*คำเตือน*
เนื้อเรื่องในตอนนี้มีฉาก Beastiality (สมสู่กับสัตว์) อยู่เล็กน้อยนะคะ ส่วนนั้นจะใส่สีกรมไว้ หากใครรับเนื้อหาไม่ได้สามารถเลื่อนข้ามได้เลยนะคะบทที่ 11 ปริศนาอย่าได้มากมายเกินไป มิเช่นนั้นจะเหนื่อยล้าได้
เมื่อพิศดูให้ดีอีกครั้งกลับพบว่าใบหน้าของเหล่ยเจิ้นยวี่ไม่ได้เหมือนกับข้าเต็มสิบส่วน หากองคาพยพกลับคล้ายคลึงอย่างน้อยแปดเก้าส่วนทีเดียว ส่วนที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือริมฝีปากที่บางเฉียบและผิวขาวจัดราวเนื้อหยก สองส่วนที่ไม่เหมือนข้านั้นกลับไปเหมือนคนคุ้นเคยเสียได้ รูปปากแบบนี้ สีผิวแบบนี้ มิใช่ว่าไป๋เจี๋ยก็มีเหมือนกันหรอกหรือ
หากข้าเยี่ยอู๋จวินมิได้ฝึกวิชานอกรีตสูบพลังหยินหยางใช้กายผู้อื่นแทนเตาหลอม ปีนั้นคงได้หมั้นหมายและเข้าห้องหอบำเพ็ญเพียรร่วมกับแม่นางสกุลใหญ่สักคนไปแล้ว ถ้าแต่งงานมีบุตรชายสักคน อายุก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับเหล่ยเจิ้นยวี่กระมัง
ข้าเหลือบมองลูกศิษย์นอกสำนักของไป๋เจี๋ยครู่หนึ่ง จากนั้นเหลือบมองอาจารย์ของเขาอีกครู่หนึ่ง คนสกุลไป๋แม้จะยังมีใบหน้าเฉยชาแต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววเครียดขึ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำบรรยากาศโดยรอบยังหนาวเย็นขึ้นมากะทันหัน หากจะบอกว่าเขามิรู้สึกอะไรเลยสักนิดก็คงไม่ได้แล้ว
“ที่แท้...” ข้าจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเหล่ยเจิ้นยวี่ด้วยสายตาสำรวจตรวจตรา ยิ่งมองก็ยิ่งพบว่าเจ้าเด็กคนนี้หน้าตานับว่าล่อดอกท้อหญิงชายมากกว่าข้าอยู่ส่วนหนึ่งเลยทีเดียว ต้องปิดบังใบหน้าเช่นนั้นก็สงสารเขาขึ้นมาบ้างแล้ว “ที่แท้ปีนั้นเจ้าก็ให้กำเนิดบุตรออกมาคนหนึ่งนี่เอง”
“เจ้า! ” ริมฝีปากของไป๋เจี๋ยเปิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะกล่าววาจาบางอย่างแต่กลับนึกคำไม่ออก ดวงหน้างดงามคราวนี้เริ่มเห็นสีแดงระเรื่อซึ่งมิรู้ว่ามาจากความโกรธเคืองหรือความเขินอายกันแน่ เห็นท่าทางน่ารักเช่นนี้ข้าจึงอดหยอกล้อเขาเพิ่มอีกสองประโยคไม่ได้
“ปล่อยให้แม่ลูกต้องลำบากมาหลายปี ข้าเยี่ยอู๋จวินถือว่าทำผิดต่อพวกเจ้ามากแล้ว”
นัยน์ตาของเหล่ยเจิ้นยวี่มีประกายบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายใน หากพูดจาชักจูงอีกสองสามประโยคไม่แน่ว่าเขาอาจจะคุกเข่าลงกับพื้นโขกหัวให้ข้าแล้วร้องเรียกว่าบิดา หากแต่ว่าคนแซ่ไป๋ย่อมไม่ปล่อยให้ข้ากระทำการเช่นนั้น แส้หนังที่ถูกม้วนเก็บเข้าไปแล้วฟาดลงที่กลางหลังของข้าทันที ตามด้วยอัสนีสายหนึ่งที่ตามมาด้วยความเร็วไม่ต่างกัน
“ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งฟาดแรงขนาดนั้น” แต่ละครั้งที่คนสกุลไป๋สะบัดแส้ เขาไม่รู้จักยั้งมือเลยสักนิด ต่างจากครั้งก่อนที่คนยังเบามืออยู่บ้าง ข้ารู้สึกคล้ายวิญญาณใกล้แตกสลายเป็นเศษเสี้ยวอยู่ทุกเมื่อ จะโทษใครได้นอกจากโทษตนเองที่ไปล้อเล่นมากเกินไป เรื่องราวในปีนั้นคงมิใช่ความทรงจำที่สวยงามเท่าไรนัก ไม่แปลกอะไรที่เขาไม่อยากจดจำและไม่อยากให้ใครเอ่ยถึง
“ข้าเพียงนึกสงสารเขาเพราะเขาหน้าตาคล้ายเจ้า” เมื่อถูกกระตุ้นมากเข้า ทั้งยังได้ฟาดข้าระบายอารมณ์ คนก็ปริปากพูดความรู้สึกในใจออกมาบ้างแล้ว ครั้นหลุดปากออกมาแล้วจึงคล้ายรู้ตัวขึ้นมา มือที่ขยับฟาดแส้ก็ละลงข้างกาย ดวงตาแดงก่ำใบหน้าย่ำแย่เหมือนกับเด็กน้อยถูกจับได้ว่าทำความผิด ท่าทางน่าเอ็นดูเหมือนอาเจี๋ยที่วิ่งตามไล่ข้าสมัยก่อนอยู่ไม่น้อย
“อาเจี๋ย...” ข้าขยับเข้าไปใกล้คนมากขึ้น ปลายนิ้วแตะกับข้างแก้มไป๋เจี๋ยอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงและรอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยนอย่างถึงที่สุดคล้ายว่าข้ากับเขาย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดสิบเก้าปีก่อน “เจ้ายังชอบข้าอยู่หรือ”
“เกรงว่าผู้อาวุโสแซ่เยี่ยจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว” เสียแต่ว่าคนไม่รู้สึกเคลิบเคลิ้มด้วยเลยสักนิด นอกจากน้ำเสียงห่างเหินราวคนแปลกหน้า อดีตศิษย์ผู้น้องยังปัดมือข้าออกอย่างไม่ไยดี หมดอารมณ์หมดวาจาจะกล่าวแล้ว เขาหันตัวกลับไปสนใจลูกศิษย์ของตน ร่ายคาถาซ่อมแซมเสื้อผ้าที่เสียหายให้พร้อมกับมอบยาลูกกลอนรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้ลูกหนึ่ง ท่าทางอ่อนโยนผิดกับอาการที่แสดงออกกับข้าอย่างสิ้นเชิง ครู่หนึ่งข้าเห็นระลอกคลื่นในดวงตาของเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับข้าอีกครั้ง
เกิดเป็นเหล่ยเจิ้นยวี่ที่มีหน้าตาเหมือนกับปรมาจารย์วังวสันต์ถึงแปดเก้าส่วนก็นับว่าลำบากมากแล้ว แม้จะเยาว์วัยกว่าแต่ผู้คนรอบข้างย่อมเพ่งเล็งเป็นธรรมดา หากข้ามิได้ฝึกวิชาวสันต์เริงร่าและรู้แก่ใจดีว่าที่ผ่านมาการร่วมรักบำเพ็ญเพียรของข้ามิอาจทำให้สตรีนางใดตั้งครรภ์ได้ คงคิดว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรสของตนเองเป็นแน่ มิแปลกใจอันใดหากไป๋เจี๋ยให้เขาปิดบังหน้าตาเอาไว้ แต่เขาหน้าตาเหมือนข้าถึงเพียงนั้น จะบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะหน้าตาอัปลักษณ์นี่มิใช่ใจร้ายกันเกินไปหน่อยหรือ
ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและไป๋เจี๋ยเมื่อปีนั้น นอกจากความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ร่วมสำนัก ยังมีความสำคัญทางใจกันอยู่มากนัก เรียกได้ว่าเขาห่วงใยข้า ข้าห่วงใยเขา ส่วนเรื่องอื่นๆ ...คงมิต้องบอกเล่าให้มากความกระมัง
ด้วยมรรคาการบำเพ็ญเพียรของข้าคงไม่เหมาะสมกับการรั้งใครไว้เคียงคู่ บวกกับคนสกุลไป๋มีนิสัยขี้หึงอยู่ไม่น้อย สุดท้ายเมื่อเขาพบว่าข้าหลับนอนกับศิษย์น้องหญิงจากยอดเขากระบี่ร้อยรบสองคนและศิษย์พี่หญิงจากยอดเขานภาไร้สรรพเสียงอีกสามคน ศิษย์น้องของข้าในยามนั้นก็น้ำตาไหลอาบหน้า พูดเพียงว่า อู๋เกอท่านมันตัวเลวบัดซบ จากนั้นก็มิยอมพูดคุยกับข้าอีกต่อไป
สำหรับข้าแล้วสาเหตุที่ไปเจี๋ยเก็บคนหน้าตาเหมือนข้าไว้ข้างกายให้เป็นลูกศิษย์นอกสำนักนั้น ข้ายังพอเข้าใจได้ หากแต่ที่มาของเหล่ยเจิ้นยวี่ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน หน้าตาคล้ายคลึงไม่พอยังสามารถใช้กระบี่เก่าของข้าได้อีก ดีไม่ดีคนผู้นี้อาจสมควรใช้แซ่เยี่ยเหมือนกับข้า เหมือนกับบรรดาน้องหญิงชายกว่าสิบชีวิตในจวนสกุลเยี่ย มิรู้ว่าเยี่ยหย่งฟานหน้ามืดไปปลุกปล้ำสตรีที่ดีงามผู้ใดจนให้กำเนิดบุตรนอกสมรสขึ้นมาหรือไม่ หากหลุดพ้นจากไป๋เจี๋ยไปได้และเสร็จสิ้นธุระกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ สงสัยว่าจะต้องกลับไปชำระความกับผู้คนเสียหน่อยแล้วกระมัง
เรื่องในอดีตปล่อยให้อยู่ในอดีต เรื่องของอนาคตย่อมต้องจัดการในอนาคต ยามนี้วิญญาณข้าถูกโซ่ตรึงวิญญาณบนนิ้วของไป๋เจี๋ยลากดึงไปตามทาง ทั้งสองมุ่งหน้าเดินทางไปยังทิศใต้ตามกลิ่นอายเบาบางของสัตว์อสูรระดับสูงที่มีใครจงใจวางอุบายเอาไว้ เดินอยู่เป็นชั่วยามจึงพบกับจวนใหญ่หลังหนึ่ง หน้าตาคล้ายคลึงกับจวนของมารราตรีชาดไม่มีผิด มีมารออกอาละวาดลักพาตัวผู้คนในบริเวณใกล้เคียงกันถึงเพียงนี้ แต่เรื่องราวที่ไปถึงโลกผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่ใหญ่โต เหล่าสำนักใหญ่ส่งเพียงคนหนุ่มสาวมาสร้างผลงาน เกรงว่าจะมีลับลมคมในบางอย่างแล้ว
หากไม่มีอาคมพรางตา จวนร้างหลังใหญ่ขนาดนี้ย่อมเป็นที่สังเกตของผู้คนที่ผ่านทาง หากยิ่งก้าวเข้าใกล้ตัวเรือนเท่าใด บรรยากาศยิ่งคล้ายหนักอึ้งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ฝีเท้าฉับไวรวดเร็วของไป๋เจี๋ยและศิษย์ยังเชื่องช้าลงอยู่บ้าง กระทั่งข้าที่มีเพียงร่างวิญญาณยังรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งถ่วงร่างให้ขยับได้ยากลำบากยิ่งนัก
ไป๋เจี๋ยบุกเข้ามาอย่างองอาจมิรู้จักปิดบังตัวตนเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากมารชั้นต่ำที่ทำหน้าที่เฝ้าเวรยามโดนรอบ มารนับสิบกรูเข้ามาล้อมรอบราวกับมดตอมขนมหวาน หากคนสกุลไป๋ย่อมมิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน กระบี่ธารน้ำแข็งถูกชักขึ้นจากฝักก่อนจะโบยบินเป็นอิสระอยู่เบื้องหลังผู้เป็นนายคอยฟาดฟันเอาชีวิตเหล่ามารชั่วมิให้เข้าใกล้คนจนเกินไป เมื่อศัตรูมีมากเข้าคนสกุลไป๋ก็ควักแส้ออกมาสะบัดข้อมือหนึ่งทีเรียกอัสนีลงทัณฑ์มาจัดการให้จบเรื่องจบราว
ที่ผ่านมาคำว่าเบามือมากแล้วเป็นอย่างไร ข้าก็เพิ่งจะรับรู้ในคราวนี้ อัสนีลงทัณฑ์เพียงสายเดียวก็มากเพียงพอแล้วให้มารเหล่านั้นกลายเป็นเพียงลูกกลอนมารกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น ยิ่งอัสนีที่ยืมพลังจากสวรรค์ทรงอานุภาพมากเท่าไร ย่อมหมายความว่าผู้ใช้งานต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น นอกจากฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วงยังต้องมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก สมแล้วที่คนสกุลไป๋ผู้นี้เป็นสุดยอดอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ กระดูกเซียนแน่นหนาตามที่อาจารย์ได้บอกเอาไว้เสียจริง
เรื่องราวการต่อสู้นั้นเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องอธิบายทุกขั้นตอน ข้าจึงขอเล่าอย่างรวบรัดว่าไป๋เจี๋ยและเหล่ยเจิ้นยวี่ลากวิญญาณของข้าเยี่ยอู๋จวินบุกทะลวงฆ่าฟันเหล่าลูกน้องของมารที่น่าจะชื่อทิวาม่วงได้อย่างองอาจยิ่งนัก เรียกได้ว่าเจอใครหน้าไหน หากหันดาบหันอาวุธเข้าใส่ก็ลงท้ายด้วยความตายเสียเถิด มารที่ยังพอมีสมองอยู่บ้างย่อมรู้ว่ามิควรรั้งอยู่อีกต่อไปแล้ว เวลานี้การหนีเอาชีวิตรอดคงจะเหมาะสมที่สุดกระมัง
ครั้นเมื่อบุกเข้าไปจนถึงหน้าประตูเรือนหลักกลับพบค่ายกลแปลกประหลาดค่ายหนึ่ง หากใจร้อนฝ่าเข้าไปอาจได้รับพลังสะท้อนกลับจนบาดเจ็บภายในถึงชีวิตได้ วิธีการผ่านเข้าไปคล้ายว่าต้องคำนวณระยะก้าวเดินแปดแปดหกสิบสี่ก้าวให้ถูกตำแหน่งตามทิศทั้งแปด หากมิเคยพบเจอสิ่งนี้มาก่อนคงจะมิสามารถจัดการได้ถูกวิธี ค่ายกลนี้สำหรับศิษย์จากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ภายใต้การดูแลของเจิ้งปิงฉินย่อมรู้จักเป็นอย่างดี เหตุเพราะอาจารย์หญิงมักใช้ค่ายกลนี้ทั้งทดสอบและลงโทษข้าและไป๋เจี๋ยอยู่หลายครั้ง
สีหน้าของคนสกุลไป๋เครียดขึ้งขึ้นเช่นเดียวกับหัวใจข้าที่หนักอึ้งขึ้นมาทุกที พบเจอเรื่องราวแบบนี้คนย่อมต้องหวาดหวั่นว่าอาจารย์ของตนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่าบรรดามารชั่วที่ลากผู้คนมาสูบพลังหยางเป็นที่สุด หากบุกเข้าไปจนถึงตัวการใหญ่แล้วพบเจิ้งปิงฉิน มิใช่ว่าเรื่องราวจากนั้นจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมเข้าหรอกหรือ
ก้าวพ้นประตูเรือนหลักเข้าไปกลับพบว่าภายในตกแต่งได้งดงามเยี่ยงจวนขุนนางใหญ่ ซ้ำยังมีสาวรับใช้หน้าตาหมดจดสองคนออกมาต้อนรับ หากก่อนหน้ามิได้มีเหตุการณ์นองเลือดและบรรยากาศยามนี้มิได้หนักอึ้งกลิ่นอายบางอย่างอบอวลจนฉุนจมูก คงหลงคิดไปว่ามาเยี่ยมเยียนใต้เท้าท่านใดแล้วกระมัง
“นายท่านรอท่านทั้งสามอยู่แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งย่อกายลงก่อนจะเดินนำไปทางหนึ่งด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย ทั้งร่างของพวกนางสัมผัสไม่ได้ถึงพลังชีวิต ดูแล้วคงมิใช่มารแต่คงเป็นภูตกระดาษ หากเป็นภูตกระดาษชั้นสูงเป็นแน่ ถึงได้มองเห็นการมีอยู่ของข้าได้
ก่อนที่จะก้าวขาเดินตามสาวใช้ภูตกระดาษไป ข้าเหลือบมองไป๋เจี๋ยด้วยความจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง เพียงสายตาที่ส่งไป คนก็สามารถเข้าใจความนัยที่ข้าต้องการสื่อถึงได้ แม้ไป๋เจี๋ยจะมีพลังมีความสูงส่ง แต่เวลานี้สถานการณ์ไม่ปรกติ มิรู้ว่าจะมีเหตุการณ์พลิกผันอันใดเกิดขึ้น ซ้ำเหล่ยเจิ้นยวี่ก็ยังเป็นเพียงผู้ฝึกเซียนรุ่นเยาว์ ความสามารถถึงจะโดดเด่นแต่จะรับมือกับมารชั่วโดยตรงก็ยังยากนัก อย่างไรเสียผีลามกเช่นข้าก็มีพลังวิญญาณทั้งหยินหยางที่ยังพอเป็นกำลังช่วยเหลือเขาได้บ้าง ปล่อยให้ข้าเป็นอิสระจากโซ่ตรึงวิญญาณไม่ดีกว่าหรือ
ไป๋เจี๋ยสะบัดปลายนิ้วครั้งหนึ่งโซ่ตรึงวิญญาณที่รั้งคออยู่ก็ปลิดปลิวออกไป ส่วนสาวใช้ของมารชั่วเดินนำมาจนถึงห้องหนึ่งที่อยู่ใจกลางเรือน จากตำแหน่งแล้วควรจะเป็นห้องนอนประมุขของบ้าน เชิญผู้คนเข้าไปพูดคุยในห้องนอน ไม่รู้ว่าต้องมีรสนิยมอย่างไรกันแน่ แต่คงมิใช่ตัวดีอะไรนัก
ครั้งประตูเปิดออก ข้าก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้วที่หัวหน้าใหญ่ของเหล่ามารไม่ใช่อาจารย์หญิงผู้งดงามของข้า หากแต่ภาพเบื้องหน้าห่างไกลสิ่งที่เรียกว่าดีงาม สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรถือพรหมจรรย์รักษากายใจบริสุทธิ์สมควรเรียกว่าน่าอดสูชวนสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง
เบื้องหน้าคือเหล่าชายหนุ่มนับสิบที่เปลือยกายใช้ร่างพัวพันร่วมสังวาสกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดหน่าย แต่ละคนมีสารรูปผอมแห้งจนเห็นกระดูกซี่โครง สภาพมิต่างอะไรจากศพที่ถูกขุดมาจากสุสาน หยินมากหยางพร่องจวนเจียนจะหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ พลังชีวิตเฮือกสุดท้ายล้วนนำมากอดก่ายปรนเปรอกันและกันอย่างมิกลัวความตาย ศพมีชีวิตเหล่านี้คงมิพ้นถูกยาสั่งมนต์สะกดเข้าแล้ว ยิ่งร่วมรักกันเท่าไรสิ่งเลวทรามที่ใช้ปลุกกำหนัดก็ยิ่งแพร่กระจายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายฉุนจมูกชวนเวียนหัวที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเข้าเรือนมาคงจะเป็นกลิ่นอายกามาราคะจากร่างกว่าสิบเบื้องหน้าเป็นแน่
แม้ข้าจะเคยเห็นภาพผู้คนเปลือยเปล่ามากกว่านี้มาไม่รู้จักกี่เท่า ครั้งที่ตกตายภายใต้บุปผาสามร้อยนางในตำหนักของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ ก็ยังรู้สึกว่าเหล่าบรรดาผีตายซากที่กระทำการหยาบช้ากันพวกนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยนางสนมเหล่านั้นยังมีรูปลักษณ์สวยสดงดงามอยู่บ้าง แต่นี่คล้ายพบเห็นสิ่งชวนสยองขวัญเข้าแล้ว
สีหน้าของผู้ดีงามจากสกุลไป๋ทั้งสองคงมิต้องอธิบายกระมังว่าย่ำแย่เพียงใด ยิ่งไล่สายตาไปถึงกลางห้องบนแท่นหินหยกขนาดใหญ่คล้ายไว้ประกอบพิธีกรรมก็รู้สึกสังเวชใจยิ่งกว่าเดิม มิรู้ว่าเป็นเคราะห์กรรมตั้งแต่ชาติภพไหนของศิษย์แส่เส้าจึงได้พบเจอกับเรื่องราวน่าอัปยศอย่างต่อเนื่องกันเช่นนี้
ศิษย์จากยอดเขาอสูรคำรามบัดนี้ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นติดกาย ร่างกายเปลือยเปล่าอยู่ตรงกลางอยู่ระหว่างกลางบุรุษผู้หนึ่งและเดรัจฉานตัวหนึ่ง สะโพกขาวถูกยกขึ้นสูงให้พยัคฆ์ขาวลายพาดกลอนตัวหนึ่งขยับลำลึงค์หน้าตาประหลาดครูดไถไปตามช่องทางรัก ลำตัวท่อนบนกดลงต่ำจนเกือบติดพื้นเตียง ขณะที่ริมฝีปากครอบครองเครื่องเพศของชายอีกคน ซ้ำยังดูดดุนปรนเปรอด้วยความหลงใหลเสียจนแก้มตอบคนผู้นี้มิหลงเหลือสติรับรู้อันใดอีกต่อไป มีเพียงร้องครวญครางแผ่วเบาด้วยความสุขสมคล้ายว่ามิต้องการสิ่งใดแล้วนอกจากรสรักอันแสนพิกลนี้ เพลิดเพลินไปกับการถูกปฏิบัติอย่างไม่ต่างอะไรจากของเล่นชิ้นหนึ่ง อาการหนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าคราวมารราตรีชาดเสียอีก หากมีสติฟื้นมาได้คราวนี้ คนสกุลเส้าจะทนรับความอัปยศได้หรือ
“มิได้ออกไปต้อนรับท่านเซียนทั้งหลายด้วยตนเอง ข้ามารทิวาม่วงถือว่าเสียมารยาทแล้ว” บุรุษร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาที่อยู่บนเตียงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหลือบตาขึ้นมองมายังพวกข้าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเรียบง่าย ท่าทางเหมือนเจ้าบ้านผู้แสนดีขัดกับบรรยากาศรอบข้างและคนแซ่เส้าที่ยังใช้ริมฝีปากทำรักให้เขาไม่หยุด
ไป๋เจี๋ยมิได้กล่าววาจาตอบโต้ใดกลับ นอกเสียงจากหยัดยิ้มมุมปากคล้ายเย้ยหยันเย็นชาดียิ่ง นัยน์ตาคู่สีดำสนิทเป็นประกายวาววาบเช่นเดียวกับคมกระบี่ธารน้ำแข็งที่เปล่งแสงคล้ายกระหายเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว
“นับถือปรมาจารย์เยี่ยอู๋จวินยิ่งนัก แม้ตายเป็นผียังสามารถกำจัดน้องชายของข้าได้อย่างหมดจดเรียบร้อย กระทั่งดวงจิตให้ไปเกิดใหม่ยังไม่มีเหลือ” นัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตเหลือบมองมาทางข้า “คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะต้องสืบความมาถึงที่นี่จนได้ ระหว่างรอข้าจึงขอเล่นสนุกกับศิษย์ทั้งสองจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เสียหน่อย หวังว่าจะไม่ถือโทษโกรธกันนัก”
สาเหตุนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพราะข้าเห็นคนแซ่หานแล้วหวนถึงวันคืนเก่าๆ ขึ้นมาจึงได้ติดตามเขาอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องราวทั้งหมดใช่ว่าข้าจะจงใจสืบเสาะหาที่มาเสียเมื่อไร มีแต่วาสนาและโชคชะตาเท่านั้นที่นำพามาถึงที่นี่
ข้าเหลือบมองไปทางข้างเตียงเห็นหานเฉิงรุ่ยถูกเชือกกักเซียนมัดติดกับเก้าอี้คนงามตัวหนึ่ง สองตาปิดแน่นคล้ายไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอันใดทั้งสิ้น หากแต่ข้างขมับตามไรผมกลับผุดด้วยเม็ดเหงื่อมากมาย ก้มมองดูเบื้องล่างก็พบว่าส่วนกลางร่างกายแข็งขืนขึ้นมาแล้ว ด้วยความสามารถของเขาคงมิสามารถต้านทานกลิ่นปลุกกำหนัดรุนแรงเช่นนี้ได้
“อาจารย์ปู่...ผู้อาวุโส” คนแซ่หานเอ่ยวาจาได้เพียงเท่านั้นก็กระอักเลือดออกมาคล้ายว่าเกินจะฝืนทนเข้าแล้ว หานเฉิงรุ่ยทนไม่ได้ แล้วเหล่ยเจิ้นยวี่จะทนได้หรือ ไป๋เจี๋ยมัวแต่จับจ้องมารทิวาม่วงปลดปล่อยจิตสังหารจึงไม่ทันได้สนใจบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง เพียงชั่วพริบตาเหล่ยเจิ้นยวี่ขยับเข้ามาจนแนบชิดใกล้ สองแขนโอบรัดร่างที่เล็กกว่าของผู้เป็นอาจารย์อย่างแนบแน่น ปลายจมูกโด่งกดลงซุกไซร้กับคอเสื้อของคนสกุลไป๋เสียแล้ว
มารทิวาม่วงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ท่าทางสมใจยิ่งนักที่เห็นลูกศิษย์นอกสำนักของคนสกุลไป๋กระทำการอาจหาญกับอาจารย์ตนเอง มนต์สะกดปลุกราคะของมันมิใช่ว่ายิ่งพัวกันกันเท่าใดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นหรอกหรือ แผนการเช่นนี้นับว่าต่ำช้าอยู่ไม่น้อย นอกจากข้าที่เป็นผีวิญญาณแล้ว ต่อให้ไป๋เจี๋ยมีจิตแกร่งกล้าเพียงใดก็ยากจะควบคุมตนเองได้แล้ว
“เสี่ยวเจิ้น! ” ไป๋เจี๋ยร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความไม่ยินยอมที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง เสียแต่ว่าเสี่ยวเจิ้นยามนี้จะมีสติรับรู้อะไรได้อีก คนเชยคางอาจารย์ของตนขึ้นก่อนจะใช้มือบีบสันกรามโดยแรงคล้ายบังคับให้คนสกุลเจี๋ยเปิดปากออก หากข้าย่อมมิอาจปล่อยให้เหล่ยเจิ้นยวี่กระทำการตามแผนของมารทิวาม่วงได้เป็นแน่ ถึงการใช้ร่างโดยปราศจากการเห็นชอบจากเจ้าตัวจะมิเป็นการดีเท่าไร แต่ข้าก็ขยับมายืมใช้ร่างของเขาเสียแล้ว ปล่อยให้จิตวิญญาณของเด็กหนุ่มที่แอบหลงรักอาจารย์ของตนเองหลับลึกอยู่ในห้วงฝันแทน
ริมฝีปากที่ประกบเข้าหากลีบปากบางของไป๋เจี๋ยจึงมิใช่สติรับรู้ของเหล่ยเจิ้นยวี่อีกต่อไป หากเป็นข้าที่บดเบียดจูบเข้าไปเสียจนแนบชิด ขบเม้มริมฝีปากของผู้คนเสียจนเกือบช้ำ ซ้ำยังสอดแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากร้อน กวาดกระหวัดรสหวานที่มิได้สัมผัสมาสิบแปดปี คนสกุลไป๋ที่โดนมนต์ปลุกราคะอยู่บ้างย่อมมิได้ปฏิเสธการรุกล้ำแต่อย่างใด กลับรั้งลำคอของข้าลงมาและขยับลิ้นตอบโต้กลับราวกระหายในรสรักของข้าเป็นอย่างยิ่ง
น่าแปลกที่หัวใจของข้าในยามนี้กลับเจ็บแปลบจนชาหนึบไปหมด แม้เรียวลิ้นจะขยับเกี่ยวพันหยอกล้อกับคนเบื้องหน้า หากความจริงแล้วข้าได้ลอบถ่ายทอดพลังหยางสายหนึ่งเข้าไปกดมนต์ปลุกกำหนัดของมารทิวาม่วง เพียงครู่หนึ่งไป๋เจี๋ยก็ได้สติขึ้นมา ผลตอบแทนที่ข้าได้รับคือฟันคมที่กัดลงมาบนลิ้นเสียจนเลือดซิบ ข้าต้องรีบถอนจูบออกก่อนที่ลิ้นของเหล่ยเจิ้นยวี่จะไม่ได้อยู่ที่เดิมของมันอีกต่อไป
“เหิมเกริมเช่นนี้...อย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย” ไป๋เจี๋ยใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดมุมปากลวกๆ ก่อนจะสะบัดแส้ในมือฟาดเข้ากับร่างของมารทิวาม่วง มารชั่วผลักร่างของคนแซ่เส้าออกไปด้านหนึ่ง ปล่อยให้พยัคฆ์ขาวย่ำยีเรือนร่างที่ตกอยู่ในห้วงดำฤษณาต่อไป มือข้างหนึ่งดึงรั้งแส้หนังเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างถือดาบเหล็กขนาดใหญ่ที่มีหนามพิษปรากฏอยู่โดยทั่ว
ลำแสงจากกระบี่ธารน้ำแข็งปะทะเข้ากับพลังของมารทิวาม่วงอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนข้ามิอาจเรียกว่ายืนหายใจอยู่เฉยๆ ได้ เนื่องจากร่างผีตายซากนับสิบจากที่เสพสังวาสกันอยู่กลับกรูกันเข้ามาหาข้าคล้ายมองเห็นขนมหวานชิ้นหนึ่ง คนเหล่านี้เกรงว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของมารทิวาม่วงเข้าแล้ว ข้าชักกระบี่พันหมื่นแสงดาราออกจากฝัก สัมผัสได้ถึงความยินดีของมันที่ได้พบเจอกับเจ้าของที่แท้จริงอีกครั้ง หากแต่ไม่ได้มีเวลาชื่นชมอะไรนานนัก เพราะต้องตั้งจิตมิให้กระบี่ฟาดฟันเหล่าร่างผอมแห้งพวกนั้นจนถึงแก่ชีวิต
สายฟ้ารุนแรงสายหนึ่งผ่าลงมาจากเบื้องบนทำลายแม้กระทั่งอาคมของมารทิวาม่วงจนไม่เหลือซาก ด้วยพลังรุนแรงเช่นนี้ข้าย่อมคิดว่ามารสารเลวคงสิ้นชื่อก็คงจะคราวนี้ หากแต่เมื่ออัสนีและควันรอบข้างสูญสลายไป เงาร่างสูงใหญ่ของมันยังคงอยู่ที่เดิม
“อัสนีลงทัณฑ์” มารทิวาม่วงกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แต่ท่าทางยังสมบูรณ์พร้อมดีมิได้ดับสูญเหมือนกับมารตนอื่นๆ ที่พบเจออัสนีลงทัณฑ์เข้าไป “สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสสกุลไป๋แห่งยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์”
กล่าวเพียงจบประโยคอัสนีอีกสายก็ผ่าฟาดเข้าที่กลางร่างของมารทิวาม่วงอีกครั้ง คราวนี้มิใช่อัสนีลงทัณฑ์เช่นเคยหากแต่เป็นอัสนีชำระล้างอันเป็นอัสนีสายที่ทรงพลังที่สุด วิชาที่ส่งมอบให้เฉพาะผู้สืบทอดยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์นั้นมีความลับซุกซ่อนเอาไว้อยู่ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เก่งกาจเพียงใดก็ยืมเรียกอัสนีสวรรค์ได้วันหนึ่งไม่เกินเจ็ดสาย หากเกินกว่านั้นจะเป็นการฝืนกฎสวรรค์พลังอาจย้อนเข้าทำร้ายตนเองได้ เพียงวันนี้วันเดียวไป๋เจี๋ยก็ใช้สายฟ้าฟาดข้ามาถึงสามสี่ครั้งแล้ว จะกำจัดมารทิวาม่วงจึงต้องใช้สายฟ้าที่แรงที่สุดให้จบสิ้นภายในครั้งเดียว ซ้ำยังต้องรีบทำตอนที่มันยังไม่ได้ตั้งตัว
ร่างของมารทิวาม่วงแม้แข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเจออัสนีชำระล้างเข้าไปย่อมมิสามารถฝืนทนได้อีก บนพื้นเตียงปรากฏเพียงลูกกลอนมารสีม่วงใสลูกหนึ่ง ส่วนดวงจิตมิรู้ว่าเข้าสู่วัฏสงสารแล้วหรือว่าสิ้นสลายไปพร้อมกับอัสนีชำระล้าง การตายอย่างง่ายดายของมันทำให้ข้ารู้สึกเสียดายพลังหยางที่สูญสลายไปอยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่ว่ามนต์สะกดชั่วช้าทั้งหลายได้สูญสิ้นไปแล้ว
“ข้ามิเชื่อหรอกว่าเรื่องราวจะจบง่ายดายเพียงนี้” ไป๋เจี๋ยเก็บลูกกลอนมารขึ้นมาถือในมือก่อนจะกำหมัดออกแรงบีบให้ลูกแก้วสีม่วงแหลกสลายจนเหลือเพียงฝุ่นผง ข้าเหลือบมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้ร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่เข้าไปแกะเชือกกักเซียนที่มัดร่างของหานเฉิงรุ่ยที่มีใบหน้าซีดเซียวดูไม่ได้ จากนั้นจึงดึงร่างของคนแซ่เส้าที่สลบไสลไม่ได้สติออกจากสัตว์อสูรตัวนั้น หาเสื้อผ้าใส่ให้เรียบร้อยและประคองเขาขึ้นมา
เห็นท่าทางโกรธขึ้งเย็นชาของคนสกุลไป๋ ข้าก็รู้ว่าคนอย่างเขาย่อมต้องหาหนทางสืบความชำระเรื่องราวอย่างไม่จบสิ้น จากเหนือจรดใต้ตะวันตกจรดตะวันออกเขาจะออกตามล่ามารชั่วจนกว่าจะพบตัวตนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ เรื่องราวที่ค้างคาใจว่าเหตุใดค่ายกลนั้นจึงเหมือนกับค่ายกลของอาจารย์หญิงจะต้องกระจ่างแจ้ง นิสัยผูกใจฝังแค้นคล้ายว่าคนมีมาตั้งแต่เด็กแล้วกระมัง
เห็นทีว่าจะไม่ได้ความ ผูกติดกับศิษย์อาจารย์คู่นี้ต่อไปเห็นทีว่าหนทางการเป็นอ๋องผีของข้าคงไม่คืบหน้า อนาคตคงไม่สดใส ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือต่อให้วิญญาณจะต้องแหลกสลายอย่างไร ข้าเยี่ยอู๋จวินเห็นที่ก็ต้องหาหนทางสละไป๋เจี๋ยออกไปให้จงได้
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ใกล้หมดสต็อกแล้วค่าาา