คล้อยหลังรถยนต์สีขาวที่ออกตัวไป ชายหนุ่มก็เดินลากเท้ากลับขึ้นไปที่ห้องทำงาน เขาไม่ได้ขยับเม้าส์แล้วเริ่มต้นงานอย่างทุกครั้ง คีรินทร์เพียงแต่นั่งกอดอกแล้วมองไปเบื้องหน้าซึ่งไม่มีสิ่งใดนอกจากเฟอร์นิเจอร์ว่างเปล่า บางทีเขาอาจนั่งอยู่นานเกินไป นิ่งเกินไป จนไม่รู้ว่าด้านนอกมีเงาคนขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ประตูกระจกขึ้นเรื่อย ๆ
“พี่ภู…”
“อ้าว นึกว่ากลับไปแล้ว” เจ้านายหนุ่มยิ้มแกน ๆ แต่หน้าของเลขาหนุ่มกลับมีวี่แววตกอกตกใจราวกับเห็นผี
“พุกลืมกระเป๋าสตางค์ครับ ไม่มีเงินขึ้นรถไฟฟ้า” คนรอบคอบเสมอยกเว้นเมื่อครู่หัวเราะแหะ ๆ คงเป็นเพราะเขาลนลานที่สบตากับคีรินทร์ผ่านกระจก อะไรใกล้ไม้ใกล้มือก็รวบลงกระเป๋าไปก่อน ตอนเปิดกระเป๋าดูแล้วพบว่าเขาเอาที่เจาะกระดาษสำนักงานกลับไปด้วยหนูพุกตกใจแทบแย่
เพราะวันนี้มีเรื่องให้คิดและพอจะมีลมเย็นโชยมาพอให้เดินไหว หนูพุกจึงไม่เลือกใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าอย่างทุกที … กว่าจะรู้ตัวว่าทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้ออฟฟิศก็ตอนควักหากระเป๋าเพื่อจะเอาบัตรขึ้นทาบเครื่องแสกนนั่นล่ะ
“อ้อ อย่างนั้นกลับดี ๆ นะ” ชายหนุ่มยิ้มให้ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนใจทำที่สุดตั้งแต่เขารู้จักพี่ภูมาเลยด้วยซ้ำ
“ครับ” หนูพุกเดินจากมา หากจุดหมายปลายทางกลับเป็นทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเจตนาเดิม เขานั่งลง เปิดคอมพิวเตอร์หาอะไรทำไปอย่างเงียบเชียบโดยที่แอบสังเกตคนในห้องกระจกไปด้วย
...พี่ภูตาแดงอย่างกับเส้นเลือดในตาจะระเบิด…
ไหนจะท่าทางไม่ปกตินั่นอีก หนูพุกรู้ว่ามันคงไร้สาระมากในสายตาคนอื่น หากเขาจะคอยอยู่ตรงนี้แทนที่จะเอาเวลาไปพักผ่อน อย่างไรเสีย ต่อให้มุ่งตรงกลับคอนโดเขาคงนอนไม่หลับเพราะไม่สบายใจอยู่ดี
เข็มนาฬิกาล่วงไปจนละครหลังข่าวใกล้จบ เด็ก ๆ หลายบ้านคงเข้านอนแล้ว และคุณแม่บ้านก็คงเตรียมเข้านอนเช่นเดียวกัน หากคนที่ทำให้หนูพุกเป็นกังวลยังคงนั่งอยู่ที่เดิม พี่ภูเพียงแต่นั่งเฉย ๆ ทอดสายตามองเก้าอี้เบื้องหน้าอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่หัวค่ำ
...คงมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่คุณแพรมา...
พอนึกถึงหญิงสาว เขาพานนึกถึงเจ้าราดหน้าหมูผู้หน้าสงสารซึ่งน่าจะยังอยู่ในถุงที่เดิม หนูพุกลุกขึ้นไปสำรวจดูในครัวด้านล่าง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนที่เขาออกไปไม่ผิดเพี้ยน เลขาหนุ่มตัดสินใจแช่มันไว้ในตู้เย็น ไม่ได้กินวันนี้ ก็ขอให้เป็นมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้
หนูพุกได้ยินเสียงกอกแกกดังลงมาจากหน้าบันไดแล้วขมวดคิ้วมุ่น โผล่หน้าออกไปจากห้องครัวเพื่อจะดูว่าพี่ภูทำอะไร ดีที่ชะตาเขายังไม่ถึงฆาต ท่อพีวีซีสีฟ้าสดจึงฟาดมาไม่ถึงตัวเพราะคนถือยั้งไว้ได้ทัน
“หนูพุก!” คีรินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเห็นคนเดินหลังไว ๆ ที่หางตาซ้ำยังได้ยินเสียงจานชามในครัวอีก จะว่ากลัวผีก็ไม่ใช่ ด้วยโจรสมัยนี้น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรลึกลับเทือกนั้นเสียอีก
“พุกเองครับ อย่าบอกนะว่าคิดว่าโจรขึ้นออฟฟิศ” หนูพุกหัวเราะ ไม่ถือสาหาความที่เขาอุตส่าห์ไปรื้อเอาท่อที่ซื้อเตรียมไว้ว่าจะเปลี่ยนกับสปริงเกอร์รดน้ำต้นไม้ด้านนอกออกมา
“นี่มันจะห้าทุ่มอยู่แล้ว เรานั่นเเหละ ทำไมยังไม่กลับบ้านนอนอีก” เขาทำเสียงเข้มแต่ไม่ได้น่ากลัวเลย
“เจ้านายเกเรนี่ครับ งานก็ไม่ทำ แต่ไม่ยอมกลับบ้านนอน พุกเลยมาอยู่เป็นเพื่อน” เลขาหนุ่มกระเซ้า พลางเดินกลับขึ้นไปข้างบน
“อาทิตย์นี้คงนอนที่นี่แหละ” เขาว่า “แล้วเราน่ะจะกลับยังไง เดี๋ยวพี่ไปส่งไหม” หนูพุกโคลงศีรษะ แม้จะไม่รู้แน่ชัดแต่ก็พอเดาได้ว่าคงทะเลาะกับคุณแพร
“ไปนอนห้องพุกไหมครับ… เอ่อ คือ หมายถึงว่า ถ้าอยู่ที่ออฟฟิศไปก็พักผ่อนไม่สบาย กลับไปอาบน้ำอุ่นนอนพักน่าจะดีกว่า” คนพูดเสนอไปแก้ตัวไปจนลิ้นพันกัน กลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัว
“เดี๋ยวก็หลอกให้พี่นอนบนเตียงแล้วเจ้าของห้องก็ไปนอนบนโซฟาแบบวันนั้นเหรอ พี่ก็เกรงใจเป็นนะ”
ชายหนุ่มยกยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรท่าทางตอนอธิบายทั้งที่ในความคิดสับสนยิ่งขับให้คนที่เหมือนจะจัดการทุกอย่างได้ดีดูมีสเน่ห์ขึ้นอย่างน่าประหลาด
“โซฟามันตัวเล็ก พี่ภูนอนไม่สบายหรอกครับ” เลขานุการคนเก่งให้เหตุผล แค่เขานอนศีรษะก็ชนพนักด้านหนึ่งและปลายเท้าติดกับพนักอีกด้านจนยืดเหยียดไม่ได้
“เรานอนไม่สบายเหมือนกันนั่นเเละ พี่รู้” คีรินทร์เอ่ย เขาจำได้ว่าตื่นมาก็เห็นหนูพุกนอนงอก่องอขิงอยู่บนเบาะนวม ซ้ำยังถีบผ้าห่มหนานุ่มตกไปอยู่ที่พื้นอีกต่างหาก มือใหญ่คว้าเอากุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์ติดมือมาด้วย
“คือ… งั้นนอนด้วยกันนี่แหละครับ เตียงตั้งกว้าง”
พูดไปก็กระดากไปแต่ต้องทำเป็นใจกว้าง หนูพุกไม่อยากร่วมเตียงกับคนของคนอื่น แต่เขาก็ไม่อยากทิ้งพี่ภูเอาไว้ทั้งที่ดูอารมณ์ไม่มั่นคงนักเช่นเดียวกัน สงสัยคืนนี้ต้องรอพี่ภูหลับแล้วเขาถึงค่อยย่องออกมานอนข้างนอก
ส่วนภูเองยังไม่อยากกลับไปที่บ้าน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยากอยู่ที่สำนักงาน ภาพที่แพรวาชี้แจงเหตุผลยังคงหมุนไปมาเหมือนมีใครมาเปิดเทปซ้ำแล้วซ้ำอีก
...การได้ออกไปอยู่ที่อื่นเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกเลวร้ายอาจช่วยอะไรได้บ้าง…
“อืม… รบกวนด้วยนะ”
------------------------------------------------------------------------
หนูพุกไม่คิดเลยว่าไอ้ ‘เตียงตั้งกว้าง’ จะเป็นคำที่ไม่จริง ทีแรกป๊าเคยถามแล้วว่าเตียงจะเลือกเป็นหกฟุตดีไหม หากเขาปฏิเสธไปเพราะนอนคนเดียว ที่ขนาดห้าฟุตก็เหลือเฟือแล้ว แต่เมื่อมีคนตัวใหญ่มาแบ่งพื้นที่ด้านข้าง พื้นที่เหลือเฟือกลับถูกกลืนหายไปเหลือเพียงระยะอันตรายกับหัวใจเท่านั้นเอง
พอพี่ภูขยับตัวทีฟูกหนานุ่มก็สะเทือนมาถึงหนูพุกด้วย นอกจากนี้ยังมีกลิ่นครีมอาบน้ำที่คอยรบกวนให้เขาต้องนอนลืมตาโพลงทั้งที่ปิดไฟไปแล้วเกือบชั่วโมง
...ถ้านับแกะไปเพลิน ๆ เขาคงได้จำนวนแกะทุกตัวในนิวซีแลนด์แน่ ๆ…
หนูพุกลอบถอนหายใจ ทว่าแล้วกล้ามเนื้อทุกส่วนกลับต้องเกร็งสุดชีวิตในวินาทีต่อมา เมื่อร่างกายกำยำชันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงบุหนังนุ่ม ตาสีดำลอบมองฝ่าความมืด… สองไหล่กว้างห่อเข้าหากันจนแทบไม่เหลือความองอาจอย่างเคย
“พี่ภู…”
“โทษที ทำให้ตื่นใช่ไหม” คีรินทร์หันหน้ากลับมา ถึงทั้งห้องจะปิดไฟมืด ทว่าแสงเรืองรองจากอาคารสูงใกล้เคียงยังลอดเขามาให้เขามองเห็นดวงตาเรียวที่จ้องมองมาได้ชัดเจน
“ไม่หรอกครับ… มีอะไรหรือเปล่า เล่าให้พุกฟังได้นะ”
ตลอดมาภูไม่ใช่พวกไว้ใจคนง่าย หากอุปนิสัยของหนูพุกกลับทำให้เขาวางใจได้ไม่ยากเลย
น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้ขุนเขากว้างใหญ่คล้ายจะสั่นสะเทือนด้วยกระแสความห่วงใยอย่างไม่ปิดบังที่ส่งมาถึง ยิ่งมือเรียวแตะลงบนท่อนแขนล่ำสัน ภูรู้สึกว่าทุกอย่างน่าจะง่ายขึ้นหากได้ปลดปล่อยออกไปบ้าง
เขาไม่รู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะทำให้คนฟังหายใจสะดุด
“พี่เลิกกับแพรแล้ว…”
หนูพุกแทบไม่เชื่อหูเลยว่าจะได้ยินคำนี้ เปลือกตาสีน้ำนมกระพริบปริบยามพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ทั้งหมดในหัว เขายังไม่สามารถประเมินความรู้สึกของตัวเองได้ด้วยซ้ำ เหตุเพราะสมาธิของเลขาหนุ่มแตกกระเจิงเมื่อพบว่าพี่ภูคู้ตัวลง น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดห้าม
คนแข็งแกร่งมาก ๆ เมื่อมาถึงจุดที่อ่อนแอจนถึงที่สุดก็ไม่ต่างอะไรกับแก้วเนื้อบาง หากแตะอย่างไม่ระวังก็แตกเสียหายได้ง่ายดาย
นี่อาจเป็นครั้งแรกในฐานะเลขาที่รับมือกับเจ้านายไม่ได้ ทุกอย่างดูติดขัดและเขาเองก็เก้กัง หนูพุกสูดหายใจลึก ทำใจกล้าแล้วยืดตัวยืนเข่าขึ้นโอบพี่ภูเอาไว้
คล้ายกับว่าเชือกล่องหนที่รัดพันหัวใจของเขาคลายออกไปเปลาะหนึ่ง เมื่อคนแก่วัยกว่าไม่ได้เอี้ยวตัวหนีหรือมีทีท่าต่อต้าน พี่ภูเพียงแต่นั่งนิ่งปล่อยให้น้ำร้อนผ่าวไหลซึมลงบนอกเสื้อยืดเนื้อนุ่มของหนูพุกโดยปราศจากคำอธิบายใด ๆ เพิ่มเติม
ฝ่ามือเรียวแตะลงบนแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบประโลมอยู่นานทีเดียว เจ้าของร่างเพรียวบางเปลี่ยนมานั่งลงบนฟูกเมื่อน้ำหนักของร่างกำยำทิ้งลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนหนูพุกตัวเซ
คีรินทร์หลับสนิททั้งที่แพขนตายังชุ่มน้ำ
นาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงเรืองแสงบอกว่าล่วงเข้าวันใหม่ไปได้สามชั่วโมงกว่าแล้ว หนูพุกจัดท่าทางให้พี่ภูเอนตัวลงนอนหนุนตัก เหมือนตอนที่หนูพุกเสียใจเวลานอนตักหม่าม้าก็ดีขึ้นเช่นเดียวกัน
อาจเป็นเพราะความเป็นมนุษย์ที่ไหลเวียนอยูในตัวทุกคน เมื่อมีบุคคลซึ่งเป็นที่พึ่งให้อิงแอบ กายก็สบายและใจจะเบาลง มือเรียวลูบลงบนกลุ่มผมหยักศกอย่างเผลอไผล ชายหนุ่มก้มลงหาคนที่ผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอแล้วกระซิบแผ่วเบา
“ไม่เป็นไรนะ… ยังไงพุกก็อยู่ตรงนี้”
-----------------------------------------------------
มาไม่ทันวันเสาร์อีกแล้ว 55555 แง้
แต่ก็นั่นแหละค่ะ ฝากเจ้าพุกลูกแม่ด้วยฮะ ><
เจอกันอีกทีสัปดาห์หน้านะคะ ขอบคุณที่อดทนรอค่ะ