Chapter 8
Lost control
___________________
ช่วงเวลาเช้ามืดประมาณตีห้ากว่าที่บ้านนันพิวัฒน์นั้นเกิดความเคลื่อนไหวขนาดย่อมขึ้น...เพราะวันนี้เป็นวันที่จะออกเดินทางไปบ้านของแทนไทที่จังหวัดกระบี่ป๋าเลยนัดแนะให้ทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดและเผื่อเวลาเอาไว้แวะเที่ยวระหว่างทางด้วยกะให้ไปถึงที่หมายก็ราวๆช่วงเย็นพอดี
หมอกอาสาขนสัมภาระของทุกคนไปเก็บไว้ในรถส่วนแทนไทก็กำลังวุ่นอยู่กับการตรวจเช็กบริเวณห้องเครื่องรถยนต์
โตโยต้าอัลพาร์ดคันสีขาวถูกล้างทำความสะอาดและขัดจนขึ้นเงาจากฝีมือของเด็กในค่ายที่อาสาบริการล้างรถให้ป๋าปรีชาด้วยความเต็มใจ
สองหนุ่มช่วยกันเช็กรอบรถอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ไว้เดี๋ยวตอนไปแวะปั๊มน้ำมันค่อยไปเช็กลมยางอีกรอบ
“กาแฟครับหนุ่มๆ” หม่าม้าเดินถือแก้วเก็บความร้อนสองใบตรงเข้ามาหา ใบสีเงินเป็นของเจ้าหมอกกาแฟใส่นมข้นเพียวๆจนหวานมันตามที่เจ้าตัวชอบ ส่วนใบสีดำเป็นของลูกชายอีกคนกาแฟดำเข้มๆไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาล
“ขอบคุณครับ” ทั้งสองรับกาแฟขึ้นมาจิบก่อนหมอกจะอาสาแก้วเอาไปเก็บไว้บริเวณที่วางหน้ารถ ในช่วงเช้าไอ้ไทจะรับหน้าที่เป็นคนขับแล้วค่อยเปลี่ยนกันอีกทีตอนแวะพักรถที่เพชรบุรี
“ไอ้หมวยอะม้า” หมอกถามหาน้อง เพราะตั้งแต่เขาลงมาเช็กรถก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน
“น้องเก็บของอยู่ ม้าไปเรียกแล้วเมื่อกี้”
พูดไม่ทันขาดคำเจ้าตัวก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้แบ็คแพ็คและกระเป๋าสะพายข้างอีกสองใบ
...แม่งจะย้ายบ้านรึไง
“ไปสี่วันแบกอะไรไปเยอะแยะวะถามจริง” หมอกเดินเข้าไปหาทำหน้าเบื่อหน่ายใส่มัน แต่มือก็ดึงกระเป๋าของน้องทุกใบมาถือไว้ให้แล้วเดินเอาไปเก็บไว้ที่ท้ายรถ “จะไปอยู่บ้านไอ้ไทมันถาวรเลยรึไง”
“เงียบไปเลย” เฮียไม่เข้าใจหรอก...แค่เสื้อผ้าก็ปาไปหนึ่งกระเป๋าเต็มแล้วไหนจะเครื่องสำอางและพร็อพเสริมต่างๆนี่ยังไม่รวมผ้าห่มประจำตัวที่ม้วนๆไว้ในกระเป๋าอีกใบนะ
ไปเที่ยวทั้งที ขอหน่อยไม่ได้รึไงล่ะ
น่านฟ้าลอบมองคนที่สวมเสื้อฮาวายสีขาวและกางเกงขาสามส่วน...สีสันที่นานๆทีจะปรากฏให้ได้เห็นบนร่างกายของอีกฝ่ายนั้นทำให้อดที่จะชื่นชมในใจไม่ได้ แม้ลายเสื้อจะเป็นแค่กราฟิกใบไม้เรียบง่ายแต่มันกลับเสริมให้อีกคนดูคล้ายกับนายแบบในนิตยสารช่วงซัมเมอร์ ยิ่งวันนี้ทรงผมที่ปกติมักเซตเปิดไปข้างหลังถูกปล่อยตามสบายให้ระลงมาข้างใบหน้าก็ยิ่งแปลกตาเข้าไปใหญ่
“กูรำคาญชุดคู่” หมอกที่ยืนเช็ดแว่นกันแดดอยู่แอบกลอกตาไปมาอยู่หลายหน
กับไอ้หมวยน่ะเขาไม่แปลกใจหรอกเพราะมันมีชุดใส่หลากหลายแบบอยู่แล้ว อย่างวันนี้ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าไอ้เจ้าเสื้อโบฮิเมียนสีขาวตัวใหญ่สั้นเหนือเข่าที่น้องใส่อยู่น่ะมันน่ารักโคตรๆ แต่กับไอ้ไทนี่สิที่แปลกตาเพราะมันเสือกบังเอิญใส่เชิ้ตขาวทั้งๆที่ร้อยวันพันปีแม่งมีแต่สีดำไม่ก็เทา
เป็นความบังเอิญที่น่าหมั่นไส้จริงๆ
“อะไรเฮีย” น่านฟ้ายังคงตามไม่ทัน แต่พอมองตามเฮียไปที่ใครอีกคนก็เข้าใจได้ในทันที
...ชุดคู่อะไรเล่า ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย แค่บังเอิญหรอก
“คุยอะไรกัน” ป๋าเดินเข้ามาได้ทันเวลาพอดีก่อนที่สองพี่น้องจะทำสงครามประสาทใส่กัน
วันนี้คุณปรีชาเขาก็ไม่น้อยหน้าลูกๆ แต่งตัวกระชากไวซะจนเกือบจะจำไม่ได้แน่ะ
“ป๋าจะแต่งหล่อไปไหนเนี่ย” น่านฟ้าแซวไม่หยุดจนถูกป๋ารวบตัวเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่
“ไม่ต้องแต่งก็หล่อครับ ว่าแต่ทำไมวันนี้หนูน่ารักจัง” ถึงชุดกระโปรงมันจะสั้นไปหน่อยแต่วันนี้จะหยวนๆให้ก็แล้วกัน
“หนูก็น่ารักทุกวันอยู่แล้ว” เจ้าตัวยิ้มแป้นโชว์ลักยิ้ม
“ครับๆ ป๋าไม่มีอะไรจะเถียงเลย” ป๋าปรีชาหัวเราะร่าก่อนจะเปิดประตูรถให้แม่กับลูกได้เข้าไปนั่ง
“ไม่มานั่งหน้าเหรอไอ้หมวย” หมอกที่กำลังดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดหันมามองน้องอย่างล้อเลียน “มานั่งเป็นเพื่อนไอ้ไทหน่อยไหม” …หรือจะอยากนั่งในฐานะอื่นก็ไม่ว่ากัน เชื่อว่าไอ้คนขับมันเต็มใจสุดๆ
“ไม่เอา หนูง่วง”
เจ้าตัวบอกไว้แค่นั้นก็รื้อผ้าห่มออกมาคลุมตักแล้วสวมหมอนรองคอคุมะมงลงไป แถมยังดึงหมวกเจ้าหมีตัวดำขึ้นมาคลุมหัวเอาไว้อีกต่างหาก
น่านฟ้าที่อยู่เบาะหลังสุดนั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ไปเงียบๆคล้ายกับไม่สนใจบทสนทนารอบข้าง
แต่ทว่าภาพหน้าจอกลับขึ้นเป็นห้องแชทของใครบางคนที่คุยกันค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
สติ๊กเกอร์เจ้าหมีตัวสีน้ำตาลยอดฮิตสวมนวมสีแดงถูกส่งไปให้พร้อมกับข้อความสั้นๆ
‘คนขับรถสู้ๆ’
‘ถ้าเหนื่อยก็เปลี่ยนกับเฮียหมอกนะ’
ข้อความสุดท้ายถูกกดส่งไปพร้อมกับขึ้นเครื่องหมายแสดงว่าฝ่ายนั้นกำลังเปิดอ่านอยู่
พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นว่าใครบางคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับกำลังก้มลงดูโทรศัพท์
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองภาพสะท้อนผ่านกระจกส่องหลัง สองสายตาสอดประสานกันเพียงครู่ก่อนที่รอยยิ้มบางเบาจะปรากฏขึ้นที่ข้างมุมปาก
แทนไทวางเครื่องมือสื่อสารไว้ตรงข้างช่องวางแก้วด้วยท่าทีที่เรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะปลดเบรกมือแล้วขับเคลื่อนรถออกไปจากบ้าน
“วันนี้ทำไมไทดูอารมณ์ดีแปลกๆเนอะพ่อ”
หม่าม้าทักขึ้นระหว่างการเดินทางโดยมีคุณสามีพยักหน้าเห็นด้วย
“กำลังใจดีอารมณ์เลยดีม้า” หมอกแสร้งพูดลอยหน้าลอยตา พร้อมกับมองกระจกส่องหลังก็เห็นว่าไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนเขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่กำลังนอนเอกเขนกดูหนังในไอแพดอย่างสบายอารมณ์
...แม่งอาการน่าเป็นห่วงจริงๆ
หมายถึงไอ้คนขับข้างๆนี่แหละที่อาการน่าเป็นห่วง
...มีแววตกเป็นทาสไอ้หมวยมาแต่ไกล...
กว่าจะเดินทางมาถึงตัวเมืองจังหวัดกระบี่ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นพอดีตามแผนการเดินทางที่วางไว้ ตลอดทางหมอกสลับหน้าที่โชว์เฟอร์กับแทนไทเพื่อที่จะไม่ให้รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป จากเพชรบุรีมาชุมพรเป็นหน้าที่เขา ส่วนไอ้ไทก็ขับยิงยาวจากชุมพรมาถึงกระบี่ นี่ขนาดสลับกันขับยังรู้สึกเมื่อยไม่น้อยเลย ดีหน่อยที่ป๋ากับหม่าม้าไม่หลับคอยเป็นเพื่อนพูดคุยตลอดทาง
จะมีอยู่คนเดียวนั่นล่ะที่นั่งๆนอนๆสบายใจเฉิบอยู่เบาะหลัง จะได้ยินเสียงก็ต่อเมื่อตอนที่รถจอดพักแล้วเจ้าตัวลงไปหาซื้อของกินเท่านั้น
“แม่เขาว่ายังไงบ้างล่ะเจ้าไท”
หลังจากที่รอฝ่ายนั้นวางสายป๋าปรีชาก็ถามขึ้นในระหว่างที่รอรถติดไฟแดงอยู่
“บอกให้กลับไปรอที่บ้านเลยครับ แม่กำลังจะปิดร้านเดี๋ยวจะแวะซื้อของสดเข้ามาทำกับข้าวให้กินด้วย” ตอนที่โทรไปบอกทางนั้นดีใจใหญ่เมื่อรู้ว่าป๋ากับน้าดาวลงมาเยี่ยม แต่ที่ทำให้แม่ตื่นเต้นสุดๆก็คงเป็นตอนที่รู้ว่าน่านฟ้าเองก็มาด้วย
คนนั้นน่ะลูกรักเขาล่ะ
“โทรกลับไปบอกแม่เขาว่าไม่ต้องหรอก เดี๋ยวออกไปทานข้าวนอกบ้านก็ได้” ป๋าปรีชานึกห่วง...เพราะอีกฝ่ายทำงานมาทั้งวันแล้ว “แม่จะได้ไม่เหนื่อย ป๋ามาทั้งทีก็ขอเลี้ยงข้าวหน่อยสิวะ” แกบอกอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับรับโทรศัพท์ที่แทนไทส่งมาให้เมื่อแม่บอกว่าอยากจะขอคุยกับป๋าหน่อย
คุยกันไปมาผลสรุปก็ออกมาเป็นเอกฉันท์เมื่อฝ่ายนั้นยอมคล้อยตามในที่สุด เครื่องมือสื่อสารถูกส่งคืนเจ้าของอีกครั้งเมื่อทางปลายสายบอกว่ามีธุระต้องคุยกับลูกชาย
“ครับ”
(ไทอยู่แถวไหนลูก)
“ถนนหน้าศาลากลางครับ”
(เมื่อกี้เจ้าหยาโทรมาบอกว่าพึ่งจะซ้อมดรัมเสร็จ แม่วานให้ไทไปรับน้องแทนแม่หน่อยได้ไหมครับ ถ้าต้องขับอ้อมไปแม่กลัวว่ามันจะช้า)
“ได้ครับ…เดี๋ยวผมไปรับน้องเอง”
(ขอบคุณครับ ฝากรบกวนป๋าเขาด้วยนะลูก)
“ครับ”
หลังจากที่วางสายเสร็จยังไม่ทันได้เอ่ยปากขออนุญาตป๋าก็ชิงตอบตกลงมาก่อนแล้ว มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่าคิดถึงน้องปั้นหยามากเพราะไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว
รถขับวนรอบวงเวียนตรงแยกศาลากลางก่อนจะหักเข้าถนนเส้นหลักประจำเมือง
ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึงโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดกระบี่ที่ปั้นหยาเรียนอยู่ แทนไทเลี้ยวรถเข้าไปข้างในพร้อมจอดเทียบไว้บริเวณข้างสนามฟุตบอลก่อนจะขอตัวลงไปรับน้อง
โทรศัพท์ถูกยกขึ้นมาต่อสายตรงไปหารออยู่เพียงไม่นานฝ่ายนั้นก็กดรับ
(พี่ไท?) เสียงน้องดูงุนงงไม่น้อย
“หยาอยู่ไหน” แทนไทเดินเลียบไปกับขอบสนามฟุตบอลก่อนจะสอดส่องสายตามองหาตามบริเวณที่คิดว่าน้องจะนั่งอยู่ เพราะปกติปั้นหยาจะชอบไปนั่งเล่นอยู่ที่ลานอเนกประสงค์ไม่ก็โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวาง
(อยู่โรงเรียนค่ะ)
“รู้แล้ว...พี่หมายถึงตอนนี้หยาอยู่ตรงไหนของโรงเรียน”
(หนูพึ่งซ้อมดรัมเสร็จ นั่งอยู่บนสแตนด์ ทำไมเหรอ)
เสียงที่ดังลอดจากปลายสายมาพร้อมกับเสียงเอะอะจากพวกนักเรียนชายที่กำลังเตะบอลกันอยู่ในสนาม พอหันไปมองก็เห็นว่าน้องกำลังนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
“อืม...เห็นแล้ว เดี๋ยวเดินไปรับ”
(ห้ะ! เดี๋ยวๆ! พี่--) ไม่รอให้น้องได้ถามก็ชิงตัดสายไปก่อน
ใช้เวลาไม่นานแทนไทก็อ้อมสนามฟุตบอลข้ามไปอีกฝั่งก่อนจะเดินตรงไปหาน้อง ปั้นหยาที่ยืนอยู่บนสแตนด์ขั้นแรกยังคงงงไม่หายในมือเจ้าตัวยังคงถือโทรศัพท์เอาไว้อยู่เลยด้วยซ้ำ น้องมองค้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของคนพี่ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จนเพื่อนสะกิดเข้านั่นล่ะถึงจะรู้ตัว
“พี่ไท?”
“ว่าไง” แทนไทคลี่ยิ้มบางเบาเมื่อเห็นว่าน้องกระโดดลงมาที่พื้นก่อนจะวิ่งเข้ามาหา วงแขนกว้างเปิดรอให้อีกฝ่ายเข้ามาสวมกอดจนตัวเซ
“มาถึงตอนไหนเนี่ย ทำไมหนูไม่รู้เรื่อง” ปั้นหยาเอาคางเกยอกกว้างเอาไว้ก่อนจะจ้องมองอย่างคาดคั้น
“ถึงเมื่อกี้” คนพี่ก้มลงจุ๊บหน้าผากน้องไปสองสามทีให้หายคิดถึง...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สูงขึ้นจนเกือบจะเลยไหล่กันแล้ว...สูงกว่าใครบางคนที่นอนเล่นอยู่บนรถซะอีก “แม่ให้มารับ จะได้ออกไปกินข้าวข้างนอกกัน”
“อ้าว ก็ไหนแม่บอกวันนี้จะทำกินที่บ้าน”
“เปลี่ยนใจแล้ว ป๋าบอกให้ไปกินข้างนอกแทน” ปอยผมบางส่วนที่ตกระข้างใบหน้าถูกพี่ชายทัดเก็บไว้ให้ตามความเคยชิน
การกระทำแสนอ่อนโยนที่ขัดกับภาพลักษณ์แบบนี้มีให้แค่เพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น
“ไปเก็บกระเป๋าเร็ว” ดันตัวน้องให้ออกห่างเมื่อเห็นว่าเริ่มเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆที่นั่งอยู่บนสแตนด์เชียร์
ปั้นหยารีบวิ่งกลับไปเก็บของยัดลงใส่กระเป๋าเป้พร้อมกับชี้นิ้วมาที่พี่ชายที่กำลังเดินเข้าไปหา น้องพูดอะไรสักอย่างกับเพื่อนก่อนทุกคนจะทำหน้าตกตะลึงพร้อมกับหันมาไหว้กันยกใหญ่
แทนไทรับไหว้เด็กๆพร้อมกับยิ้มตอบรับเมื่อกลุ่มเพื่อนของน้องบ่นออกมานิดหน่อยว่าพี่ไทเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้
“โห พี่ไท หล่อขึ้นหรือเปล่าคะเนี่ย” เพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่มถามด้วยท่าทางเก้อเขินออกจริตจนปั้นหยาต้องหยิกเข้าที่แขนด้วยความหมั่นไส้
“แม่ห้ามเต๊าะพี่เค้านะ!” แขนข้างหนึ่งถูกน้องคว้าเข้าไปกอดอย่างหวงแหน
“ขอบคุณครับ” แทนไทยิ้มรับอย่างเก้อเขินที่ถูกชมซึ่งๆหน้าก่อนจะดึงกระเป๋าเป้ของน้องมาสะพายไว้ให้ “น้องโยก็น่ารักขึ้นนะ”
“พี่ไทบ้า!” วาโยหันไปซบแขนเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างขวยเขินเกินงาม
นี่ขนาดแซวกันไปมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนตอนนี้จะจบม.ปลายแล้วก็ยังไม่ชินสักที
“พี่ขอพาหยากลับก่อนนะ เด็กๆอย่ากลับบ้านดึกล่ะ”
ทุกคนขานรับก่อนจะยกมือขึ้นไหว้พี่ชายเพื่อนอีกหน
“พี่น่านอะ” ปั้นหยาหันมาถามเมื่อเห็นรถคันที่คุ้นเคยจอดอยู่ในระยะสายตา
“อยู่บนรถนู่น” เจ้าตัวยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ...ตอนที่รู้ว่าพี่ไทจะกลับบ้านก็ดีใจมากแล้ว แต่พอรู้ว่าพี่น่านจะมาด้วยยิ่งดีใจมากกว่าเดิม ถึงกับลงทุนเก็บกวาดห้องนอนตัวเองซะจนสะอาดเอี่ยมไว้เพื่อพี่น่านโดยเฉพาะ
ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วที่ปั้นหยาชอบนอนกอดตัวนุ่มนิ่มๆของพี่น่าน...เพราะว่ามันนิ่มกว่าตุ๊กตาหมีที่พี่ไทซื้อให้อีก
พอเดินมาใกล้ถึงรถก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนลงมายืนอยู่ฝั่งข้างคนขับ...ทำให้แทนไทต้องเลิกคิ้วขึ้นมองเป็นเชิงถามทางสายตาว่ามันเสนอหน้าลงมาจากรถทำไม
“พี่หมอก..สวัสดีค่ะ” น้องเอ่ยทักพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ทำให้คนที่มองอยู่ก่อนหน้าต้องยกมือขึ้นรับอย่างเก้กัง
อวัศย์มองเด็กหญิงตัวน้อยในความทรงจำไม่วางตา
..จากเด็กตัวเล็กที่เคยขึ้นขี่หลังเขาในวันนั้นเติบโตเป็นเด็กสาวแบบเต็มตัวแล้ว...น้องโตขึ้นมากจริงๆ
..และยังสวยขึ้นมากๆด้วย...
“มึงมองอะไร” เสียงเข้มห้วนของคนที่ยืนอยู่หลังปั้นหยาเอ่ยถาม
“ห้ะ..อ้อ..ป..เปล่าๆ แค่สงสัยว่าไม่ได้เจอกันนานน้องหยาตัวสูงขึ้นเยอะจังเลยเนอะ แหะๆ” หมอกยกมือขึ้นเกาต้นคอแก้เก้อ มือไม้อยู่ไม่สุขเมื่อเห็นว่าน้องยืนขำกับท่าทีของตัวเอง “เอ่อ...ขึ้น..ขึ้นรถเลยไหม”
ลูกชายคนกลางของคุณอิงดาวที่ปกติมักจะมีท่าทีทะเล้นกลับพูดตะกุกตะกักลิ้นพันกันมั่วไปหมดซ้ำใบหูยังขึ้นสีจนสังเกตได้
...อาการเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง
“เชิญครับ” หมอกเลื่อนเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้น้องขึ้นไปนั่ง พอป๋ากับม้าเห็นก็ร้องทักกันยกใหญ่พร้อมกับคว้าตัวลูกสาวคนเล็กไปกอดไปหอมอย่างแสนคิดถึง
“หยา!” น่านฟ้าที่โผล่หน้ามาตรงช่องกลางระหว่างเบาะพร้อมกับหมอนรองคอร้องทักน้องอย่างตื่นเต้น “มานั่งนี่ๆๆ” เจ้าตัวรับกระเป๋าเป้ของน้องมาวางไว้พร้อมกับดึงมือให้เข้ามาหาจนหม่าม้าหันมาแซวว่าออกอาการจนเว่อร์
ระหว่างเดินทางไปร้านอาหารบนรถก็มีเสียงสองสาวคุยจ้อกันไม่หยุดและในบางครั้งก็มีหม่าม้าเข้ามาร่วมวงด้วย
ขับออกมาจากตัวเมืองเพียงไม่ไกลก็ถึงร้านอาหารขึ้นชื่ออีกหนึ่งร้านในจังหวัดกระบี่ ร้านอาหารกึ่งบ้านสวนขนาดพอเหมาะที่โดยรอบรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ มีซุ้มเรือนไม้ขนาดใหญ่หลายหลังวางกระจายตัวอยู่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของทางร้าน แสงสลัวจากหลอดไฟที่ตัดกับภาพท้องฟ้ายามโพล้เพล้แบบนี้ยิ่งทำให้บรรยากาศร่มรื่นมากยิ่งขึ้น
แทนไทจอดรถไว้บริเวณหน้าร้านก่อนจะลงไปเปิดประตูผู้โดยสารให้จนน้าดาวต้องบอกขอบคุณอย่างเกรงใจ
“คราวหลังไม่ต้องก็ได้นะไท ให้เจ้าหมอกมันทำบ้าง” ป๋าปรีชาเอ่ยท้วงทีเล่นทีจริง ทำเอาไอ้ตี๋ต้องร้องประท้วงว่าโดนไอ้ไทแย่งซีนทำคะแนนอยู่เรื่อย
“แล้วนี่แม่เขาอยู่ไหนล่ะ ใกล้ถึงหรือยัง”
“คงอีกราวๆครึ่งชั่วโมงครับ แม่โทรมาบอกว่าในเมืองรถติดนิดหน่อย”
“อืม งั้นเราก็เข้าไปสั่งอาหารไว้รอก่อนก็แล้วกัน” ป๋าปรีชาเอ่ยสรุปพร้อมกับลงมายืนที่พื้นเพื่อรอรับคุณภรรยาสุดที่รัก “ส่งมือมาสิม้า”
“เว่อร์จังพ่อเนี่ย เล่นเป็นเด็กไปได้” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยิ้มไม่หุบพร้อมกับเอื้อมมือไปจับกับคุณสามีไว้
“ป๋ากับม้าจะไปเดินเล่นรอบๆหน่อย เด็กๆไปสั่งอาหารได้เลยนะ อยากทานอะไรเอาให้เต็มที่” ว่าไว้แค่นั้นก็เดินโอบเอวภรรยาสุดรักเข้าไปทางสวนของร้าน ทิ้งให้ลูกๆได้แต่มองตามหลังตาปริบๆ
“อ้าว ทิ้งกันเฉยเลย” น่านฟ้าบ่นอุบ
“ช้าว่ะหมวย เร็วๆดิ๊ หิวข้าว” หมอกที่กำลังยืดกายบิดขี้เกียจแกล้งทำเป็นบ่นน้อง แต่พอเห็นใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆกันกับไอ้หมวยก็แสร้งกระแอมไอแก้เก้อตอนที่เห็นว่าน้องหยามองมาที่ตัวเอง
“เฮียทำไมหูแดงอะ ไม่สบายเหรอ” น่านฟ้ายกหลังมือขึ้นทาบหน้าผากพี่ชายเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ
“เปล่า...แค่ร้อน” ...แม่งอาการมันแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“แน่นะ?” หรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ...เฮียน่ะเวลาป่วยไม่ชอบบอกใครหรอก คนนี้น่ะดื้อเงียบที่สุดในบ้าน
“เออ ไปได้แล้ว หิวข้าว” หมอกตัดบทก่อนจะหมุนตัวเดินนำเข้าไปในร้านก่อนใคร...ใจก็อยากจะชวนน้องหยามาด้วยกันแต่ติดที่ตัวพี่มันมองไม่วางตา...เริ่มรู้สึกเสียวสันหลังเหมือนโดนรู้ทันยังไงไม่รู้
“งั้นหนูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เจอกันที่โต๊ะ” ปั้นหยาหันไปบอกพี่ชายพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย…ก็ไม่อยากจะอยู่เป็นก้างใครเขาน่ะนะ
“ไทขับรถเหนื่อยไหม” น่านฟ้าเงยหน้าขึ้นถามอีกคนพร้อมกับเอาหนังยางที่สวมไว้ที่ข้อมือมารวบมัดผม
“นิดหน่อย ไม่เหนื่อยมาก” แทนไทยิ้มตอบก่อนจะใช้นิ้วจิ้มไปที่แก้มน้องเมื่อเห็นว่ามันขึ้นรอยแดง “นอนเยอะจนแก้มเป็นรอยหมด” เจ้าตัวคงเอาหน้าไปพิงกับขอบกระจกหรือไม่ก็เบาะหน้าเลยทำให้มีร่องรอยเล็กๆพาดอยู่บนแก้มนุ่มนิ่ม
“ฮื่อ ก็ไทขับรถดีน่านเลยหลับไง ตอนเฮียขับนี่ไม่ง่วงเลยนะจริงๆ” ตัวแสบแก้ตัวอย่างแนบเนียน พร้อมกับแอบเขม่นคนพี่ไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นหลุดขำออกมาไม่เหลือเค้ามาดขรึมเลย...
ฮึ่ย ไม่ชินกับแทนไทลุคนี้จริงๆให้ตาย
“หัวเราะอะไร คนขี้ลอก” น้องหรี่ตามองพร้อมกับตีเข้าที่หน้าท้องไม่แรงมากนัก
“ใครขี้ลอก” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสงสัย พร้อมกับถือวิสาสะรวบมือน้องมาจับเอาไว้
“ก็ไทนั่นแหละ ลอกชุดน่าน ปกติใส่แต่สีทึบๆ ทำไมวันนี้ต้องใส่สีขาวด้วยอะ โดนเฮียล้อว่าใส่ชุดคู่เลยเห็นไหม” น้องย่นจมูกใส่ตามนิสัย
“แล้วมันไม่ดีเหรอ” พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถเมื่อเห็นว่าใบหูของเด็กตัวขาวเริ่มแดงระเรื่อ
“ฮื่อ ไม่ใช่ซะหน่อย” ริมฝีปากสีอ่อนขบเม้มเข้าหากันอย่างตกประหม่า ก่อนจะบ่นอุบอิบออกมาเบาๆ “...เดี๋ยวก็โดนเฮียล้อว่าเหมือนแฟนกันอีกอะ”
“ว่าไงนะ” แทนไทก้มลงไปหา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่น้องพูด ทั้งๆที่ความจริงน่ะได้ยินชัดเต็มสองหู
“ไม่ต้องก้มลงมาเลย รู้แล้วว่าตัวเตี้ย!” น้องเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับฟาดเข้าที่ต้นแขนหนึ่งป้าบเพื่อแก้เก้อ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านโดยไม่รอใครบางคนที่ยืนมองตามแผ่นหลังเล็กด้วยความรู้สึกมากมายจนไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้
รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นข้างมุมปากตอนที่เดินตามไปโดยทิ้งระยะห่างเอาไว้นิดหน่อย
ยิ่งมองน้องก็ยิ่งนึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา...อดทนมาถึงขนาดนี้ได้ยังไงกัน
(ต่อด้านล่าง)