ผมเดินไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง มันรู้สึกโหวงเหวง โดดเดี่ยว หรืออาจจะเป็นความรู้สึกขุ่นเคือง มันผสมปนเปกันไปจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้
การที่เขากระทำกับผมแบบนี้ มันแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าเขาไม่เคยมีใจให้ผมเลย เขาเห็นผมเป็นแค่ตัวละครที่เขากำกับ สั่งให้ทำนั่น ทำนี่ โดยไม่คิดถึงจิตใจของคนๆ นี้เลยสักนิด
แม้ผมจะรักเขามากมายแค่ไหน...
เขาก็ไม่เคยรู้สึก...
ไม่เคยรับรู้...
แม้เพียง...
สักนิด...
สายลมที่พัดผ่านมาไม่ทำให้ร่างกายของผมสะท้านต่อมัน ขาที่กำลังก้าวดูจะทำงานไปด้วยกลไกของร่างกายมากกว่าสมองที่สั่งการออกไป เสียงสวบสาบที่ได้ยินล้วนมาจากการย่ำเท้าก้าวไปของผมไปเรื่อยๆ
พระจันทร์ดวงโตบนท้องฟ้าถูกบดบังด้วยหมอกเมฆกลุ่มใหญ่ที่พัดผ่านมาด้วยสายลมนำพา แสงสว่างน้อยๆ ของมันหายไปแล้ว ผมแหงนใบหน้าขึ้นท้องฟ้ากว้างโดยบังเอิญ พลางยกมือขึ้นปัดเส้นผมบนที่ระใบหน้าให้พ้นไปจากสายตา
ความรู้สึกที่ผมจะพยายามลืม ซึ่งมันหายไป ตอนนี้เริ่มจะกลับมาอีกครั้ง แม้ตอนแรกผมจะวิ่งเข้ามาโดยไม่ได้มองว่าคือที่ไหน แต่พอหันไปสำรวจดูซ้ายขวาชัดๆ ผมถึงได้รู้ว่าคือสวนป่า
"สวนป่าสินะ..."
สวนป่าแห่งนี้ใหญ่เกินกว่าจะสามารถเดินให้รอบภายใน 1 วัน เป็นสวนป่าอนุรักษ์ที่ปลูกพันธุ์ไม้นานาไว้เพื่อให้นักศึกษาคณะวนศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยได้ศึกษาโดยใช้สถานที่จริง
ส่วนงานที่ผมเพิ่งก้าวจากมาก็คืองานบายเนียร์พี่ปี 4
ที่ซึ่ง ทำให้ผมเห็นอะไรดีๆ!
ดีซะจนคาดไม่ถึง!
“หึหึ”
ผมได้หัวเราะขื่นๆ อย่างสมเพชตัวเอง ที่ทำอะไรให้เขาเสียมาก หากกลับเห็นอีกฝ่ายกำลังระเริงหัวเราะรื่น กอดจูบกับใครอีกคนอยู่ภายนอกงาน โดยที่ไม่สนใจผมสักนิด
คนที่รักเขาหมดใจคนนี้...
ลมพัดมาอีกระลอกทำให้ผมยะเยือกหนาวขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ จนต้องยกมือขึ้นโอบรอบตัวไว้อย่างที่สามารถทำได้ แม้กระนั้นก็ไม่สามารถปิดกั้นความหนาวเหน็บที่เข้ากระทบกายได้มากนักก็ตาม
จู่ๆ ผมได้ยินเสียงสวบสาบตามมา เป็นเสียงของอะไรบางอย่างที่อยู่ภายหลังผม ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ หากแต่เร็วมากในความรู้สึก
ผมตัดสินใจ นับ 1-3 ก่อนจะหันกลับไปมองอย่างเพ่งพินิจ
“1”
“2”
“3”
‘พรึ่บ’
“อ้าว”
หากพบแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
...มันคืออะไร...
ผมหันหลังกลับมา แต่ความรู้สึกคราวนี้ มันเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ภายหลัง สายตาที่น่าเคารพ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ลมพัดมาอีกระลอกพาให้ขนแขนของผมลุกชันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
...ไม่มีอะไรหรอก...
ผมบอกตัวเองในใจอย่างหมายมั่น พลางตั้งสติ ไม่คิดโน่นคิดนี่ไปให้มากกว่านี้ ก่อนจะสาวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า พยายามรีบๆ เดินออกจากสวนป่านี้ไปให้เร็วที่สุด
“ทำไมทางออกมันไกลจังวะ”
ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง
...ทุกวันก็น่าจะเจอทางออกแล้วนี่ แต่ทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกว่ามันไกลจนหาทางออกไม่ได้เสียที
หากแล้วความรู้สึกที่เป็นอยู่ยังคงเดิม
..การเคลื่อนที่เร็วทางด้านหลัง สายตาที่ทิ่มแทงพาให้ผมรู้สึกหวาดกลัวและผวาได้ทุกอณูขุมขน
ความหนาวเริ่มแผ่ซ่านเข้ามายังร่างกายผมมากเป็นเท่าทวี ตอนนี้พระจันทร์ดวงโตได้กลับมาส่องแสงน้อยๆ ของมันแล้ว ผมพยายามเร่งฝีเท้าของตนเองให้เร็วขึ้น พลางกระชับมือที่กอดตัวเองไว้ให้แนบชิดกับตัวยิ่งกว่าเดิม
ต้องวิ่ง...ต้องวิ่งแล้ว...
ผมคิดอย่างมาดมั่น พลางสาวเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม แม้จะเหน็ดเหนื่อยเต็มที แต่กระนั้นความรู้สึกที่ทิ่มแทงมาจากเบื้องหลังก็เป็นแรงผลักดันอย่างดีให้ผมก้าวเท้าเร็วๆ ต่อไปอย่างมุ่งมั่น
จะถึงแล้ว...จะถึงแล้ว
ผมให้กำลังใจตัวเอง พยายามหลับหูหลับตาวิ่งไปให้เร็วที่สุด
“อ๊ะ!”
‘พลั่ก’
“โอ๊ย!”
ผมรู้ได้ทันที ว่าสะดุดอะไรสักอย่างเข้าอย่างจัง
...ก่อนทุกอย่างจะมืดสนิทลง
---