ตอนที่ 13 I'm Yours
ธีร์ทัศน์กระชับมือที่กำข้อมือเล็กเอาไว้แน่น รอกระทั่งสัญญาณไฟจราจรสีเขียวเป็นสัญลักษณ์รูปคนเดินประกฏขึ้นจึงพาน้องชายเดินข้ามไปอีกฝั่งของถนนเป็นที่ตั้งของร้านขนมและเครื่องดื่มซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังนัก ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปเขาก็พบใครคนหนึ่งกำลังนั่งรออยู่แล้ว จะว่าไปก็ไม่ได้เจอกันเสียนานนับแต่วันที่พ่อของอีกฝ่ายไปลาลูกชายออกจากโรงเรียนสอนศิลปะ
“นายมีอะไรถึงได้นัดเรามาที่นี่” คนเพิ่งมาถึงกล่าวพร้อมพลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแบบเคาน์เตอร์ที่หันหน้าออกสู่ถนน รอจนน้องชายปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงจึงนั่งลงข้าง ๆ กัน
“จะมาคุยเรื่องพ่อโมกับพี่ติ๊น ฉันคิดว่าพวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง” นภธรณ์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขืนฝากความหวังไว้ที่ป๊า มีหวังพังหมด รายนั้นดูท่าจะไม่เชียร์พี่ติ๊นอยู่แล้ว”
“นายคิดจะทำอะไรอีก นี่ก็เกือบเดือนแล้วนะ ป่านนี้หมอโมมีคนมาจีบไปแล้วมั้ง”
“ไม่มีทางเพราะถ้าป๊าไม่ให้ผ่าน ใครก็อย่าได้แหลมหน้าเข้ามา”
“นายจะทำยังไง ในเมื่อคราวก่อนฉันอุตส่าห์อาศัยช่วงที่พี่ติ๊นป่วยให้ธรณ์ไปบอก พ่อนายก็ไม่ยอมไปเยี่ยมเลย ใจแข็งเป็นบ้า” ธีร์ทัศน์ถอนหายใจพลางก้มหน้าดูรายการเครื่องดื่มก่อนจะหันไปร้องสั่งโกโก้ปั่นให้น้องกับพนักงานที่เดินผ่านมา
“เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกน่ะ” พูดจบก็อ้าปากงับหลอดดูดน้ำแอปเปิลไซรัปผสมโซดาที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นคำพูดที่ฟังดูเชยไปสักหน่อยแต่มันก็น่าจะใช้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้
“แล้วพี่นอฟจะทำยังไงครับ” หนุ่มน้อยที่สะพายกระเป๋าเป้ใบโตถามด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่รับรองว่าถ้าสำเร็จมันต้องสุดยอดมากแน่ ๆ” ว่าแล้วคนพูดก็ยักคิ้วให้หนึ่งครั้ง
เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของคนที่เขายกให้เป็นฮีโร่รองจากพี่ชายแท้ ๆ ความฮึกเหิมแบบเด็ก ๆ ก็จุดขึ้นในแววตา เด็กชายยิ้มกว้าง รู้สึกอยากให้นภธรณ์คิดออกเร็ว ๆ
“เฮ้อ! เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ ไหน ๆ เจอนายก็ดีแล้ว วันอาทิตย์นี้ว่างไหม”
“มีอะไร”
“วันอาทิตย์ที่จะถึงเป็นวันเกิดธรณ์ ว่าจะชวนนายไปปาร์ตี้ที่บ้าน แม่ให้ชวนเพื่อน ๆ ของธรณ์ที่เรียนศิลปะด้วยกันไปด้วยน่ะ เสาร์นี้ทุกคลาสจะปิดคอร์สแล้ว”
“แต่ฉันไม่ใช่...” นภธรณ์มุ่นคิ้วก่อนจะโพล่งขึ้น “นึกออกแล้ว!”
“อะไรของนาย” คนชวนเกาหัวเมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนอารมณ์เอาดื้อ ๆ
“ก็วิธีที่จะช่วยให้พี่ติ๊นกับพ่อโมคืนดีกันไง” นภธรณ์ยิ้มกริ่ม
“พี่นอฟเล่าเร็ว ๆ ฮะ ธรณ์อยากรู้” เด็กชายละล่ำละลัก แทบลืมโกโก้เย็นที่พนักงานร้านเพิ่งยกมาวางไปเลย
“ทัศน์ นายโทรไปบอกพี่ติ๊น ขออนุญาตจัดงานวันเกิดให้ธรณ์ที่แกลเลอรี ส่วนฉันจะโทรชวนพ่อโม”
“อ้าว แล้วงานวันที่บ้านฉันล่ะ”
“ก็จัดเหมือนเดิม ปล่อยให้พ่อโมกับพี่ติ๊นฉลองกันสองคน”
“ตาย ๆ ถ้างานนี้พี่ติ๊นรู้ว่าฉันโกหกละก็มีหวังโดนดุเหมือนคราวก่อนแน่ ๆ”
“นายก็โกหกให้มันเนียน ๆ สิ แต่ถ้าพี่ติ๊นรู้เหตุผลที่พวกเราทำลงไป พี่ติ๊นไม่มีทางโกรธหรอกเชื่อฉันสิ ส่วนพ่อโมก็คงทำได้แค่บ่น แต่ก็ไม่ระคายผิวฉันหรอก”
“แล้วหมอโมจะมาเหรอครับ คราวก่อนบอกว่าพี่ติ๊นไม่สบายยังไม่ยอมไปหาเลย” หนุ่มน้อยว่าพลางดูดน้ำในแก้ว
“ต้องมาสิ ฉันจะบอกพ่อโมว่าคุณแม่ของพวกนายอยากให้พ่อโมมาร่วมงานมาก” ขึ้นเสียงสูงที่คำสุดท้ายเสียธีร์ทัศน์ต้องเบ้หน้า “อ้างว่ามีธุระอยากคุยด้วย อย่างพ่อโมน่ะต้องไม่ยอมเสียมารยาทหรอก ระหว่างนี้พวกนายก็คอยกันท่าอย่าให้คุณแม่ของพวกนายกับพ่อโมได้เจอกันก็แล้วกัน”
คนพี่พยักหน้าหงึก ๆ ในขณะที่คนน้องยื่นมือไปข้างหน้าพร้อมกับร้องขึ้น “ขบวนการกามเทพน้อยยย!”
สองหนุ่มสบตากันก่อนจะรับคำอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ่…”
ในเวลาเดียวกันที่แผนกกุมารเวชศาสตร์ของโรงพยาบาลยังคงเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ที่มารอรับการรักษา นายแพทย์เอกรงค์ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าหลังจากพยาบาลเดินเข้ามาแจ้งว่าเขาไม่มีคนไข้ที่ต้องตรวจอีกแล้ว ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตั้งใจจะพักสายตาสักหน่อยก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อประตูบานเลื่อนถูกแง้มออกร่างสูงของใครคนหนึ่งก็แทรกตัวเข้ามา กุมารแพทย์หนุ่มยืดตัวขึ้นจ้องมองคนที่เดินมาหยุดตรงหน้าอย่างแปลกใจ แต่ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือรอยยิ้มของเขาที่ทำให้ความเหนื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง
“มาทำอะไรที่นี่ บอกติ๊นตั้งแต่เมื่อคืนที่คุยกันแล้วนี่นาว่าวันนี้ผมต้องอยู่เวร”
“อยากมากินข้าวด้วยครับ” ศุกลบอก นั่นมันแค่เสี้ยวเดียวของเหตุผล แต่ลึก ๆ แล้วมันคือความคิดถึงต่างหาก ตั้งแต่ปรับความเข้าใจกันได้ก็เกือบเดือนแล้วแต่เขาและเอกรงค์ก็แทบไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยเนื่องจากอีกฝ่ายต้องทำงานทุกวันแม้แต่เทศกาลปีใหม่ที่ควรจะได้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่รักก็ยังไม่ได้หยุด คุยโทรศัพท์กันทุกวันมันจะเหมือนมาเจอหน้ากันได้อย่างไร
“เมื่อก่อนยังกินคนเดียวได้เลยไม่ใช่เหรอ” พูดจบเจ้าของห้องก็ลุกขึ้นก่อนจะถอดเสื้อกาวน์แขวนแล้วหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือใส่ลงในกระเป๋ากางเกง
“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนนี่” ศุกลทำคิ้วมุ่น
“ไม่เหมือนตรงไหน” คนถามกอดอกรอฟังคำตอบ
“ตรงที่ตอนนี้ผมมีโม แล้วโมเองก็มีผม อีกอย่างโมเคยบอกว่ากินคนเดียวไม่อร่อย”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเคยพูดแบบนั้นเอกรงค์ก็ยิ้มเขินก่อนจะเอ่ย “ไปเถอะ หิวแล้ว” กำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ถูกคว้าตัวไปกอดเสียก่อน แผ่นหลังแนบชิดกับแผงอกอุ่น อยากจะอยู่อย่างนี้นาน ๆ แต่ก็จำใจต้องผละออกเพราะเกรงว่าจะมีใครเข้ามาเห็น กระนั้นแขนแกร่งก็ยังกระชับแน่นไม่ยอมให้ไปง่าย ๆ
“เดี๋ยวครับ โมอยากกินอะไร” ปากได้รูปกระซิบถามที่ข้างหู
“อ...อะไรก็ได้ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ของอร่อยมีตั้งเยอะ”
“อร่อยสู้ผมได้หรือเปล่า” พูดจบศุกลก็แกล้งงับเบา ๆ ที่ซอกคอขาวเล่นเอาคุณหมอหันขวับทำตาเขียวใส่
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย เอกรงค์ก็เดินมาส่งศุกลที่ลานจอดรถหลังโรงพยาบาล รอกระทั่งอีกฝ่ายเข้าไปนั่งในรถ แต่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานกระจกติดฟิล์มก็ถูกเลื่อนลง
“โมว่างหรือเปล่าครับ”
เอกรงค์ยกหน้าฬิกาข้อมือแล้วพยักหน้า “ติ๊นมีอะไรหรือเปล่า”
“ถ้าโมไม่รีบไปไหน ช่วยขึ้นมานั่งด้วยกันก่อนได้ไหม”
กุมารแพทย์หนุ่มพยักหน้า แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แววตาและน้ำเสียงจริงจังของคนพูดก็ทำให้เขาตัดสินจได้ไม่ยาก ร่างสูงเดินอ้อมไปอีกทางก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปนั่งข้างกัน
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“อยากให้โมไปด้วยกันหน่อย” พูดจบศุกลก็ออกรถ เมื่อเคลื่อนห่างจากลานกว้างมาได้หน่อยก็เลี้ยวขึ้นสู่อาคารจอดรถสูงสิบชั้นกระทั่งมาจอดสนิทที่ช่องจอดริมสุดบนชั้นสุดท้ายของอาคาร
เอกรงค์ทอดตามองออกไปนอกแผงซีเมนต์ที่ก่อขึ้นเป็นคันกั้น เพิ่งสังเกตว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงและมีขนาดใหญ่โตกว่าเหลือเกิน แม้จะไร้ซึ่งดวงดาวที่เคยประดับประดาเกลื่อนฟ้าแต่แสงสีนวลของดาวบริวารดวงเดียวของโลกดวงนี้ก็ช่วยขจัดความน่ากลัวของความมืดมิดออกไปได้
“เพิ่งรู้ว่าตรงนี้ก็วิวสวยเหมือนกันนะ” คุณหมอเอ่ยขึ้นในขณะที่ดวงตายังคงมองไปข้างหน้า แสงไฟระยิบระยับจากตึกรามบ้านช่องที่อยู่เบื้องล้างแม้จะไม่สวยเท่าแสงดาวหรือเทียบไม่ได้กับแสงจันทร์วันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า หากแต่องค์ประกอบทั้งหมดกลับทำให้ภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้นสวยงามยิ่งนัก “ขอบคุณมากนะที่พามาดู”
“ผมไม่ได้จะพาโมมาดูพระจันทร์สักหน่อย”
“อ้าว แล้วติ๊นพาผมมาบนนี้ทำไม อย่าบอกนะว่าอดใจไม่ไหวเลยต้อง...”
คำพูดสองแง่สองง่ามทำศุกลเริ่มมันเขี้ยว ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งเท้ากับพวงมาลัยรถยนต์แล้วเอี้ยวตัวจ้องมองเสี้ยวหน้าอาบแสงจันทรา “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงโมจะว่ายังไง” เมื่อเห็นเอกรงค์ไม่ตอบอะไรจึงขยับเข้าใกล้เลื่อนมือขึ้นประคองแก้มของอีกฝ่าย
กุมารแพทย์หนุ่มห้ามด้วยการกุมมือใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่ง พยายามควบคุมเสียงของตนเองให้เป็นปกติทั้งที่หัวใจตอนนี้เต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก “ไม่เอาเดี๋ยวเสื้อยับ”
“ถ้าอย่างนั้นถอดก่อนออกดีไหมครับ”
“ผมต้องไปทำงานต่อนะ” คนอายุมากกว่ากลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วบอกเมื่อจู่ ๆ แววตาขี้เล่นก็หม่นลง “ร...รอเลิกงานก่อนได้ไหม”
เพียงเท่านั้นคนฟังคลี่ยิ้มกว้าง ศุกลไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเช่นนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่ยอมตามน้ำก็เพราะอยากจะแกล้งคนปากเก่งเล่นเท่านั้นเอง “รอมาตั้งนานแล้วนี่ครับ รอต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป แต่ที่ผมพาโมมาที่นี่เพราะผมมีเรื่องอยากจะพูดกับโมต่างหาก” พูดจบเจ้าของรถก็รั้งบางอย่างจากเบาะหลัง ซึ่งมันก็คือกุหลาบสีแดงที่ถูกจัดเป็นช่อพันด้วยผ้ากระสอบฝีมือตัวเอง
“อะไร” เอกรงค์ถามเขินๆ อายุขนาดนี้ มีแฟนมาตั้งหลายคนใช่ว่าจะเดาไม่ถูกแต่ก็ยังไม่วายแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะท่าทางน่าเอ็นดูของชายหนุ่มตรงหน้านั่นเอง
“ร...เรา...” ศุกลเอ่ยขึ้น กำลังจะพูดต่อเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น จิตรกรหนุ่มยิ้มเก้อ ๆ ขณะควักโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย “ว่าไงทัศน์”
ในขณะที่เอกรงค์เองก็มองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่ดันมาสั่นอะไรกันตอนนี้ขึ้นมาดูชื่อคนคนโทรมา เมื่อเห็นว่าเป็นลูกชายของเพื่อนจึงกดรับในที่สุด “ไงไอ้ตัวแสบ...มีอะไรก็รีบ ๆ ว่ามา ฉันกำลังยุ่ง”
“อืม...ได้สิพี่อนุญาต...ทัศน์จะทำอะไรบ้างว่ามาเลย ถ้าขาดเหลืออะไรเดี๋ยวพี่ช่วย” ศุกลบอกพร้อมกับหันไปสบตาคนข้าง ๆ เมื่อได้ยินเขาพูดขณะแนบหูกับโทรศัพท์
“วันอาทิตย์เหรอ...ขอคิดดูก่อนนะแล้วจะบอกอีกที แค่นี้นะ”
“แค่นี้นะทัศน์ แล้วเจอกัน”
ต่างคนต่างเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วหันมาสบตากันเขิน ๆ ในที่สุดก็เป็นศุกลที่พูดขึ้น
“ทัศน์โทรมาน่ะครับ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของทุกคอร์ส ตามธรรมเนียมเราจะปิดทำการหนึ่งถึงสองสัปดาห์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับคอร์สใหม่ พอดีวันอาทิตย์เป็นวันเกิดของธรณ์ เด็ก ๆ ก็เลยคุยกันว่าอยากจะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่บ้านของผม”
“เจ้านอฟก็โทรมาชวนผมเหมือนกัน บอกว่าป๊ามันไม่ว่างไปส่ง แม่ของเด็กสองคนก็อยากเจอผม ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร”
“ก็ไปสิครับ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ปาร์ตี้กับเด็ก ๆ น่าสนุกดีออก บ้านผมก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง”
“เรื่องนั้นน่ะช่างก่อนเถอะ กลับมาที่เรื่องของติ๊นดีกว่า เมื่อกี้จะพูดอะไร”
ศุกลก้มมองช่อดอกไม้ในมือคิดทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้า ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนรอ
“ค...คือ ผม...”
เอกรงค์ทอดตามองท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของอีกฝ่ายรู้สึกลุ้นตามไปด้วย แต่เมื่อศุกลยังคงอ้ำอึ้งเขาจึงยื่นไม้ตาย “ถ้าไม่พูดผมจะไปแล้วนะ”
“เรามาแฟนกันนะครับ” ประโยคนั้นรวดเร็วแต่ชัดถ้อยชัดคำ คนพูดถอนใจก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อในที่สุดก็ได้พูดมันออกไป ทั้งที่ต่างคนต่างรู้สถานกันอยู่แล้ว แต่ศุกลก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีที่ไม่ได้ทำให้เป็นกิจจะลักษณะ “นะครับ”
เอกรงค์พยักหน้า รับช่อดอกไม้มาถือไว้ก่อนจะเอ่ยปากแซว “ทำเป็นเด็กวัยรุ่นไปได้”
“ก็ผมยังไม่เคยขอโมเป็นแฟนนี่นา อีกอย่างนี่มันก็การขอเป็นแฟนครั้งแรกของผมด้วย” คนพูดยกมือขึ้นเกาคอแก้เขิน “มันไม่มีราคาค่างวดอะไร เพราะผมคิดว่าโมคงมีของพวกนั้นครบหมดแล้ว ผมมีแค่ดอกไม้ช่อเดียวที่เคยตั้งใจไว้ว่าถ้าจะขอโมเป็นแฟนจะทำแบบนี้ให้”
“ผมชอบ ชอบทุกอย่างที่ติ๊นทำให้นั่นแหละ ขอบคุณนะ” กุมารแพทย์หนุ่มพูดจากใจจริง มันให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เพิ่งรู้จักกับความรักเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาเคยพบกับการถูกขอเป็นแฟนมาแล้วหลายรูปแบบ และทุก ๆ ครั้งก็ดูจะโรแมนติกและสมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ ทั้งสถานที่และของขวัญที่ได้รับ แต่มันกลับสู้ครั้งนี้ไม่ได้เลย...
...ไม่ใช่ห้องอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูแต่เป็นบนชั้นสูงสุดของอาคารจอดรถ ไม่มีแสงจากโคมระย้ามีแต่แสงจากดวงจันทร์ดวงโตกลางท้องฟ้า ไม่มีดอกไม้นับร้อยดอกในตะกร้าที่ดูเหมือนกับยกสวนมาไว้ตรงหน้า มีแค่กุหลาบเพียงไม่กี่ดอกที่คนให้ลงทุนจัดเป็นช่อเองกับมือ
สองคนสบตากันอยู่เพียงไม่นาน เอกรงค์ก็นึกได้ว่ายังมีภารกิจสำคัญที่รอเขาอยู่ “ต้องไปแล้วนะ”
“เดี๋ยวครับ” ศุกลว่าพร้อมกับคว้าข้อมือเอาไว้
“หืม?”
“หมอโมไม่มีรางวัลให้น้องติ๊นเหรอครับ”
เอกรงค์กลั้นยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตาละห้อย มือเรียวยกขึ้นแตะที่แก้มเย็นเฉียบเบา ๆ เหมือนที่เคยทำกับเด็ก ๆ ที่มักจะงอแงเวลามาหาหมอ “น้องติ๊นอยากได้อะไรครับบอกหมอโมซิ”
“ไม่เอาวิตามินซี”
“อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นลูกอมหรือขนมหวาน ๆ เนอะ แต่วันนี้หมอโมไม่ได้พกลูกอมมาเสียด้วยสิ ติดไว้ก่อนได้ไหม”
“หมอโมก็ให้เป็นอย่างอื่นแทนสิครับ ที่หวาน ๆ เหมือนกัน”
“อะไร” กุมารแพทย์หนุ่มเสียงแข็งขึ้นมานิดเมื่อไปต่อไม่ถูก
ศุกลตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะโน้มหน้าเข้าหา ยกมือขึ้นเชยคางมนแล้วขโมยจุมพิตจากกลีบปากแสนหวาน จูบนั้นยาวนานจนมือขาวที่กำแน่นต้องคลายออกเพราะเกรงว่าดอกไม้จะช้ำ เอกรงค์วางกุหลาบช่องามบนหน้าตักแล้วเลื่อนมือขึ้นเกาะบ่าแกร่ง จูบครั้งนี้ของศุกลไม่เหมือนกับจูบครั้งไหน ๆ ไม่ได้แฝงความดุดันโหยหาเหมือนตอนแรกเริ่มที่คบหาด้วยความสัมพันธ์ที่บางคนให้นิยามมันว่า “ฉาบฉวย” แม้ในช่วงต้นจะดูเงอะงะอย่างคนไม่ประสาราวกับจูบแรกของวัยรุ่นแต่หลังจากนั้นกลับนุ่มนวลอ่อนโยนและค่อย ๆ ลึกซึ้งจนเขาแทบถอนตัวไม่ขึ้น
“ติ๊น พ...พอเถอะ ผมต้องไปทำงานแล้ว” นายแพทย์เอกรงค์เอ่ยขึ้นเมื่อริมฝีปากร้อนกดจูบที่ซอกคอในขณะที่มือใหญ่ที่เคยคลึงเคล้นอยู่ที่สะโพกกำลังเลื่อนต่ำลงมาที่หน้าขาของตนเอง จิตรกรหนุ่มคล้ายจะหยุด แต่เมื่อกลีบปากเลื่อนขึ้นมาชิดใบหูเอกรงค์ก็ได้ยินค่ำว่า “ไม่พอ ยังไม่พอ” ซ้ำ ๆ
คุณหมอกัดปากแน่นเพื่อสะกดอารมณ์หวามไหว ใช้สองมือดันไหล่กว้างแล้วขยับตัวออกห่าง พลันดวงตาสองคู่ก็สบกันอีกครั้ง
“อย่าดื้อนะครับคนเก่ง เดี๋ยวหมอโมไม่รักนะ”
คนฟังทำจมูกย่นจำใจปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแต่ก็ไม่วายบ่นงึมงำ “โมเล่นพูดแบบนี้ผมก็ต้องยอมน่ะสิ”
“ดีมาก” เอกรงค์ยิ้มน้อย ๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะแก้มสาก “ขอบคุณมากนะ ขอบคุณตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาทักยัยมุก”
“ผมก็ขอบคุณเหมือนกัน วันนั้นที่เกียวโตทาวเวอร์” จิตรกรหนุ่มหยุดไปชั่วอึดใจแล้วถามเรื่องที่ยังสงสัย “ทำไมโมถึงยอมคุยกับผม”
“ก็เห็นว่าน่ารักดี”
“แล้วทำไมไม่จีบ”
“ไม่อยากหลอกเด็ก เดี๋ยวเสียการเรียน” คนอายุมากกว่าหัวเราะ
“แต่ก็ยังไปแอบสืบเรื่องผมจากคนที่สถานทูต” ศุกลเลิกคิ้วล้อ
“ยัยมุกบอกเหรอ”
“ครับ แล้วผม...ใช่สเป็กโมหรือเปล่า”
เอกรงค์ไม่ได้ตอบเพียงแต่ยักคิ้วให้ กระนั้นรอยบุ๋มที่ข้างแก้มก็พอจะบอกอะไรได้มากมาย
“โม” ศุกลรั้งข้อมือคนพูดเอาไว้อีกครั้ง
“หืม?”
“รักนะครับ”
“ผมรู้แล้ว” พูดจบคุณหมอก็ใช้เรียวนิ้วเสยผมของอีกฝ่าย “ขับรถกลับดี ๆ ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกผมด้วยนะ แล้วเดี๋ยววันอาทิตย์เจอกัน”
คนอายุน้อยกว่าพยักหน้ายิ้ม ๆ รอกระทั่งคุณหมอเปิดประตูลงจากรถเดินลับเข้าไปในอาคารที่เชื่อมกับอาคารจอดรถจึงเอนหลังพิงเบาะยิ้มกับดวงจันทร์ที่ยังคงส่องสว่างอยู่ตรงหน้า อยากเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันอาทิตย์ไว ๆ
....
คาดิลแลคสีดำถอยเข้าจอดเคียงคู่กับโฟล์กสวาเกนในโรงรถของ Light&Shade อีกครั้ง ทันทีที่เงียบเสียงเครื่องยนต์ร่างสูงของกุมารแพทย์หนุ่มก็ก้าวลงมายืน เขากวาดตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่ดูเงียบเชียบจนผิดสังเกต มีเพียงนักท่องเที่ยวไม่กี่คนคนที่เดินเข้าออกเพื่อชมนิทรรศการในแกลเลอรี เอกรงค์เดินตรงไปยังเรือนกระจกไม่เห็นมีใครอยู่จึงอ้อมไปที่ด้านหลังแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังสตูดิโอที่อยู่ชั้นสอง ในที่สุดเขาก็พบเจ้าของบ้านที่นั่น
“ทำไมบ้านเงียบจัง เด็ก ๆ ไปไหนกันหมด ไหนว่าจะจัดงานวันเกิดให้ธรณ์ไง”
กุมารแพทย์หนุ่มถามกับคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอน เขาแต่งตัวเรียบง่ายแต่ก็ดูรู้ว่าน่าจะกำลังออกไปไหน
“เมื่อเช้าทัศน์โทรมาบอกผมว่าเปลี่ยนไปจัดงานที่บ้านแล้วละครับ เพราะถูกคุณแม่ดุที่มาใช้ที่นี่เป็นสถานที่จัดงาน คิดว่านอฟจะบอกคุณแล้วเสียอีก”
“ไม่เห็นบอกเลย โทรปลุกผมตั้งแต่เช้า แถมยังเร่งให้รีบมาที่นี่ด้วยซ้ำ ตอนที่คุยกันล่าสุดก็ยังได้ยินเสียงเด็ก ๆ ดังลั่น คิดว่าทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้วผมก็เลยรีบมา”
ศุกลยิ้มให้ พอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดจึงเดินไปหยุดที่โต๊ะริมหน้าต่าง จัดการจุดกำยานหอมแล้วใส่ลงในภาชนะดินเผาสลักลวดลายบิดเบี้ยวที่นักเรียนในคลาสเคยให้เป็นของขวัญ ท่าทางไม่รีบร้อนของเขาสร้างความแปลกใจให้แก่คนที่เพิ่งมาถึงอยู่ไม่น้อย
“เปลี่ยนไปจัดงานที่บ้านแล้วทำไมติ๊นยังไม่รีบไปล่ะ”
“ทัศน์บอกให้ผมช่วยรออยู่ที่นี่ก่อนครับ เพราะมีเพื่อน ๆ หลายคนที่ยังติดต่อไม่ได้ เผื่อใครมาที่นี่ผมจะได้คอยบอก”
“คงไม่มีใครมาแล้วมั้ง ติ๊นรีบไปเถอะเดี๋ยวเด็ก ๆ รอแย่”
“แล้วโมล่ะครับ”
“ผมคงไม่ไปแล้วละ ขับรถไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนถูกเรียกไปช่วยดูเคสหนัก กว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว เจ้านอฟยังโทรปลุกตั้งแต่เช้าอีก”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ไปเหมือนกัน” เจ้าของบ้านหันมายิ้ม นั่นคือความตั้งใจของเขานับตั้งแต่ได้ฟังเรื่องราวจากปากของเอกรงค์
“ทำไมล่ะเด็ก ๆ อุตส่าห์ชวนนะ” คุณหมอมุ่นคิ้วมองตามร่างสูงที่เดินมาหยุดตรงหน้า
“ชวนอะไรล่ะครับ ผมว่ามันเป็นแผนมากกว่า”
“แผน?” เอกรงค์ทวนคำ เพราะนอนน้อยแถมยังตื่นเช้าสมองจึงประมวลผลไม่ทัน
“ก็แผนที่จะทำให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันไง”
“อีกแล้วเหรอ” คนพูดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นผมควรจะต้องไปบ้านธรณ์แล้วจัดการกับเจ้าสามแสบนั่นใช่ไหม”
ศุกลส่ายหน้าน้อย ๆ ทอดตามองคุณหมอใจดีที่ตอนนี้สวมหน้ากากยักษ์ไปเสียแล้ว
“ไม่ต้องไปหรอกครับ”
“ทำไมล่ะ หลอกกันแบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าไม่อบรมกันบ้างเดี๋ยวจะเคยตัว”
“อย่าไปว่าเด็ก ๆ เลยครับ ก็พวกเขาอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันนี่นา” ยิ้มหวานของจิตรกรหนุ่มเรียกร้อยยิ้มของคุณหมอได้อีกครั้ง
“แล้วผมควรจะทำยังไงดี” เอกรงค์ถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“ก็อยู่ด้วยกันต่อไงครับ”
“เพื่อให้เป็นไปตามแผนของเด็ก ๆ น่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ แต่เพราะผมอยากให้โมอยู่ต่อต่างหาก”
กุมารแพทย์หนุ่มเสมองไปทางอื่นถือโอกาสสืบเท้าเดินสำรวจ สายลมเย็นที่พัดมาเป็นระยะพาเอากลิ่นหอมของกำยานฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ในที่สุดดวงตาก็สะดุดเข้ากับเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ที่ถูกทำให้ขาดเพราะแรงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบของใครคนหนึ่ง
“น่าเสียดายจัง”
“ไม่ต้องเสียดายหรอกครับ คนวาดก็อยู่ตรงนี้แล้ว ที่สำคัญคนเป็นแบบก็อยู่ด้วยกันที่นี่” เจ้าของบ้านยิ้มกริ่ม “โมเคยสัญญากับผมไว้ ลืมแล้วหรือยัง”
“ไม่ลืมหรอกน่า” คนพูดทำจมูกย่น
“ถ้าอย่างนั้นผมเตรียมอุปกรณ์ก่อนน่ะ”
เอกรงค์พยักหน้า เดินไปนั่งลงบนโซฟากึ่งเตียงนอน ที่ข้างล่างเป็นลิ้นชัก ยกสูงจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ฟูกนุ่ม ๆ ถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาว วางทับด้วยหมอนสีเดียวกัน ตาคมมองตามเจ้าของร่างสูงที่กำลังเดินไปเดินมา ทุกอิริยาบถถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำจนกระทั่งเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นวางบนขาตั้ง ส่วนบนแท่นไม้ข้าง ๆ ก็เต็มไปด้วยหลอดสี พู่กัน น้ำมันสน เกรียงและแผ่นกระเบื้องสำหรับผสมสี
“พร้อมหรือยังครับ” ศุกลเดินมาหยุดตรงหน้าคนที่กำลังนั่งเท้าคางใจลอย
“อื้อ แล้วผมต้องทำยังไงบ้าง” คุณหมอถามพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ก็ต้องถอดเสื้อผ้าออก เสื้อคลุมอยู่ในห้องนอนครับ...ถ้าโมเขิน”
เอกรงค์พยักหน้า กำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่เปิดอยู่แต่ก็ต้องหยุดเพราะความภาพหนึ่งแล่นขึ้นในหัว เขาหันกลับมาสบตาคนอายุน้อยกว่าอีกครั้งพลางยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ
“ถอดให้หน่อย”
“พ...พูดว่าอะไรนะครับ”
“ผมบอกว่าให้ถอดให้หน่อย ทำไมต้องทำหน้าตกใจด้วยทีกับ ‘เขา’ ยังทำให้เลย”
คนฟังส่ายหัวให้กับความเจ้าคิดเจ้าแค้นของคุณหมอก่อนจะเอื้อมปลดกระดุมทีละเม็ด ไม่นานเสื้อเชิ้ตสีหวานก็ลงไปอยู่แทบเท้า
ศุกลลดมือลงต่ำทำท่าจะปลดเข็มขัดแต่ก็ถูกอีกฝ่ายปัดออก
“พอแล้ว รู้แล้วว่ากล้า” พูดจบเอกรงค์ก็เดินหนีเข้าไปในห้อง เป็นอีกครั้งที่การลองเชิงของเขาพังพินาศลงด้วยน้ำมือบวกกับสายตาของอีกฝ่าย
(มีต่อค่ะ)