ตอนที่ ๑๐
ข่าวสารจากห้วงอวกาศ
หลังการเปิดตัวภรรยาของท่านดยุค เรื่องราวก็บานปลายอย่างรวดเร็วเมื่อหนึ่งในสมาชิกรัฐสภายื่นฎีกาอ้างกับกษัตริย์เจ้าอาณานิคมว่า กิลเบิร์ตนั้นไร้คุณสมบัติเป็นภรรยาของเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่แค่เพราะเขามีพื้นเพเป็นกุลีต่ำต้อย แต่เป็นเพราะเขาเป็นโสเภณีที่หากินอยู่ในตรอกต่างหาก เรื่องนี้หลานชายของเขาเป็นพยานยืนยันหลังเห็นรูปถ่ายของกิลเบิร์ตจากงานเลี้ยง ทว่า เรื่องนี้ถูกลุดวิกเตะตัดขาปัดตกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาอ้างตัวปกป้องและซัดกลับฝ่ายนั้นว่าเหิมเกริมเข้าใจผิดเองว่าภรรยาของเขาเป็นโสเภณีเลยเข้ามาลวนลามต่างหาก งานนี้เขาถึงขนาดให้คาร์ลส่งหนังสือฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอเรียกค่าทำขวัญให้กิลเบิร์ตกับค่าเสียหายต่อชื่อเสียงของตัวเขาที่เป็นสามี แค่เรื่องนี้ก็แสดงออกให้คนทั่วไปเห็นชัดเจนแล้วว่าท่านดยุคแห่งออลบานีทั้งรักทั้งหลงภรรยาคนนี้มากมายเพียงใด
ฝ่ายคนที่ช้ำใจอย่างเคาท์ฮาน เกอเจ้นนอกจากส่งหนังสือฎีกาต่อองค์กษัตริย์แล้ว เขาก็ได้แต่ดิ้นรนในวงสังคมและสาดข่าวเสียหายใส่กิลเบิร์ต เพียงแต่ว่าแม้จะพยายามส่งคนไปสืบหาพื้นเพชาติกำเนิดเท่าไหร่ เขากลับไม่ได้ข่าวคราวอะไรกลับมาเลย ในขณะที่ฝ่ายเจ้าชายอ๊อตโต้นั้นหลังจากทำตัวลึกลับอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เดินหน้าหาบิดาและขอให้บิดาจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำต้อนรับสมาชิกใหม่ของราชวงศ์ คนโง่ไม่ก็คนบ้าเท่านั้นที่จะคิดว่าเขามีความจริงใจ
แต่ไม่จริงใจแล้วยังไง จะสามารถปฏิเสธคำเชิญของกษัตริย์เจ้าอาณานิคมได้อย่างนั้นหรือ?
ดังนั้นในเช้าวันนี้พ่อบ้านเบนจามินเลยยุ่งหัวหมุนกับการจัดเตรียมเสื้อผ้าข้าวของให้กับเจ้านายทั้งสองของเขา ยิ่งคิดถึงตรงนี้แล้วก็ยิ่งน่าปวดหัว เพราะยามที่คนทั่วบ้านทั่วเมืองโจษขานอยากรู้อยากเห็นว่าท่านดยุคไปหลงรักภรรยาเข้าตอนไหน เขากลับรู้สึกเหมือนเป็นสักขีพยานความรักกลายๆ เริ่มจากท่านดยุคหอบคนแปลกหน้ากลับบ้าน ก่อนจะจ้างไว้เป็นคนใช้กิตติมศักดิ์ จับพลัดจับผลูอีท่าไหนไม่รู้ออกไปกับเจ้านายวันเดียว กลับเข้าบ้านก็กลายเป็นคุณนายไปแล้ว เสียแต่คุณนายคนนี้ยังคงติดนิสัยคนใช้ที่เขาสอนสั่งอย่างดี ดูอย่างรองเท้าหนังของท่านดยุคคู่นี้สิ เมื่อคืนหลังอาหารค่ำ กิลเบิร์ตเป็นคนขัดเสียเงาวับ ดูท่าว่าจะชอบขัดรองเท้ามากจริงๆ คิดในแง่หนึ่งต้องถือว่าคุณนายคนนี้ช่างเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวเสียนี่กระไร!
ทว่า เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว ทางห้องครัวแจ้งว่าอาหารเช้าพร้อม แต่คนยังไม่ตื่น หากเป็นเมื่อก่อนในฐานะพ่อบ้านเขาย่อมปีนขึ้นชั้นสองไปปลุกเจ้านาย แต่วันนี้คนๆนั้นมีภรรยาร่วมห้อง เกิดเปิดเข้าไปแล้วเจอเรื่องไม่ดีไม่งาม เขามิต้องถูกตำหนิรึ! ไม่สิ ตำหนิน่ะเรื่องเล็ก แต่เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นนั่นเรื่องใหญ่! เมื่อคืนคนทั้งคฤหาสน์ได้ยินเสียงเอะอะตึงตังครึ่งค่อนคืน ไม่ใช่ว่าพวกเขาประกอบกิจฉันสามีภรรยากันจนดึกดื่นค่ำคืนเพิ่งได้นอนตอนใกล้รุ่งสางหรอกรึ! แค่คิดก็รู้สึกบัดสีบัดเถลิง แม้ไม่รู้ว่ากิลเบิร์ตเป็นคนดาวไหนเผ่าพันธุ์อะไรตั้งท้องได้หรือไม่ แต่การที่สามีภรรยาสานกิจกรรมส่วนตัวรักใคร่กันดีมันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ไม่ควรมีใครไปขัดขวางอยู่แล้ว สุดท้ายจึงได้แต่บอกแม่ครัวให้อุ่นอาหารไว้ก่อน ส่วนตัวเขาขอรั้งรอไม่กล้าขึ้นไปปลุก
ในเวลาใกล้เคียงกันนั้นสองสามีภรรยาเจ้าของข่าวซุบซิบกลับยังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง กิลเบิร์ตนั้นยังงัวเงียอยู่หลังจากการตรากตรำเคี่ยวกรำของลุดวิกจนดึกดื่น มาตอนนี้ยังเหนื่อยอ่อนแต่ดันถูกเจ้าคนนิสัยเสียกอดจนแทบจมลงบนเตียง
“หยุดซะทีน่า!” กิลเบิร์ตหงุดหงิดหนัก เมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ฝึกมารยาทพื้นฐานราชวงศ์ถูกด่าว่าว่าคอเชิดไปบ้างล่ะ หลังตรงไปบ้างล่ะ ขาแข็งไปบ้างล่ะ ก้มๆเงยๆจนเหนื่อย มาตอนนี้จะมาเล่นอะไรอีก!
“อะไรกันจูบอรุณสวัสดิ์จะไม่มีเลยรึ” ลุดวิกที่กอดภรรยาจนแทบจมฟูกนอนบ่นเล็กๆแต่ไม่รอฟังคำก็เป็นฝ่ายหอมแก้มอีกฝ่ายและกอดร่างอุ่นๆนั้นไว้แทนหมอนข้าง หากไม่ติดว่าช่วงนี้จำเป็นต้องใช้เวลาฝึกฝนมารยาท เขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าแมวดำตัวนี้ขู่ฟ่อๆอยู่แบบนี้หรอก นึกอยากสานต่อเรื่องราวจากคืนแรกของการพบพานใจจะขาด แต่เพราะหน้าที่ความจำเป็นเลยได้แต่ลอบทอดถอนใจหาเศษหาเลยเล็กๆน้อยๆพอหอมปากหอมคอ “นี่ตั้งแต่แต่งงานมาเธอยังไม่ได้ทำหน้าที่ภรรยาเลยนะ”
“หน้าที่ภรรยาบ้านพ่อคุณสิ! คุณนั่นล่ะที่กินฉันหัวจรดเท้าไปตั้งแต่คืนแรกแล้ว!” กิลเบิร์ตย่อมประท้วง แถมตอนนั้นหมอนี่เล่นงานเขาจนปวดสะโพกเช้าวันต่อมาถึงขนาดต้องเดินหมดสภาพน่าอับอาย ตอนนี้ยังมีหน้ามาทวงถามหน้าที่ภรรยาบ้าอะไร แต่นั่นล่ะ ลุดวิกย่อมมีเหตุผลที่บ้าพอเสมอ
“นั่นมันก่อนแต่งงานต่างหาก” ลุดวิกยังคงเถียงได้จริงๆ
“เจ้าถังขยะหน้าไม่อาย!” แทบจะชี้หน้าด่าให้รู้แล้วรู้รอด แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับยังเอาแต่กอดเขา ซ้ำยังจูบฟอดลงข้างแก้ม ท่าทางแบบนี้เล่นเอากิลเบิร์ตไปไม่ถูกว่าหมอนี่คิดอะไรกันแน่ จริงอยู่ว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ก็เป็นแค่ในนามจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น ลุดวิกจะฉวยโอกาสนี้มาเอาเปรียบเขาบ่อยๆงั้นหรือ นิสัยเสียจริงๆ! “คุณจะแต่งงานหลอกๆก็อย่าเอาเปรียบฉันให้มากนักสิ!”
“ใครแต่งงานหลอกๆงั้นหรือ” นึกไม่ถึงว่าลุดวิกกลับย้อนหน้าตายแถมยังจ้องหน้าคนในอ้อมแขนตาไม่กระพริบ ดวงตาคมเข้มหล่อเหลาที่ชวนคนมองหน้าเห่อร้อนนั้นแฝงแววขี้เล่นแต่จริงจังอย่างหาได้ยากยิ่งยามอยู่นอกบ้าน แต่เขามักจะแสดงออกแบบนี้ในบางครั้งที่อยู่กับคนในบ้าน ในสายตากิลเบิร์ต หมอนี่เป็นคุณชายที่เอาใจยากจริงๆ “ว่าไง ใครแต่งงานหลอกๆกัน”
“คุณกับฉันน่ะสิ!” กิลเบิร์ตเถียงต่อ จะนิ่งเฉยย่อมไม่ได้ ไม่ทันไรหมอนี่ก็จะลืมสัญญาที่จะช่วยเขาแล้วหรือยังไงกัน “คุณกับฉันแต่งงานกันหลอกๆอยู่นะ!”
“ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”
“คุณ!” เอาอีกแล้ว หมอนี่จะหลอกต้มเขากินอีกแล้ว นี่ตั้งแต่เจอกันมาจะมีบ้างไหมที่หมอนี่พูดจาจริงใจไม่เล่นลิ้นน่ะ!
พริบตานั้นเองที่ลุดวิกก้มลงจูบบนริมฝีปากของกิลเบิร์ต เขาเม้มปากบดเบียดนิดๆก่อนจะค่อยๆใช้ปลายลิ้นละเลียดเลียริมฝีปากสวยที่เขาชอบจูบเป็นที่สุด หลังจากที่จูบกิลเบิร์ตไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าไม่มีริมฝีปากใครที่จะน่าจูบไปมากกว่านี้อีก เดิมทีตอนที่กิลเบิร์ตขัดขืนไม่ยินยอมเป็นภรรยาของเขา เขาก็ตัดสินใจจะปล่อยไปอย่างยากเย็น มาบัดนี้อีกฝ่ายตกหลุมเป็นของเขาแล้ว ยังคิดจะหนีอีกเรอะ ตลกน่ะ!
“ฉันคิดอะไรอยู่ ลองเก็บไปคิดเล่นๆไหม เผื่อจะฉลาดขึ้นบ้าง” ลุดวิกหัวเราะพลางขยับกายลุกจากเตียงในขณะที่กิลเบิร์ตยังมึนกับคำพูดและรสจูบของอีกฝ่าย เขากำลังไม่เข้าใจว่าตกลงผู้สมรู้ร่วมคิดคนนี้จริงๆแล้วคิดจะทำอะไรกับเขากันแน่ จะให้เชื่อว่าหมอนี่จะจริงจังรับเขาเป็นภรรยางั้นหรือ เรื่องบ้าบอขาดตรรกะแบบนั้นคนโง่ดักดานเท่านั้นที่จะเชื่อ “ไปอาบน้ำด้วยกันไหม”
“หะ!”
วินาทีนั้นเองที่คุณสามีกำมะลอจ้องคนบนเตียงด้วยสายตาอ่อนโยนแต่โลมเลียอย่างยิ่ง ทำเอาคนถูกมองผวาไขสันหลังจนหน้าประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดงจนลุดวิกหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู สุดท้ายเพียงแต่ลูบศีรษะและจูบที่หน้าผากอย่างช่างเอาใจแทนก่อนจะเดินหันหลังเข้าห้องน้ำไป ส่วนกิลเบิร์ตนั้นนิ่งอึ้งตัวสั่น ท่าทีแบบนี้เขาไม่ชินเอาเสียเลย
“เจ้าถังขยะบ้า!”
ถึงจะบอกว่าเคยแต่งงานมีสามีมาแล้ว แต่ในความเป็นจริงกิลเบิร์ตแต่งงานกับอดีตสามีตอนที่เขายังอายุน้อยมาก ฝ่ายนั้นแม้ในระยะแรกจะเอาใจใส่เขาอย่างดีแต่ก็ไม่เคยแสดงออกแบบลุดวิก เขาไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วการแสดงออกแบบไหนระหว่างคู่สามีภรรยาจึงเป็นการแสดงออกที่ถูกต้องกันแน่ จนกระทั่งอารอนเข้ามาในชีวิตของเขา ท่าทีที่เฟรเดอริคแสดงกับอารอนนั้นบางครั้งก็ทำให้เขาหน้าร้อนผ่าว และนั่นเองเป็นสิ่งที่ทำให้กิลเบิร์ตรับรู้ว่าแท้ที่จริงเฟรเดอริคปฏิบัติต่อเขาอย่างชืดชาเพียงใด
เฟรเดอริคเคยรักเขาบ้างหรือเปล่า หมอนั่นจริงๆแล้วเห็นเขาเป็นอะไรกันแน่? แล้วตัวเขาล่ะ จริงๆแล้วเคยรักเฟรเดอริคในฐานะสามีบ้างหรือไม่?
หรือจริงๆแล้ว มันว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้น
หลังอาบน้ำแต่งตัวลงมารับประทานอาหาร พวกเขาก็ต่างใช้เวลาทำในสิ่งที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น บ่ายวันนั้นลุดวิกนั่งอ่านหนังสือที่ห้องรับแขกโดยมีกิลเบิร์ตนั่งเล่นเปียโนอยู่ที่มุมห้อง ในตอนแรกลุดวิกนึกแปลกใจที่เจ้าแมวหนีภาษีตัวนี้ทำอะไรนุ่มนวลแบบนี้ได้ กิลเบิร์ตไม่เพียงเล่นเปียโนได้ แต่เขาเล่นได้ดีอย่างยิ่ง ยามที่พรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนนั้นแพรวพราวเจิดจรัส สร้างเสียงดนตรีที่เสนาะสะท้อนก้องกังวาน บางช่วงจังหวะนุ่มนวล บางครั้งแข็งกร้าว มีจังหวะจะโคนที่ทำให้หัวใจสั่นไหว ในตอนที่เขาจบบทเพลงลง ลุดวิกยังตกอยู่ในภวังค์จ้องมองคนเล่นอย่างไม่อาจละวางสายตา ดูท่าเขาจะเก็บของหนีภาษีราคาแพงลิ่วมาใส่กระเป๋าเสียแล้ว
“เพราะมากเลยนะ ฝึกมานานแล้วสิ” คำถามนี้ก็เช่นเดียวกับการเต้นรำ ทั้งสองอย่างเป็นศิลปะที่หากไม่ใช่คนชั้นสูงไม่มีทางได้ฝึกหัด ยิ่งในยุคสมัยที่มนุษย์ก้าวสู่สหัสวรรษใหม่กันเป็นว่าเล่น จะมีใครที่สนใจเรื่องราวทางวัฒนธรรมจากอดีตแบบนี้อีกเล่า
“ยังจะไต่สวนอีก” กิลเบิร์ตตอบยียวน คำถามนี้คิดให้ตายก็คือการพยายามจับผิดว่าเขานั้นเป็นใครมาจากไหน แม้คิดจะปกปิด แต่ก็รู้ว่าคงจะบ่ายเบี่ยงมากเกินไปไม่ได้ ยังไงตอนนี้ลุดวิกก็แบกความเสี่ยงไว้ส่วนหนึ่งเช่นกัน “ตั้งแต่จำความได้ก็เล่นได้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเล่นได้ยังไง” ทว่า คำตอบนั้นออกจะเหนือความคาดคิดของผู้ถามไปสักหน่อย
“หืม? ความจำเสื่อม?” เหตุผลนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดมากทีเดียว
“ตอนที่จำความได้ก็อายุเกือบสิบห้าแล้วมั้งนะ ถ้าผลการตรวจมวลกระดูกไม่ผิดพลาดนะ” ตอบเรียบๆพลางหัวเราะแก้เก้อ นี่เป็นอีกหนึ่งความจริงที่ตัวเขาก็สับสนเหมือนกัน ในตอนที่จำความได้ ในตอนนั้นเขาไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว แต่เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ตัวเองเป็นใครมาจากไหน ชื่ออะไร ทำไมถึงมีความสามารถพิเศษแตกต่างจากคนอื่น ทำไมถึงมีพลังจิต เขาไม่รู้อะไรเลย
และในตอนนั้นเองที่เขามีเฟรเดอริคเข้ามาในชีวิต หากไม่มีเฟรเดอริค เขาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าในตอนนั้นเขาควรจะทำอย่างไรดี บางทีอาจจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ ดังนั้นนี่คืออีกเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องพึ่งพิงเฟรเดอริค คนๆนั้นเป็นทุกอย่างให้เขานับแต่ลืมตาดูโลกขึ้นอีกครั้ง และยามนี้เป็นทั้งผู้ให้ชีวิต และผู้พรากชีวิต
ฝ่ายลุดวิกเห็นสีหน้าหมองของอีกฝ่ายก็ยอมขยับตัวเดินเข้าไปหากิลเบิร์ตที่ยังนั่งหันหลังให้เขาอยู่หน้าเปียโน ในตอนนั้นเองที่นายทหารหนุ่มค้อมกายลงและกอดภรรยากำมะลอไว้ในอก ความใกล้ชิดนั้นทำให้กิลเบิร์ตได้ยินเสียงหัวใจของฝ่ายตรงข้าม เสียงหัวใจของลุดวิกเต้นเป็นจังหวะจะโคนอย่างมีระเบียบอย่างยิ่ง ไม่มีตื่นเต้นร้อนรนหรือสับสน เป็นคนที่ชัดเจนในตัวเองจนน่าหมั่นไส้
“อะไรกันจู่ๆมากอดแบบนี้ จะปลอบฉันหรือไง” แต่กิลเบิร์ตก็ยังคงเป็นกิลเบิร์ต เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวท่าที่อ่อนโยนไม่เข้าเรื่องนี่ เสียแต่ว่าลุดวิกไม่เขินอายซ้ำยังกอดเขาแน่นขึ้น ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามซุกลงหลังต้นคอของเขา และยามนั้นเองที่เขาพลันรู้สึกว่าริมฝีปากนั้นกำลังจูบลงมาท้ายทอยของเขา จูบนั่น อุ่นร้อนเสียจนต้องสะดุ้ง “ลุดวิก!”
กิลเบิร์ตย่อมต้องดิ้นต่อต้าน แต่อ้อมแขนนั้นก็แข็งแกร่งเสียเหลือเกินไม่ว่าจะดิ้นยังไงก็ยังถูกรัดรึง มิหนำซ้ำจูบที่ท้ายทอยยังขยับยุกยิกจนตอนนี้เขาได้ยินกระทั่งเสียงซิปที่ถูกรูดลง และผิวเนื้อนุ่มๆที่จูบลงมาตามแนวกระดูกสันหลังเปลือยเปล่าของเขา ความรู้สึกร้อนวูบวาบทำให้ใบหน้านั้นแดงชาดเขินอายอย่างช่วยไม่ได้ แต่ทั้งๆที่ควรจะรู้ว่าเขาอับอายแค่ไหน เจ้าคนหน้าไม่อายก็ยังจูบไล่ลงมา ระรานไปตลอดแผ่นหลังจนกิลเบิร์ตพลั้งส่งเสียงครางหลุดออกไป ฝ่ายคนหน้าไม่อายถึงได้หยุดลงชั่วคราวก่อนจะคว้าตัวเขากอดแน่น เสียงนุ่มพร่างพรมที่ข้างใบหูชวนจั๊กจี้ใจ
“เป็นการปลอบที่ยอดเยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ คุณภรรยา”
“คุณ!” กิลเบิร์ตอยากเถียงใจแทบขาด แต่เจ้าของคำพูดคำจาน่าอายนั่นกลับดึงเขาให้หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนจะฉวยโอกาส
ใช้ใบหน้าหล่อเหลาคลี่รอยยิ้มหวานและจูบลงข้างแก้มเขาอีกรอบ ช่างหน้าด้าน หน้าไม่อายจริงๆ!
“ถ้าทำหน้าเศร้าอีก ฉันก็จะปลอบแบบนี้อีก ปลอบไปเรื่อยๆจนกว่าเธอจะยอมยิ้ม เธอคิดแบบนี้ดีไหม” ลุดวิกพูดพลางทำท่าจะก้มลงมาหาเศษหาเลยอีกรอบจนกิลเบิร์ตผงะถอยหลัง แต่มีหรือที่ลุดวิกจะปล่อยไป เขาได้ทีเห็นอีกฝ่ายแตกตื่นก็ดึงแขนจับอุ้มล้มลงไปนอนกอดกันบนโซฟาตัวใหญ่ มือไม้ของลุดวิกก็แสนซุกซนพยายามจะแตะนู่นแตะนี่จนกิลเบิร์ตร้องเสียงหลง
“เจ้าถังขยะหน้าไม่อาย! เกิดคนอื่นเห็นจะทำยังไงเล่า!”
“เรื่องระหว่างสามีภรรยาคนอื่นเห็นมีแต่จะชื่นชมที่ฉันรักใคร่เธอขนาดนี้ มีอะไรเสียหายกัน” ฝ่ายสามีผู้ถือสิทธิ์แสดงความรักความหลงตอบ
“นี่มันเป็นแค่ละครนะ!”
“เธอคิดอะไรลึกซึ้งไปแล้ว” ว่าพลางก้มลงเตรียมจะจูบอีกฝ่ายให้หายอยากเสียหน่อยและถึงจะเลยเถิดไปบ้างเขาก็คิดว่าไม่เสียหายอะไร แต่ตอนนั้นเองที่เสียงกระแอมโขลกขลากดันดังมาจากหน้าประตูห้อง
ตรงนั้นเองที่พ่อบ้านเบนจามินยืนอึ้งหน้าซีดอยู่พร้อมกับพันตรีคาร์ล เออร์เนส ที่ถือวิสาสะเดินเข้าบ้านมาตามปกติ เพียงแต่ดูเหมือนวันนี้ดูเหมือนเขาจะลืมไปว่าสหายของเขาดันมีภรรยาอยู่ร่วมด้วย และคุณสามีคนนี้ก็ดูจะไม่ลังเลที่จะแสดงความรักต่อภรรยาเกะกะระรานไปเสียทุกที่ในบ้าน
“ดูเหมือนจะมาผิดจังหวะ” คาร์ลเกาหัวแกรกๆเอ่ยยิ้มๆขอโทษขอโพย แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกผิดอะไรก็เถอะ “ต่อได้เลยนะ ฉันจะไปรอที่ห้องน้ำชา เสร็จแล้วค่อยมาตามก็ได้ ว่าแต่นานไหม ถ้านานหลายรอบฉันจะออกไปดื่มชายามบ่ายรอนอกบ้าน” ว่าพลางฉีกยิ้มอารมณ์ดีบนใบหน้าเรื่อยเปื่อยที่ทำเอากิลเบิร์ตหน้าเห่อร้อนอีกเป็นเท่าตัว เจ้าหมอนี่จงใจพูดหาเรื่องกันชัดๆ!
“งั้นช่วยออกไปรอข้างนอก น่าจะสักชั่วโมง” ลุดวิกตอบหน้าตาย
“หยุดนะ!!!” กิลเบิร์ตทนบทสนทนาต่ำทรามของสองสหายนี่ไม่ไหวพลั้งตะโกนขึ้นมา กัดฟันกรอดมองซ้ายทีขวาทีก็ตัดสินใจได้ว่านี่มันตัวต่ำทรามทั้งคู่ “เจ้าพวกถังขยะแฝดหน้าไม่อาย!!”
ที่ไหนได้คาร์ลกลับยักคิ้วใส่ทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะมองไปยังลุดวิกแบบเสแสร้งสุดๆ
“บ่ายวันอาทิตย์แบบนี้มันก็ต้องทำกิจกรรมสบายเนื้อสบายตัวสิน่า นี่เป็นเรื่องดีออกนะ!” คาร์ลเอ่ยพลางยิ้มยักคิ้วให้เพื่อน ส่วนเจ้าเพื่อนสารเลวนั่นก็คลี่ยิ้มหล่อเหลาพยักหน้าตอบรับ
“นายก็อย่าขัดมากนัก ออกไปดื่มชาสักชั่วโมงไป๊” ลุดวิกบอก
“หน้าไม่อายเกินไปแล้ว!!!” กิลเบิร์ตประท้วง
สุดท้ายลุดวิกกับคาร์ลโดนกิลเบิร์ตชี้หน้าด่าอีกรอบ แต่ฉันใดฉันนั้นสองคนนี่ไม่เพียงไม่รู้สึกรู้สากลับยังยิ้มแก้เก้อตีเนียนเป็นผู้ชายอบอุ่น บ้าบอไปแล้ว สองคนนี่มันเกินเยียวยาแล้ว! ตรงไหนของเจ้าพวกนี้คือนายทหารน่าภาคภูมิใจแสนสูงส่งของดาวดวงนี้กัน!
กล่าวถึงนายคาร์ล เออร์เนส ผู้นี้ ลุดวิกเล่าให้เขาฟังหลังงานเลี้ยงคืนนั้นว่าหมอนี่เป็นสหายรักของเขามาตั้งแต่เด็ก เป็นลูกชายคนที่สองของตระกูลสมาชิกรัฐสภาเออร์เนส มีพี่ชายผู้เก่งกาจแสนดีน่านับถือเป็นผู้สืบทอดตระกูล ส่วนตัวเขาเลิกหวังพึ่งพาครอบครัว ตอนที่อายุสิบห้าก็ระเห็จออกนอกบ้านมากินนอนอยู่ค่ายทหาร แม้ตำแหน่งเป็นแค่พันตรี แต่ด้วยนิสัยที่ไม่พึ่งพาใครรักสันโดษขนาดนี้ได้ตำแหน่งตั้งแต่อายุแค่นี้นับว่าเก่งกาจมากแล้ว ส่วนตอนนี้หมอนี่ก็คือผู้สมรู้ร่วมคิดของลุดวิก และเป็นคนประสานงานระหว่างลุดวิกกับพวกสมาชิกรัฐสภาด้วย ด้วยนิสัยของคาร์ล ลุดวิกวิจารณ์ว่าหมอนี่ไม่ช้าก็เร็วต้องเปลี่ยนอาชีพอย่างแน่นอน
ส่วนที่เขามาหาพวกลุดวิกวันนี้ก็เพราะเขากับนิโคลัสจะเป็นผู้ติดตามลุดวิกเข้าวังเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์ ดังนั้นหลังจากพูดคุยจิบชากันสักพัก พวกเขาก็เริ่มคุยกันเรื่องงาน แน่ล่ะว่าทุกคนรู้แก่ใจว่าเจ้าชายอ๊อตโต้เตรียมแผนการไว้ และพวกเขาจำเป็นต้องโต้กลับ เพียงแต่ในระยะหลังเจ้าชายอ๊อตโต้เองก็ไม่ได้โง่เง่าจนเกินไป เขามักมีเซอไพรสที่คนคิดไม่ถึง เรื่องการแต่งงานของลุดวิกกับตระกูลเกอเจ้นนี่ก็เล่าลือกันว่าไม่ใช่ความคิดของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่น่าจะมีที่ปรึกษาดีคอยดูแลให้ และที่ปรึกษานี่ล่ะที่สร้างความน่าหนักใจให้พวกลุดวิกอย่างยิ่ง
“เป็นไปได้ไหมที่เจ้าชายอ๊อตโต้ชักศึกเข้าบ้าน” คาร์ลเสนอความเห็น สอดส่ายสายตาไปให้ทั่วเขายังมองไม่เห็นใครที่จะถือหางเจ้าชายนิสัยเสียผู้นี้ แต่คนที่นี่ไม่ ใช่ว่าคนข้างนอกจะไม่ทำ มีตัวอย่างมากมายให้เห็นว่าดาวสักดวงสามารถล่มสลายได้จากการแทรกแซงภายนอก
“นายหมายถึง โจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด?” ลุดวิกเอ่ยชื่อนั้นขึ้น ในขณะที่กิลเบิร์ตถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำเรียกขานถึงคนพวกนั้น “พวกนั้นเล็งอาทีเรียอยู่งั้นรึ”
“ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เสียหน่อย”
ถึงตรงนี้กิลเบิร์ตกลับนิ่งฟังอย่างตั้งใจ แม้จะเป็นดาวไกลปืนเที่ยง แต่ดูเหมือนชื่อเสียงของพวกโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืดจะไม่ได้ห่างไกลสำหรับพวกเขา โจรสลัดพวกนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องชั่วร้าย ทั้งค้าขายของผิดกฎหมาย ปล้นยานอวกาศ แม้กระทั่งแทรกแซงการเมืองของดาวสักดวงเพื่อปล้นชิงทรัพยากร โดยเฉพาะหัวหน้าของเจ้าพวกนั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่อันตรายอันดับต้นๆของจักรวาล
จะเป็นใครก็ได้ที่เข้ามาแทรกแซงเป็นมันสมองของเจ้าชายอ๊อตโต้ แต่ตอนนี้พวกเขาต่างแอบหวังว่าคนที่มานั่นจะไม่ใช่ศัตรูตัวอันตรายแบบชายผู้นั้น
สุดท้ายเมื่อได้ข้อสรุปเบื้องต้นพวกเขาต่างก็แยกย้ายไปเตรียมตัว จนกระทั่งได้เวลา ลุดวิกก็จูงมือภรรยาเข้าสู่สมรภูมิใหม่อีกครั้ง
“หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล เธอต้องรีบเรียกฉันหรือคาร์ล อย่าทำอะไรตัวคนเดียว” ลุดวิกกำชับกิลเบิร์ตก่อนที่พวกเขาจะลงจากรถ ตอนนี้พวกเขามาถึงวังแล้ว และเห็นได้ชัดว่าในวันนี้แม้บอกเป็นงานเลี้ยงในครอบครัว แต่ก็เชื้อเชิญคนชั้นสูงมาร่วมงานกันคับคั่ง รวมทั้งเคาท์ฮาน เกอเจ้นด้วย
“เข้าใจแล้ว” ฝ่ายกิลเบิร์ตแม้จะดื้อรั้นแต่ถ้าเป็นเรื่องเป็นงานเป็นการเขาก็ไม่โต้แย้ง ยังไงเสียคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของราชวงศ์ดีที่สุดก็คือลุดวิก “คุณเองก็อย่าทำอะไรเกินตัวนะ”
“เป็นห่วงหรือ” ยกยิ้มขึ้นและอดไม่ได้ที่จะจับมืออีกฝ่ายมาจูบเบาๆ เดิมทีย่อมไม่มีใครกล้าพูดอะไรแบบนี้กับเขามาก่อน “แบบนี้กลับไปต้องให้รางวัลเสียหน่อยแล้ว”
“รางวัลพ่อคุณสิ!” กิลเบิร์ตที่รู้ความนัยต่ำทรามนั่นสบถด่าทันที ก่อนที่คาร์ลที่ขับรถอยู่จะรู้สึกทนฟังไม่ได้จนต้องไล่สองสามีภรรยานี่ลงจากรถ
คนมีคู่นี่มันเหม็นความรักจริงๆ!
ลุดวิกนั้นพากิลเบิร์ตเดินเข้าไปยังโถงห้องรับรองส่วนตัวของกษัตริย์ท่ามกลางสายตาที่หลากหลายความรู้สึกของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ แต่คนที่รอคอยเผชิญหน้าเขาอยู่ตอนนี้กลับเป็นท่านเคาท์ฮาน เกอเจ้นที่มาปรากฏตัวยืนจังก้าอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ใช่เพราะเขากล้าจนเกินงาม แต่เพราะตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคือเจ้าหญิงเฟรเซีย ชายาของเจ้าชายอ๊อตโต้ ผู้สนับสนุนที่ดีงามเหมาะสมจนลุดวิกไม่สามารถจะเดินผ่านไปเฉยๆได้
“ขอดิฉันสนทนากับท่านดยุคเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่” เจ้าหญิงเฟรเซียทักทายแล้วก็เข้าประเด็น สายตานั้นชำเลืองมองกิลเบิร์ตอย่างเฉยชาพลางส่งสารที่ตีความได้ง่ายดายว่าหมายถึงให้กิลเบิร์ตนั้นช่วยไสหัวออกไปที “นี่เป็นการสนทนาของคนในครอบครัว คนนอกไม่ควรรับฟัง”
“ที่นี่ไม่มีคนนอก หากจะมีก็มีเพียงท่านเคาท์ ไม่ทราบว่าท่านเคาท์เป็นญาติฝ่ายไหนของฉันหรือ” ลุดวิกพูดเรียบๆแต่ทำเอาท่านเคาท์หน้าถอดสีระคนโกรธเกรี้ยวจนเจ้าหญิงเฟรเซียต้องรีบห้ามปรามญาติผู้น้อง เจอคำพูดแค่นี้ของดยุคแห่งออลบานีก็แสดงอารมณ์แล้ว แบบนี้จะไปสู้รบปรบมืออะไรกับผู้ชายคนนี้ได้ ความร้ายกาจของลุดวิกนั้นเธอย่อมทราบดีแก่ใจ
“ขออภัยด้วยค่ะ ดิฉันแค่อยากจะบอกว่าระหว่างท่านดยุคกับตระกูลเกอเจ้นมีเรื่องต้องทำความเข้าใจกัน หากท่านชายาอยู่ด้วยจะหมองใจเสียเปล่าๆ ถ้าอย่างไรเชิญท่านชายานั่งพักผ่อนที่ห้องน้ำชาสักครู่ เมื่อเสร็จธุระแล้วดิฉันจะให้คนไปเชิญ ดีไหมคะ” เจ้าหญิงเอ่ยแก้อย่างรู้งานทันที หญิงสาวรายนี้เดิมทีก็ไม่ใช่คนสมองกลวง แม้จำต้องกัดฟันแต่งงานอย่างจำยอมกับเจ้าชายอ๊อตโต้ แต่เมื่อแต่งงานมาแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด ในสายตาลุดวิก ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างน่าสงสาร เพียงแต่สงสารก็ส่วนสงสาร เขาจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเรื่องราวต่อ
แต่ตอนนี้ เจ้าหญิงเฟรเซียกำลังสร้างความลำบากใจแก่เขา
“ได้สิ ฉันจะนั่งรอท่านดยุคที่ห้องน้ำชา” กิลเบิร์ตตอบ เขารู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้ลุดวิกลำบากใจ แต่แม้ลำบากใจก็ไม่ควรทำให้ตัวเองกลายเป็นคนไร้มารยาท ส่วนเจ้าหญิงเฟรเซียคนนี้เขาดูแล้วก็เป็นหญิงสาวที่น่าสนใจไม่หยอก ดูๆไปแล้วเจ้าชายอ๊อตโต้อะไรนั่นไม่เห็นคู่ควรกับหญิงสาวคนนี้เลย “รีบไปรีบมานะ ท่านดยุคที่รัก” กิลเบิร์ตว่าพลางจูบข้างแก้มสามีกำมะลอให้ฝ่ายท่านเคาท์ฮานมองมาหน้าเขียวปั๊ดเล่นๆ ช่วยไม่ได้ใครให้ท่านเคาท์นี่คล้ายอารอนขนาดนี้เล่า!
กิลเบิร์ตมองส่งลุดวิกเดินจนลับสายตาส่วนตัวเองนั้นถูกเชิญมาพักผ่อนที่ห้องน้ำชาที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมแสบจมูก บนโต๊ะเล็กๆนั้นมีของว่างเล็กน้อยกับน้ำชาให้ทานเล่นระหว่างรอร่วมรับประทานอาหารเย็น ด้วยสัญชาตญาณเขาย่อมไม่แตะต้องของอันตรายพวกนี้ หากพลาดพลั้งถูกวางยาเข้าไปจะโดนด่าว่าโง่ดักดานได้ จึงใช้เวลาสอดส่ายสายตามองข้าวของเครื่องใช้ไปเพลินๆพลางคิดเรื่อยเปื่อยถึงสถานการณ์ของตัวเองขณะนี้
ช่วงนี้เขาค่อยๆทำความเข้าใจกับดาวดวงนี้แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมติดตามเรื่องข้างนอก เพียงแต่ว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นน้อยมาก ผู้คนบนดาวดวงนี้ค่อนข้างเก็บตัวเงียบสงบยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง จนเรื่องใหญ่อย่างสหพันธ์ดวงดาวหรือการเปิดฉากสงครามของเทสล่ากับซิลวานี่กลายเป็นข่าวเล็กๆที่กรอบหน้าในๆของหนังสือพิมพ์ จะว่าไปจะเอาอะไรกับดาวอนุรักษ์นิยมแบบนี้ แค่คนที่นี่ไม่ใช้ราชาศัพท์หรูหราในการพูดคุยกันแบบชนชั้นสูงในอดีตของโลกก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
แต่ว่าเรื่องสงครามกับซิลวานี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ กิลเบิร์ตรู้แก่ใจว่าวันใดที่เทสล่าก่อสงคราม เมื่อนั้นหายนะจะมาเยี่ยมเยือน เขาคัดค้านเรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เพราะหวาดกลัวที่จะต้องนำทัพ แต่เป็นเพราะมั่นใจว่าท้ายที่สุดสงครามนี่จะเป็นชนวนของความรุนแรงที่ไม่จบสิ้น แม้ไม่มีใครฟังเขา แต่หากมีโอกาสที่จะต้องพูดอีก เขาก็จะยังยืนยันคำเดิม
“ท่านชายา ท่านดยุคขอให้ท่านตามไปที่ห้องรับรองค่ะ” หญิงสาวคนรับใช้เข้ามาบอกกิลเบิร์ตที่กำลังคิดเรื่องของสงครามอย่างเหม่อลอย เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ แม้นึกสงสัยว่าทำไมธุระของเจ้าหญิงเฟรเซียเสร็จไวกว่าที่คิด แต่เขาก็ไม่มีเหตุให้ปฏิเสธ จึงออกเดินตามไปอย่างไม่คิดอะไรมาก จนกระทั่งหญิงสาวเปิดประตูห้องๆหนึ่งให้ เขาก็ก้าวเข้าไป เพียงแต่ทันใดนั้นเอง
ปึง!
“เอ๋!” ครั้นพอหันไปดึงประตู ประตูกลับถูกล็อคจากภายนอก ส่วนเบื้องหน้าเขากลับปรากฏชายหนุ่มหน้าตาถมึงทึงยืนกอดอกอยู่ “เจ้าชายอ๊อตโต้?”
จบตอน