CHAPTER
22
เหมือนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความฝัน หมอกสีขาวลอยเรี่ยพื้นไปทั่ว เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้มรุตเหลียวไปมองก่อนจะงุนงงเมื่อสตรีวัยกลางคนหันมาหาและยื่นหม้อดินเผาใบน้อยให้ตรงหน้า ภาพตรงหน้าทำให้ชะงักกึกเพราะยามนี้มรุตยืนอยู่ใต้ถุนเรือนไม้โบราณแห่งหนึ่ง ด้านหนึ่งไม่ไกลนักเป็นลำน้ำไหลริน ผู้คนมากมายและกลิ่นควันจากเตาดินเผาที่กำลังสูบลมด้านหนึ่งทำให้เจ้าตัวเผลอมองอย่างตื่นตาตื่นใจ
“อ้ายอินทร์...เหม่ออันใดเล่า ข้าฝากยาบำรุงหม้อนี้ไปให้แม่หญิงนากด้วยได้ฤาไม่”
กลิ่นยาต้มนั้นไม่น่าพิสมัยจริง ๆ เขาทำหน้าแหยก่อนจะเงยหน้ามองสตรีวัยกลางคนตรงหน้า
“เอ่อ...คือ”
“ยกไปเถิด ไปกับอ้ายเชิดก็ได้ ถึงนางจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่นางก็มิได้มีนิสัยเลวร้ายอันใด”
ประโยคนั้นทำให้เขางุนงงไปครู่หนึ่ง
ใครคือ...แม่หญิงนาก...แล้วเขา...อ้ายอินทร์ ?
ผู้ชายอีกคนรูปร่างล่ำสันผิวสองสี ท่าทีแย้มยิ้มร่าเริงเดินตรงมาหาเขา ก่อนที่ภาพจะตัดมาที่เรือนไม้ขนาดใหญ่โตมโหฬารตรงหน้า เรือนใหญ่ขนาดนี้ดูท่าว่าคงเป็นของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นแน่ แต่ก็คล้ายกับว่ากำลังเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ผู้คนบนเรือนวิ่งกันให้วุ่นวาย เสียงกราดเกรี้ยวตวาดอึงดังขึ้นเป็นระยะทำให้เขาต้องนิ่วหน้าทันควัน
ในความฝันนั้น เขากำลังเดินประคองยาหม้อของแม่คำหล้าพลางยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงบันไดเรือน บ่าวคนหนึ่งวิ่งลงมาชะงักเมื่อเห็นเขายืนอยู่
“ข้า..เอายาบำรุงมาให้แม่หญิงนาก...” มรุตเอ่ยอย่างตะกุกตะกักคล้ายไม่แน่ใจนัก
“เดี๋ยวข้าไปเรียนแม่นมก่อน รอสักประเดี๋ยวนาพ่อ...”
และไม่รอคำตอบ บ่าวนั้นรีบปราดขึ้นไปบนเรือนอีกครา เสียงสนทนาที่ลอดมาจากห้องด้านบน ทำให้มรุตขมวดคิ้วงุนงง
“...แม่หญิง...เขาไม่รักเราเสียแล้ว อย่าทรมานตนเองเยี่ยงนี้อีกเลย” เสียงสตรีคนหนึ่งดูคล้ายจะมีอายุดังขึ้น
“...หากก่อนหน้านั้น อาจไม่สนใจได้ แต่เมื่อลึกซึ้งเยี่ยงนี้..จะให้ข้าตัดใจได้เยี่ยงไร !”
เสียงตวาดของแม่หญิงที่ชื่อนากทำให้มรุตนิ่งงัน ก่อนจะตัดสินใจวางหม้อยาบำรุงไว้บนแคร่ แล้วหมุนตัวออกมา...
................................................................
เหมือนโทรทัศน์ที่ตัดสลับรวดเร็ว เวลากลางวันผันเปลี่ยนเป็นยามราตรี เสียงสนทนาและเอ็ดอึงกันเบา ๆ ริมศาลาท่าน้ำ ทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะย่องไปฟัง เงาดำตะคุ่มสองร่างที่อยู่ท่าน้ำคล้ายโต้เถียงรุนแรง ความสงสัยทำให้มรุตก้าวเข้าไปใกล้จนได้ยินบทสนทนาบางส่วนที่ให้เลือดในกายแข็งตัวในบัดดล
“จักให้ข้าทำเยี่ยงไร ข้าไม่อาจรอได้อีก” สตรีผู้หนึ่งกึ่งจะร่ำไห้พร้อมกับเสียงสั่นพร่า
“อย่าบีบบังคับข้าแม่หญิง! อย่าให้ข้าต้องรับในสิ่งที่ข้าไม่ได้ทำ!”
เสียงนั่น...คุ้นเคยนัก...อ้าย...อ้ายสีหราช ?
“ท่าน ! ท่านช่างกล้า! ข้าไม่คิดเลยว่าคนอย่างท่านจะทำตัวเยี่ยงนี้ เสียดายนักมิคาดว่า บุตรบุญธรรมของเจ้าจอมมารดาพิมจะเป็นคนเยี่ยงนี้ อย่าคิดว่าท่านจะรอดไปได้!”
เสียงกราดเกรี้ยวของสตรีผู้นั้นดังขึ้นก่อนจะหายไปในความมืดตรงหน้า มรุตยืนแข็งเป็นหินก่อนจะเผลอซวนกายไปชนกับโคนไม้ใกล้ ๆ
“ออกมาเถิด อ้ายอินทร์ เจ้าได้ยินหมดแล้วใช่ฤาไม่” เสียงเปรยแผ่วเบาดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมา
น้ำเสียง...และใบหน้าที่คุ้นตา...อ้ายสีหราช !
ยมทูตหนุ่มในวัยฉกรรจ์ อยู่ในชุดแต่งกายโบราณยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเขา สายตาที่มองมา...อ่อนหวานระคนหม่นเศร้า
เหตุใด...หัวใจถึงเต้นรัวนัก...เพียงแค่สายตาอ่อนหวานของคนตรงหน้า...
แต่ก่อนจะทำสิ่งใด สีหราชก็ก้าวยาว ๆ ปราดมาคว้าท่อนแขนไว้ก่อนดึงมากอดแนบอก
“ต่อให้ใครไม่เชื่อข้า ข้าไม่สนใจ ขอเพียงแค่เจ้า...เจ้าเชื่อข้าฤาไม่...ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับนาง”
เสียงนั้นคล้ายอู้อี้เมื่อเจ้าตัวกดแนบริมฝีปากกับเรือนผมของเขา กลิ่นเครื่องหอมไทยบนเสื้อและกลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของอ้ายสีหราชอวลอยู่รอบกาย แต่เขาได้แต่อึ้งตะลึงอย่างนั้น
“เอ่อ..ข้า...ข้าไม่รู้...”
จะให้ตอบสิ่งใดได้...เมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือความฝันหรือสิ่งใด
ท่าทางลังเลไม่แน่ใจทำให้คนตรงหน้าเหมือนจะน้อยใจ สีหราชก้มลงจับบ่าทั้งสองข้างไว้แน่นแล้วก้มหน้ามองนิ่ง ๆ
สายตาหวาน...มองตรงมาไม่หลบหลีกใด ๆ สายตาที่ทำให้จู่ ๆ ก็แก้มร้อนขึ้นมาเสียเฉย ๆ
“หากข้ารัก...คือรักมั่นไม่ผันแปร หากข้าไม่รัก...ต่อให้ฟ้าถล่มตรงหน้า ข้าก็ไม่มีวันเหลือบแล...ไม่เข้าใจฤา”
ต้นแขนเขาถูกคนตรงหน้าเกาะกุมจนอุ่นร้อน...และกำลังอุ่นกรุ่นไปถึงหัวใจ...
“ที่สำคัญ...ข้าจะไปทำเรื่องอย่างนั้นกับผู้อื่นได้เยี่ยงไร...เมื่อเจ้าอยู่ในหัวใจข้าตลอดมา”
สิ้นประโยคนั้น มรุตก็เงยหน้ามองคนพูดอย่างตื่นตะลึง
...วะ...ว่าอย่างไรนะ ! ….
สีหราชก้มมองอย่างแน่วแน่แล้วยกยิ้มจาง ๆ มืออุ่นเลื่อนมาปัดปอยผมคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“เมืองอินทร์...คือเจ้า...เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ข้ารัก...ตลอดมา และจะตลอดไป...”
.........................................................................................
ประโยคนั้นทำให้หัวใจกระตุกวูบไหวทันที
...เหลว...ใจข้า...เหลวไปหมดเมื่อเห็นดวงตาร้อนระอุคู่นี้...
มือแข็งแรงคว้าจับข้อมือมันไว้ก่อนจะยกเชยขึ้นแล้วกดจุมพิตที่ข้อมือก่อนจะขบเม้มเบา ๆ ไล่ขึ้นมาจนถึงท่อนแขน ลมหายใจร้อนผะผ่าวไล่ความหนาวของยามราตรีไปทันที ดวงตาคมเงยขึ้นมองก่อนจะยกยิ้มแล้วดึงคนที่ตกตะลึงไปกอดแน่นแนบอก
“อะ...อย่า...อ้ายสีห์”
เหมือนจะพูดได้เพียงแค่นั้น เมื่อมือหนารัดเอวเขาไว้แน่นก่อนจะตรึงวงหน้าด้วยมืออีกข้าง เพลิงร้อนจุดขึ้นกลางดวงตาคมคร้าม ทุกอย่างเริ่มต้นรวดเร็วจนมรุตตื่นตะลึง คนตรงหน้ากลายเป็นพายุร้อนแรงที่พร้อมพัดทำลายทุกอย่างตามอารมณ์ กลีบปากเขาถูกคนตรงหน้ารุกรานและกัดขบเม้มเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว ปลายลิ้นรุกรานจนเบลอสับสน ทุกอย่างในสมองขาวโพลน รู้สึกเพียงความนุ่มร้อนระอุที่แนบชิด เจ้าตัวถอนจูบออกก่อนจะจ้องตาแน่วแน่แล้วก้มลงจูบซ้ำอีกครั้ง
อาการบอกชัด...ตั้งใจในทุกสัมผัส ทุกรายละเอียดของจูบ...จนเขาหายใจแทบไม่ทัน
ไม่มีส่วนใดบนใบหน้าที่รอดพ้นไปจากจุมพิตคนใจร้อน จมูกโด่งไซ้ไล้ต่ำไปตามผิวกายที่หอมกลิ่นกระแจะจันทร์ เสียงร่างสูงที่รุกรานสั่นพร่างึมงำก่อนจะไล้จูบจากปลายขมับลงสู่ซอกคอขาว ๆ เขาได้แต่หรี่ตาปรือปรอยไปกับสัมผัสที่ร้อนแรงระคนหวานละมุน
“มองข้าด้วยสายตาหวานเยี่ยงนี้...อันตรายนะ เมืองอินทร์” เสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหู ทำให้รู้สึกร้อนผ่าว
เดี๋ยวก่อน...เมื่อครู่นี้ เขามองอ้ายสีหราชแบบใดกัน ?
บางสิ่งกลางอกไม่ได้ขัดขืนร่างตรงหน้า แต่กลับคล้ายว่าสุขล้น และพร้อมยินยอมวางลมหายใจไว้ในมือของบุรุษตรงหน้า
ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงเรื่อ เสียงหอบเบา ๆ เมื่อหายใจไม่ทัน จนต้องทุบประท้วงคนตรงหน้าเบา ๆ ร่างกายสีหราชยามนี้ร้อนรุ่มและปลุกเร้าอย่างประหลาด อารมณ์ถูกปลุกให้ลุกฮือโหมกระหน่ำราวไฟป่า ไหล่กว้างโอบกระชับตัวเขาไว้แนบกาย เขาหน้าแดงก่ำเมื่อรู้สึกว่าบางส่วนด้านล่างของคนตรงหน้าแข็งขึงราวกับลูกธนูที่พร้อมจะดีดออกจากเกาทัณฑ์
ตายแน่...จูบแบบนี้ หายใจไม่ทัน!
“อย่าเมินข้า...อ้ายอินทร์...” เสียงงึมงำแหบพร่ากระซิบที่ข้างหู
“ข้าทนไม่ได้เมื่อเจ้าเมิน ข้าปวดร้าวเมื่อเจ้าห่างหาย ข้ายิ้มได้เพียงเห็นรอยยิ้มของเจ้า”
เสียงนั้นราวละเมอจากส่วนลึกของหัวใจ ก่อนที่จะบรรจงจูบแผ่วเบาที่หน้าผากเขาอย่างถนอม
“หากทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หัวใจบอกข้า ข้าก็มั่นใจว่ามันคือรัก...”
“บอกข้าบ้าง...หากเจ้ารู้สึกไม่ต่างกัน...” สีหราชเอ่ยแผ่วเบาก่อนจะมองตาคนในอ้อมกอด
แม้จะเป็นสุข...แต่กลับปวดร้าวเจียนตาย....เหมือนว่าใจกำลังสลาย...
แล้วเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลยเมื่อในฝันนั้น เป็นเขาเองที่ฝืนผลักร่างสูงให้ออกห่าง ก่อนจะทรุดกายอย่างหมดเรี่ยวแรงบนพื้น
หยดน้ำตาพรู...กบตา
“ไม่...ไม่ได้...ทำเยี่ยงนี้...ไม่ได้..” เสียงกระท่อนกระแท่นของเมืองอินทร์ดังขึ้น เจ้าตัวเม้มปากอย่างอัดอั้นใจ
สีหราชเอื้อมมือหวังจะดึงร่างที่ทรุดอยู่ขึ้นมา แต่เป็นเขาที่ปัดมือที่เอื้อมมาทันควัน..
“ท่านและข้ากำลังสับสน...อ้ายสีห์...ความรู้สึกนี้เป็นจริงไม่ได้...”
หลากหลายความรู้สึกและความคิดที่ประดังกันขึ้นมากลางหัว เป็นความรู้สึกที่ปวดร้าวยากจะข่มใจ
...อ้ายสีหราช...น้องบุญธรรมผู้ที่จะก้าวเป็นเจ้าเหนือชีวิตคนต่อไป...จะมาผิดจารีตแลรักกับบุรุษมิได้...
...มีเพียงเขาที่รำพันในหัวตัวเองซ้ำไปซ้ำมา...
...ได้โปรดเถิดอ้ายสีห์... หากไม่คิดถึงตน โปรดคิดถึงสำนักดาบแลพ่อสิน...เกียรติวงศ์ตระกูลทั้งหลายจะมลายสิ้น...
หากยอมให้อารมณ์ความปรารถนาอยู่เหนือศักดิ์ศรีของตระกูลของพ่อสิน เขาจักไม่เป็นคนอกตัญญูดอกหรือ
คนรักประเภทใดกัน...ที่เอาเกียรติของคนที่ตนรักและชาติตระกูลมาทำลายทิ้ง...
หากต้องมีสิ่งใดที่ย่อยยับ...ขอให้เป็นหัวใจเขาเพียงผู้เดียวเถิด...
“.อ้ายสีห์...ท่านเป็นดั่งพี่ชายข้า...ข้าเห็นท่านเป็นดั่งพี่ชาย...”
ประโยคนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงมาระหว่างคนทั้งสอง
นานกว่าที่คนทั้งคู่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา แล้วเสียงสีหราชดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“มองตาข้าได้ไหมอ้ายอินทร์...หากเจ้าไม่รักก็จงมองตาข้าแล้วเอ่ยออกมา..”
มีเพียงเสียงสะอื้น...เบาจากร่างที่อยู่ตรงนั้น ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นกลางความเงียบ
“...ข้าไม่เคยรักท่าน...ข้าเห็นท่านเป็นเพียง...พี่ชาย อ้ายสีห์” น้ำเสียงคนพูดสั่นเครือ
มือหนาที่ประคองอยู่นั้นคล้ายตกลงข้างกายอย่างหมดเรี่ยวแรง...ร่างสูงของสีหราชนิ่งงันก่อนจะหันหลังช้า ๆ แล้วถอยออกมา ประโยคสุดท้ายดังขึ้นแผ่วเบา
“เจ้าจักโกหกผู้ใด ก็ทำไปเถิด...แต่มีผู้เดียวที่เจ้าโกหกไม่ได้...อ้ายอินทร์...คือ หัวใจเจ้าเอง...”
“ไม่ใช่เพียงเจ้าที่จักเจ็บปวด...แต่เป็นข้าที่เจียนตายกับเจ้าด้วย...”
ร่างนั้นยืนนิ่งก้มหน้ามองผืนน้ำยามราตรี แล้วหันมองร่างตรงหน้าอีกครั้ง
“เอาเถิด...หากเจ้าปรารถนาเช่นนั้นจริง...ข้าจักไม่มายุ่งกับเจ้าอีกเลย อ้ายอินทร์...”
เสียงนั้นแหบโหย...ราวกับเจ้าตัวพยายามเค้นเสียงที่ไม่เหลืออยู่ออกมา
“ข้าจะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก แม้ว่ามันจักทำให้ข้าเจ็บเจียนตายก็ตาม...”
......................................................
ในฝัน...ความรู้สึกของคนที่ชื่อ “อ้ายอินทร์” ปะปนสับสนไปหมด ความปวดร้าวกลางอกเมื่อครู่ยังไม่ทันหาย ภาพก็ตัดสลับมาอีกครั้ง เขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าชายสูงวัยบุคลิกน่าเกรงขามผู้หนึ่ง แววตาอารีที่มองมาที่เขา บอกถึงความผูกพันและเอ็นดูห่วงใย และเหมือนเจ้าตัวจะเสียใจกับคำพูดของเขาไม่น้อย
“ข้าจักหาเงินที่พ่อปู่อินทร์แขวนยืมไปจากท่านพ่อครู...ข้าจักหาเงินมาไถ่ตัวข้าเอง !”
“อ้ายอินทร์เอ๋ย....เหตุใดจึงคิดจะไปจากเรือนนี้เล่า ที่นี่มิใช่บ้านของเจ้าแล้วดอกหรือ....” ชายสูงวัยตรงหน้า “พ่อครูสิน” ถามเบา ๆ แต่เขาได้แต่ก้มหน้างุดมองพื้นเรือนอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกทั้งสุขและเศร้าคละเคล้ากันไป เนิ่นนานกว่าจะยอมพูด
“ข้า...มิอาจทำให้ที่นี่แปดเปื้อน...”
ประโยคที่เขาเอ่ยขึ้นนั้นทำให้ชายสูงวัยชะงักค้างไปครู่หนึ่ง แววตาทอแสงอ่อน
“ข้าจักเป็นไท แล้วไปตั้งตัวสักแห่งที่ไกล ๆ ขอพ่อสินโปรดให้อิสระข้าด้วยเถิด...”
สิ้นประโยคนั้นทำให้ “พ่อครูสิน” ตรงหน้าน้ำตารื้นก่อนจะรั้งตัวเขาเข้ามากอดเบา ๆ
...แปดเปื้อน...คำเดียว พ่อครูคงกระจ่างแจ้งแก่ใจ..ว่าหมายถึงสิ่งใด...
เพราะรัก...จึงมิอาจสร้างทำลายชื่อเสียงผู้ที่ตนรัก...
“อ้ายอินทร์...ข้าเห็นเจ้าเป็นดังลูก...ไม่เคยคิดเป็นอื่น เรื่องเงินทองสินไถ่นั้น ข้ายกให้เจ้า...เมืองอินทร์”
“มิได้ ! พ่อสินเลี้ยงข้ามาอย่างดี ไม่เคยปล่อยให้อดอยากหรือเจ็บไข้ เท่านี้ก็บุญคุณเหลือล้น หากพ่อเมตตาข้า ขออย่าบอกเรื่องนี้กับผู้ใด...ทั้งสิ้น”
...ไม่ต้องเอ่ยว่า ผู้ใด...ที่ว่าหมายถึงใคร เพียงมองตาก็รู้แจ้ง...
“อย่าเพิ่งไปเลยอ้ายอินทร์เอ๋ย เมื่อย่ำรุ่งอ้ายสีห์ก็เพิ่งออกเดินทางไปหัวเมืองเหนือ จงรั้งรอให้มันกลับมาก่อนเถิด จะได้กล่าวคำลา...”
‘อ้ายอินทร์’ หรือมรุตนิ่งเงียบ แต่ในใจรู้ดีว่า...
หากเห็นหน้าแล้ว...คงมิอาจตัดใจลา
...........................................................
“อ้ายอินทร์...ข้าไม่สบายใจเลย เหตุใดเจ้าจะทำอะไรเยี่ยงนี้”
เสียงของบุรุษผิวสองสีคนเดิมดังขึ้น ‘อ้ายเชิด’ ก้าวพรวด ๆ เข้ามาในเรือนพักเมื่อตะวันใกล้จะพลบด้วยท่าทีกระสับกระส่าย ทำให้เขาหันมามองก่อนจะถอนหายใจช้า ๆ
“ข้าอยากเป็นไทเสียที อ้ายเชิด เอ็งไม่ได้อยากเป็นไทดอกหรือ”
เมืองอินทร์รวบรวมข้าวของส่วนตัวไว้ในห่อผ้าอย่างเรียบร้อย อัฐจำนวนมากนอนนิ่งอยู่ก้นห่อ
การมีฝีมือเชิงดาบนับว่าเป็นประโยชน์กับเขาไม่น้อย ใครเลยจะคิดว่าเมื่อครั้งเดินกาดเมื่อเดือนก่อน ก็เจอเข้ากับเรื่องทะเลาะวิวาทกันจนเขาและอ้ายเชิดต้องเข้าไปร่วมวงช่วยเหลือชายชราที่ถูกทำร้าย เมื่อทุกอย่างจบลง เขาพบกับหนึ่งในผู้ดูแลละครนอกชื่อดัง
พ่อทรัพย์ หรือขุนทรัพย์ หนึ่งในผู้จัดหานักแสดงละครนอกหน้าใหม่เกิดถูกตาต้องใจในรูปร่างหน้าตาของเขาเข้า
“เอ็งนี่หน่วยก้านดี ฝึกดาบด้วยฤา นี่ช่างเหมาะนัก รูปร่างหน้าตาผิวพรรณก็ละเอียด มิสนใจมาหาอัฐไว้ใช้บ้างฤา”
ยามนั้นเขาไม่สนใจสิ่งใด ได้แต่บอกปัดปฏิเสธคนชี้ชวนไป แต่แล้วรายนั้นยังคงเซ้าซี้อยู่สองสามครา อ้างว่าได้อัฐงามนัก เขาและอ้ายเชิดยังหัวเราะแก่กันร่วนว่า นักดาบอย่างเขาจักไปเป็นนักแสดงได้เยี่ยงไร
เสียงตะโกนไล่หลังยังดังก้องหู
“หากเปลี่ยนใจเมื่อใด จงบอกเถ้าแก่ฮงร้านสุราจีน แล้วข้าจักมาพูดคุยด้วย!”
เมืองอินทร์ยิ้มขื่น ๆ ให้ตนเอง
...เพียงคืนเดียวกันนั้นเองที่สีหราชสารภาพรักริมท่าน้ำ เขาก็คิดไม่ตกและกลัดกลุ้มทั้งคืน จนกระทั่งสองสามราตรีผ่านไปเขาจึงตัดสินใจลอบออกจากเรือนแล้วไปตกปากรับคำกับขุนทรัพย์
อัฐจากการเต้นกินรำกิน..ก็พอให้เขาซื้ออิสระแลความเป็นไทแก่ตัว
เกือบ 7-8 ราตรีที่มันเพียรสะสมมาตลอดครบแล้ว เพียงวันพรุ่งมันก็จะคืนทุกสิ่งแก่พ่อสินและออกเดินทาง
...ป่านนี้ อ้ายสีห์คงถึงหัวเมืองทางเหนือ และอีกหลายราตรีกว่าจะกลับ
...ดีแล้ว...หากเขาออกเดินทางในวันพรุ่ง ก็ไม่ต้องเกรงว่าจะได้พบหน้าอ้ายสีห์...อีก
“แล้วเอ็งจักไปที่ใดกัน อยู่ที่บ้านพ่อสินนี้เอ็งก็แทบไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ มีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ดี พ่อสินเลี้ยงทุกคนอย่างลูกหลานหาได้คิดเป็นอื่น ยามนี้จักเป็นเจ้าเองที่คิดการใหญ่จะออกไปสู้รบอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียว” อ้ายเชิดส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยในความดื้อดึงของคนตรงหน้า
“แล้วไอ้ละครนอกที่เอ็งไปช่วยเขาอยู่ทุกวันนี้ ถึงจะจ่ายอัฐให้มากก็ตาม แต่ข้าก็ยังคิดว่ามันแปลกประหลาดอยู่ดี”
“ข้ารู้...แปลกประหลาดก็จริง แต่เขาก็ให้อัฐข้าโขอยู่ มากพอจะคืนพ่อสินและเหลือสำหรับตั้งตัวในยามหน้า...”
“ละครนอกกระไร ไม่เล่นเรื่องรักใคร่ แต่เล่นเรื่องดาบเรื่องอาวุธ แล้วนี่เจ้ายังพาเอาเจ้าโชคไปด้วย” อ้ายเชิดส่ายหน้าพลางบ่นเบา ๆ อย่างข้องใจ
“ประหลาดอยู่ แต่เจ้าของคณะละครนอกคณะนี้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ดูท่าอาจเบื่อเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แล้วกระมัง” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเรื่องอื่นเป็นการตัดบท
“หึ! เจ้าพาเด็กอย่างอ้ายโชคไปคณะละครนั่นทุกวัน เดี๋ยวมันจะเปลี่ยนไปเต้นกินรำกินเยี่ยงเจ้ามิฝึกดาบจะทำเยี่ยงไร”
“อย่ากังวลเลย ส่วนเจ้าโชคก็เป็นเด็กซักซนไปตามประสา ดีอยู่ที่มันยอมรอข้าโดยไม่ซุกซนนัก หาไม้หาของละเล่นพอคลายเบื่อไป..แต่วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ข้าพามันไปที่คณะละคร”
“แล้วนี่ เจ้าบอกลาขุนทรัพย์ผู้ดูแลคณะละครอะไรนั่นแล้วหรือ ว่าเจ้าจะไม่ไปอีกแล้ว...” อ้ายเชิดถามขึ้น
“ข้าบอกไปแล้ว แต่ดูท่าเขาจักไม่พอใจนักที่ข้าจะลากะทันหัน แต่...ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะเป็นไท”
สิ่งที่เมืองอินทร์ไม่ได้เอ่ยไปคือ สายตาที่คล้ายจะขุ่นเคืองผิดปกติ ก่อนจะมีนักแสดงละครนอกอีกหลายคนที่เข้ามาตามเขาแจราวกับจะสอดส่องว่าเขาหยิบสิ่งใดออกไปบ้างฤาไม่
...ใครจักลักเล็กขโมยน้อยกับข้าวของการแสดงกัน...
ไม่ทันจะคิดสิ่งใดต่อ เด็กน้อยตาหยีที่เกล้าจุกผิวขาวจัดวิ่งเข้ามาในเรือนพร้อมกับเสียงหัวเราะสนุกสนาน
“อ้าย อิง...เล่ง...” มือเล็ก ๆ คว้ากลักไม้สลักขนาดเท่ากำปั้นเด็กไว้ในมือก่อนจะเขย่าไปมา เสียงกร๊อกแกร๊กจากกลักไม้เหมือนมี
ลูกแก้วหรือบางสิ่งอยู่ในนั้น แต่กลักไม้ดังกล่าวไม่อาจเปิดออกมาได้เพราะมีสลักไม้หลายชิ้นจารอักษรไว้
...เหมือนกับกล่องกล…
...หากทายอักษรไม่ถูก ก็มิอาจเปิดกล่องได้…
เป็นเขาที่ขมวดคิ้วงุนงงก่อนจะทรุดกายลงตรงหน้าเด็กน้อยแล้วถาม
“ของเล่นนี้ เจ้าไปคว้าจากที่ใดมาฤาอ้ายโชค...ข้าไม่เคยเห็น...เจ้านี่ซุกซนนัก” ก่อนจะยีหัวทุยของเด็กน้อยเบา ๆ อย่างเอ็นดู แต่ก่อนจะหยิบกล่องไม้มาดู เสียงอ้ายเชิดที่ถามเบา ๆ ทำให้ต้องละมือจากกล่องกลตรงหน้า
“เอ็ง...จักไม่รอกล่าวลาอ้ายสีห์จริง ๆ ฤา” เสียงอ้ายเชิดถามเบา ๆ
“ห้ามเอ็งส่งข่าวบอกอ้ายสีห์เด็ดขาดว่าข้าจะไปจากที่นี่ ไม่งั้นเอ็งกับข้าขาดกัน!” ยามนั้นเขากำชับคนตรงหน้า
“เอ็งนี่...ใจจืดใจดำ!” สิ้นประโยคนั้นอ้ายเชิดหมุนตัวออกไปทันควันและลากเอาเจ้าโชคออกไปด้วย ทิ้งมันไว้อยู่ในเรือนเพียงคนเดียว มือที่สาละวนเก็บเสื้อผ้าพลันหยุดลงก่อนเขาจะทรุดนั่งบนตั่งเล็ก ๆ อย่างหมดเรี่ยวแรง
นี่คงดีแล้ว...ดีที่สุดแล้ว...สำหรับทุกคน
..................................................................................
แต่แล้วภาพตรงหน้าพลันเปลี่ยน เรือนสำนักดาบและลานฝึกดาบกลายเป็นทะเลเลือดสีแดงฉาน ร่างผู้คนมากมายล้มอยู่รอบกาย เหล่าช่างตีดาบสูงวัยถูกฟันเข้ากลางหลัง เหล่าบ่าวไพร่ต่างล้มจมกองเลือดทั้งผู้บ่าวผู้สาว ไม่เว้นแม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ บ้างรายก็ตะเกียกตะกายกระเสือกกระสนคลานบนลานดินตรงหน้าก่อนจะถูกดาบเสียบเข้าที่กลางหลัง ที่เหลือที่ยอมจำนนก็ถูกเหล่าทหารกุมตัวไว้มั่น เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดระงมไปทั่วสำนักดาบ มือข้างหนึ่งของเขากระชับดาบคู่กายที่เปื้อนเลือดไว้ ไหล่ข้างหนึ่งถูกฟันเป็นแผลแต่เคราะห์ดีที่ถากเส้นเสือดใหญ่ไป ขณะที่ด้านหลังเป็นพ่อครูสินที่กอดเจ้าโชคที่ตัวสั่นงันงกไว้แนบกาย
“อ้ายเด็กนี่เป็นลูกหลานของอั้งยี่ ! จงส่งตัวมันมาเดี๋ยวนี้ !”
“ไม่คิดว่าทหารวังหลวงจะทำการอะไรไร้ขื่อแปเยี่ยงนี้ ! สำนักดาบเราไม่เคยทำผิดคิดคดต่อแผ่นดิน ! เหตุใดมาในยามวิกาลเยี่ยงโจร !” เขาตะโกนออกไปอย่างนั้น
จับเด็กน้อยคนเดียว...แต่กลับพาทหารเมา 30 ชีวิต ก็ประหลาดแล้ว !
“จะยามไหน...ก็ย่อมทำได้ทั้งนั้น เพราะข้า...กรมหลวงไกรสีห์สรคุณรั้งตำแหน่งชำระคดีความของเหล่าราษฎร์แลรักษาดูแลกรมเมือง เหตุที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของแผ่นดินย่อมอยู่ในอำนาจของข้า !”
บุรุษสูงใหญ่รูปร่างสันทัดแต่งกายด้วยผ้าดิ้นทองงดงามยืนอยู่ตรงหน้า แววตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งตรงมาที่เขาและพ่อสิน ก่อนจะส่งสัญญาณให้ทหารกรูเข้าไปในเรือนพักด้านใน เสียงหวีดร้องของเหล่าบ่าวไพร่ผู้สาวหลายคนที่ซุกตัวหลบในเรือนดังขึ้นพร้อมกับเสียงดาบกระชากออกจากฝัก สิ้นเสียงหวีดร้อง เลือดสีแดงสดพลันไหลซึมลงตามร่องกระดานไม้สักก่อนจะหยดรินลงพื้นดิน
“ท่าน ! ไม่มีใครทำสิ่งใดผิดทั้งนั้น ! จงหยุดบัดเดี๋ยวนี้ !”
“มีคนกล่าวว่าที่นี่ซ่องสุมเตรียมการร้าย หากเจ้าช่วยเหลือเกี่ยวข้องกับอั้งยี่ ก็เป็นไปได้ว่าจะมีบางสิ่งที่เป็นภัยร้าย..”
ครู่เดียวทหารนายหนึ่งวิ่งย้อนออกมาพร้อมกับแผ่นหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มแผ่นหนึ่ง
“ทูลเสด็จ....พบแผ่นหนังสัตว์นี้ในห้องที่อยู่เรือนด้านในสุดติดเรือนอาบน้ำพระเจ้าข้า !”
....เรือนนั่นของอ้ายสีหราช ! แผ่นหนังนั่นไม่มีทางเป็นสมบัติในห้องของอ้ายสีห์ได้เด็ดขาด !
“เรือนนั่นใครเป็นเจ้าของ !” สายตาของเชื้อพระวงศ์นั่นวาววามและมองกราดมาที่ทุกคน หลายคนกำลังแตกตื่น บางอย่างทำให้เขาตัดสินใจโพล่งออกไปทันควัน
“ข้าเอง ! ข้าเป็นเจ้าของเรือนนั่น แต่ข้าไม่เคยเห็นแผ่นหนังดังกล่าว นี่พวกเจ้ากล่าวหากันชัด ๆ !”
“เมื่อหลักฐานพร้อมมูล และตัวเจ้าของก็อยู่ที่นี่...จัดการให้หมด !”
สิ้นเสียงเหี้ยมเกรียมนั้น ดาบจำนวนมากชักออกจากฝัก การตะลุมบอนก็เกิดขึ้นทันที แต่สำนักดาบมีจำนวนผู้คนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะนักดาบที่แกล้วกล้าล้วนถูกนำไปคุ้มกันขบวนดาบที่ส่งหัวเมืองเหนือทั้งหมด เหลือเพียงเด็กรุ่นที่เริ่มฝึกเพลงดาบแลช่างฝีมือที่ตีดาบบางส่วนเท่านั้น
น้ำน้อย...แพ้ไฟก็ครานี้…
เขาสังหารเหล่าทหารหลวงไปกว่าสิบชีวิตที่ดาหน้าเข้ามา สายตาเมืองอินทร์จ้องเขม็งไปที่เชื้อพระวงศ์บนหลังม้า !
ขอเพียงจับอ้ายคนนั้นได้ ! มันก็จะหยุดทุกสิ่งตรงหน้าได้ !
แต่แล้วก่อนจะถลันตัวเข้าไป เขาก็พลันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนจากด้านหลัง
“อ้ายอินทร์ ! หนี ! อ้ายโชคกลับมา! ” พ่อครูสินตะโกนลั่นก่อนจะกระชากดาบออกมาแล้วคุ้มกันอ้ายโชคตัวน้อย แต่เพราะเสียงม้าศึกและเหล่าทหารจำนวนมาก ทำให้อ้ายโชคตื่นกลัวจนตัวสั่นและสะบัดมือหลุดจากพ่อครูสิน อารามตกใจทำให้ชายชราถลาไปคว้าแขนเด็กน้อยไว้อย่างไม่ทันระวังตัว ทันใดนั้นเองแผ่นหลังกว้างของครูสินก็ถูกดาบทหารหลวงฟันฉับเข้าให้ เจ้าตัวถลาร่วงไปกองกับลานดิน เมื่อกัดฟันยันกายขึ้นมาก็ถูกดาบอีกเล่มแทงเสียบจากด้านหลัง
“อึ๊ก !” ร่างชรากระตุกค้างแต่ยังพยายามยื้อข้อมือเล็ก ๆ ไว้แน่น
“พ่อครู !” เป็นเขาตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งสุดชีวิตกระโจนเข้าไปหาร่างที่จมกองเลือด ดาบในมือตวัดฉับเข้าที่ข้อมือของทหารหลวงคนนั้นก่อนจะเสือกแทงเข้าที่ลิ้นปี่ แล้วกระชากดาบออกพร้อมเลือดที่พรูทะลักเจิ่งนอง
“มะ...ไม่เป็นไร เจ้าเร่งพา...อ้ายโชค...หนี...หนีไป” พ่อครูสินกัดฟันผลักร่างเล็ก ๆ เข้ามาในอ้อมแขน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างในสมองคล้ายจะหยุดนิ่งกับภาพตรงหน้า แต่แล้วก็เป็นอ้ายโต สหายอีกคนปราดเข้ามารับดาบสองสามเล่มของทหารหลวงไว้พัลวัน แล้วตะโกนลั่นใส่หน้า
“ไม่ได้ยินฤา! อ้ายอินทร์ ! หนีไป รออ้ายสีห์กลับมา !”
สิ้นเสียงนั้นสติที่เตลิดคืนกลับมา เขากัดฟันแน่นปาดน้ำตาที่ร่วงพรูก่อนจะคว้าเอวอ้ายโชคที่ตัวสั่นงันงกอยู่แล้วลากมันวิ่งหนีทหารหลวงไปทางเรือนด้านหลัง
จันทราคืนนี้กลายเป็นสีเลือด หูเขา...ยังได้ยินเสียงดาบฟันลงมาสองสามครั้งพร้อมเสียงอ้ายโตที่ร้องโหยหวนไล่หลังตามมา
...หากนี่เป็นเพียงฝัน...ขอเถิด ตื่นขึ้นได้แล้ว...ตื่นที..