ไม่เสียแรงที่แคทเลือกที่จะคบหากับคุณ”
คุณแคทลียาพูดด้วยเสียงอันดัง พี่สมชายเลิกคิ้ว มองผมกับคุณแคทด้วยท่าทางประหลาดใจ จนผมเองก็ชักจะเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของเพื่อนบ้านพ่อลูกอ่อนที่มองมา แน่ละสิ เขาย่อมจะต้องสงสัยเป็นธรรมดา ผมรู้ว่า ตลอดเวลาที่เดียร์มาบ้านผม พี่สมชายก็รู้เห็นเต็มตา ถึงแม้ว่าเดียร์จะบอกกับเขาแค่ว่าเป็นน้องชายของผม แต่เขาเองก็คงสงสัย เพราะบ่อยครั้งที่เจ้าเด็กบ้านั่น นัวเนียกอดรัดผมทั้งในบ้านและนอกบ้าน บางทีมาหาผมตอนดึกๆ แล้วก็กลับไปตอนเช้า ยิ่งช่วงหลังยิ่งมาเกือบทุกวัน บางครั้งผมก็เห็นแว่บๆว่าพี่สมชายยืนมองดูอยู่จากสวนหน้าบ้าน หรือไม่ก็บนห้องของเขา แต่เมื่อไม่ถาม และผมเองก็ไม่อยากเล่า เราเลยต่างคนต่างอยู่ พอคุณแคทกับผมแสดงท่าหวานใส่กัน ย่อมทำให้พี่สมชายเพิ่มความงุนงง แปลกใจเข้าไปอีก
“แปลกไหมคุณแคท พี่สมชายได้รับเชิญมางานนี้ด้วย แกบอกว่ารู้จักกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว นัยว่าเคยเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันมาล่ะ คุณเองก็เรียนที่เดียวกันกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว คุณรู้จัก หรือเคยเห็นพี่สมชายบ้างหรือเปล่า”

ผมถามคุณแคท หลังจากที่พี่สมชายเดินแยกออกไปแล้ว คุณแคทยืนนิ่งไม่ยอมตอบคำถามผม จนต้องถามซ้ำ เธอถึงได้ทำท่าเหมือนตื่นจากภวังค์

“จำไม่ได้หรอกค่ะ แคทไปเมืองนอกตั้งนาน”

เธอตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง จากนั้นก็ควงแขนผมพาเดินเข้าไปในงานซึ่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ด้านหน้า สองหนุ่มสาวต่างทำท่าแปลกใจเมื่อเห็นคุณแคทลียาที่เดินควงคู่มากับผม ปากก็เอ่ยชมว่าคุณแคทเปลี่ยนไปเยอะมาก จนจำเกือบไม่ได้ แถมยังได้แฟนหล่อเสียด้วย คุณแคทยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง

จากนั้นผมก็ได้ยินเจ้าสาวแอบถามคุณแคทว่าทำใจได้หรือยัง แฟนเก่าของคุณแคทมางานนี้ด้วย คุณแคทชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปด้วยสีหน้ามั่นใจว่าเธอพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ทุกอย่างโดยไม่หวั่นไหว หลังจากพูดคุยกันสักพัก เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ขอตัวทำหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อต่อ เราสองคนถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาวจากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในซึ่งจัดงานเลี้ยงแบบค๊อกเทล มีบรรดาแขกเหรื่อ ยืนอยู่รอบๆซุ้มอาหาร

พี่สมชายยืนพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับเพื่อนสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่มุมหนึ่ง เขาหันมาเห็นผมที่เดินควงแขนกับคุณแคทแล้วก็ยิ้มให้อย่างเจื่อนๆ ตามองผมกับคุณแคทสลับไปมา ผมยิ้มตอบไปอย่างแกนๆเช่นกัน

ในขณะคุณแคทเพียงแค่ปรายตามองพี่สมชายเท่านั้น แล้วก็ทำท่าเชิดๆใส่ จนผมเองก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ คุณแคทบอกว่า ไม่รู้จักพี่สมชาย แต่เวลาเจอกันทีไรผมเห็นคุณแคทลอบมองพี่สมชาย นัยน์ตาก็ฉายแววเจ็บปวดบางอย่าง แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าผมสังเกตอยู่ เธอก็จะทำคอแข็ง มองเพื่อนบ้านของผมด้วยแววตาเฉยเมย เหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน

ผมเดินเข้าไปหาพี่สมชายและปักหลักยืนอยู่ตรงนั้น เพราะผมไม่รู้จักใครเลยในงานนี้ นอกจากคุณแคทเพียงคนเดียว และรู้สึกเขินๆที่ถูกจ้องมองเวลาผมเดินไปพร้อมกับคุณแคท สายตาที่จับจ้องมองมาเหมือนอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคุณแคทเป็นคนที่สวยมากกระมัง เลยถูกจับตามองเป็นพิเศษ ว่าเธอควงคู่มากับใคร

พี่สมชายเชิญชวนให้ผมลองทานอาหารในซุ้ม ซึ่งเป็นพวกอาหารไทยๆ จำพวกเป๊าะเปี๊ยะทอด กระทงทอง และขนมปังหน้าหมูหั่นเป็นชิ้นพาคำดูน่าอร่อย ผมหยิบจานยื่นให้คุณแคท เธอรับมาถือไว้ และกล่าวขอบคุณพร้อมกันนั้นก็อิงแอบเข้ามาซะใกล้ชิดจนผมรู้สึกอึดอัด

“เรียวช่วยตักกระทงทองให้แคทหน่อยได้ไหมคะ”

เธอพูดเสียงอ้อน มองผมด้วยดวงตาหวานเยิ้ม แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยปกติคุณแคทจะเป็นสาวมั่น ร่าเริงแจ่มใส พูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม แม้จะเป็นคนหน้าตาสะสวย แต่เธอก็ไม่เคยมีจริตเหมือนหญิงสาวทั่วไป

เธอออกจะเก่งกล้าไม่เคยอ้อนขอให้ผู้ชายคนไหนในออฟฟิศช่วยเหลือเธอสักครั้ง แต่คราวนี้เธอทำเป็นไร้เดียงสา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้กระทั่งการตักอาหาร มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงมารยาหญิงที่เธอแสดงออก ทำแบบนี้ แปลว่า คนบางคนที่ทำให้เธอเจ็บปวดอยู่ใกล้ๆแถวนี้กระมัง เธอจึงเลือกที่จะอ้อนผมเผื่อยั่วให้ใครบางคนหึง

ไหนๆก็รับปากเธอแล้วว่าจะช่วยทำให้สำเร็จ ผมจะได้หมดบุญคุณกับเธอไป แล้วมีชีวิตอิสระกับเธอเสียที ขืนชักช้าไปเกิดเดียร์รู้ขึ้นมา ผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีก แค่นี้ผมก็รู้สึกสับสนวุ่นวายใจจะแย่อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงต้องเล่นตามน้ำด้วยการแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษที่เทคแคร์หญิงสาวด้วยการตักอาหารใส่จานให้และพูดคุยด้วยท่าทีนุ่มนวล แต่ตาของผมก็คอยลอบมองว่ามีใครที่ต้องสงสัยในบริเวณนั้น
มีผู้ชายหนุ่มหลายคนยืนปะปนกันอยู่แถวซุ้มอาหาร คุณลุงคนนั้นไม่น่าจะใช่ เพราะแก่เกินกว่าจะเป็นรุ่นพี่คุณแคทได้น่าจะเป็นญาติข้างฝ่ายเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวมากกว่า หนุ่มคนนั้นมากับแฟนสาว เห็นท่าทางกระหนุงกระหนิงกัน ผู้ชายที่หน้าตาดีคนนั้นมาคนเดียว แต่ท่าทางออกตุ้งติ้ง ไม่น่าจะใช่อดีตคนรักของคุณแคท หนุ่มใส่แว่นมาดดีนั้นก็ไม่เหลือบแลมาทางคุณแคทเลยแม้แต่นิดเดียว มัวแต่ก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับอาหาร มีอยู่สองสามคนที่มองมาทางผมและคุณแคท พวกเขายิ้มให้ แต่ตักอาหารเสร็จแล้วก็เดินจากไปยังซุ้มอาหารอีกฝาก ผมกวาดตามองไปทั่วจนกระทั่งเจอเข้ากับดวงตาของพี่สมชายที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมสบตาด้วย พี่สมชายก็เอ่ยปากถามยิ้มๆ

“อร่อยถูกปากไหมครับ”

“เอ้อ....”

ผมงงเพราะยังไม่ได้ทานอะไรเข้าไป หันไปมองคุณแคทก็เห็นเธอกำลังมองพี่สมชายอยู่ พอหันไปมองเพื่อนบ้านของผมก็พบว่าเขามองคุณแคทด้วยเช่นกัน สองคนประสานสายตากันนิ่งนาน และแล้วมือข้างหนึ่งของคุณแคทก็เลื่อนมาโอบเอวผมไว้โดยอัตโนมัติ ศีรษะได้รูปสวยเอนมาอิงซบกับบ่าของผม แม้จะรู้สึกตกใจที่เธอทำกริยาอย่างนั้น แต่ผมก็ทำสีหน้ายิ้มแย้มแสร้งทำเป็นพอใจเพื่อให้ใครบางคนที่ผมยังไม่รู้จักตัว ได้เห็นเพื่อแผนปฏิบัติการณ์ทวงคนรักคืนของคุณแคท

“คิดว่าคงอร่อยมั๊งครับ เพราะท่าทางคุณแคทเธอจะชอบ ใช่ไหมครับคนดี”

“ค่ะ เรียว แหม คุณนี่รู้ใจแคทจริงๆว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เป็นผู้ชายที่น่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ ไม่เสียแรงที่แคทเลือกที่จะคบหากับคุณ”

คุณแคทลียาพูดด้วยเสียงอันดัง พี่สมชายเลิกคิ้ว มองผมกับคุณแคทด้วยท่าทางประหลาดใจ จนผมเองก็ชักจะเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของเพื่อนบ้านพ่อลูกอ่อนที่มองมา แน่ละสิ เขาย่อมจะต้องสงสัยเป็นธรรมดา ผมรู้ว่า ตลอดเวลาที่เดียร์มาบ้านผม พี่สมชายก็รู้เห็นเต็มตา ถึงแม้ว่าเดียร์จะบอกกับเขาแค่ว่าเป็นน้องชายของผม แต่เขาเองก็คงสงสัย เพราะบ่อยครั้งที่เจ้าเด็กบ้านั่น นัวเนียกอดรัดผมทั้งในบ้านและนอกบ้าน บางทีมาหาผมตอนดึกๆ แล้วก็กลับไปตอนเช้า ยิ่งช่วงหลังยิ่งมาเกือบทุกวัน บางครั้งผมก็เห็นแว่บๆว่าพี่สมชายยืนมองดูอยู่จากสวนหน้าบ้าน หรือไม่ก็บนห้องของเขา แต่เมื่อไม่ถาม และผมเองก็ไม่อยากเล่า เราเลยต่างคนต่างอยู่ พอคุณแคทกับผมแสดงท่าหวานใส่กัน ย่อมทำให้พี่สมชายเพิ่มความงุนงง แปลกใจเข้าไปอีก

“คุณสองคนคบหากันหรือครับ”

อยู่ๆพี่สมชายก็โพล่งขึ้นมา คงจะเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ ผมไม่ทันจะอ้าปากตอบคุณเคทก็สวนขึ้นมา

“ค่ะ เราสองคนเหมาะสมกับไหมคะ”

เพื่อนบ้านผมทำหน้าแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ เขาหันมาทางผมแล้วถามเชิงตัดพ้อนิดๆ

“ผมไม่เห็นทราบเรื่องนี้เลย ทั้งๆที่อยู่บ้านตรงข้ามกันแท้ๆ”

“อื้ม คุณอาจจะไม่เคยสังเกตเห็นก็ได้นี่คะ เพราะอาจจะยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของคุณเสียเพลินจนไม่ได้สนใจอะไรเลยก็ได้ ว่าใครจะอยู่ใครจะไป ที่จริงแล้ว แคทก็เคยไปนอนค้างบ้านเรียวเขามาครั้งหนึ่งนะคะ แคทก็ไม่ได้เจอคุณเหมือนกัน”
เอาแล้วไง คุณแคทเล่นอะไรกันเนี่ย เปิดเผยเรื่องของตัวเองซะงั้น คนที่ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานานอย่างเธอนี่เปลี่ยนนิสัยกลายเป็นคนกล้าพูดคุยเรื่องแบบนี้อย่างไม่เกรงคำครหาเลย ตัวเองเป็นสาวเป็นแส้แท้ๆ ทำไมต้องทำให้คนอื่นมองให้มีมลทินติดตัวด้วยนะ

“งั้นหรือครับ ขอโทษที ผมมันคงโง่ มองไม่เห็นเอง”

พี่สมชายทำเสียงประชดประชัน ผมไม่รู้ว่าทำไมคนสองคนนี้ถึงดูเหมือนไม่ค่อยจะกินเส้นกันทั้งที่เพิ่งเห็นหน้ากันแค่ครั้งแรก หรือว่าที่จริงแล้ว คุณแคทโกหกผม เขาสองคนรู้จักกันมาก่อน แต่อาจจะมีเหตุให้บาดหมางใจกัน จนทำให้ไม่พูดกันก็ได้ หรือว่า ที่จริงแล้ว พี่สมชายก็คือคนที่คุณแคทรัก แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก ในเมื่อพี่สมชายเขารักครอบครัวของเขายังกับอะไรดี

“ถามจริงๆเถอะคุณแคท ได้โปรดอย่าโกหกผมเลยนะ คุณกับพี่สมชายน่ะรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”

หลังจากทนเก็บความสงสัยไว้จนกระทั่งงานเลิก ผมก็ถามคุณแคททันทีตอนที่เดินออกมาด้วยกัน
“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะคะ”

“ความรู้สึกของผมมันบอกว่า คุณสองคนทำท่าหมางเมินกันเกินกว่าที่จะเพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรก มันดูเกลียดกันเกินไปน่ะครับ”

“จริงหรือคะ หน้าตาท่าทางแคทมันฟ้องออกไปอย่างนั้นเหรอคะ”

หญิงสาวเอียงคอย้อนถามเสียงใส ท่าทางดูปกติ ถ้านี่เป็นการเล่นละครของคุณแคท เธอก็ทำหน้าตาซื่อๆได้เก่งมาก

“ไม่รู้จักกันหรอกค่ะ จะเคยเห็นกันด้วยหรือเปล่านี่แคทก็ไม่แน่ใจนะคะ คุณเคยได้ยินคำว่าศรศิลป์ไม่กินกันหรือเปล่าคะ แบบว่าบางทีเราก็นึกไม่ชอบหน้าใครตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร แคทอาจจะรู้สึกอย่างนั้นกับเพื่อนบ้านคุณเรียวก็ได้นะคะ”

“ถ้าคุณได้มีโอกาสรู้จักพี่สมชายจะรู้ว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนน่ารักนะครับ เขามีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกเล็กๆ 1 คน ผมเห็นแล้วยังอดอิจฉาไม่ได้เลย ”

เพราะไม่อยากให้คุณแคทตัดสินคนจากการเห็นเพียงแค่ครั้งแรก ผมจึงชื่นชมพี่สมชายให้ฟัง ซึ่งการพูดของผมไม่เกินจริงเลย เพราะมีสมชายเป็นคนแบบนั้นจริงๆ

“การเป็นคนดี กับเป็นคนรักที่ดีมันต่างกันนะคะ แคทยินดีกับเพื่อนบ้านของคุณด้วยที่มีครอบครัวที่มีความสุข แต่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องบอกแคทเลยนี่คะ แคทไม่ได้อยากรู้ซักหน่อย”

อยู่ๆคุณแคทก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมาซะงั้น เธอคงไม่พอใจที่ผมพยายามจะทำให้เธอเห็นว่าพี่สมชายเป็นคนดี ทั้งๆที่เธอไม่ชอบ ผมมันก็หวังดีเกินไปหน่อย จนดูเหมือนว่าจะไปบีบบังคับให้คนรู้สึกดีกับคนอื่นอย่างที่ตัวเองเป็น คนเรามันห้ามความคิดกันไม่ได้ พี่สมชายอาจจะดีกับผม แต่สำหรับคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันอาจจะมีอะไรบางอย่างในตัวพี่สมชายที่ทำให้คนหมั่นไส้เอาก็ได้
หลังจากส่งคุณแคทลียาขึ้นรถและยืนมองจนกระทั่งเธอขับรถลับตาไปแล้ว ผมจึงเดินกลับมาที่รถของตัวเอง แล้วก็เจอเข้ากับพี่สมชายที่มายืนดักรอผมอยู่ก่อนแล้วเพื่อขออาศัยกลับบ้านไปด้วยกัน

“คุณเรียวรู้จักคุณแคทมานานแล้วเหรอครับ”



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
«ตอบ #217 เมื่อ03-02-2009 12:16:03 »

ทันทีที่ก้าวขึ้นรถ พี่สมชายก็เอ่ยปากถามผม ทำให้ผมงงเอามากๆกับท่าทีสนอกสนใจที่เพื่อนบ้านของผมมีให้กับคุณแคทลียา ทั้งๆที่เมื่อตอนอยู่ในงาน ทำเป็นเฉยเมย ไม่ทักถามอะไรเสียด้วยซ้ำ ผิดมารยาทของคนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ตอนนั้นผมคิดว่าพี่สมชายไม่อยากถาม เพราะเห็นท่าทีไม่รับแขกของคุณแคท เลยไม่อยากจะคุยด้วย พอเขามาถามแบบนี้ผมก็อดงงไม่ได้

“คุณแคทเป็นเพื่อนร่วมงานของผมน่ะครับ เราก็สนิทกันมากพอสมควร”

ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมา ทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น

“เธอเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“พี่สมชายหมายถึงอะไรครับ”

ผมย้อมถาม เพื่อนบ้านผมทำท่าอ้ำอึ้งจากนั้นก็พูดว่าเขาหมายถึงนิสัยโดยทั่วๆไป ซึ่งผมก็บอกว่าเธอเป็นคนนิสัยดีน่ารัก เหมือนเพื่อนผู้ชาย แต่จริงใจแล้วผมก็ชอบเธอมาก บอกออกไปแบบนั้น แล้วก็ลอบสังเกตกริยาท่าทางของพี่สมชาย เพราะผมเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง แต่พี่สมชายนิ่งเงียบไม่ตอบว่าอะไร เราเลยนั่งเงียบๆไม่ได้พูดกันจนกระทั่งถึงบ้าน

เดียร์มารอผมอยู่ก่อนแล้ว เขาทำหน้ามุ่ยๆท่าทางดูหงุดหงิด ผมเห็นหน้างอๆนั่น ก็เดินเลี่ยงขึ้นห้อง ไม่อยากคุย ถ้าหากเขาอารมณ์ยังไม่ดี เดียร์เดินตามขึ้นมา แล้วถามผมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่าผมไปไหนมา ทำไมมืดค่ำถึงเพิ่งกลับ แล้วทำไมโทรไปถึงไม่ยอมรับ แล้วพรุ่งนี้จะมีงานแล้ว เต้นได้แล้วเหรอ ทำไมถึงหนีกลับออกมาก่อนไม่ยอมซ้อมให้จบ ผมไม่ตอบคำถามที่รัวมาถี่ยิบนั้น เดินไปเปิดตู้ แล้วหยิบผ้าขนหนูมาเตรียมจะอาบน้ำ

“นี่ ทำไมถึงไม่พูดกับผมหือเรียว หรือว่าไปทำผิดอะไรมา ถึงไม่กล้าตอบ”

เด็กหนุ่มถามเสียงเข้ม ก้าวมายืนขวางหน้าห้องน้ำไม่ให้ผมไปไหน ผมมองเดียร์อย่างนึกโมโห พยายามสะกดอารมณ์โกรธไม่ให้คุกรุ่นขึ้นมา ไม่พอใจที่เขามาซักไซร้ไล่เลียงต่อว่าต่อขานผม ราวกับว่าผมเป็นผู้ต้องหายังไงยังงั้น

“ทำไมต้องมาทำน้ำเสียงแบบนี้กับฉันด้วย ฉันไม่ได้ไปทำอะไรผิดสักหน่อย แล้วฉันจะไปทำอะไรที่ไหนก็เรื่องของฉัน ทำไมต้องบอกนายด้วย จะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันมากไปแล้ว ฉันไม่ชอบนะแบบนี้”

โต้ตอบไปอย่างโกรธๆแล้วเดินหนี แต่เจ้าเด็กลูกครึ่งก็คว้าแขนผมไว้แล้วลากมาที่เตียงผลักให้นั่งลง จากนั้นเขาก็นั่งข้างๆ แล้วโอบกอดผมไว้ในวงแขน

“ก็ผมห่วงเรียวนี่ ผมกลัวว่าเรียวจะได้รับอันตรายอีก คุณแคทนั่นเห็นมีคนบอกว่ารู้จักกับนายทรงพลด้วย เกิดเขารู้กันแล้วพาเรียวไปส่งให้นายทรงพล ผมจะทำอย่างไรละครับ”
คำพูดของเขาทำให้ใจผมอ่อนยวบ ลืมนึกถึงข้อนี้ไปสนิทใจ จริงสิ ตั้งแต่วันที่ผมรอดพ้นมาจากอันตราย เดียร์ก็คอยเฝ้าระมัดระวังเป็นหูเป็นตาให้ผม ถ้าวันไหนเขาไม่ได้มาหาผมที่บ้าน เขาก็จะโทรมาสั่งให้ผมกลับบ้านดีๆ คอยสังเกตสังการอบข้าง อย่าไว้ใจคนง่ายๆ เข้านอนแต่หัวค่ำ อย่าเปิดรับใครเข้าบ้าน บางทีผมก็แอบนึกรำคาญที่เขาทำเหมือนกับว่าผมเป็นเด็กๆดูแลตัวเองไม่เป็น แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงห่วงใยที่เดียร์พูดกับผมก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจเขาไม่ได้

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ คุณแคทเขาเป็นคนดีออก เขาไม่ใช่พวกเดียวกับนายทรงพล และไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้นด้วยซ้ำ”

ใจผมร่ำๆอยากจะบอกออกไปว่า ถ้าไม่ได้คุณแคทช่วยเหลือ ป่านนี้เดียร์อาจจะถูกจับกุมข้อหาทำร้ายร่างกายเอาก็ได้ แต่คิดอีกทีก็เงียบดีกว่า เจ้าเด็กนี่อารมณ์ร้อน เดี๋ยวได้ฟังแล้วเกิดโมโห แล่นไปตะบันหน้านายทรงพลอีกครั้ง จะยิ่งซวยหนักเข้าไปใหญ่

“ถึงงั้นก็เถอะ ผมยังไม่อยากไว้ใจคนเจ้าเล่ห์แบบนั้น ว่าแต่วันนี้ทำไมไม่ซ้อมล่ะครับ พรุ่งนี้มีงานแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วเต้นได้ดีหรือยัง ไปไหนกันทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นล่ะครับ”

เดียร์ซักถามอีกครั้ง ดูเหมือนท่าไม่ได้รับคำตอบที่พอใจ เขาคงจะตั้งคำถามให้ผมตอบอีกจนได้ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกไปตามตรงว่าผมไปงานแต่งงานเป็นเพื่อนคุณแคท เขาก็ทำหน้างอนๆใส่อีก

“ดูท่าทางเรียวสนิทสนมกับคุณแคทจังเลยนะครับ ชอบเขาเหรอ เห็นกุ๊กกิ๊กกันตลอดเวลา ผมหึงนะครับ”

“บ้าน่า เขาเป็นผู้หญิงนะ”

ตอบออกไปแล้วก็รู้สึกแปลกๆที่พูดออกไปอย่างนั้น เหมือนกับผมจะบอกเขาว่าจะมาหึงทำไมกับผู้หญิง ผมไม่สนซะหน่อย ถ้าเป็นผู้ชายว่าไปอย่าง โอ๊ยอะไรกันเนี่ย ผมเริ่มคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เดียร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนพึงพอใจกับคำพูดที่หลุดออกจากปากผม คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหน้างอบ้าง ที่เผลอพูดไปโดยไม่คิด

“หึงทั้งนั้นแหละ ไม่ว่ากับใครอ่ะ ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับที่รักของผมนี่นา”

เดียร์กอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วทำเสียงอ้อนๆ

“เรียวหนีออกไปก่อน เลยไม่ได้ซ้อมเลยนะ เดี๋ยวผมทบทวนให้เอาไหมครับ เอาให้เต้นคล่องๆ พรุ่งนี้จะได้ไม่ลืม”

“แล้ววันนี้ไม่ไปซ้อมต่อเหรอ”

“ไม่ครับ วันนี้ เขาให้มาพัก แต่พรุ่งนี้ต้องไปซ้อมก่อนเข้างานตั้งแต่ตอนบ่ายเลยครับ คงต้องลางานคุณป้าอีกวัน สงสารแกเหมือนกันนะครับ ผมทำงานให้ไม่ค่อยได้เต็มที่เลย นี่กะว่า อาจจะลาออกนะครับ แล้วให้น้อยมาทำงานแทน”

“น้อยจะเข้ามาทำงานที่กรุงเทพเหรอ แล้วร้านที่โน่นล่ะ”
ผมถามด้วยความสงสัย น้อยรักร้านนั้นมาก เพราะสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของน้อย โดยการสนับสนุนของแฟนหนุ่มต่างชาติ ถ้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพแล้วใครจะดูแลร้านให้น้อยล่ะ

“น้อยขายแล้วครับ เพราะเขาเลิกกับแฟนแล้วก็เลยขายร้านแบ่งเงินกัน แฟนเขาก็กลับไปอยู่เมืองนอกครับ แล้วอีกอย่างน้อยก็อยู่ที่โน่นไม่ได้แล้วด้วยครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมถึงอยู่ไม่ได้ แถวนั้นก็บ้านน้อยนี่”

“ก็น้อยดันพาเพื่อนที่เป็นนักมวย ไปมีเรื่องกับพวกพี่บอยนี่ครับ น้อยเขาโกรธแทนผมกับเรียว เลยไปจัดการให้ นี่ผมก็เพิ่งรู้ไม่กี่วันนี่เอง เห็นว่าไปเล่นงานเสียสะบักสะบอมเลย เอ้อ แบบว่า พาเพื่อนไปข่มขืนพี่บอยเลยครับ แถมสั่งไม่ให้มันเอาเรื่อง ไม่งั้นจะพานักมวยทั้งค่ายมาเล่นงานอีก แต่น้อยก็แค่ขู่อ่ะครับ เพราะเอาเข้าจริงตัวเองก็กลัวการแก้แค้น เลยต้องเผ่นมาจากตรงนั้นน่ะครับ”

คำบอกเล่าของเดียร์ทำเอาผมหนักใจ ทำไมพวกเกย์ถึงอารมณ์แรงกันอย่างนี้นะ ถึงแม้ผมจะเจ็บใจที่นายบอยเกือบจะลงมือข่มขืนผม และซ้อมผมจนน่วม แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะต้องใช้วิธีรุนแรงตอบโต้ แก้แค้นกันไปแก้แค้นกันมาแบบนี้ ก็เหมือนยิ่งทำให้ความโกรธเกลียดชังมันเพิ่มมากขึ้น ชีวิตก็ไม่มีวันสงบ ต้องคอยลี้ภัย หรือไม่ก็ต้องตามทำร้ายกันไปเรื่อยๆ

ผมเห็นว่าเรื่องนี้มันควรจะจบลงได้แล้ว ผมอโหสิกรรมให้นายบอย ตั้งแต่ที่เขาเล่าให้ฟังว่าเขาได้ทำร้ายพี่ชายของเขาสาหัสแค่ไหน เดียร์ได้ทำเพื่อผมมากพอแล้ว ผมไม่อยากให้เขาหรือใครๆมาก่อเวรก่อกรรมอีก โดยเฉพาะถ้าหากมันจะมาจากที่ต้องการแก้แค้นให้ผมและเดียร์ ยิ่งไม่น่าจะกระทำใหญ่ เพราะไม่ใช่เรื่องของพวกเขาเลย

“แล้วน้อยจะเข้ามากรุงเทพวันไหนล่ะ”

“อาทิตย์หน้าครับ และผมก็มีเรื่องจะขอร้องเรียวนิดหน่อยนะ คือว่า ผมอาจจะต้องมาขออาศัยเรียวสักพักนะครับ จนกว่าน้อยจะมีที่อยู่ ตอนนี้ผมให้น้อยไปพักที่บ้านเช่าของผมก่อนนะครับ ให้อยู่กับพี่สมฤทัยกับพี่โสภิต มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ สามคนนั้นเขาสนิทกันครับ”

ชิส์ ทำอย่างกับว่าทุกวันนี้ ตัวเองไม่ได้มาอาศัยงั้นแหละ มาบ้านผมเกือบทุกวัน มีช่วงนี้เท่านั้นที่หายไปซ้อมเต้นจนดึกดื่นไม่กลับ ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไร หากเขาจะมาหา แต่ทำไมผมถึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจนักนะเวลาที่เขาพูดว่าจะมาอาศัยอยู่ด้วย หรือเป็นเพราะผมกลัวว่าเขาจะมาอยู่ด้วยตลอดไป ไม่ยอมกลับไปห้องพักของตนเอง ถ้าเป็นแบบนี้ การเลิกกันก็น่าจะลำบากน่ะสิ เห็นหน้ากันทุกวัน ยิ่งเดียร์ชอบมานัวเนียใกล้ๆ ทำดีด้วยบ่อยๆ จะไม่กลายเป็นว่าผมรักเขามากขึ้นจนไม่คิดอยากเลิกกับเขาเลยหรือ ผมไม่แน่ใจว่าผมพร้อมแล้วหรือไม่ที่จะใช้ชีวิตแลบนี้

“ทำไมไม่ให้เขามาพักด้วยที่บ้านฉันล่ะ”

อย่ากระนั้นเลย หาบุคคลที่สามมาอยู่ด้วยดีกว่า เดียร์จะได้เกรงใจไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่าม
“ผมไม่อยากรบกวนเรียวไปมากกว่านี้ครับ น้อยเองก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเรียวมาก เรียวอาจจะอึดอัด อยากอยู่เป็นส่วนตัว อีกอย่างน้อยเองถึงจะเป็นเพื่อนรักของผม เป็นคนดีจริงใจน่าคบหา แต่น้อยก็ขี้เม้าช่างพูด ผมกลัวว่าเขาจะเผลอพูดเรื่องผมกับคุณให้ใครฟัง เดี๋ยวคุณจะเสียหายครับ ก็เลยคิดว่า ให้แยกกันอยู่ไปแบบนี้ดีกว่า พอจบงานคราวนี้แล้ว ผมจะพาน้อยไปฝากไว้ที่ร้านคุณป้า น้อยทำอาหารอร่อยใช้ได้ทีเดียว คุณป้าคงชอบ พอเขาได้งาน ก็คงมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน พอแยกออกไปแล้ว ผมก็กลับไปอยู่บ้านตามเดิมครับ”

เออจริงสินะ ผมไม่ทันได้คิดถึงข้อนี้ พอเดียร์พูดขึ้นมา ผมก็นึกภาพน้อยขึ้นมาทันที กระเทยแปลงเพศร่างล่ำลัน ใส่เสื้อสีสันฉูดฉาด และช่างพูดช่างคุย ปากเก่งเหมือนใครหนอ คุ้นๆ นี่ถ้าจับคู่กับเจ้าสันต์คงนินทาชาวบ้านกันมันพิลึก

“เอาแบบนั้นก็ได้”

เดียร์หอมแก้มผมฟอดใหญ่ แล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นเขาก็โอบประคองผมให้ลุกขึ้นบอกว่าจะทบทวนการเต้นรำให้ โดยรอบแรกเขาให้ผมเป็นผู้หญิงก่อน แล้วให้สังเกตวิธีการนำของเขา พอรอบสองเขาให้ผมลองนำดูบ้าง ส่วนเขาเต้นเป็นผู้หญิง ผมรู้สึกขัดเขินที่เต้นกับเขาเพียงลำพัง แต่ถูกเขาดุว่าถ้าไม่อยากขายหน้าเวลาขึ้นไปแสดงบนเวที ก็ให้ตั้งใจซ้อม ผมก็เลยฮึดขึ้นมา

ผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง ผมก็เริ่มมั่นใจขึ้น เพราะจำท่าและเต้นตามได้ถูกจังหวะ แม้ผมจะไม่ได้อยากเป็นนักเต้นมืออาชีพ แต่ผมก็ไม่อยากหน้าแตกบนเวที ตำแหน่งหน้าที่การงานมันค้ำคออยู่ เลยทำให้ผู้บริหารทุกคนต้องถูกจับตามองเป็นพิเศษ ผมไม่อยากทำเปิ่นๆให้พนักงานเอามาล้อเลียนกันเป็นที่สนุกปาก ใครจะว่าผมคิดมากก็ช่าง แต่ผมอยากทำทุกอย่างให้ออกมาดีเพื่อเป็นแบบอย่างกับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ควรจะตั้งใจทำจริงๆ ไม่เหลาะแหละเหลวไหล ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ หากใช้ความพยายามแล้วมันต้องสำเร็จ นี่คือวิธีการทำงานของผม หากพนักงานทุกคนเอาจริงเอาจังเรื่องการทำงานเท่ากับเวลาที่ทำเรื่องไร้สาระ ชีวิตของพวกเขาทุกคนก็จะก้าวหน้าประสบความสำเร็จกันทุกคน

“เรียวเหนื่อยไหมครับ”

เด็กหนุ่มถามด้วยความห่วงใย ผมยิ้มเนือยๆให้กับเขา รู้สึกเหนื่อยเพราะวันนี้ทำกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งทำงาน ซ้อมเต้น และยังไปเดินอยู่ในงานแต่งตั้งหลายชั่วโมง กลับมาก็ถูกเดียร์จับมาซ้อมเต้นอีกจนเมื่อยไปหมด

“ก็นิดหน่อย”

“งั้นพักกันดีกว่านะครับ เรียวทำได้ดีมากแล้วนะ รับรองพรุ่งนี้เรียวได้เกิดแน่”

“บ้าน่ะสิ เอาแค่สนุกๆ ไม่ได้อยากเต้นเอาจริงเอาจังเป็นอาชีพแบบนายนี่”

“ดีแล้วครับ เรื่องเต้นเป็นหน้าที่ของผม เรียวแค่เป็นแฟนของนักเต้นก็พอนะครับ”

เขาทำน้ำเสียงยั่วเย้า น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ผมรีบผละจากเขา แต่เดียร์ดึงผมมากอดไว้ และตั้งต้นลวนลามกอดจูบผมไม่ยอมหยุด เหมือนคนที่อดอยากหิวโหยมานานแสนนาน พอเจออาหารก็กระโจนเข้าใส่ ผลักไสอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ในที่สุดเดียร์ก็ปล้ำถอดเสื้อออกจากตัวผมจนได้ และโอบประคองผมลงนอนลงบนเตียงแล้วขึ้นมาทาบทับตัวผม
“คิดถึงมากเลยรู้ไหม ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบอาทิตย์ เวลาไปสอนพวกคุณที่บริษัทผมอยากจะดึงตัวคุณมากอด แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำ แถมซ้ำเรียวยังมัวแต่คลอเคลียอยู่กับคุณแคททำให้ผมหึงอยู่ตลอดเวลาอีก ต้องทำโทษเรียวที่ทำให้ผมคิดมาก แบบนี้ แบบนี้ และแบบนี้”

เขาระดมจูบผมทั่วทั้งใบหน้าและลำคอจากนั้นก็มาหยุดนิ่งเนิ่นนานที่ริมฝีปากของผม เดียร์ทำให้ผมรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ ในที่สุดผมก็ไม่เคยขัดขืนเด็กหนุ่มได้สักที นับตั้งแต่วันที่ผมแน่ใจตัวเองว่าผมรักเดียร์ ผมก็ปล่อยให้อารมณ์พิศวาสเข้าครอบงำยอมให้เดียร์ครอบครองร่างกายของผมครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเต็มอกเต็มใจ

หนนี้ก็เช่นกันแม้จะพยายามห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับสัมผัสของเด็กหนุ่ม แต่ความโหยหาอาวรณ์ในตัวเขา ทำให้ร่างกายของผมโอนอ่อนไปกับการแตะเนื้อต้องตัวอย่างรักใคร่นั้น กว่าจะหายมึนงงกับสัมผัสของเดียร์ เด็กหนุ่มก็ช้อนสะโพกของผมขึ้น และฝังร่างกายของเขาเข้ามาในร่างของผมเสียแล้ว ผมผวาเฮือก โอบกอดเดียร์ไว้แนบแน่น

ใบหน้าหล่อเหลาชื้นเหงื่อของเดียร์ชะโงกลอยอยู่เหนือใบหน้าของผม เขามองผมด้วยดวงตาที่ฉ่ำเยิ้ม ใบหน้าของเดียร์ยิ้มละไม มือสองข้างของเขาโอบประคองอยู่ตรงใบหน้าของผม มือลูบไล้ศีรษะของผมไปมา ในขณะที่ร่างกายท่านล่างของเขาก็ขยับเข้าออกเป็นจังหวะ

เวลาเดียร์ขยับร่างกายใหญ่โตของเขาทีไร ผมแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความสุขสม เขาทำให้อารมณ์ผมปั่นป่วนถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งเขม็ง เคลื่อนไหวไปตามการบัญชาการของเด็กหนุ่ม ผมครางเรียกชื่อเดียร์เสียงลั่นราวกับจะตายเสียให้ได้ ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มพอใจและทุ่มเทพละกำลังใส่ผมไม่หยุดยั้ง และแล้วก็ถึงช่วงเวลาแห่งสุขสุดยอด เดียร์พลิกตัวผมให้อยู่ในท่าคลานจากนั้นเขาก็เอามือข้างหนึ่งมาเกาะกุมน้องชายที่กำลังตื่นตัวของผม

มือใหญ่โตของเดียร์คลึงเคล้าให้ความสุขสันต์ ในขณะที่ร่างกายท่อนล่างของเขาก็เคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่ยอมให้ขาดจังหวะ และเพิ่มความเร็วขึ้นตามช่วงอารมณ์ที่เตลิดเพริด ความหฤหรรษ์เกิดขึ้นกับผมระลอกแล้วระลอกเล่า ผมก้มหน้าลงหลับตาแน่น อ้าปากหายใจ มือเกร็งขยุ้มที่นอน ร่างของเดียร์กระตุกถี่ๆ และแล้วสายน้ำที่อุ่นวาบก็ถูกฉีดเข้ามาสู่กายผมพร้อมๆกับที่ไหลออกมาจากเรียวน้อยจนเลอะรดมือของเดียร์ที่กอบกุมมันอยู่

เด็กหนุ่มพลิกร่างผมให้นอนหงายตามเดิมทันทีที่เขาคลายตัวออก จากนั้นเดียร์ก็ใช้ปากทำความสะอาดน้องชายตัวล่อนจ้อนของผมจนสะอาดหมดจด เขายิ้มให้ แล้วก็เลื่อนตัวขึ้นมานอนกอดร่างกายที่ยังสั่นระริกของผม

“ยอดรักของผม คุณน่ารักเสมอเลย ผมรักคุณที่สุด พ่อแมวยั่วสวาทของผม”

“ใครเป็นแมวยั่วสวาทของนายกัน นั่นมันคำที่เขาใช้เรียกผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”

ผมแหวใส่เขาเสียงสั่นๆ ยังไม่หายเหนื่อยจากปฏิบัติการณ์รักเมื่อครู่ เดียร์หัวเราะเอิ๊กอ๊าก อย่าง มีความสุข มือใหญ่ๆลูบไล้ไปมาบนเรือนร่างของผม พลางกระซิบเสียงอ้อนแถวๆข้างหูผม จนอดรู้สึกจั๊กกะจี้ไม่ได้

“ก็นี่ไงแมวยั่วสวาท เวลาเห็นเรียวเปลือยกายทีไร มันอดใจไม่ไหวจริงๆ เรียวอาจจะไม่รู้ตัวมาก่อนก็ได้ ว่าตัวเองมีร่างกายที่ยวนยั่วชะมัด ผิวขาว เนื้อตัวนุ่มเนียนหอมกรุ่น กล้ามเนื้อพอสวย โดยเฉพาะก้นแน่นน่าจับ เห็นแล้วน้ำลายสอ อยากกุ๊กกิ๊กด้วยทุกวันเลย นี่ถ้าเราแต่งงานกันนะครับ ผมจะพาเรียวไปฮันนีมูนในที่ไกลหูไกลตาผู้คน ที่ๆมีสายลมหนาว และเมฆหมอกปกคลุมทั่วขุนเขา ถ้ามีฝนตกทั้งวันได้ยิ่งดี ผมจะได้ไม่ต้องพาเรียวออกไปข้างนอก ขลุกกันแต่ในบ้าน และทำรักด้วยกันทุกชั่วโมงเลย”

ดูคนพูดสิ คิดได้ยังไงกัน เอาแต่ได้ไม่รู้จักพอจริงๆ นึกแล้วก็หมั่นไส้นัก เห็นผมเป็นของกินเล่นหรือไง ถึงจะมาชิมแล้วชิมอีก แล้วดูสิเจ้าคนพูดเริ่มซุกซนไม่อยู่สุขอีกแล้ว ผมเหนื่อยจนเกินกว่าที่จะแสดงภาคต่อของซีรี่ส์ชุดกลกามแห่งความรักกับเดียร์อีก เลยผลักเขาออก แล้วร้องชิส์ ใครจะไปฮันนีมูนกับนายกัน เชิญฝันเฝื่องไปคนเดียวเถอะ จะนอนแล้ว

เดียร์หัวเราะก๊ากๆชอบอกชอบใจ ดึงตัวผมกลับเข้าไปสู่อ้อมกอดของเขาใหม่พลางกระซิบงึมงำ บอกว่าไม่ต้องอาบน้ำหรอก เขาอยากสูดกลิ่นกายของผมหลังที่เราผ่านสมรภูมิรักมาด้วยกัน กลิ่นเหงื่อของผมเร้าใจดี ผมดิ้นหนีอีก รีบตะกายลงจากเตียงเพราะกลัวว่าเดียร์จะเริ่มบทอัศจรรย์ต่ออีก แล้วร้องบอกก่อนจะฉวยผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ ว่าไม่ชอบทำตัวซกม่กแบบเขา เดียร์หัวเราะอย่างร่าเริง กระโจนลงจากเตียงทีเดียวก็ถึงตัวผม แล้วคว้าตัวเข้ามากอด จากนั้นก็ดันตัวผมเข้าห้องน้ำ และพูดเสียงอ้อนๆว่า อาบน้ำก็ดีเหมือนกัน เพราะผมตอนตัวหอมๆกอดจูบแล้วก็ชื่นใจ

ผมร้องหึนึกขวางคนตรงหน้าเมื่อกี้ยังบอกว่าชอบกลิ่นเหงื่อของผม ตอนนี้บอกว่าชอบดมเวลาผมสะอาดสะอ้าน พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยจริงๆ เหมือนเดียร์จะเดาความคิดของผมออก เขายิ้มทะเล้น พูดเสียงออดอ้อนว่า อันที่จริง แบบไหนเขาก็ชอบ เพราะเขารักผม จะมีเหงื่อโทรม หรือเนื้อตัวหอมกรุ่น เขาก็ชอบทั้งนั้น พูดจบเขาก็อุ้มผมลงไปวางในอ่างน้ำ เปิดน้ำจากก๊อก แล้วก็ก้าวตามลงไป พยายามแย่งเอาสบู่มาถูเนื้อถูตัวผม หลังจากขัดขืนได้สักพัก ผมก็เสร็จเดียร์อีกจนได้ ปล่อยให้เขาเผด็จศึกผมจนหมดแรงนอนซบหน้ากับแผ่นอกของเดียร์ในอ่างน้ำนั่นเอง

ข้อสรุปที่ผมได้รับจากการที่เดียร์มาขลุกอยู่ด้วย มันทำให้ผมตกใจที่ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ นับวันผมก็ยิ่งต้านทานเดียร์ได้น้อยลง จากเดิมไม่เคยคิดที่จะอยากให้เขาแตะเนื้อต้องตัว แต่เมื่อผ่านค่ำคืนแรกที่เรามีอะไรด้วยกัน จนกระทั่งเมื่อผมแน่ใจว่ารักเขา ไม่มีวันไหนที่ผมจะต้องการเดียร์น้อยลงเลย ความปรารถนาในตัวเขาเพิ่มขึ้นทุกวันจนน่าใจหาย ใช่ว่าเดียร์จะอยากมีอะไรกับผมแค่คนเดียว ตัวผมเองก็อยากร่วมรักกับเขาทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกกลัว กลัวว่าวันหนึ่งเมื่อสัญญาของเราสิ้นสุดลงแล้ว ผมนั่นแหละที่จะไม่กล้าเดินไปจากชีวิตของเดียร์ กลัวจะเลือกเด็กหนุ่มคนนี้มากกว่าหน้าที่การงาน นี่ผมจะทำอย่างไรดีหนอถึงจะหยุดรักเขาได้ หรือว่าผมควรจะใช้คุณแคทเป็นเครื่องมือทำให้เดียร์เข้าใจผมผิดจนเลิกยุ่งกับผมดี แต่ถ้าทำแบบนี้แล้วผมจะมีความสุขจริงๆหรือเปล่านะ ....ผมเองก็ยังสงสัยอยู่


ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
«ตอบ #218 เมื่อ03-02-2009 12:25:37 »

คริ คริ

รักแท้ แพ้ใกล้ชิด   :impress2:

bigrat

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
«ตอบ #219 เมื่อ03-02-2009 20:13:42 »

 :L2: เอาดอกไม้มาฝากพี่แอนคนจ๋วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
« ตอบ #219 เมื่อ: 03-02-2009 20:13:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
«ตอบ #220 เมื่อ04-02-2009 17:59:00 »

ไม่ได้นะ ตกมาหน้า 2 อ่ะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #221 เมื่อ04-02-2009 18:34:34 »

บทที่ 30

และแล้วก็ถึงวันงานปีใหม่ที่บริษัทจัดขึ้น ซึ่งก็ตรงกับวันครบรอบวันเกิดของผมด้วย ปีนี้ผมมีอายุครบ 28 แล้ว อายุเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ปี มีทั้งเรื่องดีๆและเรื่องร้ายๆผ่านเข้ามาในชีวิตผมมากมาย ผมนึกอยากจะไปทำบุญตักบาตรในตอนเช้า จึงรีบปลุกเดียร์ให้ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปดักรอพระที่หน้าหมู่บ้านเพื่อใส่บาตรด้วยกัน ก่อนที่ผมและเดียร์จะแยกย้ายกันไปทำงาน

เด็กหนุ่มพยายามจะซักถามผมว่าทำบุญเนื่องในโอกาสอะไร แต่ผมไม่ตอบคำถามของเขา บอกแต่เพียงว่า ไม่ได้ทำบุญมานานมากแล้ว อยากจะทำอะไรให้สบายใจบ้าง หลังจากผมผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีถึงสองครั้งและรอดมาได้ โดยไม่เสียตัวให้กับคนเหล่านั้น เดียร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ และเชื่อตามที่ผมพูด แต่ก็ไม่วายบ่นกระปอดกระแปดว่าน่าจะบอกกันแต่เนิ่นๆ เพราะเขาจะได้เตรียมตัวทำกับข้าวไว้เยอะๆ นานๆจะได้ทำบุญร่วมกับผมสักที น่าจะมีเวลามากกว่านี้ ไม่ต้องมาซื้อกับข้าวมาใส่บาตร เพราะหากทำดีๆ ผมกับเขาก็จะได้เจอกันอีกทุกชาติไป

ผมก็ดุเขาไปว่าเวลาทำบุญ ไม่ต้องบ่นอะไรให้มันมาก จะทำกับข้าวใส่บาตรเอง หรือซื้อมาใส่ ก็ได้บุญเหมือนกัน หากใจเราเปี่ยมไปด้วยศรัทธาตั้งมั่น มัวแต่คิดเล็กคิดน้อย บุญกุศลก็จะไม่ส่ง โดนผมว่าไปแบบนั้น เขาก็เลยได้แต่หัวเราะแหะๆ แล้วบอกกับผมว่า คราวหน้าถ้าผมจะไปทำบุญอีก อย่าลืมชวนเขาด้วยนะ เขาขอไปทำด้วย ผมกำลังอารมณ์ดี และเห็นว่าไม่เสียหายอะไร ผมไม่อยากกีดกันเด็กหนุ่มเพียงเพราะคำพูดที่ว่า อยากครองคู่กันทุกชาติไป เรื่องของบุญกุศลจะมาห้ามไม่ให้ใครทำนั้นไม่ได้ ผมเลยยอมตอบตกลงทำให้เดียร์ดีใจมาก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ท่าทางร่าเริง

ทำบุญเสร็จ เราก็แยกย้ายกันไปทำงาน ผมถึงออฟฟิศแต่เช้า และเริ่มต้นทำงานอย่างที่ทำประจำ วันนี้บริษัทให้พนักงานเลิกเร็ว สามโมงครึ่งใครที่ทำงานเสร็จเรียบร้อยก็ให้เดินทางไปที่โรงแรมได้ โชคดีที่สถานที่จัดงานสามารถที่จะนั่งรถไฟฟ้าไปถึงและอยู่ไม่ไกลนัก คนที่มีรถจึงฝากรถกับบริษัทไม่ต้องขับออกไปให้มันติดอยู่บนท้องถนน ผมเองก็จอดรถไว้ที่บริษัทเช่นกัน กะว่าเลิกงานแล้วค่อยนั่งรถไฟฟ้ามาเอารถกลับบ้าน เพราะไม่ได้ตั้งใจจะอยู่นานนัก แค่แสดงเสร็จ แล้วอยู่อีกสักพักก็กลับบ้านแล้ว
คณะผู้บริหารที่จะขึ้นแสดงโชว์นัดแนะกันว่า จะไปซ้อมกันอีกครั้งเพื่อความมั่นใจที่โรงแรมเวลาประมาณบ่ายสาม เพราะพวกเราต้องแต่งตัวกันด้วย ทางคนจัดได้เปิดห้องวีไอพีให้พวกเราสองห้อง แยกเป็นของผู้บริหารชายและหญิง ซึ่งจะสามารถอาบน้ำแต่งตัวกันได้ในห้องนั้น

วันนี้ เดียร์ไม่ได้มาซ้อมให้พวกเราเพราะว่าเดียร์ต้องไปเต้น เขาบอกผมในตอนที่แยกกันว่าเขาให้พี่ชิ มาสอนแทน ซึ่งก็ไม่ต้องซ้อมอะไรมาก แค่กำหนดจุดให้ยืนบนเวที และซ้อมเต้นประกอบเพลงเพื่อดูความพร้อมกันแสดง โดยเขาจะกันไม่ให้ใครเข้างาน จนกว่าพวกเราจะซ้อมเสร็จ เพื่อเป็นการเซอร์ไพรซ์ จากนั้นก็จะปล่อยเวทีให้กับพวกพนักงานที่ส่งการแสดงเข้าประกวด ได้มาลองซ้อมกันบนเวทีบ้าง

พอพวกเราซ้อมกันเสร็จ ทีมงานผู้จัดก็จะต้อนพวกเราไปแต่งตัว ซึ่งชุดนั้นไปเช่ามาตามที่กำหนดไว้ว่าใครจะแสดงเป็นตัวไหน พวกเราต่างตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะเจ้าสันต์กับศักดิ์ชายซึ่งสงบศึกกันชั่วคราว เพราะสองคนนั้น ต่างตื่นเต้นด้วยกันทั้งคู่ ผม เจ้าสันต์ และศักดิ์ชายได้ขึ้นเวทีแสดงเป็นครั้งแรก ก็เลยยังมีความกังวล คุณแคทเองก็ดูจะเครียดอยู่ไม่น้อย เธอแยกไปซ้อมคนเดียวหลังจากแต่งตัวเสร็จ บ่นงึมงำฟังความได้ว่ากำลังนับจังหวะอยู่

ฝ่ายจัดงานแจ้งให้พวกเราทราบว่า จะปล่อยให้พนักงานเข้าไปในห้องบอลรูมที่จัดงานประมาณ 5 โมงเย็นเมื่อทุกคนทะยอยเข้ามาจนหมด ก็จะมีโชว์จากแดนเซอร์ที่จ้างมา 4 ชุดเป็นการเปิดตัว ตามด้วย การแสดงเซอร์ไพรส์จากผู้บริหาร จากนั้นท่านประธานจะขึ้นไปกล่าวเปิดงาน ประกาศชื่อผู้ได้รับการโปรโมทเป็นผู้บริหารระดับสูง แล้วจึงจะเปิดโต๊ะจีนเอาอาหารหลักลงให้ทานกันได้ เวลาที่พวกเราจะแสดงจริงๆก็คือ ประมาณ 1 ทุ่มตรง หลังจากนั้นก็จะเป็นการแสดงของศิลปินนักร้องสาวสวยที่กำลังดังทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ขณะนี้สลับกับการแจกรางวัลและการแสดงโชว์ของพนักงาน

นาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลา 6 โมงแล้ว ตอนนี้ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อยและพร้อมที่จะขึ้นแสดงแล้ว ทีมงานมาเชิญพวกผมไปนั่งในโต๊ะวีไอพีสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่อยุ่ทางด้านหน้า ใกล้เวที ผมรู้สึกเขินๆทั้งจากชุดที่ใส่และจากการที่ต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงเหล่านั้น ด้วยเป็นครั้งแรกที่ผมต้องไปร่วมโต๊ะกับพวกเขา แต่หัวหน้าบอกให้ผมไปนั่งด้วย เพราะว่าในงานจะมีการประกาศการเลื่อนตำแหน่งของผม และผู้บริหารท่านใหม่ท่านอื่นๆที่ได้รับการโปรโมตในปีนี้

พอเดินเข้างานมากลุ่มของพวกเราก็ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะแต่ละคนแต่งตัวอย่างอลังการในชุดประจำชาติของประเทศต่างๆ คุณแคทเองเรียกเสียงฮือฮาได้มาก ตอนเดินผ่านเข้ามาในงาน เพราะเธอทั้งสวยและเซ็กซี่ ในขณะที่มีเสียงชื่นชมไล่หลังผมด้วยเช่นกัน

เพลงที่คลอเบาๆ หยุดลงเมื่อผู้บริหารทั้งหมดนั่งที่จนครบหมดแล้ว ไฟในห้องดับพรึ่บเป็นการให้อานัติสัญญาณว่างานจะเริ่มขึ้นแล้ว ทุกคนต่างพากันเงียบ และแล้วหมอกควันก็พวยพุ่งปกคลุมเวทีเต็มไปหมด พร้อมกับเสียงกลองในจังหวะเร้าใจดังกระหึ่ม และแล้วคนป่าฝูงหนึ่งก็กรูกันขึ้นมาบนเวทีจากนั้นก็แหวกเป็นสองข้าง ชายหนุ่มร่างสูงในชุดแต่งกายชาวป่า ท่อนล่างนุ่งห่มหนังสัตว์ผืนเดียว ลำตัวท่อนบนเปลือยเปล่า มีสร้อยร้อยจากเขี้ยวเล็บ ฟันสัตว์ และขนนกอยู่ที่คอเดินเท้าเปล่าออกมาจากหลังเวที พอมาถึงตรงกลางก็เต้นไปตามจังหวะเพลงที่เร้าใจด้วยท่วงท่าที่แข็งแรง เป็นการโปรโมทคุณวุฒิท่องเที่ยวอาฟริกา
ตอนที่การแสดงเริ่มต้นนั้น ผมกำลังเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ผมเกือบทำแก้วหลุดจากมือตกแตกเมื่อเห็นผู้ที่เต้นอยู่บนเวทีชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเรียบเฉย มีสีป้ายที่แก้มเป็นแถบแต่ไม่ทำให้ผมหลงลืมผู้เป็นเจ้าของ นายเดียร์สุดที่รักของผมกำลังเต้นอย่างเริงร่าอยู่บนเวที

ผมตะลึงงันจ้องมองบนเวทีตาไม่กระพริบ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเดียร์เต้นจริงๆไม่ใช่แค่ในมิวสิค หรือการสอนอย่างที่เขามาซ้อมให้พวกผม เดียร์เต้นเก่งมาก ดูพลิ้วไหวสวยงาม ทว่าแข็งแรงและทรงพลัง ผมมองอย่างทึ่งและชื่นชมในตัวของเขา

สักพักเพลงก็เปลี่ยนทำนองเป็นเพลงอินเดีย ฉากที่เพ้นท์ไว้เป็นป่าถูกชักขึ้น เป็นทัชมาฮาล มีสาวๆในชุดส่าหรี สีแสบสันต์ออกมาเต้นระบำ ยักไหล่ ส่ายหน้า และเลื้อยลำตัวอย่างอ่อนช้อย เพลงเปลี่ยนไปแล้ว แต่ตาผมยังจ้องอยู่บนเวที ไม่ได้ชื่นชอบกับนางระบำแขกตรงหน้า ใจของผมล่องลอยไปถึงหนุ่มชาวป่าที่เพิ่งลับหายเข้าไปหลังเวทีเมื่อสักครู่นี้

เดียร์มาแสดงที่บริษัทผมด้วยหรือ ทำไมเขาไม่บอกให้ผมรู้ แม้กระทั่งคุณแคทและคณะกรรมการคนอื่นๆก็ไม่บอกผม แต่มาคิดอีกที ผมอาจจะหลงลืมอะไรไปก็ได้ รู้สึกเหมือนเคยได้ยินว่าพวกเขาจ้างนักร้องผู้หญิงจากค่ายดัง และทีมเต้นจากค่ายเพลงนั้น จริงสินะ เดียร์เคยเต้นให้นักร้องคนนี้ ผมเห็นจากมิวสิค แล้วเขาก็ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับนักร้องคนนี้ด้วย จึงเป็นไปได้ที่เขาจะเรียกใช้ทีมงานเดิม เพราะรู้งานดีแล้วไม่ต้องสอนกันใหม่ ผมมันไม่เฉลียวใจเอง อีกอย่างเดียร์ก็บอกผมว่าเขาจะไปเต้นให้งานปีใหม่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แถมซ้ำเดียร์ยังมาสอนพวกผมเต้นอีกด้วย แต่เป็นเพราะผมไม่ใส่ในที่จะถามเดียร์เองต่างหาก ผมจึงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

บนเวทีเพลงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นเพลงจีน เพลงญี่ปุ่น เพลงเกาหลี เพลงคันทรี่ของฝรั่ง และมีระบำรองเง็ง จนกระทั่งครบประเทศที่ตั้งไว้ว่าเป็นคุณวุฒิที่ท้าทายให้ตัวแทนพิชิต การแสดงชุดแรกจบลง ผมชะเง้อ ชะแง้มองหาเดียร์โดยไม่รู้ตัว อยากเห็นเขาอีกครั้ง แต่ไม่รุ้ว่าเดียร์จะออกมาเต้นอีกหรือเปล่า ไฟบนเวทีดับลงอีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนชุดการแสดง

จากนั้นเสียงเพลงจังหวะละตินของเชอกีร่าก็ดังขึ้น แล้วแดนเซอร์สาวคนหนึ่งก็นวยนาดออกมา ทันทีที่เพลง Hips don’t lie ดังขึ้น จากนั้นเสียงปรบมือฮือฮาก็ดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อหนุ่มลูกครึ่งผมหยิกสลวย ที่อยุ่ในชุดกางเกงรัดรูปสีดำ ท่อนบนเปลือยเปล่าอีกเช่นเคย เดินเข้ามาหาสาวสวยที่เต้นยั่วอยู่กลางเวที

ผมใจคอไม่เป็นปกติ เมื่อเห็นลีลาเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงยั่วใจที่สองหนุ่มสาวแสดงด้วยกัน นึกโมโหคนที่เลือกชุดการแสดงว่าทำไมถึงให้มีโชว์แบบนี้กันหนอ มันหวาบหวามจนเกินไป เดี๋ยวพนักงานของบริษัทได้ใจแตกกันพอดี ผมลอบสังเกตไปยังคนที่อยุ่ในโต๊ะเดียวกับผม เห็นเจ้าสันต์มองตาค้าง ข้างฝ่ายศักดิ์ชายก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง คุณแคทนั่งยิ้มอย่างพึงพอใจ ในขณะที่ผู้บริหารสาวๆอีกสองสามคนจ้องมองอย่างชื่นชม

มีเสียงพูดคุย อย่างชอบอกชอบใจดังขึ้นจากพนักงานโต๊ะข้างหลังผม ดูท่าทางเดียร์จะได้ใจสาวๆที่บริษัทผมไปเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นที่สวยงาม และรูปร่างหน้าตาที่แสนจะเพอร์เฟค จนผมแอบภาคภูมิใจนิดๆ ที่คนใกล้ตัวของผมมีคนชื่นชมมากมายขนาดนี้ พร้อมๆกับที่นึกโมโหทั้งคนจัดงาน และเดียร์ที่รับงานมาเต้นวาบหวามแบบนี้ ทำไมต้องถอดเสื้อแสดงด้วยนะ ใส่เสื้อผ้าเต้นไม่เป็นหรือไง แล้วถ้าจะโปรโมตคุณวุฒิท่องเที่ยวประเทศในแถบละตินอเมริกา ก็ไม่น่าจะเลือกเพลงนี้นี่นา เพลงอื่นก็มี แล้วท่าเต้นก็เรียบร้อยกว่านี้ก็ได้ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งขวางหูขวางตาไปหมด
โชคดีที่เดียร์ไม่ได้แสดงในอีกสองชุดสุดท้าย เขาคงจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเพื่อเต้นให้กับนักร้องสาว ทำให้ผมไม่ต้องหงุดหงิดไปมากกว่าเดิม ทีมงานจัดงาน มากระซิบพวกเราว่าถึงคิวแสดงแล้ว ให้ทะยอยกันเดินไปซ่อนอยู่หลังเวที พวกเรารับทราบ และค่อยๆทะยอยลุกขึ้น พร้อมๆกับที่ไฟบนเวทีดับมืดลง จากนั้นสไลด์แอบถ่ายพนักงานที่นำมาตัดต่อประกอบกับเพลงก็ถูกฉายขึ้นมาบนจอที่ถูกทิ้งลงมาหน้าเวที เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากพนักงาน เหล่านักแสดงระดับวีไอพีจะได้ไปแอบกันได้โดยไม่มีใครรู้

สไลด์จบ ไฟในห้องยังดับมืดมีเพียงสปอตไลท์ที่ส่องมาที่โพรเดียม พิธีกรคู่เดินขึ้นไปบนเวทีกล่าวทักทายกันตามธรรมเนียมและเชิญชวนให้พนักงานชมการแสดงโชว์จากเหล่าศิลปินรับเชิญที่ทุ่มเทให้กับงานนี้เป็นพิเศษ ระหว่างที่พิธีกรประกาศอยู่นั้น ผมเหลียวมองไปรอบๆเพื่อที่จะมองหาใครบางคน และก็พบว่าคนร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งตอนนี้อยู่ในเสื้อคลุมขนสัตว์กำลังมองผมพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้เป็นกำลังใจอยู่ตรงข้างหลังเวทีอีกด้าน

ผมเผลอยิ้มตอบให้กับเดียร์ ได้เห็นเขาพูดอะไรบางอย่าง อ่านปากได้ว่า ขอให้โชคดี จากนั้นเดียร์ก็ลอบส่งจูบมาให้ผม ทำเอาผมเขินอายหน้าแดงก่ำ ชะงักงันไม่กล้าก้าวขึ้นเวทีทั้งๆที่พิธีกรประกาศแล้วจนกระทั่งเจ้าสันต์ต้องเอาศอกกระทุ้งสีข้าง ผมจึงได้สติ มันกระซิบข้างหูผมบอกว่า ไม่ใช่เวลาจะมาหวานแหวว ได้เวลาโชว์ความสามารถของผู้บริหารแล้ว จากนั้นก็เดินแซงหน้าผมขึ้นเวทีไปอย่างมั่นอกมั่นใจ ทั้งๆที่จริงๆตอนอยู่ข้างล่างมันแสดงอาการปอดมากกว่าคนอื่น

การแสดงจบลงแล้วอย่างน่าประทับใจ เสียงปรบมือกึกก้อง จากพนักงานทุกคน มีเสียงเป่าปาก เสียงตะโกนว่าเอาอีก เอาอีก จากพวกที่กล้าๆ และคนที่ดื่มเข้าไปเยอะ พวกเรายิ้มอย่างปลาบปลื้มกับความสำเร็จในฐานะนักแสดงกิตติมศักดิ์ของพวกเรา ไม่นึกว่าคนจะชื่นชอบกันขนาดนี้ หูตาของผมพร่าพราย ความเครียดต่างๆมลายหายไปสิ้น เหมือนภูเขาถูกยกออกไปจากอก โล่งไปหมด

แต่แล้วคลื่นแห่งความวิงเวียนก็โถมทับกลับเข้ามาใหม่จนผมอยากจะอาเจียน ต้องรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีอะไรออกมา ผมคงเครียดจัดเพราะอดนอนจากการทำงาน และการฝึกซ้อมจนดึกดื่นเพราะอยากให้มันออกมาดีเลยทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยา ผมพยายามนั่งนิ่งๆในห้องน้ำ เพื่อให้อารมณ์สงบลง พอค่อยยังชั่วแล้ว กำลังจะเปิดประตูออกมา เสียงคนคุยกันจากภายนอกก็ดังขึ้น ทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดชะงักค้าง

“เฮ้ยเป็นไปได้ไงวะ คุณเรียวที่เคร่งขรึมจะออกมาทำอะไรแบบนั้น คนจัดงานนี่เก่งว่ะ ตะล่อมให้คุณเรียวแกออกมาเต้นได้”

ใครบางคนเอ่ยถึงผมออกมา ทำให้ผมไม่กล้าออกมาเผชิญหน้าเขาได้แต่ยืนฟังอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ

“ปีนี้บริษัทจัดงานได้ใจมาก ได้ดูผู้บริหารที่วันๆเอาแต่เก๊กดุด่าพวกเรามาเต้นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วการแสดงก็ดูดีมาก โดยเฉพาะโชว์เปิดตัวสี่ชุด นักเต้นมืออาชีพมากเลยว่ะ”
ชายหนุ่มอีกคนพูดชื่นชมการจัดงานของบริษัทออกมา ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องดีที่คนพึงพอใจการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้

“ฉันละช๊อบชอบ แดนเซอร์คนที่หล่อๆ ตัวสูงๆคนนั้นน่ะ ล้อหล่อนะพวกเธอ”

เสียงที่สามดังขึ้น ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าจะใช่ผู้ชายแท้ๆ

“เห็นมีคนบอกว่า แดนเซอร์คนนั้นน่ะ เป็นคนรู้ใจของคุณเรียวนะ”

ผมรู้สึกหน้าชาเมื่อได้ยินประโยคนั้น ใครกันนะ ที่บังอาจมานินทาผมในห้องน้ำ จะออกไปแสดงตัว ก็กลัวจะพลาดเรื่องดีๆ บางทีการฟังคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์เราก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นกระจกส่องเงาสะท้อนภาพว่าคนอื่นมองเราอย่างไร

“ฮ้า จริงเหรอ ไม่ใช่คุณแคทหรอกเหรอ เห็นสองคนนั่นสนิทกันจะตาย”

“ไม่หรอกคุณแคทน่ะมาทีหลัง แต่คุณเรียวกับแดนเซอร์นั่นเขาชอบพอกันมาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้าที่คุณแคทจะมาอีก”

เสียงเดิมกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ

“แล้วไปรู้เรื่องนี้ได้ไง”

“โหย จากแหล่งข่าวที่เห็นมาด้วยตาตัวเองเลยล่ะ คนแรกก็ยามที่เฝ้าประตูไง เขาเคยเห็นพ่อแดนเซอร์คนนี้ขึ้นมาหาคุณเรียวที่ห้องทำงานด้วย นานมาแล้ว และพ่อแดนเซอร์นี่ก็แวะเวียนเอาของฝากมาให้คุณเรียวประจำ ที่ฉันรู้เพราะว่าเอ้อ ฉันไปมีอะไรกับยามนั่นมา แล้วเจ้ายามนั่นก็ปากพล่อยพูดขึ้นมาว่า ที่บริษัทเรามีเกย์หลายคน ต่อมอยากรู้ของฉันมันก็เลยทำงาน ถามมันไปว่าใครบ้าง เจ้ายามนั่นก็เลยเล่าให้ฟังน่ะ”

ผู้ชายคนนั้นตอบข้อสงสัยให้กับเพื่อนทั้งสอง ผมจินตนาการได้เลยว่าคนพูดกำลังลอยหน้าลอยตาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของคนอื่นอย่างไร นึกโกรธคนพวกนี้และเจ้ายามปากมากนั่นด้วย นึกแล้วว่าเขาจะต้องเอาเรื่องที่เดียร์มาหาผมพูดให้คนอื่นรู้ ผมไม่น่าใจดียอมให้เดียร์ขึ้นมาหาได้เลย

“แค่ยามพูดจะเชือ่ถือได้ไงวะ โธ่เอ๊ยอีตุดส์ เห็นใครหล่อหน่อยก็จะอยากให้เขาเป็นเกย์ เป็นกระเทยไปหมด เซ็งจริง”

เสียงแรกกล่าวตำหนิผู้ที่กำลังพูดคุยเรื่องของผม

“ต๊ายยยยย พวกเธอนี่ไม่รู้อะไรเลยนะยะ ถ้าไม่เชื่อยาม แล้วจะเชื่อคนอื่นไหมล่ะ รับรองว่าเรื่องนี้มีมูลความจริงแน่ ฉันได้ยินเรื่องนี้อีกครั้งจากปากของคุณอรจิราโดยบังเอิญนะ วันก่อนฉันน่ะไปทานข้าวกับกิ๊กของฉันที่ร้านอาหารไฮโซแห่งหนึ่ง กำลังสวีทกันอยู่ดีๆ ก็ได้ยินคนถกเถียงกันเสียงดังที่โต๊ะข้างๆ ก็เลยแอบแหวกต้นไม้ที่กั้นระหว่างโต๊ะออกดู ก็เห็นคุณอรจิรากับคุณอนันต์กำลังถกเถียงกันอยู่ ทำนองว่าคุณอรจิราโกหกเรื่องเคยเป็นแฟนกับคุณเรียวมาก่อน คุณอรแกก็บอกว่าแกเลิกแล้ว เพราะว่าคุณเรียวเป็นเกย์น่ะ คุณอรยังบอกอีกว่า น่าจะเป็นมาตั้งนานแล้ว และแฟนคนแรกของคุณเรียวก็คือคุณสันต์ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนกันน่ะ”
“เออ ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคุณเรียวกับคุณอรจิราเคยเป็นแฟนกันมาก่อน แล้วก็เลิกกันไป เพราะคุณอรไปเป็นแฟนกับคุณอนันต์ แต่ถึงไงฉันก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่ะ เพราะคุณอรเองก็เป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจเหมือนกัน ชอบทำตัวหยิ่งๆไฮโซ นี่ก็ได้ข่าวว่าคุณอนันต์เขาเบื่อ เขี่ยทิ้งแล้วนี่ สมน้ำหน้า ผู้หญิงไฝ่สูงแบบนั้น เห็นเงินดีกว่า เป็นฉันๆก็ไม่เอาว่ะ”

ผู้ชายคนที่สองโต้ตอบผู้พูดคนที่สามบ้าง ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสื่อมเสียและไม่มีมูลความจริงในเรื่องของสันต์และเหตุผลของการเลิกรากับอรจิรา ทว่าผมก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่งที่ยังมีคนไม่เชื่อเรื่องราวนินทาเกี่ยวกับตัวผม แต่มันจะมีคนที่ไม่สนใจข่าวลือของคนอื่นสักกี่มากน้อย อีกไม่นานคำพูดเหล่านี้มันก็คงกระจายไปต่อปากไปทั่ว ผมรู้สึกอึดอัดขับข้องใจ ไม่ชอบที่มีคนเอาเรื่องของคนอื่นมานินทาแบบนี้ โดยเฉพาะคนนินทาเป็นเพียงพนักงาน และผู้ถูกนินทาเป็นผู้บังคับบัญชา

ผมไม่ได้ถือยศถือศักดิ์ว่าเป็นผู้บริหารแล้วใครจะแตะต้องไม่ได้ หรือทำผิดไม่เป็น แต่ผมมองเรื่องของการควรหรือไม่ควรมากกว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน จริงหรือไม่จริงไม่ควรจะเอามาพูดกันไป เพราะหากได้ยินไปถึงหูคนที่ถูกนินทา พนักงานอาจจะถูกเพ่งเล็งและถูกตักเตือนเรื่องความประพฤติได้ ดีไม่ดีอาจจะถูกภาคฑัณฑ์ หรือพักงานไปเลย ถ้าถูกจับได้ว่าเป็นต้นตอที่ปล่อยข่าวลือทำลายผู้บังคับบัญชาให้ได้รับความเสียหายถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แต่ผมไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้น ผมคงไม่ไปทำลายอนาคตใครแบบนั้น

แค่รู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเอาเรื่องของคนอื่นมานินทาเล่นเพื่อความสนุกปาก ถ้าผมจะทำอะไรหรือเป็นอะไร มันสร้างความเสียหายให้กับคนอื่นๆมากมายกระนั้นหรือ ทำไมจึงไม่มองคนที่ความสามารถมากกว่าที่จะมองว่าเขาเป็นคนที่ปกติเหมือนคนอื่นหรือเปล่า



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #222 เมื่อ04-02-2009 18:35:01 »

ผมกับเดียร์ไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าผมกับเขาจะรักกันมันเป็นเรื่องของหัวใจ และผมเองก็พยายามระมัดระวังตัวไม่ทำอะไรให้เกิดความเสื่อมเสีย เรื่องระหว่างเราในวันข้างหน้ายังไม่อาจจะรู้ได้ว่ามันจะมีบทสรุปอย่างไร ผมอาจจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขา ต่างคนต่างไป หรือผมอาจจะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจอยู่กินกับเขาอย่างเปิดเผย มันเป็นทางเลือกที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรเลยด้วยซ้ำ แล้วคนพวกนี้มีสิทธิ์อะไรที่จะวิพากษ์วิจารณ์ในตัวผม

รู้สึกว่าจะอยู่เฉยๆไม่ได้อีกแล้ว ผมน่าจะแสดงตัวให้พวกเขารู้ว่าคนที่พวกเขากำลังนินทากันอยู่ ได้ยินข้อความทั้งหมดเต็มสองรูหู ขณะที่ผมกำลังจะบิดประตูเพื่อเปิดมันออก ประตูห้องน้ำห้องถัดไปก็เปิดออก พร้อมด้วยเสียงดังอย่างมีอำนาจของใครบางคนที่ต่อว่าคนที่อยู่หน้าห้อง

“พวกคุณไม่มีอะไรทำกันหรือไงครับ ถึงได้มานินทาคนอื่นแบบนี้ ระวังหน่อยนะครับ นั่นผู้บริหารระดับสูงของคุณไม่ใช่เหรอ ถ้าเขามาได้ยินเข้าแล้วไปฟ้องเจ้านายของพวกคุณจะมีปัญหาในภายหลังนะครับ เรื่องแบบนี้จะจริงหรือไม่จริงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา พวกคุณไม่มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ ชื่นชมเขาที่ผลงานก็พอครับ”

เสียงนั้นดูคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหน ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกขอบคุณที่เขาเข้ามาช่วยเหลือ
“ว้ายๆๆๆ ขอโทษฮ่ะ คุณทรงพล พวกเราไม่ได้เม้าท์อะไรมากมายฮ่ะ เพียงแค่จะบอกว่า เขาสมกันดี ระหว่างคุณเรียวกับนายแดนเซอร์นั่น คนหนึ่งก็ล้อหล่อ อีกคนก็หน้าหวานฮ่ะ ก็แค่ชื่นชมเท่านั้นเอง ถ้าเขาเป็นอย่างพวกผมก็ดีสิฮะ”

ชื่อของนายทรงพลที่พนักงานคนนั้นเรียกทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู และยืนนิ่งเงียบอยู่ในห้องน้ำไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับคนที่เคยทำร้ายผม รู้สึกตกใจและแปลกใจ ที่อยู่ๆก็ได้รู้ว่านายทรงพลมาเกี่ยงข้องในเรื่องนี้ด้วย แถมซ้ำยังช่วยพูดด่าคนพวกนั้นให้อีก

ไม่รู้ว่าตาเฒ่าคนนี้มาโผล่ในงานปีใหม่ของบริษัทได้ไง ใครเป็นคนเชิญมา งานนี้เป็นงานที่จัดเฉพาะคนในบริษัทเท่านั้น พนักงานสามารถนำครอบครัวมาร่วมสนุกด้วยได้ แต่ไม่อนุญาตให้ลูกค้าเข้ามาร่วมด้วย คุณแคทชวนมาหรือเปล่านะ ไม่น่าจะใช่ น่าจะเป็นคนที่ตำแหน่งใหญ่กว่านั้นมากกว่า อาจจะเป็นท่านประธานก็ได้ นายทรงพลคงขอมาร่วมด้วยเนื่องจากเป็นลูกค้าวีไอพี และรู้จักกับผู้ที่กุมบังเหียนบริษัทเป็นอย่างดี

เห็นทางสต๊าฟจัดงานบอกว่า รางวัลที่จะแจกให้พนักงานปีนี้ ได้มีการขอสปอนเซอร์มาจากฝ่ายขายซึ่งพวกเขาก็ยินดีจะให้เพื่อเป็นการขอบคุณที่พนักงานบริษัทได้ช่วยทำให้งานของฝ่ายขายดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้แต่ร้านเพชรของนายทรงพลก็ร่วมด้วย เขาใจป้ำให้ช่วยเงินสดมา 10000 บาท และบัตรกำนัลลด 25 % สำหรับคนที่จะไปทำเพชรที่ร้านอีกตั้ง 5 ใบ แถมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทอีก 1 เส้น ซึ่งนับว่ามากกว่าผู้บริหารคนอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้กระมังเขาจึงถือสิทธิ์ที่จะเข้ามางานที่มีเฉพาะสต๊าฟและครอบครัว คงคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนี้เช่นกัน นี่ผมจะสามารถหลบไม่เจอเขาไปได้ตลอดหรือเปล่า แค่นึกถึงการที่ต้องไปเจอหน้าตาตาเฒ่านั่น ผมก็เอือมจนจะแย่อยู่แล้ว รู้สึกผะอืดผะอำราวกับว่าอาหารที่กินเข้าไปพร้อมใจกันจะออกมา

นายทรงพลกล่าวตำหนิคนพวกนั้นถึงความควรไม่ควรต่อไป เขาเทศนาสั่งสอนอยู่นานซึ่งคนเหล่านั้นก็ยอมรับผิด และยังขอร้องให้นายทรงพลอย่าเอาเรื่องนี้มาบอกให้ผมทราบ นายทรงพลก็รับปาก หลังจากนั้นคนทั้งสามก็ขอตัวออกไปจากห้องน้ำ

ทันทีที่ปลอดคน นายทรงพลก็พูดด้วยเสียงอันดังเรียกชื่อผมเหมือนว่าเขารู้ว่าผมอยู่ข้างในห้องด้วย ผมยังยืนเฉย เขาก็พูดทำนองว่า เขารู้ว่าผมอยู่ในนั้น เพราะเดินตามมาเข้าห้องน้ำติดๆ ให้ผมออกมาเถอะอย่ามัวแต่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นเลย จะทนดมกลิ่นเหม็นๆอยู่ทำไม การซ่อนตัวก็ไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรผมก็หนีความจริงไปไม่พ้น สู้ออกมาเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นดีกว่า

ในเมื่อเขารู้แล้วว่าผมอยู่ในที่นั้น ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องหลบซ่อน ผมเปิดประตูออกมาจากห้อง และเตรียมจะเดินหนี แต่นายทรงพลกับเรียกผมไว้อีกครั้ง พลางต่อว่าผมว่าเป็นคนไม่รู้บุญคุณคน เขาอุตส่าห์ช่วยไล่พนักงานปากมอมให้ ก็น่าจะอยู่คุยกับเขาสักหน่อย จะโกรธกันยันตายเลยหรือ ผมแค่นยิ้มบอกเขาไปว่าผมขอบคุณที่เขายื่นมือเข้ามาช่วย แต่ผมไม่มีเรื่องจะพูดคุยกับเขาอีก แต่นายทรงพลบอกว่ามี สำคัญมากด้วย เขาขอท่านประธานมางานนี้ เพื่อจะหาโอกาสมาพูดคุยกับผมโดยเฉพาะ พอผมย้อนถามเขาว่ามีเรื่องอะไร เขาก็หัวเราะ
จากนั้นนายทรงพลก็เอ่ยปากขอโทษขอโพยผมในสิ่งที่ทำลงไป มันอาจจะดูแย่ที่วางแผนล่อลวงผมขนาดนั้น และรู้ว่าผมไม่มีวันที่จะอภัยให้กับเขา เขาไม่อาจจะบังคับให้ผมมาเชื่อหรือชอบเขาตอบได้ แต่เขาทำลงไปเพราะความชื่นชอบในตัวของผมจริงๆ และต้องขอบคุณที่ผมไม่เอาเรื่องกับเขา ทำให้เขาซาบซึ้งใจมาก

ผมยืนฟังคำพร่ำพรรณาของนายทรงพลอย่างอดทน อยากเดินหนีไปเสียให้พ้นๆ ไม่อยากทำตัวเป็นคนมีมารยาทกับคนที่กล้าทำกับคนอื่นแบบนี้ แม้ว่าผมจะไม่เชื่อจริงๆว่านายทรงพลสำนึกผิด แต่ผมกลับไม่ขยับขาเดินหนี เพราะผมอยากให้ทุกอย่างมันจบลงด้วยดี

อย่างน้อยๆก็ไม่อยากมีเรื่องกับนายทรงพลในงานของบริษัท เดี๋ยวงานจะกร่อย และเพื่อให้เกียรติแก่ท่านประธานที่มาร่วมเป็นเกียรติในงานด้วย น้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก เป็นสิ่งที่ผมพยายามท่องให้ขึ้นใจเพื่อระงับความโกรธเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับคนไร้ยางอายแบบตาเฒ่าลามกคนนี้

“แฟนของคุณเรียว หล่อมากเลยนะ ยิ่งเห็นลีลาการเต้นบนเวทีที่เร้าใจแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่าน่ารักน่าหลงเป็นที่สุด มิน่าคุณถึงไม่เปลี่ยนใจ”

อยู่ๆนายทรงพลก็วกเข้ามาที่เรื่องนี้ ผมทำหน้าเฉยเมย ไม่จำเป็นต้องตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดของเขา
“แต่หมัดหนักชะมัด รู้มั๊ย เขามาเล่นงานผมเสียหมอบเลย ตอนแรกผมกะจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่คุณแคทมาขอร้องให้ผมเลิกแจ้งความกับแฟนของคุณ

หึหึหึ รู้ไหมคุณแคทพูดถูกหลายอย่าง ผมเอาเรื่องแฟนคุณได้ ใช้อิทธิพลเอาเขาเข้าคุก แต่ผมจะเสียมากกว่าที่จะได้ อย่างน้อยๆเมื่อมีการต่อสู้กันในศาลเกิดขึ้นเพราะคุณคงไม่ยอมเห็นคนรักของคุณเข้าซังเตฟรีๆแน่ การขุดคุ้ยก็จะเกิด ผมก็จะถูกแจ้งความกลับที่พยายามทำร้าย และทำอนาจารกับคุณ......

หนังสือพิมพ์คงชอบข่าวพวกนี้นัก จริงๆหรือไม่จริง แต่ข่าวมันก็คงลงไปแล้ว ตระกูลผม ร้านผมคงดังระเบิดกันทีนี้ แต่ในทางเสื่อมเสีย ชื่อผมคงจะขึ้นแบล็คลิสก์จากบริษัทประกัน เพราะมีประวัติก่อเรื่องในเชิงชู้สาว แถมซ้ำกับเจ้าหน้าที่พิจารณารับประกันของบริษัทด้วย ทีนี้บริษัทอื่นคงเข้มงวดกับการรับประกันผมแน่ แถมซ้ำผมก็จะต้องผิดใจกับท่านประธานอีกด้วย ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับคนในบริษัทของเขาจนมีเรื่อง”

ก็รู้ดีนี่ ผมนึกค่อนในใจ นายทรงพลมองหน้าผม และยิ้มให้ แต่ผมไม่ยิ้มตอบ ใจยังนึกโกรธอยู่ไม่หาย จึงไม่พยายามจะรับไมตรีที่เขาหยิบยื่นมาให้อีก เฒ่าเจ้าเล่ห์ยักไหล่ และกล่าวต่อ

“พอคุณแคทมาขอร้อง ผมก็เลยยอมตกลง เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีของครอบครัวเราสองคน และเพื่อเห็นแก่หน้าคุณด้วย ผมไม่ได้อยากทำร้ายคุณนะ ผมแค่จะเอาคืนแฟนคุณเท่านั้น แต่ตอนนี้ก็จบกันไป แต่เอาล่ะ เรื่องมันจบลงตรงที่ผมไม่เอาความแฟนคุณ

แต่ผมก็ยังทนไม่ได้อยู่ดีที่จะเห็นคุณสองคนครองรักกัน เพราะใจผมมันเจ็บปวดที่คนที่ตัวเองชอบ เป็นแฟนกับคนที่ทำร้ายผมเสียจนตาเกือบบอด อย่างน้อยๆผมก็อยากให้เขาเจ็บปวดบ้าง และวิธีการที่จะทำให้เขาเจ็บปวดก็คือ การที่คุณกับเขาต้องเลิกรากัน”
นายทรงพลพูดด้วยน้ำเสียงHereมเกรียม นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ คนอย่างนายทรงพล คงไม่สามารถที่จะกลับตัวเป็นคนดีได้หรอก เพราะความชั่วช้าในใจมันคงฝังรากหยั่งลึกเสียแล้ว เสียเวลาเปล่า ผมไม่น่าทนยืนฟังอยู่เลย

คิดได้ดังนั้นผมก็หมุนตัวจะเดินกลับไปยังห้องจัดงาน แต่นายทรงพลเดินเร็วๆมาคว้าแขนผมไว้ ผมสะบัดอย่างแรงด้วยนึกรังเกียจตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เขาทำหน้าตกใจที่เห็นผมหลุดอาการโมโหออกมา ถอยออกไปยืนหน้าเจื่อน เมื่อปรับสีหน้าได้แล้ว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็กลับมาเหมือนเดิม และคำพูดชั่วร้ายก็ออกจากปากนายทรงพลออกมาอีก

“อย่าลืมสิ คุณแลกเปลี่ยนการที่ผมไม่แจ้งความจับแฟนคุณ ด้วยการรับปากจะเป็นแฟนกับคุณแคท นึกว่าผมไม่รู้เหรอว่าเป็นข้อตกลงของคุณสองคนเพื่อตบตาผม อย่ามาอ้างว่าคุณสองคนรักกันเลย ผมไม่เชื่อหรอก เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนคุณสองคนจะมาสานสัมพันธ์กันอะไรได้เร็วขนาดนั้น

แล้วคุณแคทก็ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ คุณเองก็หลงรักแฟนคุณหัวปักหัวปำ เพราะผมเห็นสายตาของคุณมองนายแดนเซอร์นั่น มันบ่งบอกว่าคุณรักเขาแค่ไหน แต่เมื่อรับปากแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับคุณผมก็ต้องรักษาคำพูด

หากเมื่อไหร่ที่จับได้ว่าคุณกับคุณแคทแค่เล่นตลกหลอกผมอย่างที่ผมเดาไว้ ผมก็จะมาทวงความยุติธรรมให้กับตัวเองบ้าง คุณกับนายเดียร์จะต้องชดใช้

ผมมีเงิน มีอิทธิพลพอสมควร ถึงจะเอากฏหมายมาเล่นงานไม่ได้ แต่รับรองว่าผมสามารถทำให้เดียร์หายไปจากชีวิตคุณได้ตลอดกาล ถ้าคิดโกหกเพื่อให้ผมวางมือ พวกคุณต้องได้เจอดีแน่ แต่ถ้าคุณกับคุณแคทจะจริงจังต่อกัน โดยที่คุณยอมเลิกกับนายเดียร์นั่น ผมก็จะหลีกทางให้ แต่คุณต้องทำใจหน่อยนะกับอดีตของคุณแคทที่ผ่านมา ถ้ารับได้ก็โอเค”

นายทรงพลยังพูดพล่ามอะไรอีกมากมาย ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ใจเดือดปุดๆ สุดจะทนฟังเรื่องบ้าๆนี้อีกต่อไปแล้ว ผมตัดสินใจเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินออกไปด้วยความโมโห รู้สึกโกรธและเกลียดนายทรงพลเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าทวีคูณ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเห็นใครเลวทรามต่ำช้าแบบนี้มาก่อนเลย ตัวเองทำผิดแล้ว นอกจากจะไม่สำนึกยังจะมาข่มขู่คนอื่นให้ทำตามที่เขาต้องการอีก

มาพูดจาข่มขู่ให้ผมเลิกคบหากับเดียร์ อ้างว่ามันดีกับตัวเผมเอง เพราะถึงอย่างไร หน้าที่การงานของผมก็ค้ำคอ หากยังรักที่จะทำงาน รักความก้าวหน้า ก็ต้องเลิกกับเดียร์ซะ ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่เหลืออะไร ฟังคำขู่ของนายทรงพล ผมเองกลับรู้สึกเกลียดเขามากยิ่งขึ้น นายคนนี้เป็นคนที่เห็นแก่ตัว หน้าด้านไร้ยางอายที่สุด เขามีสิทธิ์อะไรที่จะมาห้ามไม่ให้ผมยุ่งกับเดียร์ หรือใหญ่มาจากไหนที่จะสั่งให้ผมคบกับใคร
คิดจะชี้นำให้ผมทำตามเขามันเป็นการทำเกินไปแล้ว เห็นว่าตัวเองเป็นอะไร มีอิทธิพลมากมายที่ผมต้องไปคอยเอาใจหรือ ไม่ใช่ญาติโกโหติกาของผมด้วยซ้ำ ก็แค่เป็นลูกค้าคนหนึ่ง เป็นคนที่รู้จักกับประธานของบริษัท คิดว่าเป็นคนรวยมีอิทธิพลแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นล่ะสิ จะลากใครไปทำมิดีมิร้ายก็ได้ จะทำให้ใครหายไปจากโลกก็ไม่ยาก

แสร้งทำมาเป็นพูดนั่นพูดนี่ ที่จริงอยากจะเล่นงานเดียร์ใจแทบขาด ที่ไปทำร้ายสาหัสขนาดนั้น แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะแจ้งความแล้วตัวเองก็อาจจะโดนด้วย เพราะตัวเองก็ผิดอยู่เต็มประตู เพราะล่อลวงจะทำร้ายผมก่อน คนอย่างนายทรงพลมันน่าที่จะเจอเดียร์จัดการให้หนักกว่านี้อีก เอาให้ปากพูดคำชั่วช้าไม่ได้เลย

ผมยังไม่อยากกลับไปนั่งที่โต๊ะ เพราะจิตใจยังขุ่นมัวอยู่ ไม่อยากหงุดหงิดให้ใครเห็นจึงเดินเรื่อยเปื่อยออกไปนั่งที่โซฟาหน้าตรงหน้าห้องจัดงาน แต่เลือกเอามุมที่ไกลหูไกลตาผู้คนเพื่อนั่งทำอารมณ์ให้สงบลงก่อน ผ่านไป เกือบ 10 นาที อารมณ์ผมเริ่มเย็นลง แต่ยังอยากนั่งสักพัก เบื่อความวุ่นวายในนั้น จู่ๆหัวหน้าของผมมาจากไหนไม่รู้ เดินมาตบที่บ่าผมเบาๆ

“ใจเย็นๆนะเรียว ผมรู้ว่าคุณโกรธมาก แต่อย่าไปถือสาหาความอะไรคนแก่คนนั้นเลย”

“หัวหน้าได้ยินหรือครับ”

“ก็ผมตามหลังนายทรงพลมาอีกทีไง ผมเห็นเขาเดินตามคุณออกมา เลยไม่ไว้ใจ กลัวคุณสองคนจะมีเรื่องกันอีก ผมเลยตามมาห่างๆ และเข้าห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง โชคดีที่ห้องน้ำมันกว้างและมีสองด้านชนกัน ทำให้เขาไม่มีทางเห็นเลยว่ามีผมอีกคนอยู่ในห้องนั้นด้วย ผมจึงได้ยินทั้งหมดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่พนักงานพวกนั้นกล่าวพาดพิงถึงคุณ และสิ่งที่นายทรงพลพูดทั้งหมด”

ผมพยักหน้าอย่างเนือยๆ รู้สึกตกใจที่หัวหน้ามาได้ยินเรื่องของผมทั้งหมด แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าดีเหมือนกันที่หัวหน้ามาได้ยินแบบนี้ จะได้รู้กันซักทีว่านายทรงพลเป็นคนเช่นไร

“ผมไม่ชอบวิธีการพูดข่มขู่ของนายทรงพลนะ รู้สึกว่าเขาทำไม่ถูกต้องที่จะเอาการแก้แค้นส่วนตัวมาบีบบังคับให้คุณชอบหรือเลิกกับใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นด้วยก็คือ อยากให้คุณลองพิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเองให้รอบคอบ หน้าที่การงานมันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตคุณไม่ใช่หรือ พยายามมากมายเพื่อจะมีวันนี้ แต่พอทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณต้องการก็กลับจะละทิ้งมัน ไม่น่าเสียดายหรอกหรือคุณเรียว”

“เอ้อ.....”

ผมรู้สึกลำคอตีบตันพูดไม่ออก ไปๆมาๆหัวหน้าของผมก็คงจะต้องการให้ผมเลิกคบกับเดียร์อีกคน

“ที่จริงผมไม่อยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคุณนะเรียว ไม่อยากบีบคั้นคุณ ผมแค่ห่วงคุณ และชอบคุณเท่านั้น เห็นคุณเป็นคนดี และอยากสนับสนุน ไม่ต้องเลิกกับเขาถาวรก็ได้ ให้เว้นห่างกันไปสักระยะหนึ่ง อย่างที่ผมเคยแนะนำนั่นแหละ รอจนทุกอย่างมันลงตัวแล้วค่อยคบกันใหม่ก็ได้ ตอนนี้ มันจะดีสำหรับคุณที่จะเลิกกับเขานะ เพราะคนในบริษัทเริ่มรู้เรื่องของคุณแล้ว อีกไม่นานก็คงพูดกันไปทั่ว คุณนั่นแหละจะลำบากใจ และอยู่ไม่ได้เสียก่อน ”


psychological

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #223 เมื่อ04-02-2009 18:35:53 »

 :z13: จิ้มพี่ไต๋
 :o211:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #224 เมื่อ04-02-2009 19:44:30 »

เจ็บนะมาจิ้มเค้ามั้ยละ :m15:
 :z13: :z13:จิ้มคืนนี่แหนะนี่แหนะ

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #225 เมื่อ04-02-2009 19:58:49 »

555 ว่าแล้ว ว่าไต๋ต้องมา  :z13:  ขอซ้ำหน่อยนะ

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #226 เมื่อ04-02-2009 20:39:49 »

ขอบคุณมากที่เอาเรื่องสนุก ๆ มาให้อ่านกัน
อยากบอกว่าอ่านไป ยิ้มไป ร้องไห้ไป แบบว่าอินสุด ๆ
ชอบมากมาก เลยอ่ะ

ป.ล.รอตอน ต่อๆ ไปอยู่นะจ๊ะ

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #227 เมื่อ04-02-2009 21:29:10 »

นายทรงพล :z6:

รอตอนต่อไปอย่างสงบ

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #228 เมื่อ05-02-2009 13:12:44 »

มายัง มายัง
อยากอ่านอ่ะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #229 เมื่อ05-02-2009 22:05:41 »

รอก่อนนะยังไม่เสร็จงานเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
« ตอบ #229 เมื่อ: 05-02-2009 22:05:41 »





psychological

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #230 เมื่อ05-02-2009 23:54:41 »

 :z13: จิ้มเฮียซะนี่แน่ะๆ

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #231 เมื่อ06-02-2009 14:59:14 »

ไต๋ หาย ไป ไหน อ่ะ :z10:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
«ตอบ #232 เมื่อ06-02-2009 16:16:25 »

บทที่ 31

หัวหน้าทิ้งค้างคำพูดไว้แค่นั้น เพราะทีมงานมาตามผมเข้างานเนื่องจากจะเชิญผู้บริหารที่ได้รับการโปรโมทในปีนี้ขึ้นเวที กำหนดการมันเคลื่อนไปตั้งแต่ตอนแรก เพราะท่านประธานเห็นว่าควรปล่อยให้พนักงานได้ทานอาหารก่อน ไม่อยากให้มานั่งรอให้พิธีการมันจบ ในระหว่างนี้ก็เปิดเพลงคลอประกอบไปก่อนสัก 45 นาที จากนั้นค่อยมีการประกาศการเลื่อนตำแหน่งและต่อด้วยการแสดงของนักร้องสาวคนดัง

ตอนที่ผมเดินตามทีมงานกลับเข้ามา พีธีกรกำลังประกาศการเลื่อนตำแหน่ง และเชิญผู้ได้รับการโปรโมทขึ้นบนเวทีอยู่พอดี ทันที่ที่พิธีกรกล่าวถึงชื่อผม ทีมงานก็มาพาไปส่งที่บันไดและให้ผมเดินขึ้นเวทีไปเอง ผมเดินไปรวมกับผู้บริหารคนอื่นๆที่ยืนอยู่บนนั้นก่อนแล้ว สันต์กับศักดิ์ชายที่ได้รับการโปรโมทพร้อมกับผมในปีนี้ส่งยิ้มมาให้ สองคนยืนใกล้กันอีกด้านหนึ่งของเวที จากนั้นพิธีกรได้กล่าวเชิญท่านประธานขึ้นมามอบของที่ระลึกปีใหม่ให้กับพวกเราทุกคน เป็นชุดถ้วยชามเนื้อดีลายเบญจรงค์คนละ 1 ชุด จากนั้นก็ถ่ายรูปร่วมกัน และเชิญท่านประธานบริษัทเป็นคนกล่าวแสดงความยินดี ถ่ายรูปร่วมกัน จากนั้นท่านประธานก็กล่าวขอบคุณพวกเราทุกคนที่ช่วยกันทำงานจนบริษัทเติบโต และกล่าวชื่นชมการทำงานของพวกผม และขอให้พนักงานได้ดูเป็นตัวอย่าง หากทำความดีขยันมุ่งมั่น ก็จะมีโอกาสได้รับความสำเร็จก้าวหน้าเช่นเดียวกับพวกกผม และก่อนที่ทุกคนจะลงจากเวทีไป ท่านประธานก็ได้ประกาศให้ทุกคนได้รู้ทั่วกันว่า วันนี้ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของผม ขอให้พวกเราช่วยร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับผมด้วย

สักครู่ไฟในห้องจัดงานเลี้ยงก็ดับพรึ่บลงจนมืดไปหมด และแล้วแสงจากเทียนไขก็ส่องสว่างขึ้น พนักงานของโรงแรมคนหนึ่งเข็นรถที่วางขนมเค้กขนาดใหญ่ขึ้นมาบนเวที เค้กถูกเข็นมาอยู่ตรงหน้าพอผมพอดี ทำให้ผมเห็นข้อความที่อยู่บนเค้กนั่น

“สุขสันต์วันเกิดคุณเรียว ขอให้มีความสุขมากๆ จากใจพวกเราชาวประกัน”

จากนั้นเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ก็ดังขั้น จากเสียงใสๆของนักร้องสาวคนหนึ่ง และเริ่มดังขึ้นทั่วห้องบอลลูมจนผมเริ่มรู้สึกเขินนิดๆ ที่บริษัทเซอร์ไพรส์ผมไม่มีการบอกล่วงหน้า ผมเป่าเทียนที่อยู่บนเค้กทั้ง 29 เล่มจนดับหมด พลันไฟในห้องก็สว่างขึ้น
บนเวทีนอกจากจะมีผม และเพื่อนๆผู้บริหารใหม่ และท่านประธานยืนอยู่บนนั้นแล้ว ข้างๆผมยังมีนักร้องสาวแสนสวยในชุดการแต่งตัวสุดเซ็กซี่มายืนอยู่ข้างๆ เบื้องหลังเป็นแดนเซอร์หนุ่มๆทียืนเรียงกันเป็นแผงในชุดเสื้อคลุมคนสัตว์ ผมเห็นเดียร์มองผมทำหน้างอนๆ คงน้อยใจที่ผมไม่ยอมบอกเขากระมังว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม ผมสบตาเดียร์แล้วก็เบือนหน้าหนี รู้สึกไม่ดีที่เห็นแววตาเศร้าๆนั่น พลางหันหลังจะเดินลงเวทีตามเพื่อนๆคนอื่นๆที่ทะยอยเดินลงไปเพื่อเปิดทางให้บนเวทีได้มีการแสดงของนักร้องและนักเต้น แต่สาวสวยในชุดวาบหวามฉุดรั้งผมไว้บนเวที แล้วพูดกับทุกคนว่าไหนๆวันนี้ ก็ตรงกับวันเกิดของผม อยากให้ผมได้ร้องเพลงบ้าง ใครเห็นด้วยให้ช่วยปรบมือ ปรากฏว่าเสียงดังขึ้นกระหึ่มทั่วห้อง ทั้งเสียงปรบมือและเสียงตะโกนเชียร์ให้ผมโชว์ลูกคอหน่อย ผมเหลือบไปมองหัวหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หัวหน้าของผมกลับโบกมือแล้วพยักหน้าให้ผมทำตามความต้องการของพวกพนักงาน

มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาช้านานแล้วของบริษัท เมื่อถึงคราวจัดงานรื่นเริงปีใหม่ ทุกคน ต้องวางหัวโขนทิ้งไว้ แล้วมาสนุกกันเต็มที่ ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้อง พนักงานมีอิสระเสรี ในการแสดงออก จะกิน จะดืม หรือจะเต้นเมามันส์แค่ไหน ไม่มีใครห้าม ขอเพียงแค่อยู่ในเงื่อนไขของการกระทำที่เหมาะสม และเวลาที่กำหนดให้ ลูกน้องอาจจะขอให้หัวหน้าร้องเพลงได้ เลยไปจนถึงการโค้งเพื่อให้ออกมาเต้นรำด้วย และตามมารยาทที่ดี หัวหน้าก็ต้องไม่ปฏิเสธคำขอของพวกพนักงาน เพราะนี่เป็นเพียงแค่วันเดียวในรอบปีที่พวกเราจะได้ใกล้ชิดกันโดยไม่ต้องกังวลกับความแตกต่างหรือศักดิ์ศรีของเจ้านายและลูกน้อง

แม้จะรู้ธรรมเนียมข้อนี้ดี แต่เรื่องการร้องเพลง ผมไม่ค่อยถนัดเอาเสียเลย เคยฟังเพลงบ้าง ตอนขับรถไปทำงาน หรือบางครั้งเวลานั่งทำงานอยู่บ้าน ผมจะเปิดเพลงคลอไปเบาๆ ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่เสียงดนตรีไม่มีเนื้อร้อง เพลงไทยพอฟังอยู่บ้าง แต่ไม่เชี่ยวชาญถึงขนาดที่จะบอกได้ว่าใครร้องเพลงอะไร และนักร้องคนไหนกำลังโด่งดังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่รู้จักนักร้องสาวคนดังที่บริษัทว่าจ้างมาให้มาสร้างความสนุกสนานด้วยเสียงเพลงให้กับพนักงาน

แต่เมื่อบ่ายเบี่ยงบอกว่าร้องไม่เป็น ผมก็ยังคงถูกคะยั้นคะยอให้ตอบตกลงจนได้ ยอมร้องแล้ว แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะร้องเพลงอะไร ฉับพลันเพลงๆหนึ่งก็แว่บเข้ามาสู่สมอง เป็นเพลงที่ผมได้ยินบ่อยๆเวลาที่เดียร์มาบ้านผม เขาจะเปิดเพลงนี้ไปพร้อมๆกับปัดกวาดเช็ดถูบ้าน หรือทำกับข้าว แรกๆผมก็ไม่ค่อยชอบเนื้อหาของเพลงเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนกับเดียร์จงใจจะเปิดเพลงนี้ให้ผมฟังเป็นนัยๆให้รู้ว่าเขาจะไม่มีวันเลิกรากับผม แต่เมื่อฟังหลายๆเที่ยว ผมก็ดันชอบขึ้นมา และเป็นเพลงเดียวที่นึกออกตอนนี้ และผมพอจะจำเนื้อร้องได้บ้างนิดหน่อย

ผมกระซิบบอกนักร้องสาวว่าผมจะร้องเพลงอะไร แล้วผมยังบอกไปด้วยว่าผมร้องไม่เก่ง นะ ถ้าเป็นไปได้ช่วยผมหน่อย เพราะผมอาจจะประหม่าตื่นเต้นและจำเนื้อไม่ได้ นักร้องสาวยิ้มหวานให้แล้วบอกว่าไม่ต้องกลัวเธอจะหาคนช่วย ในทีมแดนเซอร์มีคนที่ร้องเพลงเพราะอยู่ จากนั้นเธอก็เหลียวไปมองด้านหลัง ผมกวาดสายตาตามเธอ ดูว่าจะเลือกใคร สายตาไปสบกับเดียร์ที่มองมาอย่างจัง ผมหลบวูบ ภาวนาในใจว่าอย่าเลือกเดียร์เลย ไม่งั้นผมคงร้องไม่ออกแน่ แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้ง นักร้องสาวสุดสวยเดินตรงไปที่เดียร์แล้วดึงมือออกมากลางเวที แล้วบอกว่าเขาคือคนที่จะช่วยผมร้อง
มีเสียงปรบมือเกรียวกราวสลับกับเสียงเป่าปากและตะโกนด้วยความชอบอกชอบใจจากคนดูข้างล่างเวที แสดงว่านักร้องสาวเลือกคนได้ถูกใจ ผมเลยตกกระไดพลอยโจนยืนเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม เขาถามว่าเพลงอะไร ผมบอกชื่อเพลงกับเขาไป บังคับไม่ให้เสียงสั่น ด้วยรู้สึกอายที่เลือกเพลงที่เดียร์ชอบฟัง เขายิ้มหวานให้ผม จากนั้นก็หันไปให้สัญญาณกับนักดนตรีให้เล่นเพลง พอเสียงดนตรีดังขึ้นเท่านั้นข้างล่างก็เฮกันใหญ่ ทำให้ผมถึงกับชะงักร้องไม่ออกยืนอึ้งอยู่ ดูเหมือนนักดนตรีจะมีความชำนาญพอและรู้ปัญหาที่เกิด เขาก็เลยวนขึ้นต้นใหม่อีกครั้ง ผมมองเดียร์เริ่มรู้สึกกลัวเล็กน้อย เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี แต่เด็กหนุ่มยิ้มให้กำลังใจและเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะหยุด เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นร้องก่อน

“หยุดไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก
จะให้ทำอย่างเธอนั้น มันไม่ได้หรอก
หยุดไม่ได้หรอก หากต้องทำอย่างนั้น มันฝืนใจ
จบไม่ได้หรอก จากไม่ได้หรอก ฉันรักเดียวใจเดียว
เธอคนเดียวเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น……”

เสียงของเดียร์สะกดผมและคนฟังทั้งห้องบอลรูมให้เงียบงัน เนื้อเสียงของเขาดีมาก ร้องเพลงเพราะ ไม่คร่อมจังหวะเลยแม้แต่น้อย ทั้งเสียงร้องเสียงเอื้อน ลูกคอทำได้เหมือนมืออาชีพ โดยเฉพาะใบหน้าและท่าทางที่แสดงออกกลมกลืนไปกับเพลง จนผมเองยังตะลึง อกใจสั่นไหว เคลิ้มไปกับเพลงที่เขาร้อง ราวกับว่าเขานั่นคือสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อให้ผมได้รับรู้ เดียร์สบตาผมและพยักหน้าให้สัญญาณว่า ถึงท่อนที่ผมต้องร้องต่อ

“สั่งให้ฉันนั้นหยุดรักเธอ สั่งให้ฉันให้เลิกคบเธอ
เหมือนกับสั่งให้หยุดหายใจ ยังไงยังงั้น
สั่งให้ฉันต้องหยุดรักเธอ เท่ากับฉันต้องหยุดหายใจ
ถ้าฉันขาดเธอไป รับรองว่าต้องขาดใจตาย......”

ผมร้องไปตามทำนองเพลงที่นึกได้ ก่อนหน้านั้นกลัวเล็กน้อย แต่เมื่อเริ่มร้องไป ทุกอย่างมันก็ไหลลื่นโดยไม่ติดขัดจนผมยังอดทึ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ดีจนคนข้างล่างปรบมือให้ อาจจะเป็นเพราะความบีบคั้นที่ผมได้รับทั้งจากนายทรงพล หัวหน้าและคนอื่นๆที่รู้เรื่องราวระหว่างผมกับเดียร์ ทำให้ผมรู้สึกอยากระบายความอึดอัดใจที่มีอยู่ และเพลงนี้คือการส่งผ่านความรู้สึกทั้งมวลของผมไปยังเดียร์เช่นกัน ผมอยากประกาศให้เดียร์และคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้รู้ว่าผมไม่ได้อยากเลิกกับเด็กหนุ่ม เพราะผมรู้สึกรักเขาเหลือเกิน เดียร์ยิ้มให้ผม และค่อยๆเดินเข้ามาหา จนกระทั่งยืนอยู่ข้างๆผม ปากก็ร้องเพลง แต่สายตาจับจ้องมองผมตลอดเวลา

“ทำไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก
หยุดเมื่อไหร่ หยุดวันไหน ตายเมื่อนั้นเลย
ยอมไม่ได้หรอก หากต้องทำอย่างนั้นฉันเสียใจ
เปลี่ยนไม่ได้หรอก ยอมไม่ได้หรอก ฉันมันคนฝังใจ
เปลี่ยนใจได้ที่ไหน ขาดเธอคงไม่ไหว”
ผมสบตากับหนุ่มน้อยของผม ใจเริ่มหวั่นไหวมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะแค่เนื้อเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง แต่ผมรับรู้ได้ถึงความรักที่เดียร์มีต่อผมอย่างเปี่ยมล้นไม่ว่าจากดวงตาที่จ้องมองผมอย่างหวานซึ้ง และใบหน้าที่มีรอยยิ้มละไม ทั้งให้กำลังใจ และปลอบขวัญไม่ให้ผมตื่นกลัวอยู่ในที

เพราะมัวแต่มองเขา พอถึงจังหวะที่ผมจะต้องร้องต่อผมก็ดันร้องไม่ออก เดียร์เลยต้องร้องนำก่อนผมถึงค่อยหายงง และร้องต่อ เลยกลายเป็นว่าท่อนนี้เราสองคนร้องไปด้วยกัน โดยมีเดียร์คอยร้องคลอให้ เราสองคนต่างมองหน้ากัน เหมือนกับพยายามสื่อสารอะไรกันบางอย่างที่เรารู้กันเพียงแค่สองคน ความรักที่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจของเรา

“สั่งให้ฉันนั้นหยุดรักเธอ สั่งให้ฉันให้เลิกคบเธอ

เหมือนกับสั่งให้หยุดหายใจ ยังไงยังงั้น

สั่งให้ฉันต้องหยุดรักเธอ เท่ากับฉันต้องหยุดหายใจ

ถ้าฉันขาดเธอไป รับรองว่าต้องขาดใจตาย…………”

เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อเพลงจบลง ทุกคนดูชอบอกชอบใจการร้องเพลงของทั้งผมและเดียร์ สังเกตได้จากระหว่างที่ร้องเพลงจะมีคนเอาดอกไม้มาให้เราสองคนตลอดเวลา และมีคนมาถ่ายรูปคู่ของเราขณะร้องเพลงไว้ด้วย

ผมมองหน้าเดียร์อย่างเขินๆ กล่าวขอบคุณเขาที่ร้องเพลงเป็นเพื่อนผม เขายิ้มให้อย่างหยาดเยิ้ม จนผมอายหนักเข้าไปใหญ่ กลัวว่าจะมีคนเห็นเดียร์ทำหวานใส่ผม พอมองเห็นคนจ้องเราสองคน ผมก็เริ่มที่จะวางตัวไม่ถูก รีบคืนไมค์และรีบลงจากเวที

แต่ก็ยังทันได้ยินนักร้องสาวพูดแซวผมว่าร้องเพลงเข้าคู่กับแดนเซอร์หนุ่มหล่อของเธอได้ดีมาก หากสนใจอยากเป็นนักร้องก็บอก จะได้ชวนไปออกอัลบั้มดูโอ วงการเพลงจะได้มีนักร้องหล่อเพิ่มขึ้นมาอีก สองคน จบคำพูดของนักร้องสาวเสียงหัวเราะ และเสียงตบมือ เป่าปากอย่างชอบอกชอบใจก็ดังขึ้น ทำเอาผมแทบจะก้าวพลาดตกบันไดเวทีด้วยความประหม่าเขินอาย ดีที่ประคองตัวได้ทัน

บนเวทีเป็นหน้าที่ของนักร้องสาวที่จะสร้างความบันเทิงต่อไป เธอทั้งร้องทั้งเต้นวาดลวดลายเรียกเสียงฮือฮาให้กับพนักงานของบริษัท หลายคนขยับออกมาที่ตรงพื้นที่ว่างหน้าเวที และขยับแข้งขา เคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะเพลงที่สนุกสนาน บนเวที แดนเซอร์แต่ละคนก็เต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง แต่ละคนเต้นได้สวยมาก สายตาผมจับจ้องไปบนเวที ตาแทบไม่กระพริบ นานทีเดียวถึงจะรู้สึกตัวว่า โฟกัสของผมไปตกอยู่ที่เด็กหนุ่มลูกครึ่งเพียงแค่คนเดียว

“แม่โว้ย เรียวเอ๊ย เมื่อกี้นี้นายร้องเพลงยังกับเป็นนักร้องอาชีพแน่ะ ร้องได้ดีแบบนี้เพราะว่าอินไปด้วยใช่เปล่าวะ”

เจ้าสันต์ซึ่งแต่เดิมนั่งอยู่ตรงข้ามกับผม อยู่ๆก็เดินมานั่งข้างๆและหยอกล้อผมอย่างมีเลศนัยหลังจากผมเดินลงจากเวทีมานั่งที่โต๊ะแล้ว

“พูดบ้าอะไรวะ”

ผมด่ามันกลับไป ทำเป็นโมโหใส่มันที่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง มันหัวเราะแล้วบุ้ยใบ้ไปบนเวที ที่เดียร์กำลังวาดลวดลายอยู่ ผมหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นมันทำหน้าล้อเลียนผม
“เจ้าหนูนั่นมันหล่อ และดูดีจริงๆเลยว่ะ กล้ามเนื้องี้สวยเชียว เห็นแล้วน้ำลายไหล ไอ้ศักดิ์ยังมองตาไม่กระพริบ ฉันน่ะสมเพชมันจริง ไม่ยอมรับว่าเป็นเกย์ แต่เห็นหนุ่มๆเปลือยอกเข้าหน่อยก็ใจสั่น ข้าวปลาไม่ยอมกินเลย ไม่รู้มันจะหลอกตัวเองไปทำไมกัน”

เจ้าสันต์พูดพลางจ้องหน้าผม แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นึกรู้ว่ามันตีวัวกระทบคราด แต่ผมไม่จำเป็นต้องร้อนตัวโต้ตอบให้มันจับไต๋ได้นี่

“เฮ้อ นายนี่โชคดีนะที่มีคนรักนายจริงจังแบบนี้ ตอนที่นายสองคนร้องเพลง ฉันน่ะโคตรอินตามไปด้วยเลยว่ะ นึกว่าคู่รักสองคนกำลังบอกรักกัน คนอื่นสังเกตเห็นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ฉันเห็นสายตาเทอดทูนบูชาจากหน้าหล่อๆนั่น ยามจ้องมองแกว่ะ มันบอกให้ฉันรู้ว่า เด็กนั่นรักแกมากแค่ไหน เป็นฉันน่ะ ใครมามองฉัน และร้องเพลงหวานๆสื่อความในใจให้ฉันฟังแบบนี้ ตอนจบเพลงฉันจะไม่แค่ลงจากเวทีมาเฉยๆหรอก ฉันจะกระโดดกอดและจูบให้สมกับความรักที่มีให้กันเลย”

เพื่อนผมมันท่าจะเพี้ยน เพราะนั่งทำตาลอยฝันหวานเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

“บ้าน่ะสิ ใครจะไปแสดงออกแบบนั้น ไม่ใช่พวกหน้าด้านไม่แคร์สังคมเหมือนนายนี่”

“แล้วทำไมต้องไปแคร์ใครด้วยวะ คนมันรักกันนี่หว่า”

“เออ นายก็มองไปรอบข้างสิวะ คนพวกนี้จะคิดยังไงกับนายล่ะ”

“ช่างมันสิ ฉันมันบูชาความรักเฟ้ย ประกาศให้รู้ไปเลยว่ารักชอบกัน ความรักมันผิดตรงไหนวะ ทำไมต้องห้ามไม่ให้คนรักกันด้วย”

“ไม่มีใครห้ามไม่ให้คนรักกันหรอก ไม่ห้ามการแสดงออกถ้าอยู่ในขอบเขต แต่เราอยู่ในสังคมนะ มีชื่อเสียง มีหน้าตา มีงานมีการทำ คนเขานับถือเรา ยกย่องเรา เราก็ต้องวางตัวให้ดีเป็นแบบอย่าง ไม่งั้นเราจะสอนคนของเราอย่างไร ถ้าหากตัวเราเองก็ยังไร้ระเบียบ สังคมของเราก็เละเทะน่ะสิ หากมีคนทำอะไรแหกคอกเยอะแยะแบบนายน่ะ”

ผมเริ่มเตือนสติมัน เพราะเห็นว่าเจ้าเพื่อนรักของผมมันชักจะไปกันใหญ่แล้วที่เอาอุดมการณ์สูงส่งด้านความรักของมัน มาปะปนกับการวางตัวในที่ทำงาน ผมอยากให้มันแยกให้ออกว่าอะไรควรไม่ควร บางทีคนเราก็ต้องรู้จักอดกลั้น ไม่ทำตามใจตัวเองจนเกินไปนัก ไม่งั้นชีวิตอาจจะพังลงอย่างง่ายๆ ถ้าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

“โหย อะไรวะ แค่นี้ต้องเป็นการเป็นงานด้วย เมื่อไหร่นายจะเลิกตีกรอบให้ตัวเองเสียทีวะ การเป็นคนจิตใจงดงาม ทำอะไรถูกต้องตามที่สังคมกำหนด มันเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ฉันเองก็ใช่ว่าจะไม่ชอบนะ แต่บางครั้งการแหกกฏเพียงนิดหน่อย เพื่อให้เรามีความสุขบ้าง ก็เป็นสิ่งที่น่าจะลองทำดูไม่ใช่เหรอ เราอาศัยอยู่ในสังคมก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ให้สังคมกำหนดว่าเราจะทุกข์จะสุขอย่างไร

ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราเอง อย่าเชื่อคนอื่นมากนักเลย เชื่อใจตัวเองบ้างเถอะ เอาง่ายๆ นายลองมองขึ้นไปบนเวทีสิ มองเจ้าหนูนั่น ใช้ใจมอง อย่าใช้ตามอง แล้วตอบตัวเองสิ ว่านายรู้สึกรักชอบเด็กนั่นบ้างหรือเปล่า มีสักครั้งไหมที่นายคิดถึงเขาเวลาที่ไม่ได้เจอหน้ากัน หงุดหงิดสุดๆเมื่อเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย หึงหวงเวลาที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ครุ่นคิดถึงชีวิตของตัวเองว่าจะเป็นอย่างไรถ้าอยู่โดยปราศจากเขา ไม่ต้องตอบฉัน ตอบตัวเอง นายเท่านั้นที่จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร”
กลายเป็นว่าผมถูกมันเทศนากลับ เวลามันพูดเรื่องนี้กับผมทีไร ผมก็ได้แต่อ้ำอึ้งโต้เถียงมันไม่ออก เพราะสิ่งที่มันพูดเป็นจริงหลายอย่าง ผมคิดถึงเจ้าเด็กบ้านี่ตลอด รู้สึกว่าความวุ่นวายที่เขาสร้างให้ผมในแต่ละครั้งที่มาเจอกัน ค่อยๆกลายเป็นความเคยชินทีละน้อย

วันไหนที่เดียร์ไม่มาหา ผมจะหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ล่าสุดผมเพิ่งรู้ว่าผมไม่พอใจเวลาที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ผมรู้ตัวเองตั้งนานแล้วว่าผมรักเขา แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นเอามากถึงเพียงนี้ การที่ผู้ชายหึงหวงผู้ชายด้วยกันผมเห็นเป็นเรื่องน่าขันมาโดยตลอด แต่คราวนี้ผมตลกไม่ออกแล้ว เพราะว่าผมดันรู้สึกแบบนั้นกับเดียร์เสียเอง

การที่ผมไม่โต้ตอบอะไรออกไป ทำให้เจ้าสันต์รู้เป็นนัยๆว่าผมจำนนกับคำพูดของมัน เพื่อนรักของผมยิ้มให้อย่างเข้าอกเข้าใจและตบบ่าผมเบาๆ จากนั้นมันก็อวยพรวันเกิดให้กับผม จากนั้นมันก็หยิบแก้วใส่เหล้าที่ผสมแล้วจากพนักงานโรงแรมมาให้ผม และขอชนแก้วกันเพื่อฉลองวันเกิด

ผมบ่ายเบี่ยงแต่มันไม่ยอม บอกว่าวันนี้เป็นวันดี ขอให้ผมแหกกฏตัวเองที่ว่าจะไม่ดื่มเหล้าสักวัน ผมเลยต้องยอมชนแก้วกับมัน คิดว่าแค่แก้วเดียวก็คงพอ ที่ไหนได้ พอคนอื่นๆเห็นผมดื่มเหล้าเท่านั้นก็เดินมาขอชนแก้วกันใหญ่ จากแก้วแรกไปสู่แก้วที่สอง แก้วที่สาม และต่อๆไปอีกหลายแก้วจนผมชักตึงๆ

การแสดงบนเวทียุติลงแล้ว นักร้องและแดนเซอร์ทะยอยกันลงจากเวที พิธีกรขึ้นไปเชิญผู้บริหารขึ้นมาจับรางวัลให้กับพนักงาน ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือตนเองจะห้าทุ่มแล้ว เริ่มรู้สึกอยากกลับบ้านไปนอนพักผ่อน ไม่อยากอยู่ต่อเพราะกลัวถูกขอร้องแกมบังคับให้ดื่มต่อ เดี๋ยวจะเมามากจนกลับบ้านไม่ไหว

อีกอย่างผมจอดรถไว้ที่บริษัทด้วยไม่อยากเข้าไปเอารถตอนดึกๆ กลัวรถไฟฟ้าหมดด้วย ผมยังไม่สามารถกลับได้เลยในทันที ต้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อนไม่อยากไปในชุดฮ่องเต้ที่กำลังใส่อยู่แบบนี้ ผมจึงบอกลาหัวหน้าของผม และท่านประธานเพื่อขออนุญาตกลับก่อน จากนั้นก็เดินไปบอกเจ้าสันต์ ศักดิ์ชายและคุณแคทลียาว่าผมจะกลับแล้ว

ทั้งสามคนขอให้ผมอยู่จนงานเลิก และจะชวนผมไปเที่ยวผับต่อ แต่ผมขอตัว เพราะไม่ไหวแล้วเริ่มมึนๆ เพราะถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มเข้าไปมาก ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองว่าจะเลิกเหล้าโดยเด็ดขาด แต่ผมก็ขัดคนที่มาร่วมแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ของผมไม่ได้

คุณแคทเห็นว่าผมไม่ไปเธอก็เลยปฏิเสธสองคนนั่นด้วย และบอกจะกลับบ้านเหมือนกัน ตกลงเจ้าสันต์กับศักดิ์ชายเลยชวนกันไปต่อเพื่อฉลองให้กับตนเอง ไม่น่าเชื่อวันนี้สองคนเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่ทะเลาะกันให้เห็น คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันดีของพวกเราก็ได้ เลยไม่อยากมีเรื่อง

ตอนที่ผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพัก ผมเจอเข้าพอดีกับนายทรงพลที่กำลังจะกลับเหมือนกัน เขาเดินตรงจะมาหาผมตรงบันไดที่จะขึ้นไปชั้นบน แต่ผมรีบเดินหนี แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่มีหรือคนที่ชอบหาเรื่องสนุกใส่ตัวในการแกล้งคนอื่นอย่างเขาจะปล่อยให้ผมผ่านไปโดยง่าย

เขาตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดังลั่นจนคนหันมามองผมเป็นตาเดียว ทำให้ผมต้องหยุดเดินแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้อีกต่อไป ผมหยุดยืนรอในขณะที่เขาเดินรี่เข้ามา เขาหยุดยืนห่างจากผมพอสมควร จากนั้นก็ยิ้มแบบมีเลศนัยให้ผม ถ้อยคำที่ไม่น่าฟังหลั่งไหลออกมาจากปากเขา
“เป็นปลื้มล่ะสิ ที่ได้ร้องเพลงกับแฟนคุณเอง ทำไปได้ไงนะคุณ ประกาศให้คนรู้เขารู้ทั่วกันหรือไงว่าคุณสองคนรักกัน และจะไม่ยอมเลิกราไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ไม่แคร์คนรอบข้างแล้ว ไม่กลัวคนอื่นจะนินทาแล้วสินะ ดีแล้ว เปิดตัวออกมาก็ดีว่าชอบอะไร จะได้ไม่ต้องทนอึดอัดเวลาเอาเรื่องคุณมาวิพากษ์วิจารณ์”



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
“แล้วมันกงการอะไรของคุณไม่ทราบ”

ผมย้อนถามออกไปอย่างฉุนๆ

“รู้สึกว่าคุณจะยุ่งเรื่องของผมมากเกินไปหรือเปล่าครับ สิ่งที่คุณถาม ผมขออนุญาตไม่ตอบ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานการ ผมขอสงวนสิทธิ์ให้บริการกับคุณแค่เรื่องการทำประกันเท่านั้น เรื่องอื่นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูล หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ”

แทนที่นายทรงพลจะโกรธเขากลับหัวเราะดังลั่น คงชอบใจที่ยั่วให้ผมโกรธได้

“จี้ใจดำแค่นี้ ก็โมโหโทโสขึ้นมาเชียวนะครับ เอาเป็นว่าผมถามเรื่องเกี่ยวกับกฏเกณฑ์การทำประกันดีกว่านะครับ คือตอนที่เห็นคุณกับแฟนคุณร้องเพลงบนเวที ผมก็ดันมีข้อสงสัยขึ้นมาทันทีเลยนะครับ ผมอยากจะรู้ว่า การที่คนเราปกปิดไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ไม่แจ้งให้บริษัทที่ทำประกันทราบนี่มันผิดไหมครับ

เช่น ไม่บอกว่าตัวเองมีรสนิยมทางเพศที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นความเสี่ยงภัยอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังดันทุรังทำประกันเข้ามานี่มันผิดไหม เข้าข่ายปกปิดข้อเท็จจริงแถลงเท็จหรือเปล่า แล้วคนที่เป็นสต๊าฟบริษัทนี่ ก็ต้องใช้กฏเกณฑ์นี้แบบเดียวกับลูกค้าไหม แล้วมีสิทธิที่จะถูกปฏิเสธไม่รับประกันหรือเปล่า ถ้าสืบทราบได้ว่าเขาอยู่กินกับผู้ชายด้วยกัน”

พูดจบนายทรงพลก็หยุดรอฟังคำตอบ แต่ใบหน้าและแววตาเหยียดหยาม เขาทำให้ปรอทวัดความเกลียดชังที่ผมมีต่อตัวเขาพุ่งปรี๊ด รู้ได้ทันทีว่าเขาตั้งคำถามมาเพื่อเย้ยหยันผม ซึ่งคำถามแบบนี้ตอบไปก็เปลืองตัว ไม่ตอบแต่เดินหนีก็จะกลายเป็นคนขี้แพ้ไม่ยอมรับความจริง ผมเลยเลือกที่จะตอบไปแบบไม่ตอบ แล้วย้อนเกล็ดเขาแทน

“การปกปิดข้อเท็จจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จมันผิดกฏหมายอยู่แล้วครับ แต่ความจริงบางอย่างก็ไม่จำเป็นจะต้องบอกมาทั้งหมดหรอกครับ เพราะไม่มีผลต่อความเสี่ยงในการรับประกัน อย่างเช่นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ล่อลวง คุกคาม พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามทำให้คนอื่นได้รับถูกการเกลียดชัง ละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่น

เราก็แค่ระมัดระวังไม่ให้เขาซื้อสัญญาจำพวกฆาตกรรมอย่างนี้นะครับ เพราะเขาอาจจะเสี่ยงต่อการถูกฆ่าเพราะทำร้ายคนอื่นไว้เยอะ แต่ถ้าหากยังอยู่ในระหว่างมีคดีความกัน อันนี้เป็นความเสี่ยงเฉพาะกาล บริษัทสามารถปฏิเสธ หรือเลื่อนเวลาการรับประกันออกไปได้ครับ แค่นี้ใช่ไหมครับที่จะถาม ขอตัวก่อนนะครับ ผมจะรีบ”
ตอบไปอย่างยืดยาวจากนั้นก็ตัดบท เดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักรับรองที่ทางทีมงานจัดไว้ให้ ผมเห็นเดียร์มายืนแกร่วๆแถวนั้น นึกแปลกใจว่าเขาขึ้นมาทำไมกัน ตรงนี้มีห้องแต่งตัวให้นักร้องและแดนเซอร์ด้วยเหรอ แล้วเขาได้ยินที่ผมพูดกับนายทรงพลหรือเปล่านะ ถ้าหากได้ยินเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง โกรธเหมือนผมไหม

“มาทำอะไรตรงนี้น่ะ”

ผมย้อนถามเขาไป เด็กหนุ่มไม่ตอบกลับย้อนถามผมด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เรียวดื่มเหล้ามาหรือครับ”

“ก็นิดหน่อยน่ะ นี่นายเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ”

“ครับ ห้องแต่งตัวอยู่บนนี้ พอดีกำลังจะลงไปข้างล่าง แต่เห็นคุณกำลังเดินขึ้นมา เลยมาดักรออยู่น่ะครับ อยากรอรับคุณกลับบ้านด้วยกัน”

“แล้ว.....เอ่อ......”

ผมมองกลับลงไปยังด้านล่าง นายทรงพลไม่ได้อยู่แถวบริเวณบันไดแล้ว

“ครับ ผมได้ยินทุกอย่าง กำลังนึกอยู่ว่าจะลงไปตั้นท์หน้ามันดีไหม ที่พูดจาจ้วงจาบทำร้ายคุณ แต่ผมไม่อยากมีเรื่องที่นี่ ผมกลัวว่าเรื่องมันจะโยงใยมาถึงเรียว แล้วทำให้คุณได้รับความอับอาย ผมก็เลยยืนฟังอยู่เฉยๆ พอดีได้ยินการโต้ตอบของคุณ ก็เลยคิดว่าคุณน่าจะรับมือได้นะครับ”

เขาตอบคำถาม ผมนึกในใจว่าดีแล้วที่เดียร์ไม่บุ่มบ่ามลงไปฉะนายทรงพลด้วยความโมโห เพราะมันจะยิ่งทำให้คนอื่นรู้เรื่องระหว่างเรามากยิ่งขึ้น

“สุขสันต์วันเกิดนะครับเรียว วันสำคัญอย่างนี้ ทำไมไม่คิดจะบอกให้ผมรู้บ้างเลย หรือว่า เรียวไม่อยากให้ผมได้ร่วมแสดงความยินดีด้วย ผมมันคนไม่สำคัญใช่ไหมครับ เรียวเลยไม่ใส่ใจที่จะบอกให้ฟัง ต้องให้ผมมารู้ทีหลังคนอื่นๆ”

เดียร์เปลี่ยนเรื่อง ถามผมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

“ทีนายก็ไม่เคยบอกฉันเหมือนกันนั่นแหละว่านายจะมาแสดงที่บริษัทนี้ด้วย ฉันนึกว่านายไปเล่นให้ที่อื่น”

อารมณ์ขุ่นมัวเริ่มมาหลังจากถูกนายทรงพลเข้ามาวุ่นวายถากถาง แถมซ้ำคนข้างตัวของผมยังต่อว่าเรื่องที่ผมไม่บอกกับเขาเกี่ยวกับวันเกิดของผมเอง ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เคยบอกให้ผมรับรู้เหมือนกัน แถมซ้ำยังเต้นเปลือยท่อนบนให้ใครต่อใครเห็น ความรู้สึกฉุนมันยังคงค้างคาอยู่ พอเด็กหนุ่มพูดจาไม่ดีใส่ผม ก็เลยฉุนฟิวส์ขาด

“เรียวเคยถามผมเสียที่ไหนล่ะครับ ที่จริงไม่เคยใส่ใจในตัวผมและความรู้สึกของผมเลยมากกว่า ผมจะเล่นที่ไหน จะแสดงที่ไหนเรียวไม่แม้แต่จะถาม”

“ช่วยไม่ได้ ฉันไม่ได้เป็นคนเรียกร้องในตัวนาย ไม่เคยสัญญาว่าจะรักและสนใจนาย นายคิดและเพ้อฝันไปคนเดียวต่างหาก”
อารมณ์โกรธที่ยังคงต่อเนื่องอยู่ ทำให้ผมพูดจาไม่ดีใส่เดียร์ไป ผมเห็นเดียร์มีสีหน้าที่หม่นหมองลง ทั้งๆที่บนเวทีเมื่อสักครู่เขายังยิ้มให้กับผม เราหวานให้กัน แต่พอลงมาจากเวที เราทั้งคู่กลับมาทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ผมรู้สึกใจหายที่พูดร้ายๆใส่เขาไป แต่เดียร์เองก็ไม่น่าที่จะเริ่มก่อนนี่นา

ผมเกือบจะขยับปากเอ่ยคำขอโทษเดียร์ออกไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะเสียงของคุณแคทที่ดังแทรกขึ้นมา ทำให้ผมต้องปิดปากตัวเองโดยอัตโนมัติ และหันไปทางต้นเสียง คุณแคทเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินขึ้นบันไดมาหาผม

เธอถามว่าผมจะไปหรือยัง ผมเลยตอบเธอไปว่ากำลังจะลงไป แล้วผละจากเดียร์ทันที โดยไม่ได้แม้แต่จะกล่าวลา ไม่ได้ถามสักคำว่า คืนนี้ เขาจะกลับบ้านไหม ความขุ่นข้องในใจที่โดนเดียร์ต่อว่า ทำให้ผมเลือกที่จะเฉยชากับเดียร์

นายทรงพลยังยืนอยู่ด้านล่าง แต่ย้ายไปอยู่แถวบริเวณหน้าลิฟท์ คุณแคทเอามือคล้องแขนผมโดยอัตโนมัติ และเอาตัวแนบชิดกับผมเมื่อเดินตรงไปยังที่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ยืนอยู่ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญหน้ากัน เ พราะตรงนั้นเป็นเพียงลิฟท์แห่งเดียวที่จะพาลงไปชั้นล่าง

“คุณลุงจะกลับแล้วหรือคะ”

“ครับ คุณแคทล่ะ จะกลับเหมือนกันเหรอ หรือจะไปต่อกับคุณเรียว”

คนแก่ตัณหากลับ เหลือบตามามองผม มีรอยยิ้มยั่วในดวงตาคู่นั้น แต่ผมเบือนหน้าหนี ปล่อยให้คุณแคทโต้ตอบกับตาเฒ่านั่น จนกระทั่งลิฟท์ที่เรียกไว้ลงมารับ เราสองคนจึงก้าวเข้าไปข้างในโดยมีนายทรงพลตามมาติดๆ ตาเฒ่านั่นมองผมอย่างเปิดเผย แต่ผมไม่ยอมสบตาเลยแม้แต่น้อย แต่หูได้ยินแว่วๆถึงการถามตอบระหว่างเพื่อนร่วมงานของผมกับคนรู้จักของเธอ

พอลิฟท์ลงมาถึงชั้นหนึ่ง ผมก็สะกิดคุณแคทให้เดินออกมาโดยหันไปพยักหน้าให้นายทรงพลนิดหน่อยเป็นเชิงกล่าวอำลา นายทรงพลไม่ได้ลงตามมาด้วย เขาลงลิฟท์ไปยังลานจอดรถเลย น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่มีบอดี้การ์ดตามเป็นพรวนเหมือนทุกที วันนี้คงฉายเดี่ยว

ขณะที่ผมเดินกลับพร้อมๆกับคุณแคท ระหว่างทางเธอก็คุยกับผมหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นายทรงพลมางานนี้ได้อย่างไร รวมถึงคำพูดไม่ดีที่นายทรงพลพูดกับผม ซึ่งทำให้เธอแปลกใจมากว่าเธอรู้ได้อย่างไร เธอก็บอกว่าบังเอิญได้ยินคนเขานินทากันว่าคุณทรงพลกับคุณเรียวทะเลาะกัน

คนพูดไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เธอเดาเอาว่าต้องไม่เป็นเรื่องดีแน่ เพราะตามปกติผมไม่ใช่คนขี้โมโหง่าย คนที่จะทำให้ผมโมโหได้แสดงว่าต้องทำร้ายกาจจนผมเหลืออด ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่นายทรงพลพูดกับผมให้คุณแคทฟัง เธอทำหน้าเห็นอกเห็นใจผม และบอกว่าถ้าเป็นเธอก็คงจะโกรธจัดไม่ใจเย็นเหมือนผมหรอก

จากนั้นเธอก็ถามผมว่า แดนเซอร์ที่ร้องเพลงกับผมใช่คนที่เขาลือกันว่าเป็นแฟนผมหรือเปล่า แล้วเธอก็ยังบอกอีกด้วยว่า เธอเคยเห็นรูปของเดียร์ในห้องนอนของผมตอนที่ผมพาเธอไปค้างที่บ้าน พอมาเห็นเดียร์ที่นี่ และเห็นสายตาของเดียร์ที่มองผมก็รู้ได้ว่า เด็กคนนั้นรักผมมากแค่ไหน

“นี่แคทมาทำให้คุณสองคนผิดใจกันหรือเปล่าคะ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกครับ เดียร์ไม่ได้เป็นอะไรกับผม ทำไมเขาจะต้องไม่พอใจด้วย”

ผมโกหกออกไปด้วยไม่อยากยอมรับง่ายๆกับคนที่ทำงานอยู่ด้วยกันว่าผมกำลังรักอยู่กับผู้ชาย ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดยังไง รู้หน้าไม่รู้ใจ ถึงจะสนิทกับคุณแคทพอสมควร แต่ผมก็ยังอยากรักษาความลับของตัวเองไว้

“งั้นเหรอคะ ถ้างั้นแคทก็ฟังผิดไปเอง ขอโทษด้วยนะคะที่แคทคิดว่าคุณกับน้องเดียร์เป็นอะไรกัน ได้ฟังอย่างนี้แคทก็รู้สึกสบายใจนะ เพราะแคทไม่อยากทำให้คุณมีปัญหากับคนที่ตัวเองรัก ที่ผ่านมาก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้วที่คุณคอยช่วยเหลือ อีกไม่นานหรอกค่ะ คุณก็ไม่ต้องมาช่วยแคทแล้ว เพราะแคทกำลังจะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว”

“จริงเหรอ”

“ค่ะ คืนนั้นหลังจากกลับจากงานแต่งแล้ว คนรักเก่าของแคทก็โทรมาหา เขาต่อว่าแคทใหญ่เลยที่ไปกับผู้ชายคนอื่น ถามใหญ่เลยว่ารู้จักคุณได้ไง และคุณกับแคทเป็นแฟนกันจริงๆหรือเปล่า เราคุยกันตั้งเกือบสองชั่วโมงแน่ะ แคทดีใจมากๆเลย ที่วิธีนี้ได้ผล แต่ดูเหมือนว่าเขายังดื้ออยู่ ยังไม่ยอมรับความจริงว่าเขาต้องการแคทมากกว่าลูกเมียเขาเสียอีก”

ท่าทางคุณแคทมีความสุขขณะที่เล่า แต่ผมเองกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก นี่ผมกำลังช่วยคุณแคททำบาปหรือเปล่านะ ถ้าแฟนเก่าของเธอกลับมาหา แล้วลูกเมียเขาล่ะจะอยู่ที่ไหน ผลกรรมนี้มันจะตามมาสนองทำให้ผมไม่สมหวังในความรักด้วยหรือเปล่า

“รู้ไหมพี่สมชายถามถึงคุณแคทด้วยล่ะ เขาถามผมหลายอย่าง ถามว่ารู้จักคุณมานานแล้วหรือยัง สนิทกันแค่ไหน แปลกจังเลยตอนอยู่ในงานทำท่าไม่อยากพูดคุย แต่พอคุณลับตาไปกลับสนอกสนใจขึ้นมา นี่ถ้าไม่คิดว่าเขามีภรรยาและลูกที่น่ารักอยู่ที่บ้าน ผมต้องคิดว่าพี่สมชายสนใจคุณแน่นอน”

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดออกไป เพื่อดูปฏิกิริยาของคุณแคทเพราะผมเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง ทำไมเหตุการณ์มันถึงได้ประจวบเหมาะกันแบบนี้หนอ คนสองคนเคยเรียนที่เดียวกันมาก่อน พี่สมชายเป็นรุ่นพี่คุณแคท ตรงซุ้มอาหารก็ไม่มีใครที่น่าสงสัยว่าจะเป็นแฟนคุณแคท มีเพียงพี่สมชายอยู่บริเวณนั้นเท่านั้น

และพี่สมชายยังแต่งงานและมีลูกแล้ว ซึ่งไปพ้องกับคนรักเก่าของเธอ อยู่ๆผมก็นึกถึงตอนที่ไปถามข่าวคราวของเดียร์ที่ผับแถวสีลม ผมได้เจอคุณแคทกับพี่สมชาย และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ยังได้เห็นคุณแคทยืนกอดจูบกับใครบางคน แต่ตอนนั้นผมยังไม่เฉลียวใจสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมเอาแต่ละชิ้นส่วนมาปะติดปะต่อกัน และเริ่มมั่นใจว่าคนรักเก่าของคุณแคทก็คือพี่สมชายนั่นเอง

ชั่วขณะหนึ่งคุณแคทมีทีท่าว่าสนใจ เธอยิ้มออกมา แต่พอเห็นสายตาของผมที่มองจ้อง เธอก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ผมพยายามลอบสังเกตหาสิ่งผิดปกติ แต่เหมือนเธอจะรู้ตัวกลบเกลือนจนเนียน เลยไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ สิ่งที่ผมคิดมันถูกต้องหรือไม่ ถ้าใช่ผมอาจจะถอนตัวจากเรื่องนี้ เพราะผมไม่อยากจะทำร้ายใคร โดยเฉพาะคนนั้นดันเป็นเพื่อนบ้านของผม


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 32

“ถามจริงๆเถอะ คุณแคทเป็นแฟนเก่าของพี่สมชายหรือเปล่า”

ผมถามออกไปโดยไม่อ้อมค้อม คุณแคทร้องว้าย เอามือทาบอก พลางสั่นหน้า

“คุณเรียวคงจะเมาแน่ๆ เลยพูดประโยคแบบนั้น แคทไม่ได้เป็นแฟนก่งแฟนเก่าอะไรกับพี่สมชายของคุณเสียหน่อย เราไม่เคยรู้จักกันเลยนะคะ”

พูดปด ผมรู้ดี เพราะผมเห็นเธอหลบสายตาผมตอนที่ปฏิเสธคำถามของผม เอาเถอะไม่ยอมรับไม่เป็นไร ผมต้องพยายามหาความจริงให้ได้ และรีบเอาตัวออกห่างไม่อยู่ในแผนการณ์ของคุณแคท ถ้าหากมันจะทำให้ครอบครัวของคนดีๆต้องแตกแยกกัน แม้ผมจะเห็นใจคุณแคท และต้องการทำเพื่อให้เดียร์ปลอดภัยจากเงื้อมมือของนายทรงพล แต่ผมก็มีความยุติธรรมพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวของตนเอง มาทำร้ายครอบครัวคนอื่น ผมจะหาทางช่วยเดียร์วิธีอื่น

“ถ้างั้นผมก็ต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจคุณแคทผิด ผมจะได้รู้สึกสบายใจด้วย ว่าไม่ได้ทำให้ครอบครัวของคนที่ผมรู้จักต้องบ้านแตกสาแหรกขาด”

ผมย้อนไปตามคำพูดของเธอที่เคยพูดกับผม เราต่างคนต่างส่งยิ้มแห้งแล้งให้กัน และเดินกันไปเงียบๆจนถึงสถานีรถไฟฟ้า ขึ้นรถได้ก็ต่างคนต่างเงียบ อยู่ในโลกส่วนตัวของตนเอง ผมเห็นคุณแคทเหม่อลอย นัยน์ตาครุ่นคิด ส่วนผมเองก็เริ่มจะมึนๆจากการดื่มเข้าไปเยอะมาก ตาชักจะเริ่มลายแล้ว ตอนลงบันไดมา ผมก็เกือบจะเดินพลาดต้องจับราวบันไดไว้ แต่คุณแคทไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของผม เพราะมัวแต่เดินคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งเดินไปถึงรถคุณแคท เธอจึงได้หันมาสังเกตเห็นว่าผมเริ่มจะเดินไม่ตรงทางแล้ว เธอถามว่าผมขับรถไหวไหม ผมบอกว่าไหวสบายมากไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นก็รีบไล่ให้เธอกลับบ้านไปพักผ่อน พอเธอขับรถออกไปแล้วผมก็เดินกลับไปยังรถของผม ตอนที่กำลังจะไขกุญแจรถนั้น เสียงห้วนๆแบบไม่พอใจก็ดังขึ้นข้างหลัง

“ไปไหนกันมาหรือครับ เห็นออกมาตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งจะถึง”

ผมหันขวับไปตามเสียง ก็เห็นเดียร์สะพายเป้ยืนเยื้องออกไป หน้าตาบึ้งตึง

“แล้วนายมีปัญหาอะไร....”

“ผมเป็นห่วง เห็นนายทรงพลอยู่ในงานด้วย กลัวว่าคุณจะเป็นอันตราย”

คำพูดของเดียร์ทำให้ผมสะอึก เด็กนี่เป็นห่วงผมเลยมาดักรออย่างนั้นหรือ

“เกือบชั่วโมงแล้ว จากโรงแรมที่จัดงานมาถึงบริษัทของคุณ ผมเฝ้ารออย่างกระวนกระวายกลัวว่าคุณจะเป็นอะไร ที่แท้ก็มัวแต่ไปอี๋อ๋ออยู่กับยัยชะนีนั่น รู้งี้ไม่เป็นห่วงซะก็ดี”
เขาพูดอย่างโกรธๆ ผมก็เลยอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง หนอยแน่ะ มีสิทธิอะไรมาต่อว่าผม แถมซ้ำยังไปเรียกคุณแคทว่าชะนีอีก ตอนแรกใจอ่อนสงสารเขา แต่พอพูดจาสุนัขไม่รับประทานอย่างนี้ผมก็อดนึกโมโหไม่ได้ เลยพูดเสียงดังกลับไปว่า คราวหลังไม่ต้องมาคอยติดตามหรือคอยเป็นห่วงอีก ผมดูแลตัวเองได้ เลิกยุ่งเกี่ยวกับชีวิตผมได้แล้ว จะไปทำอะไรที่ไหนก็ไป

รู้ตัวว่าพูดแรงเหมือนกัน แต่มันยั้งไม่อยู่แล้ว เจ้าเด็กบ้านี่เคยรู้อะไรบ้างไหม เอาแต่ใจตัวเองฝ่ายเดียว อยากได้อะไรก็ต้องได้ โดยไม่คำนึงถึงจิตใจคนอื่น เคยคิดบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกอย่างไร ผู้ชายอย่างผมซึ่งเคยมีอะไรกับผู้หญิงเท่านั้น วันดีคืนดีก็ถูกบังคับขืนใจให้มารักผู้ชายด้วยกัน เสียตัวให้กับเขาโดยง่าย ปล่อยให้นายเดียร์ตักตวงความสุขเอาจากร่างกายของผม เขาทำให้ผมอับอายที่จะต้องยอมรับกับตัวเองว่าผมปรารถนาในตัวเขาแค่ไหน

ในแต่ละวันผมต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ต้องนั่งคิดใคร่ครวญว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ระหว่างการทำตัวให้ถูกครรลองครองธรรม หรือทำตามใจปรารถนา ผมต้องทนรับมือกับข่าวซุบซิบนินทา ถูกกดดันจากหัวหน้าและถูกแบล็คเมล์จากนายทรงพล แถมซ้ำยังต้องมารับหน้าเป็นแฟนกับคุณแคท ทั้งๆเรื่องที่เกิดทั้งหมดนี้มาจากการกระทำของเขาทั้งสิ้น

ถ้าเขาไม่มายุ่งกับผม ไม่แบล็คเมล์จนต้องเซ็นต์สัญญาเป็นแฟนกับเขา ป่านนี้ผมคงไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เป็นนายเรียว ผู้อำนวยการหนุ่มที่มีหน้าที่การงานมั่นคง ได้แต่งงานกับใครสักคนที่ผมรัก มีลูกด้วยกันมีครอบครัวที่มีความสุข ไม่ใช่มาอยู่กับผู้ชายแบบหลบๆซ่อนๆ กลัวใครจะเห็นแบบนี้

แทนที่เขาจะเข้าใจผม กลับมาทำโวยวายเพียงเพราะผมไปกับผู้หญิงคนอื่น เขาไม่น่าจะหึงผมด้วยซ้ำเพราะเขาไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่แรก ผมเป็นของเขาแค่เพียงกาย และแม้ว่าใจผมจะมีเขาอยู่เต็มหมดทั้ง 4 ห้อง แต่ผมก็ไม่ได้สัญญาว่าจะครองคู่กับเขาไปตลอด วันข้างหน้าผมอาจจะเลิกกับเขา แล้วไปมีแฟนใหม่เป็นผู้หญิง ชีวิตเป็นของผม ดังนั้นผมจะใช้ชีวิตอิสระเสรีอย่างไรก็ได้

พอผมหลุดคำพูดนั้นออกไป เด็กหนุ่มก็หน้าถอดสี จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาปราดเข้ามาหาผม แล้วยืนค้ำหัว พลางพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน สองมือขยุ้มไหล่ผม ราวกับจะบีบให้แหลกคามือ

“ใช่สิ ผมมันไม่เคยมีความหมายกับคุณเลยนี่ ทั้งๆที่ผมพยายามทำดีกับคุณ แต่คุณก็ไม่เคยรับรู้หรือแม้แต่จะทำความเข้าใจ เพียงเพราะผมเป็นผู้ชาย คุณจึงรักไม่ได้ แต่ทีกับคนที่แปลงเพศแล้ว คุณกลับชอบและให้ความสนิทสนมด้วยเป็นอย่างดี ตกลงว่าคุณชอบแบบไหนกันแน่ ชอบผู้หญิง ผู้ชาย หรือกระเทย”

“พูดอะไรของนาย ฟังไม่เห็นจะรู้เรื่อง นี่ถ้าจะมาชวนทะเลาะล่ะก็ ไปหาคนอื่นเถอะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก จะกลับบ้านแล้ว”

ผมตัดบท ไม่อยากโต้เถียงด้วย ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งดังขึ้น แม้ผมจะเมาและตาลายขนาดไหน แต่ผมก็ยังแอบเห็นยามผลุบๆโผล่ๆมองเราอยู่ที่ตรงป้อม และช่างเหมาะเจาะเสียจริงที่เป็นยามคนเดิมที่เคยเห็นผมกับเดียร์ คนที่ปากพล่อยพูดเรื่องผมกับเดียร์ให้พนักงานฟัง วันนี้เขามาเข้ากะดึกเสียด้วย พรุ่งนี้เช้าคงมีเรื่องได้พูดสนุกปากแน่ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งโมโหเดียร์ ทำไมต้องมาดักรอเพื่อจะทะเลาะกับผมในลานจอดรถตรงนี้ด้วยนะ จะทำให้ผมได้รับความอับอายไปถึงไหน แค่นี้คนก็เริ่มระแคะระคายและเริ่มนินทาแล้ว จะให้ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพื่อที่จะไปครองรักกับเขาแบบตกกระไดพลอยโจนหรือยังไง
ผมเปิดประตูรถได้ และกำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งยังด้านคนขับ แต่เดียร์เอื้อมมาดึงกุญแจรถไปจากมือผม แล้วดึงตัวผมให้ลงจากรถ จากนั้นก็กึ่งลากกึ่งประคองผมไปยังอีกด้าน แล้วเปิดประตูจับผมยัดเข้าไป ผมโวยวาย เขาก็บอกว่าเขาจะขับเอง ผมเมามากแล้วคงขับไม่ไหว ขืนดื้อขับไปคงได้เจออุบัติเหตุ จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นมานั่ง ล็อครถและขับออกไป ผมหลับตาลงเริ่มรู้สึกมึนหัวมากยิ่งขึ้นจนอยากจะนอนพัก ไม่อยากพูดคุยกับเขาอีก กลัวว่าจะโต้เถียงกันไปมากกว่านี้ การทะเลาะกันในภาวะที่ขาดสติ อาจจะทำให้ผมเผลอพูดจาอะไรที่รุนแรงออกไปอีกจนได้

ถึงบ้านแล้ว เดียร์ก็เข้ามาประคองผม แต่ผมไม่ยอมให้เดียร์ช่วยเหลือ จึงปัดมือเขาออกแต่ก็เซถลาอย่างเสียศูนย์ เพราะแอลกอฮอล์ในเลือดเริ่มสำแดงเดช ดีที่เดียร์เอื้อมมือมาคว้าตัวผมไว้ได้ เขากอดผมไว้แน่น แล้วก็พยายามจะอุ้มผม แต่ผมขัดขืน จังหวะที่ยื้อยุดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงประตูรั้วบ้านตรงข้ามเปิดออก พี่สมชายเดินออกมาพอดี และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ผมก็เลยยิ่งนึกโมโหหนักขึ้น ความลับเริ่มจะปกปิดไม่มิดอีกต่อไปแล้ว

มีคนรู้เรื่องผมกับเดียร์มากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน และยิ่งทำให้ชีวิตผมไม่เป็นปกติสุข ความโกรธที่ไม่สามารถจะรักษาชีวิตแบบเดิมๆของตัวเองไว้ได้ทำให้ผมยิ่งพาลใส่เดียร์อีก แข็งใจเดินเข้าไปในบ้านด้วยตัวเอง เดียร์ปิดประตูบ้านเสร็จ ก็จะเดินตามมาส่งผมขึ้นห้อง ผมร้องบอกว่าคืนนี้ให้เขานอนอยู่ข้างล่างนั่นแหละไม่ต้องมานอนด้วย ผมอยากอยู่คนเดียวจากนั้นผมก็ตะกายขึ้นไปนอนบนเตียงและฟุบหลับไป

ตื่นเช้าขึ้นมา ผมรู้สึกปวดหัวตึ้บๆ หลังจากสั่นศีรษะขับไล่ความมึนงงสักพัก ผมก็เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงในสภาพแต่งกายด้วยชุดนอนเรียบร้อย เนื้อตัวสะอาดสะอ้านไม่มีกลิ่นอาหารหรือกลิ่นเหล้าติดตัวเหมือนตอนกลับมา เสื้อผ้าที่ใส่แล้วหายไปจากตะกร้า ห้องถูกกวาดถูเรียบร้อย ผมเหลือบตาดูนาฬิกาบนหัวเตียง เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เวลา 10.25 นาที นี่ผมตื่นนอนสายขนาดนี้เลยหรือ ผมรีบกระโดยลงจากเตียง อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันแล้วเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดแขนสั้น และกางเกงผ้ายืดสำหรับใส่อยู่กับบ้านและเดินลงมาข้างล่าง

ในห้องรับแขกไม่มีเดียร์อยู่ตรงนั้น ผ้าห่มกับผมถูกพับเก็บเรียบร้อยวางไว้บนโซฟา บนโต๊ะอาหารในห้องครัว มีอาหารเช้าร้อนๆตั้งอยู่ มีข้าวต้ม ผัดหัวไชโป้วหวานใส่ไข่ และไข่เจียวเห็ดหอม กับน้ำเย็นเหยือกหนึ่งวางไว้ ตัวคนทำไม่ได้อยู่ที่นั่น

ผมเดินไปดูที่หลังบ้านคิดว่าเดียร์อาจจะพาเจ้าหญิงไปเล่นซน แต่ก็พบเพียงเสื้อผ้าของผมที่ซักตากขึ้นราวไว้เรียบร้อย นึกสงสัยว่าเขาไปไหน เลยเดินออกมาที่ด้านหน้าบ้าน ก็พบเดียร์นั่งกอดเข่าท่าทางซึมๆอยู่ใต้ต้นมะม่วง มีเจ้าหญิงนอนแกว่งหางอยู่ที่ปลายเท้า ผมเห็นอาการหงอยเหงาของเดียร์แล้วก็เกิดความสงสาร สำนึกได้ว่าเมื่อคืนนี้ผมพูดแรงกับเขามากไปจริงๆ ความโกรธ ความโมโห หงุดหงิดต่อสิ่งที่เผชิญอยู่ บวกกับความเงา ทำให้ผมไม่เก็บกดอารมณ์ ไปลงที่เขาอย่างเต็มที่ ผมรู้ว่าเดียร์เองก็โกรธผมไม่ใช่น้อย แต่เขาก็ยังเป็นห่วงผม ดูแลเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แม้ผมจะขับไล่ไสส่งไม่ให้เขาเข้าใกล้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจที่ทำกับเดียร์เกินไป ผมจึงเปิดประตูออกไปหาเขา
เดียร์รีบยืนขึ้นเมื่อผมเดินตรงมาหา เขาส่งยิ้มให้ผม ถามว่าตื่นแล้วเหรอ ปวดหัวไหม หิวหรือเปล่า ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ตรงหัวใจ เจ้าเด็กบ้าเมื่อคืนนี้ทะเลาะกันอยู่ แต่เช้าขึ้นมาก็มาทำดีกับผมอีกแล้ว ผมมองหน้าเดียร์ เห็นหน้าของเขาซีดเซียวอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตาบวมแดงช้ำ สงสัยไม่ได้หลับเพราะนั่งนึกน้อยใจผมอยู่กระมัง

เห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร เลยตั้งใจว่าจะไถ่โทษที่ทำผิดกับเขาเสียหน่อย อยากจะชวนเขาไปฉลองวันเกิดด้วยกันสองต่อสอง ไปหาร้านเค้ก หรือร้านไอศกรีมอร่อยๆทานกัน จากนั้นก็พาเขาไปเที่ยวไหนก็ได้ที่เขาอยากไป

“ไปกินเค้กกันไหม”

ผมเอ่ยปากชวนเขา เดียร์ทำตาโต ถามผมว่าจะกินจริงๆเหรอ ผมพยักหน้า เขาก็ถามอีกว่าตอนกลางวันนี่นะ ผมก็บอกว่าใช่ เขาก็ถามว่า ไม่ทานข้าวก่อนหรือ ผมก็หัวเราะ นึกในใจว่าเจ้าบ้านี่ถามมากจัง จะออกไปทานข้าว ข้างนอก แล้วจะกินข้าวในบ้านอีกทำไม

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างขึ้น จากนั้นก็ตรงเข้ามาหาผม และช้อนร่างผมมาอุ้ม ผมตกใจมาก แค่จะไปทานข้าวข้างนอกกันแค่นี้ ไม่ต้องดีใจถึงขนาดที่ต้องอุ้มผมแบบนี้หรอก ผมพยายามจะดิ้นลงจากอ้อมแขนของเขา แต่เดียร์ก็รัดแน่น แรงของเขามีมากมายมหาศาล ไม่น่าเชื่อว่าจะอุ้มผู้ชายตัวโตๆอย่างผมได้ จากนั้นเขาก็เดินเร็วๆเข้าไปในบ้านและพาผมขึ้นบันไดไปยังห้องนอนชั้นบน ผมเริ่มเอะใจขึ้นมาตะหงิดๆ คาดว่าเดียร์คงจะเข้าใจอะไรผิดเป็นแน่

“นี่จะทำอะไรน่ะ”

ผมร้องถามเขา พยายามจะดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุม เดียร์หัวเราะร่าเริง จากนั้นก็วางผมลงบนเตียงแล้วกระโจนขึ้นมาทับ พลางกอดจูบผมเป็นพัลวัน ผมแกะไม้แกะมือเด็กหนุ่มที่ยุ่มย่ามแถวตัวผม แต่เดียร์มือเหนียวมาก แกะไม่ยอมออก ร้องทัดทานอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง เขาสัมผัสผมไปทั่วตัว และมอบจูบที่เร่าร้อนให้ เขาตรึงร่างผมให้อยู่ใต้ร่างของเขาไม่ให้เคลื่อนไหวไปไหน แล้วก็จูบกอดจนผมอารมณ์เปลี่ยน ความวาบหวามเข้ามาแทนที่ มือที่ผลักไสกลายเป็นโอบกอดไปรอบตัวเขา ปากจูบโต้ตอบ เนื้อตัวบดเบียดอยู่กับร่างกายแข็งแรงนั่น และในไม่ช้า ผมก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ

พอทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว ผมก็ต่อว่าต่อขานเดียร์ทั้งที่ยังหายใจหอบอยู่

“ใครบอกให้นายทำแบบนี้กันฮึ....”

“ก็กินเค้กไง เรียวบอกผมให้มากินเค้ก ผมก็มาตามคำชวน กินเค้ก กินเค้ก กินเค้ก”

เขาพูดซ้ำๆ ผมมองหน้าตาทะเล้นทะลึ่งนั่นแล้วก็รู้สึกปวดหัว นี่เขาไม่เข้าใจที่ผมพูดหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ ว่าผมหมายถึงอะไร
“เมื่อกี้ที่ฉันพูดหมายถึงว่า จะชวนไปทานข้าวนอกบ้านกัน แล้วค่อยพานายไปกินเค้กแล้วก็เลี้ยงไอติม เพื่อฉลองวันเกิดกันไม่ใช่ชวนให้มาทำแบบนี้เสียหน่อย”

ผมว่าเขาเสียงขุ่น เดียร์ยิ้ม ทำหน้าเจ้าเล่ห์ แก้ตัวไปข้างๆคูๆ บอกผมว่านึกว่าเหมือนกับครั้งก่อน ตอนที่กลับมาจากเสม็ดคราวนั้นผมชวนเขากินเค้ก แล้วเขาก็ได้ทำแบบนี้กับผม ผมล่ะขวางเขานัก เจ้าเด็กบ้า หน้าด้านที่สุด ตีความเข้าข้างให้ตัวเองได้ประโยชน์ ไม่มีใครจะหน้ามึนได้อย่างนายเดียร์สักคน

“ไม่เป็นไรนะครับ เข้าใจผิดแค่นิดหน่อยเอง แต่เรียวก็ชอบให้ผมกินเค้กใช่ไหม นี่นี่ ผมว่านะ ไม่ต้องออกไปทานข้าวข้างนอกกันหรอก ทานในบ้านนี่แหละ ฉลองกันสองคน เดี๋ยวผมจัดการให้ เรื่องอาหารผมถนัด เรียวอยู่เฉยๆ คอยดูแลตกแต่งสถานที่ก็พอ ดีไหมครับ”

เดียร์ทำเสียงออดอ้อนฉอเลาะ จนผมลืมความโกรธเมื่อครู่ ยิ่งเขามาเอาใจใส่ในตัวผม คิดจะทำโน่นทำนี่ให้ มันทำให้ความขุ่นข้องหมองใจมลายหายไปสิ้น

“เราไม่โกรธกันแล้วใช่ไหมครับ นะนะนะ ดีกันนะครับคนดี ผมผิดเองที่ทำเสียงดังใส่คุณ ผมขอโทษนะครับที่รัก คราวต่อไปผมจะไม่หงุดหงิดใส่คุณอีกแล้ว ผมสัญญา เรียวอย่าเกลียดผมเลยนะครับ ผมใจคอไม่ค่อยดีเวลาที่คุณไม่สนใจใยดีในตัวผม เราสัญญาเป็นแฟนกันแล้ว เราก็ต้องพยายามประคับประคองรักของเราไปให้ตลอดรอดฝั่งนะครับ”

เด็กหนุ่มขอโทษขอโพยผม แล้วก็อ้อนขอให้เราคืนดีกัน เห็นหน้าตาใสซื่อนั่นผมก็โมโหไม่ลงแล้ว ยิ่งมาทำท่าน่ารักน่าสงสารแบบนี้ ใจผมยิ่งอ่อนยวบเข้าไปใหญ่ พอเห็นผมเฉยๆ ไม่ว่าอะไร เจ้าเด็กบ้านี่ก็โมเมเอาว่าผมให้สัญญากับเขาแล้วที่จะไม่โกรธกัน เขากอดผมแนบแน่น และเอาหน้าของเขาคลอเคลียแนบชิดกับศีรษะของผม

“เรียวครับ เพลงที่ร้องเมื่อคืนนี้ ร้องเพื่อผมหรือเปล่า”

เดียร์ถามแล้วยิ้มทะเล้นให้ ผมเบือนหน้าหนี กลัวจะต้องยอมรับความจริงต่อหน้าเขาว่าผมเลือกเพลงนี้จากแรงกดดันในที่ทำงาน และเพราะว่าผมไม่อยากเลิกกับเขาจริงๆ

“เปล่า ฉันไม่รู้จะร้องเพลงไหนดี”

“แต่ผมคิดว่าเรียวต้องร้องเพลงนี้ให้ผมแน่เลย เพราะเรียวกำลังจะบอกผมทางอ้อมว่าไม่อยากจะเลิกกับผมใช่ไหมครับ”

ตีความเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว ช่างน่าหมั่นไส้เสียจริงๆเชียว

“ใครบอก ฉันน่ะ เร่งวันเร่งคืนให้ครบกำหนดสัญญาเร็วๆ เพื่อที่จะได้เป็นอิสระจากนายไงล่ะ อย่ามาทำเป็นสู่รู้ใจคนอื่นเลย”

โกหกกลับ
“เรียวน่ะ ชอบทำเป็นปากแข็งอยู่เรื่อย แถมปากไม่ตรงกับใจอีกด้วย เอาเถอะ ผมจะรอวันนั้น วันที่เรียวสามารถที่จะยอมรับได้อย่างเต็มปากว่ารักผมเหมือนกัน ผมไม่โกรธหรอกที่เรียวพูดแบบนี้ เพราะเรียวอาจจะยังไม่รู้ใจของตัวเองสักเท่าไหร่ ถึงเรียวจะพูดไม่ดีใส่ แต่ผมก็รักเรียวนะครับ สำหรับผมแล้ว เพลงที่ร้องออกไปเมื่อคืนมันมาจากความรู้สึกนึกคิดของผมจริงๆ ผมไม่อยากเลิกกับเรียว ผมรักคุณมาก และอยากจะอยู่กับคุณไปชั่วชีวิตเลย”

คำพูดที่จริงใจนั้นทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เดียร์ก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมๆที่มีต่อผม เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงคำพูด ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอเขาจนล่วงเลยมาถึงป่านนี้ ไม่มีวันไหนที่เขาจะทำตัวเหินห่าง เขาได้ตัวผมไปแล้ว สมหวังในสิ่งที่ต้องการ แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะเลิกรากับผม ความรักของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมเองยังรู้สึกได้

ผมหลับตาลง เพื่อยุติการรับรู้เรื่องทั้งปวง การได้เห็นใบหน้าและแววตาที่จริงใจของเขา ทำให้ผมใจอ่อนทุกครั้ง ความสงสารเห็นใจเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก ผมเริ่มตระหนักว่าตนเองต้องการเขามากแค่ไหน และผมไม่อยากจะสูญเสียเขาไปเลย อยากอยู่กับเขาไปนานๆด้วยเช่นกัน เพียงแต่ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความเป็นจริง ผมยอมรับว่าผมกลัว กลัวการพิพากษาของสังคม ผมกลัวที่จะถูกกันออกมาเป็นคนนอก เพียงเพราะว่าผมรักผู้ชายด้วยกัน และผมยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ทางเดียวที่จะทำให้ผมยังมั่นคงอยู่ในสถานภาพเดิมๆ คือการพยายามที่จะหยุดรักเขา

เสียงหายใจที่สม่ำเสมอทำให้ผมรู้ว่าเดียร์เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว เขาคงจะเพลียมาก เนื่องจากอดนอนทั้งคืน แม้เดียร์จะไม่ปริปากบ่น แต่ผมก็รับรู้ได้จากใบหน้าเหน็ดเหนื่อยนั่น ผมเอื้อมเอามือแตะไปที่ใบหน้าของเดียร์เบาๆ ลูบไล้สัมผัสด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดูในตัวเขา เดียร์เอ๋ย วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราสองคนจะขาดใจตายจริงๆอย่างที่เพลงเขาว่านั้นหรือเปล่านะ ผมชักสงสัยเสียแล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อย หรือ ยังไม่หายมึนจากการดื่มเหล้าเมื่อคืน ทำให้ผมผล็อยหลับตามเดียร์ไปด้วย ตื่นมาอีกทีก็บ่ายคล้อยแล้ว เดียร์ไม่ได้อยู่บนเตียงกับผม เขาคงจะลงไปข้างล่าง หางานบ้านมาทำเพื่อไม่ให้อยู่ว่างๆ เดียร์ชอบที่จะปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้ผม เขาทำราวกับว่าเป็นเจ้าของบ้านที่มาคอยดูแลทำความสะอาดไม่ให้มันรกรุงรัง ผมเป็นเจ้าของบ้านแท้ๆยังไม่ค่อยจะได้ทำ ยิ่งเดียร์มาอยู่ด้วยแบบนี้ เขาจัดการให้หมดทุกอย่างจนผมเริ่มที่จะขี้เกียจ



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมหยิบมาดู ปรากฏว่าเป็นคุณแคทโทรมา เธอหัวเราะร่าเริง แซวผมว่าเพิ่งตื่นหรือ ผมหัวเราะแหะๆ บอกว่านอนเพลินไปหน่อย เธอก็บอกว่าลุกขึ้นแต่งตัวได้แล้ว เพราะเธอกับสันต์ และศักดิ์ชาย นัดแนะกันว่าจะไปหาผมที่บ้าน เพื่อไปฉลองวันเกิดให้กับผม จะเอาอาหารไปทำกินกัน ให้ผมจัดบ้านไว้ด้วย ผมยังไม่ทันจะอ้าปากทัดทาน เธอก็วางสายไปเสียก่อน

ผมรีบโทรไปหาเจ้าสันต์ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะมาหาผมทำไมไม่บอกผมสักคำ มันก็หัวเราะแล้วบอกว่า ตกลงกันไว้แต่แรกว่าจะมาเซอร์ไพรส์ผมแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว แต่ในเมื่อเพื่อนสาวของผมเผลอบอกไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ก็ให้ผมเตรียมตัวเอาไว้ เพราะในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ก็คงจะถึงบ้านผมกันแล้ว ขอให้เคลียร์บ้านด้วย หากไม่สะดวก ซุกซ่อนความลับอะไรไว้ก็ขอให้บอกมาก่อน จะได้ยับยั้งกันได้ทัน ผมอึกอัก ไม่กล้าพูดว่าเดียร์อยู่ด้วย จึงปล่อยเลยตามเลย
วางหูเสร็จ ผมก็รีบถลาลงจากเตียง ลงมาตามหาเดียร์ข้างล่าง ผมได้กลิ่นอาหารหอมหวลฟุ้งตลบอบอวลไปหมด กลิ่นเค้กในเตาอบ และอาหารนานาชนิด คนปรุงยืนอยู่ในครัว เขาแต่งตัวด้วยเสื้อกล้าม และกางเกงขาสั้นตัวใหญ่ยาวคลุมเข่า มีผ้ากันเปื้อนคาดอยู่ที่ลำตัวด้านหน้า บนโต๊ะอาหารมีเค้กขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งเสียสวยงาม และมีอาหารไทยกับอาหารฝรั่ง สี่ห้าอย่างอยู่บนโต๊ะ พอเดียร์หันมาเห็นผม เขาก็ยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน

“ตื่นแล้วหรือครับเรียว หิวหรือยัง รอแป๊บนะครับ ผมกำลังทำอาหารอยู่ อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว เรียวไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวเราจะได้มาฉลองวันเกิดเรียวกัน”

“นี่นายออกไปซื้อเองทั้งหมดเลยเหรอ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ก็สักบ่ายโมงนะครับ พอตื่นมาก็รีบออกไปเลย ไม่ได้ปลุกคุณ พอดีเจอพี่สมชาย เขากำลังจะออกไปห้างกับภรรยาและลูกเขาพอดี เลยอาศัยติดรถเขาไปด้วย เลยไปและกลับไวไงครับ อ้อ เขาฝากแฮบปี้เบิร์ทเดย์ เรียวมาด้วยนะครับ พวกเขาทำท่าอยากมาร่วมงานด้วย แต่ผมไม่ได้ชวนเขา ไม่รู้ว่าคุณอยากให้ชวนหรือเปล่า จริงๆแล้วผมน่ะอยากฉลองกับเรียวสองคน แต่ถ้าคุณอยากจะให้พวกเขามาร่วมสนุกด้วยผมก็จะไปเชิญเขามานะครับ”

เดียร์รายงานเสียงแจ้ว ในขณะที่มือก็หยิบจับโน่นนี่เป็นระวิง ผมสบตาที่มองมาอย่างรักใคร่นั้น รู้สึกดีที่เขาทำสิ่งนี้ให้ผม แต่ก็รู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อยที่บรรดาเพื่อนๆจะพากันแห่มาบ้าน ผมอยากจะฉลองกับเดียร์สองคน เขาอุตส่าห์ตื่นไปซื้อกับข้าวที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และรีบกลับมาทำอาหารให้ผม เราควรจะได้ใช้เวลานี้ด้วยกัน แต่พวกเพื่อนก็ดันมาเป็นตัวมารขัดขวาง แมซ้ำยังเดินทางมากันแล้ว จะปฏิเสธไม่ให้มา มันก็คงจะสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ยอมให้เข้าบ้าน คนโสดอย่างผมซุกซ่อนอะไรที่ไม่อยากให้ใครรู้หรือเปล่า สารพัดคำถามที่มันจะขุดคุ้ย ผมทั้งไม่อยากกินข้าวกับพวกมัน พอๆกับที่ไม่อยากตอบคำถามเหล่านั้น

“ขอโทษทีนะครับเรียว ที่ผมตัดสินใจเองโดยไม่ถามไถ่คุณก่อน ผมรู้สึกดีนะครับ ที่คุณจะพาผมไปทานข้าวนอกบ้าน แต่วันดีๆแบบนี้ ผมกลับอยากที่จะเป็นคนทำอาหารให้คุณทานเองมากกว่าที่จะไปกินฝีมือคนอื่น ในเมื่อผมเองก็ทำอาหารเป็น มีฝีมืออยู่พอตัว จะปล่อยให้ที่รักของตนเองไปกินอาหารนอกบ้านในวันที่สำคัญได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มพูดไป ยิ้มไป ท่าทางมีความสุข เขาทำให้ผมพูดไม่ออก มือที่ถือโทรศัพท์ กำแน่น

“รู้ไหมครับเรียว เค้กนี่ผมตั้งใจทำเป็นพิเศษสำหรับเรียวเลยนะครับ เค้กช๊อคโกแลตสำหรับคนรัก สอดใส้บัตเตอร์ครีมและแยมสตอร์เบอรี่ แต่งหน้าด้วยวิปปิ้งครีม และเชอรรี่ รูปหัวใจ 29 ลูกเลย ผมทำอันใหญ่ๆหน่อยจะได้ใส่เชอรี่ได้ครบทุกลูก อยากให้มันสื่อแทนใจ ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน เราอาจจะกินกันไม่หมด แต่เรียวจะตัดแบ่งเก็บไว้กินเอง หรือแจกเพื่อนบ้าน แจกน้องๆที่ทำงานก็ได้ รับรองอร่อยนะครับ ผมเคยลองทำให้คนอื่นๆลองทานแล้ว เขาว่าอร่อยกัน เรียวเองก็คงจะชอบถ้าได้ชิมนะครับ”
เดียร์ยิ้มหวานให้ผมขณะอธิบาย ผมมองอาหารบนโต๊ะแล้วอยากจะร้องไห้
“นายไม่น่าลำบากทำให้ฉันเลย”

ผมบอกออกไปด้วยรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจที่เขาทนลำบากทำอาหารเพื่อฉลองวันเกิดให้ เดียร์เดินมาหาผมแล้วยิ้มหวาน มองผมด้วยสายตาอ้อนๆ เขาโอบผมไว้ด้วยวงแขนของเขา แล้วพาเดินไปยืนตรงโต๊ะที่วางอาหารไว้ พลางพูดประจบเอาใจ

“ไม่ลำบากเลยนะครับ เรียวอย่าคิดมากเลยนะ นี่วันเกิดของคุณทั้งที ผมน่ะต้องทำให้คุณสุดฝีมืออยู่แล้วล่ะ อีกอย่าง ไปทานข้างนอกมันก็เปลืองนะครับ ใหนจะค่าน้ำมันรถ แล้วก็ค่าอาหารอีก ทำกินเองประหยัดกว่า จะเลือกกินแบบไหนตามใจ แล้วบรรยากาศในบ้านก็สร้างเองได้ครับ แค่ดับไฟ จุดเทียน ทานข้าวกัน แค่นี้ก็โรแมนติกสุดๆแล้ว ที่ไหนก็ตามที่มีเรียวอยู่ ที่นั่นก็หวานเสมอสำหรับผมนะครับ”

ผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ไม่กล้าเอ่ยปากขอให้เดียร์ออกไปจากบ้าน รู้สึกสงสารเดียร์ที่ทำอะไรให้มากมาย สุดท้ายก็จะไม่ได้อยู่ฉลองกัน

“นี่ผมอบคุ้กกี้ให้ด้วยนะ ลองทำดูน่ะ ไม่รู้จะอร่อยหรือเปล่า ถ้ารสชาดดีก็จะเอาเก็บใส่ขวดโหลไว้ ให้เรียวเอาไปทานที่ทำงานนะครับ เรียวน่ะดื้อที่สุด ไม่ค่อยยอมทานอาหารเช้าเลย พอผมไม่อยู่บังคับ เรียวก็ทำอย่างที่ตัวเองคุ้นเคย ดื่มแต่กาแฟอย่างเดียว ไม่ได้แล้ว เรียวน่ะ ต้องดูแลสุขภาพดีๆรู้ไหม ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ไม่ค่อยทานอาหาร เดี๋ยวจะไม่สบาย ดูสิ ผอมหมดแล้ว พอกุ๊กกิ๊กกันทีไร เรียวก็หมดแรงง่ายๆ เมื่อก่อนตัวหนักอุ้มลำบาก แต่ตอนนี้ ผมอุ้มเรียวได้สบายเลย”

คนพูดทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม ขณะที่เอามือแตะไปตามร่างกายของผมเพื่อประกอบคำพูดว่าผมนั้นผอมจริงๆ

“ผมจะปรนเปรอเรียวให้อิ่มแปร้ทุกมื้อเลย เรียวจะได้อวบๆขึ้นมาหน่อย ไม่งั้นเสียชื่อแย่ที่มีแฟนเป็นพ่อครัวที่ทำอาหารเก่งที่สุด อร่อยที่สุด แต่ตัวเองกลับผอมแห้ง”

เขาอวดตัว ตามปกติ ผมคงจะตอกเขากลับด้วยความหมั่นไส้ แต่คราวนี้ผมรู้สึกแย่ เพราะกำลังจะพูดสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเด็กหนุ่มออกไป ทำให้ผมไม่นึกขำคำพูดของเขา

“เรียวคงจะหิวแย่เลย ผมก็มัวแต่คุยเพลิน เอางี้ เรียวไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวเอาคุ๊กกี้ออกจากเตา และทำพันซ์ก็เสร็จแล้วครับ วันนี้งดเหล้านะ เพราะเมื่อคืนเรียวดื่มเข้าไปมาก ไม่อยากจะเช็ดอ้วกเรียวอีก”

เด็กหนุ่มทำสีหน้าล้อๆ พลางก้มลงมาจูบที่แก้มของผม

“หืม ฉันอ้วกด้วยเหรอ”

“ครับ .........พอขึ้นไปนอนได้สักพัก เรียวก็อ้วกออกมา ผมได้ยินเลยฝ่าฝืนคำสั่งที่เรียวไม่ให้ผมขึ้นไปที่ห้อง เป็นห่วงนะครับเพราะเรียวเมามาก กลัวจะเป็นอะไร พอเข้าไปในห้องก็เห็นเรียวอ้วกเลอะเสื้อกับผ้าปูที่นอน ผมเลยเปลี่ยนเสื้อผ้า กับปูเตียงให้ใหม่

ตอนคุณเมานี่คุณเกเรดีจังเลยครับ ถีบผมตั้งหลายครั้ง ตอนที่ผมจับคุณถอดเสื้อผ้า ร้องโวยวายใหญ่ ผมนึกว่าคุณไม่พอใจผมแต่พอฟังไปฟังมากลายเป็นว่าคุณด่านายทรงพลใหญ่เลย สงสัยคิดถึงตอนที่ถูกทำร้าย ผมเลยต้องนอนกอดคุณจนกระทั่งคุณหลับไป ถึงจะลงมานอนข้างล่างได้ อันที่จริงอยากอยู่ข้างๆคุณ แต่กลัวคุณโกรธเวลาตื่นมาเจอผมน่ะครับ”

นึกภาพตามที่เด็กหนุ่มเล่า แล้วก็รู้สึกอับอายที่ทำอะไรขายหน้า ต้องให้เขามาลำบากทำความสะอาดให้กับผม เดียร์เล่าเหมือนปกติธรรมดาทั่วไป เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผมรู้ว่าเขาเจ็บกับสิ่งที่ผมทำกับเขา และเพราะว่ารู้ว่าเดียร์ต้องทนเก็บกดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบตรงหน้าอกด้านซ้ายอีกแล้ว รู้สึกสงสารเดียร์ไปพร้อมๆกับชิงชังตนเอง

“นี่นายจ่ายเงินค่าอาหารไปทั้งหมดเท่าไหร่ เดี๋ยวมาเอาเงินกับฉันนะ”

ผมเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามไถ่ถึงค่าใช้จ่ายที่เด็กหนุ่มออกเงินไปเพื่อจัดงานฉลองให้ผม เพิ่งสังเกตเห็นเทียนเล่มใหญ่บนโต๊ะ และแจกันดอกไม้ พร้อมกุหลาบช่อเบ้อเริ่มที่วางในอ่างล้างจาน

“ไม่ต้องหรอก วันนี้ ผมเลี้ยงเอง คราวก่อนวันเกิดผม คุณยังออกให้เยอะแยะเลย พาไปเที่ยวด้วย วันเกิดคุณทั้งทีผมเลยอยากทำให้มั่ง อย่าคิดมากนะครับ เราผัวกันเมียกัน.......เอ้อ เป็นแฟนกัน ถ้าผมไม่ทำให้คนรักของผม แล้วจะไปทำให้ใครกันละครับ หือ.....ถ้าอยากขอบคุณผมก็แค่ยิ้มหวานๆ แล้วก็ให้ผมจูบคุณก็พอ ดีไหม ถือว่าเป็นการช่วยค่าใช้จ่าย พ่อครัวคนนี้ไม่ต้องการเงิน แต่ต้องการแค่กำลังใจ”

คำพูดหวานๆ หน้าตาอ้อนๆกับท่าทางเจ้าชู้กรุ้มกริ่มนั่น ทำให้ผมรู้สึกตัวว่าหน้าแดงด้วยความเขินจัด เดียร์ไม่รอให้ผมตอบตกลง เพราะการนิ่งคือกายยอมรับ มันเป็นทฤษฎีที่เขางัดมาใช้กับผมเป็นประจำเวลาอยากจะทำอะไรตามใจ เขาเชยคางผมขึ้นและมอบจูบที่หวานล้ำให้ ผมแทบละลายไปกับจูบเรียกร้องนั้น รู้สึกอ่อนแรงจนต้องใช้สองมือโอบรอบคอเขาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ล้มลง

“พอดีกว่า อยากจูบต่อนะ แต่เดี๋ยวมันจะเลยเถิด อาหารใหม้กันพอดี อดเปรี้ยวไว้กินหวานคืนนี้ดีกว่า หวังว่าเมื่อคุณกินเค้กที่ผมทำให้แล้ว คุณจะให้ผมกินเค้กของคุณบ้าง ผมกินจุอยากทานหลายๆปอนด์เลย เค้กของเรียวอร่อยที่สุด กินไม่เบื่อ อยากกินแล้วกินอีกทุกวัน”

เขาทำน้ำเสียงยั่วเย้า ก่อนจะผละออกจากผม ตาจับจ้องอยู่ที่ปากของผมด้วยท่าทางเสียดาย ผมถอนหายใจเฮือก มองเขาอย่างตัดสินใจ

“มองผมแบบนั้นมีอะไรหรือเปล่าครับ อยากบอกอะไรไหม”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ผมรวบรวมความกล้าพูดออกไป

“เดียร์...เอ้อ...คือเพื่อนที่ทำงานฉันจะมาเยี่ยมบ้าน......เย็นนี้”
ผมเห็นเดียร์ชะงัก จากนั้นเขาก็ผละจากผมตรงไปที่เตาอบ แล้วก็เปิดฝามันออก เอาถุงมือผ้ามาสวมแล้วหยิบถาดคุ้กกี้ออกมา แล้วเดินเอามาวางบนโต๊ะเขาหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เอามาเป่าให้คลายร้อนแล้วยื่นให้ผม แต่ผมปฏิเสธ เดียร์วางมันลงในถาดเหมือนเดิม จากนั้นก็มองผม สายตามีเครื่องหมายคำถาม ผมก้มหน้า พูดอะไรไม่ออก

“งั้นหรือครับ ก็ชวนทานด้วยกันสิ ..........หรือว่า..............”

เขาค้างคำพูดไว้แค่นั้น และแล้วเหมือนเดียร์จะเข้าใจเรื่องได้ตลอด เขาหุบยิ้ม หน้าเจื่อนจ๋อย

“เข้าใจแล้ว......”

พูดเหมือนกระซิบ เด็กหนุ่มมองผมด้วยสายตาขมขื่น ตาเขาแดงๆ จมูกพะเยิบพะยาบ เขาเม้มริมฝีปากแน่น

“ถ้าเรียวอยากให้ผมออกไปข้างนอก ไม่มาวุ่นวายในบ้าน ผมก็จะไปครับ....”

น้ำเสียงนั้นเศร้าเหลือเกิน จนรู้สึกเหมือนกับว่าคนพูดกำลังจะร้องไห้ แต่พยายามกล้ำกลืนบังคับน้ำตาไม่ให้มันไหลรินออกมา ผมรู้สึกสงสารเดียร์จับใจ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก อยากอยู่กับเขาแต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้ ผมเพิ่งโกหกคุณแคทไปเมื่อวานว่าผมไม่ได้เป็นอะไรกับเดียร์ ถ้าหากวันนี้เธอมาเจอเขาอยู่กับผม เธอคงจะคิดว่าผมมันเป็นคนโกหกเชื่อถืออะไรไม่ได้

“ฉัน...”

“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจดี เรียวยังไม่พร้อม ผม....ไม่อยากฝืนใจเรียวครับ...”

เดียร์เดินไปหยิบขวดโหลเปล่าสองใบที่เขาล้างคว่ำไว้ มาบรรจุคุ๊กกี้ลงไป พอเสร็จ ปิดฝา เขาก็นำมันไปวางไว้ที่ชั้นวางของใบหนึ่ง ส่วนที่เหลือวางไว้บนโต๊ะ เดียร์ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พยายามสบตาผมอีกเลย เหมือนกำลังพยายามระงับความรู้สึกอยู่

“ขอโทษนะ เพื่อนมันโทรมากระทันหัน แล้วมันก็กำลังเดินทางมาแล้วด้วย ฉันไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่ความผิดของเรียวหรือใครๆทั้งนั้น....”

กลัวจังเลยว่าเดียร์จะพูดออกมาว่า “เป็นความผิดของเขาเอง” ถ้าเขาหลุดคำนั้นออกมาเมื่อไหร่ ผมคงจะโทษตัวเองมากยิ่งขึ้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะถึงแม้ว่าเขาจะพูด ผมก็คงไม่โกรธเขา เพราะผมรู้ว่าเขาเสียใจแค่ไหน ที่อุตส่าห์เตรียมทุกอย่างไว้ แต่ไม่มีโอกาสที่จะร่วมฉลองด้วยกัน
“ถึงผมจะไม่ได้อยู่ฉลองด้วย แต่ผมก็จะทำอาหารเตรียมไว้ให้เรียวได้ฉลองนะครับ ไหนๆก็ทำมันแล้ว อย่าให้มันเสียเปล่า ผมจะดีใจมากเลย ถ้าเรียวจะเอาอาหารที่ผมทำมาเลี้ยงฉลองกัน”

เสียงคนพูดดูเศร้าสร้อยบีบคั้นอารมณ์ของผมได้อย่างแปลกประหลาด ผมได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอะไร สงสารเดียร์มาก และนึกโกรธตัวเองที่ขี้ขลาดไม่กล้ายอมรับความเป็นจริง

“เพื่อนๆของเรียวคงใกล้จะมาแล้วกระมังครับ ขึ้นไปอาบน้ำเถอะนะครับ พอคุณลงมาทุกอย่างก็คงจะเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย ไม่ต้องห่วงนะครับ รับรองเพื่อนของเรียวจะไม่เจอผมในบ้านนี้แน่ๆ ผมไม่ทำให้เรียวลำบากใจหรอกครับ”

เขาฝืนยิ้มให้ผม พลางรุนหลังให้ผมเดินขึ้นห้องไป ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเดียร์ กลัวที่จะรั้งตัวเขาไว้ไม่ให้ไปไหน และนั่นมันจะทำให้ทุกอย่างพังลง

เข้าห้องได้แทนที่ผมจะไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อรอรับเพื่อนๆที่กำลังเดินทางมาหา ผมกลับเดินไปนั่งที่เตียงและซบหน้าลงกับฝ่ามือ รู้สึกเครียดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดของผมแท้ๆ แต่ผมกับเดียร์ก็เพียงแค่ใส่บาตรด้วยกัน ตกกลางคืนมีเพียงช่วงเดียวที่ผมได้แสดงความรู้สึกต่อเดียร์บนเวที ก่อนที่เราจะทะเลาะกัน แล้วก็กลับมาคืนดีกันอีกครั้งเมื่อตอนสายๆ

อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะฉลองสองคนกับเดียร์ทดแทนเมื่อวานนี้ที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่แล้วก็ถูกขัดขวาง นี่ผมทำถูกหรือเปล่าหนอที่ให้เดียร์ไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ในขณะที่ผมและเพือ่นดื่มกิน อาหารที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ ผมไร้ใจเกินไปไหมนะ ถึงเวลาหรือยังที่ผมควรจะยอมรับความเป็นจริง และทำในสิ่งที่หัวใจต้องการเสียที

เนิ่นนานทีเดียวที่ผมนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจได้ ผมรีบก้าวออกจากห้อง เดินลงไปยังห้องครัว ไม่มีเดียร์อยู่ที่นั่น บนโต๊ะอาหาร มีแจกันดอกไม้สวยงามตั้งอยู่ มีเทียนไขปักอยู่ในเชิงเทียนสวยงาม อาหารร้อนๆวางอยู่ในจานมีภาชนะครอบ โต๊ะทานข้าวถูกปูด้วยผ้าสีขาวลายลูกไม้

เดียร์พิถีพิถันจัดโต๊ะอาหารอย่างสวยงาม ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาเมื่อมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เดียร์เตรียมไว้ให้ เหลียวมองไปรอบๆเผื่อว่าจะเจอเดียร์ อยากจะบอกเขาว่าผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมอยากให้เขาอยู่กับผมด้วย ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ผมไม่สนแล้ว วันสำคัญของผมแบบนี้ ผมควรจะมีคนที่รักผม และผมก็รักเขาอยู่เคียงข้าง ไม่ใช่ผลักไสเขาไปใกลตา

ทว่าเดียร์ไม่ได้อยู่ในห้องครัว หรือที่ไหนๆในบริเวณบ้าน ผมทรุดลงนั่งกับโซฟาอย่างอ่อนแรงหลังจากที่เดินหาเขาไปทั่ว ทั้งบ้านไม่มีร่องรอยของเดียร์เลย เด็กนั่นคงออกจากบ้านไปแล้วตามคำขอ ผมมันโง่เอง กว่าจะคิดได้ก็ช้าไปแล้ว ผมรีบเอามือถือมากดหาเดียร์ แต่ติดต่อไม่ได้ เดียร์คงปิดมือถือ เขาคงโกรธและน้อยใจผมมากจนไม่อยากจะรับสาย ป่านนี้ไม่รู้จะไปเตร็ดเตร่แถวไหน ผมกลุ้มใจไปหมดแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ถึงจะติดต่อให้เดียร์กลับมา


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
 :z3: เหนื่อยใจแทบขาด กลางคืนเทคแคร์
กลางวันวิ้งส่งงาน  :เฮ้อ:
 :serius2: เมื่อไรจะมีใครมาช่วยซักที่
:3123: ขอคุณคนอ่านที่อุสารอ +1 ให้เลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2009 20:34:31 โดย ไต๋ »

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ไว้ช่วยคืนนี้ได้หรือเปล่า ช่วย แบบว่า เอ่อ ... เอ่อ ...

ขอบคุณนะ เหมือนเดิม คิดถึงไต๋ ไต๋ ก็มา

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
 :-[ ขอบคุณนะโน๊อาที่จะช่วย
แต่แบบนั้นไม่ต้องดิ เราเลือกเองได้ เชอะๆ :a14:

ว่าแต่จุดธูปละซิ ถึงได้สื่อถึงเราได้นะ
ลอยมาตามลม อิอิ :laugh3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2009 20:36:10 โดย ไต๋ »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
สงสาร เดียร์ จัง



คุน เรียว ใจ ร้ายยยยยยยย อ่ะ



 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด