ตอนที่ 2 ความเคยชินของเอิ้น ถ้าให้นิยามความเป็นครอบครัวของเรา
แน่นอนว่าผมเป็นช้างเท้าหน้าอยู่แล้ว ส่วนเสือน่ะเป็นควาญช้าง ควาญช้างที่ต้องให้ช้างตื่นขึ้นมาส่งไปทำงานทุกเช้าโดยไม่เคยสนใจว่าเมื่อคืนช้างปิดร้านและหลับไปตอนกี่โมง
เช้านี้ก็เช่นกัน
ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเสือกำลังผูกเนคไทอย่างคล่องแคล่วอยู่ที่หน้ากระจกบานเท่าตัวเขา ข้างกายผมน้องเลโอนอนกอดหมอนนอนหลับพริ้มไม่สนใจความสว่างในห้องเลยแม้แต่น้อย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พอผมกับเสือเดินออกจากห้อง เจ้าเด็กที่เคยนอนหลับอุตุก็จะลุกขึ้นวิ่งตามเราออกมา เป็นเช่นนี้ทุกเช้าจนกลายเป็นความเคยชิน
“ทำให้ตื่นเหรอ”
“ไม่ตื่นได้ด้วยเหรอ”
“จะไม่ตื่นก็ได้นะ”
“โธ่เสือ” เดินไม่กี่ก้าวก็เข้าไปถึงตัวเสือแล้ว ผมช่วยจัดเนคไทและปกเสื้อให้ก่อนจะเดินนำออกไปข้างนอก จัดการชงกาแฟและปิ้งขนมปัง ขณะคนที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านนั่งดูข่าวบนโซฟารออาหารเช้าอย่างสบายใจ
สบายเหลือเกิน
“ช้าจัง วันนี้วันจันทร์นะ รถติดด้วย” หันมาเร่งกันยิกๆ
ถ้ารีบนักทำไมไม่ออกมาเสียบกาน้ำร้อนเอาไว้ก่อนแล้วค่อยเข้าไปอาบน้ำล่ะ ถ้ามีความกล้าซักนิดผมคงตะโกนบอกเสือไปแบบนี้ แต่ติดตรงที่ไม่กล้าไง
“ใกล้เสร็จแล้วแป๊บนึง”
“ไม่อยากนั่งวินนะ อุตส่าห์เซ็ทผม”
“เสร็จแล้วเนี่ย” ผมรีบกดน้ำลงในแก้วกาแฟ ใช้เวลาระหว่างเดินคนมันด้วยช้อนเบาๆ พอมาถึงตรงหน้าเสือก็พร้อมเสิร์ฟพอดี
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“เอิ้นพูดอะไร”
“เมื่อกี้ พูดเหมือนรำคาญเลย”
“ไม่ได้รำคาญ ใครจะกล้ารำคาญเสือล่ะครับ”
“วันนี้ไม่ได้ออกไปพบลูกค้า เข้าไปกินข้าวกลางวันด้วยกันสิ พาเลโอไปด้วย”
“ได้เหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ หรือว่าไม่อยากไป”
“อยากไปสิ แต่จะไม่เป็นไรแน่เหรอ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” เสือค่อยๆ จิบกาแฟจนหมดแก้ว ก่อนมองนาฬิกาที่ข้อมือ “ถ้าออกช้ากว่านี้อีกนิดนึงรถติดแน่ ไปแล้วนะ”
เสือหอมแก้มผมเบาๆ ก่อนหยิบเสื้อสูทกับกระเป๋าขึ้นมาถือ
ให้ตายเถอะ หงุดหงิดใส่กันแต่เช้าเพื่อหวานใส่กันก่อนออกจากบ้านเนี่ยนะ
น่ารักเป็นบ้าเลยเว้ย
“อาเฉือ เลโอไปด้วย” เจ้าหลานตัวน้อยเดินออกจากห้องมาด้วยอาการสะลึมสะลือ เอ่ยคำที่ได้ยินเป็นประจำทุกเช้าให้คนเป็นอาต้องนั่งยองลงตรงหน้า
“เอาไว้เจอกันตอนกลางวันนะครับ”
“ไม่เอา เลโอจะไปกับอาเฉือ จะอยู่กับอาเฉือ”
“อยู่กับอาเอิ้นกับคุณย่านะ เดี๋ยวเย็นๆ อาเสือก็กลับ”
“ไปด้วยก็ไม่ได้” เด็กน้อยงอแงแต่ก็ยอมกลับเข้าห้องนอนไปโดยดี
ผมกับเสือหันมามองหน้ากัน ต่างคนก็ต่างยิ้มให้กับคำตัดพ้อน่ารักๆ ของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ตอนนี้หลับอยู่บนเตียง
ก็ไม่ปฏิเสธว่าเลโอน่ารัก แต่คงน่ารักได้กว่านี้อีกถ้าเขาไม่ติดเสือแจขนาดนี้
“ตอนกลางวันอยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า” ผมถามขณะลงบันไดไปยังโรงจอดรถ
“อะไรก็ได้ที่อร่อยๆ”
“เอิ้นทำอาหารอร่อยทุกอย่างแหละ”
“ขี้โม้จริง” ไม่ได้โม้ซักหน่อย ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามลูกค้าประจำได้เลย ถามว่าทำไมเขาถึงสั่งอาหารที่ร้านบ่อยๆ แน่นอนว่าเหตุผลหลักก็คือรสชาติอาหาร ส่วนเหตุผลรองคงเป็นความหล่อของเชฟ
ทุกคนก็คิดอย่างนั้นหมด ยกเว้นก็แต่คนรักของผมที่ไม่เคยชื่นชมความหล่อของเอิ้นคนนี้เลยซักครั้ง
ผมเดินมาส่งเสือที่รถ แอบหอมแก้มบอกลาก็ถูกคนมือหนักตีไหล่มาทีนึง เป็นอย่างนี้ประจำจนกลายเป็นความเคยชิน
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เสือเปลี่ยนงานมาหลายครั้งแล้ว ปัจจุบันคุณสรัลดำรงตำแหน่งโปรเจ็คเมเนเจอร์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนตึกสูงใจกลางเมือง
เสือชื่นชอบการพบปะพูดคุยกับผู้คนและเขาก็ดูมีความสุขกับงานที่ทำมากทีเดียว
ส่วนผมยังคงทำงานอย่างเดิม กิจวัตรประจำวันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมา 5-6 ปีแล้ว ถามว่าเบื่อมั้ย ถ้าตอบว่าไม่มีเลยก็ดูจะเสแสร้งมากไปหน่อย แต่ผมมีวิธีจัดการกับความเบื่อหน่ายนะ
อย่างเช่นการปิดร้านไปเที่ยว แม้ว่าการปิดร้านเสาร์ อาทิตย์เพื่อไปเที่ยวกับเสือจะทำให้ขาดรายได้จำนวนมากแต่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเทียบกับกำลังใจและพลังที่ได้รับมา สำหรับผมแล้วมันคุ้มแสนคุ้มเลยล่ะ
เพราะว่าลุกจากเตียงแล้ว ให้กลับไปนอนต่อก็คงไม่สามารถหลับได้อีก
ผมกลับมานั่งหน้าบนโซฟาหน้าทีวี ดูรายการข่าวเหตุบ้านการเมืองไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งเลโอตื่นจึงช่วยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สายๆ หน่อยคุณย่าก็มารับไปบ้าน
มินิมาร์ทของเจ๊ศรียังคงเปิดกิจการตามปกติ มีพนักงานหนุ่มหล่อที่ถูกคัดสรรมาโดยเจ้าของร้านผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเรียกลูกค้า
คำว่าหล่อในสายตาเจ๊ศรีเนี่ยค่อนข้างแปลกหน่อย หล่อแบบเจ๊ศรีไม่ใช่หล่อที่หน้าตาแต่เป็นความหล่อที่ออกมาจากภายใน ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ในฐานะลูกเขยที่ดีก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นเข้าใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
กะว่านั่งอ่านหนังสืออีกซักหน่อยแล้วค่อยลงไปเตรียมอาหารกลางวันให้เสือ แต่ในตอนที่กำลังพลิกหน้าหนังสือนั้น โฆษณาเกี่ยวกับรายการอาหารก็ดึงความสนใจของผมไป
ในจอปรากฏชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เขาคือเชฟหนุ่มที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบันนี้
ไม่รู้ว่าเป็นไงมาไง แต่บีมเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าเขาดังมาจากแท๊กเชฟหล่อขอห่อกลับบ้านในโซเชียลมีเดียร์
ถามว่าหล่อมั้ย ก็นิดนึงมั้ง แต่อย่างไรก็สู้ผมไม่ได้หรอก
ถนนในเมืองถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันก็โคตรวุ่นวาย
ผมกับเลโอมาถึงออฟฟิศเสือหลังเที่ยงนิดหน่อย แต่ก็ถูกคนโมโหหิวด่ายับเลย ผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับคำด่าไป ส่วนน้องเลโอน่ะเหรอ หัวเราะอะไรครับไม่เคยเห็นคนโดนเมียด่าเรอะ
บนชั้น 21 ของตึกถูกจัดเอาไว้เป็นฟู๊ดคอร์ด มีทั้งแบบแอร์และโอเพ่นแอร์ ที่จริงอากาศร้อนขนาดนี้คนฉลาดๆ เขาคงเลือกนั่งในห้องแอร์ แต่คนฉลาดที่มาถึงฟู๊ดคอร์ดช้าก็ต้องรับกรรมจำใจนั่งหลบใต้ร่มเงาต้นไม้เอา
นอกจากแดดแล้ว ลมยังแรงด้วย เส้นผมของผมที่ไม่ได้ถูกเซ็ทมาปลิวจนหมดสภาพ
“อาเฉือดูข้าวกล่องของเลโอสิ น่ากินมากๆ เลย”
ผมเลือกทำอาการกลางวันเป็นเบนโตะแบบญี่ปุ่น น่ารักไม่สมวัยเราเท่าไหร่ แต่ถูกใจเด็กน้อยข้างกายเสือมากๆ
“ของอาเสือก็น่ารักเหมือนกันนะ” โล่งใจที่เสือถูกใจเบนโตะที่ผมทำมาให้ “แต่ไม่รู้จะอร่อยรึเปล่า”
“ก็ต้องอร่อยอยู่แล้วสิ” ผมใช้ตะเกียบในมือตนคีบอาหารชินนึงป้อนเสือ และเขาก็รับมันเข้าปากแต่โดยดี
เสือเคี้ยวอาหารช้าๆ ซึมซับรสชาติ ทำเช่นเดียวกับยามที่ผมขอให้เขาช่วยชิมอาหารเมนูใหม่
“อร่อยมากเลย” เสือชมรสชาติอาหารของผมจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่รู้สิ หัวใจผมเนี่ยมันมักจะพองโตทุกครั้งที่ถูกชมเลยล่ะ ไม่รู้ทำไมถึงไม่ชินซักที
“ของเลโอก็อะหย่อยนะ” พอเห็นว่าผมป้อนอาเสือ เจ้าเด็กขี้เลียนแบบก็ทำตามบ้าง
สองอาหลานผลัดกันป้อนอาหารอย่างสนุกสนาน สาบานสิว่าไม่ได้ลืมผมน่ะ
งอนก็ไม่ได้ด้วย เพราะไม่ว่าอย่างไรเสือก็ไม่ยอมง้อผมแน่ๆ ถ้าเหตุผลที่งอนมันงี่เง่าขนาดนี้
มื้อกลางวันจบลงตอนเกือบบ่ายแล้ว
พวกเราดื่มน้ำลำไยที่เจ๊ศรีฝากมาจนหมดขวดก็ถึงเวลาต้องแยกย้าย
“เลโออยากอยู่กับอาเฉือ” หากเด็กน้อยไม่ยอมให้ความร่วมมือ งอแงจะอยู่กับอาเสือท่าเดียวเลย
“ไม่งอแงสิครับ” คนเป็นอานั่งยองๆ ลงตรงหน้า ใช้มือเรียวจับบ่าเล็กเอาไว้พลางว่าเสียงอ่อนโยน
“แต่เลโออยากอยู่กับอาเฉือนี่นา”
“อาเสือไม่ชอบเด็กงอแง”
“แต่ว่า...”
“กลับบ้านไปเล่นไดโนเสาร์กับอาเอิ้นนะ”
“เลโอเบื่อแล้วอะ” อยู่ๆ ก็รู้สึกห่อเหี่ยวหัวใจเมื่อได้ยินว่าเลโอเบื่อผมแล้ว
ถ้าเบื่อก็โทรเรียกพ่อมารับกลับต่างประเทศไปเลยสิครับหลานรัก
“พูดแบบนี้อาเอิ้นก็เสียใจสิครับ” เสือว่าพลางช้อนสายตามองผม ขอบคุณนะที่ยังรับรู้ถึงการมีตัวตนของแฟน
“ไม่ใช่นะ เลโอไม่ได้เบื่อลุงเอิ้นแต่เลโอเบื่อไดโนเสาร์ต่างหาก เบื่อลุงเอิ้นได้ไงล่ะ ไม่เบื่อหรอก” ที่จริงเด็กมันก็น่ารักแหละ ยิ่งในยามที่ขยับเข้ามากอดขาแล้วแนบแก้มลงมา พลางช้อนสายตามองอย่างอ้อนๆ นี่แม่งเอ้ย ตายไปเถอะไอ้เอิ้น ทั้งอาทั้งหลานเลย จะทำให้ผมรักจนถอนตัวไม่ขึ้นกันเลยใช่มั้ย
“งั้นก็กลับไปรออาเสือที่บ้านนะครับ”
“หอมแจ้มก่อน” ได้ยินอย่างนั้นผมก็ฉวยโอกาสอุ้มเลโอขึ้นมา ให้เสือลุกตาม
เสือมองผมตาขวาง คนมันเป็นแฟนกันมานานไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้กันไปจนถึงไส้ถึงพุงแล้ว
เสือมองแก้มป่องๆ ของหลานชายก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาหอมเบาๆ และผมก็ฉวยโอกาสจุ๊บแก้มเขาเบาๆ ด้วยเช่นกัน
รู้ว่าประเจิดประเจ้อแต่พออยู่ใกล้เสือทีไรผมก็อยากกอดอยากหอมเขาทุกที ก็เสือน่ะน่ารักขนาดนี้นี่นา
“บีมทำไมวันนี้ฝั่งตรงข้ามรถเยอะจัง”
“เจ้าของตึกเข้ามาตรวจงานน่ะครับ”
“ตรวจงานอะไร” ด้วยความที่ผมไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และวันๆ เอาแต่ง่วนอยู่กับงานของตัวเองจึงไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบตัวมากนัก รู้เรื่องอีกทีก็ตอนที่ตึกเก่าๆ ฝั่งตรงข้ามรีโนเวทเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เห็นว่าจะเปิดร้านอาหารนะครับ”
“แบบเราเนี่ยเหรอ”
“ใช่ครับ”
ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรซักเท่าไหร่ เพราะย่านนี้มีร้านอาหารเยอะอยู่แล้ว อ่อนแอก็แพ้ไป ขายไหวก็อยู่ต่อ ผมอยู่ในร้านจำพวกที่อยู่ไหวก็ขายต่อกันไป ถึงแม้จะได้กำไรไม่มากเท่าเมื่อก่อนก็ตาม
“ได้ยินว่าเจ้าของร้านคือคุณโทมัสนะครับ”
“โทมัสเหรอ ชื่อคุ้นๆ”
“เชฟที่กำลังดังมากๆ ไงครับ” บีมพูดแค่นั้นผมก็รู้เลยว่าเขาคือใคร จากที่ไม่หวั่นก็เริ่มรู้สึกขึ้นมานิดนึงแล้วล่ะสิ
“ไอ้หมอนั่นใครวะไม่คุ้นหน้าเลย” ประตูร้านถูกเปิดออก แชมป์ในชุดวินอันคุ้นตาก้าวเข้ามาพร้อมเอ่ยถามโดยไม่สนใจซักนิดว่าลูกค้ากำลังนั่งรัประทานอาหารกันอยู่เต็มร้าน
“เชฟโทมัสไงพี่” และเป็นบีมที่ตอบ
“ใครวะ ชื่อฝรั่งแต่หน้าแม่งไม่ได้ว่ะ แล้วอาหารได้ยังวะ” แชมป์ยังคงช่วยส่งอาหารให้ผมเหมือนเดิม คนที่วินก็ยังคงมารับจ๊อบกันเป็นระยะ
ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา
แต่ความรู้สึกของผมกำลังบอกว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
คล้อยหลังแชมป์ เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นในร้านให้ผมที่ทำอาหารเสร็จพอดีต้องชะโงกหน้าออกไปดู และก็ต้องสะดุดตากับต้นเหตุของเสียงอื้ออึงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใจกลางร้านราวกับจงใจให้ตนเป็นจุดเด่น
โทมัส เชฟคนดังคนนั้นอย่างไรล่ะ
“โต๊ะคุณโทมัสครับเชฟ” รายการอาหารถูกส่งมา ไล่สายตาดูคร่าวๆ ก็พบว่าเขาสั่งแต่อาหารแนะนำทั้งนั้นเลย เมื่อกี้ถ้านับไม่ผิด คนพวกนั้นมากันแค่ 3 คนเอง แต่สั่งอาหารอย่างกับมากันนับสิบ
อย่าหาว่าผมมองโลกในแง่ร้าย แต่เชื่อไม่เชื่อโปรดใช้วิจารณญาณ โทมัสคนนั้นน่ะต้องมาเพื่อเจาะข้อมูลคู่แข่งอย่างผมแน่ๆ และอย่าหาว่าโม้เลย ร้านอาหารทั้งย่านนี้ อันดับหนึ่งก็คือ SHIT HERE นี่แหละ
“เจ้านาย พี่ไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ”
อาหารจานสุดท้ายถูกยกไปเสิร์ฟแล้ว บีมที่คงไม่ว่างแต่ทำตัวเหมือนว่างเข้ามากระซิบถาม เห็นมั้ย ไม่ได้มีแค่ผมที่คิดว่ามันแปลก
“แปลกยังไง”
“ก็คุณโทมัสมาเปิดร้านตรงข้ามร้านเรา แบบนี้มันคู่แข่งชัดๆ นะพี่ มีอย่างที่ไหนคู่แข่งมาอุดหนุนกัน”
“คิดดีๆ นะบีม” บีมครุ่นคิด “จริงด้วย เจ้านายแบบนี้เราก็แย่สิ ทางโน้นรู้รสชาติอาหารเรา มันต้องเลียนแบบเพื่อแย่งลูกค้าเราแน่ๆ”
“กลัวเหรอ”
“บีมเป็นห่วงเจ้านาย”
“ขอบใจ” ผมรู้สึกซึ้งใจกับความห่วงใยนั้นจากใจจริง แต่ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ถึงแม้โทมัสจะมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของชาวโซเชียล แต่ผมเองก็เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยของคนย่านนี้เหมือนกัน
ถ้าพวกเขาจะเลิกอุดหนุนผมแล้วไปลองของใหม่ก็ไม่ว่ากันหรอก สิทธิ์เป็นของผู้บริโภคอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือพัฒนาตัวเองและรักษามาตรฐานเอาไว้
“เจ้านาย” บีมเรียกผมแผ่วเบาคล้ายกระซิบ
“ว่า...” และผมก็ขานรับพร้อมกับยื่นมือไปขอเครื่องปรุง บีมก็ส่งมาอย่างถูกต้อง
“เจ้านายรู้ใช่มั้ยว่าคุณโทมัสดังมาก เคยออกรายการเตยเที่ยวไทยช่วงพ่อค้าแซ่บด้วย”
“รู้ว่าดัง แต่ไม่รู้ว่ามาก และไม่เคยดูรายการที่ว่าด้วย ดังมากเหรอ”
“มากเวอร์ สาวๆ ที่มหา’ลัยพูดถึงกันตลอด แปลกจังเลยนะ ทำไมอยู่ๆ ถึงเลือกมาทำร้านอาหารแถวนี้”
“แปลกตรงไหน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแกก็เห็นว่ามีร้านรวงเกิดขึ้นในย่านนี้มากมาย” เหตุเพราะมีสำนักงาน บริษัทห้างร้านต่างๆ ผุดขึ้น ผู้คนก็มากตาม แน่นอนว่าพวกสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ย่อมตามมา
“พี่เสือรู้เรื่องรึยัง”
“กว้างขวางแถมยังเป็นคนพื้นที่ ไม่มีทางไม่รู้หรอก”
“นั่นสิครับ พี่เสือน่ะทั้งหล่อ ทั้งอัธยาศัยดี พูดคุยกับคนอื่นไปทั่ว ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้หรอก” ชมกันออกนอกหน้าไม่เกรงใจคนรักเขาเลยนะไอ้บีม
“คิดจะอู้อีกนานมั้ย ออกไปทำงานได้แล้ว”
บีมหัวเราะแหะๆ ก่อนจะออกจากครัวไป ทิ้งให้ผมกับผู้ช่วยพ่อครัวทำงานกันตามลำพัง
ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่นี้ไป ร้านเราจะเป็นอย่างไร แต่การมีคู่แข่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวซักหน่อย ดีซะอีก เราจะได้กระตือรือร้นรักษามาตรฐานและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
อาหารที่โต๊ะคุณโทมัสสั่งถูกนำไปเสิร์ฟเมื่อ 30 นาทีก่อน
ขณะตักอาหารใส่จานเพื่อนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้า บีมก็โผล่หน้าเข้ามาในครัวอีก
“คุณโทมัสอยากเจอเจ้านายครับ”
“อยากเจอฉันทำไม”
“ไม่ทราบครับ” เข้าใจบีมอยู่หรอกว่ามันก็คงทำตามหน้าที่ เขาบอกให้มาเรียกก็คงมา
ผมถอดผ้ากันเปื้อนกับหมวกออก จัดผมนิดหน่อยก่อนเดินนำบีมออกไปหาคุณโทมัสคนดัง เมื่อผมหยุดที่ข้างโต๊ะเขาก็ลุกขึ้นทักทายอย่างมีมารยาท
เห็นเช่นนั้นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหากต่างคนต่างทำธุรกิจของตนก็คงไม่มีปัญหาอะไร
“คุณอัคคี ผมโทมัส ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายื่นมือมา ผมเองก็เลี่ยงไม่ได้จึงส่งมือไปสัมผัสกัน
“ได้ข่าวว่าคุณโทมัสจะเปิดร้านเร็วๆ นี้”
“ใช่ครับ ร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่โตเท่าร้านคุณอัคคีหรอก”
“พอทุกอย่างเข้าที่ค่อยขยายร้านก็ไม่สายหรอกครับ ผมเองก็เริ่มจากร้านเล็กๆ เหมือนกัน”
“นั่งก่อนมั้ยครับ” เขาผายมือเชิญให้จำต้องนั่งลงตรงหัวโต๊ะอย่างไม่มีทางเลี่ยง “คุณอัคคีเปิดร้านมานานแล้วเหรอครับ ลูกค้าเยอะเชียว”
ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ ก็แค่ไม่มีโต๊ะว่างเลยก็แค่นั้น
“5 ปีได้แล้วมั้งครับ”
“5 ปีโดยปราศจากคู่แข่งเหรอครับ”
“ครับ?” ที่จริงแล้วผมได้ยินเต็ม 2 หู แต่ถ้าตอบโต้ไปคิดว่าสถานการณ์ในร้านอาจจะครุกรุ่นได้ เพราะงั้นทำเป็นหูทวนลมไปก่อนน่าจะดี
“อาหารทั้งโต๊ะนี้คุณอัคคีทำเองหมดเลยเหรอครับ”
“ไม่หรอกครับ มีพ่อครัวผู้ช่วยอยู่”
“คุณอัคคีเป็นเชฟหลัก?”
“ใช่ครับ”
“ถ้าขาดคุณอัคคีไปซักครั้ง ร้านก็แย่สิครับ”
“ไม่หรอกครับ ผู้ช่วยพ่อครัวเก่งกว่าผมอีก แต่เพราะผมเป็นเจ้าของร้านก็เลยอยากลงมือทำอาหารเอง คุณโทมัสเองก็เป็นเชฟเหมือนกัน ก็น่าจะเข้าใจนะครับ”
“นั่นสิครับ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ยังอยากทำอาหารด้วยตัวเองอยู่ดี” คุณโทมัสกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมน่าฟัง หากในความน่าฟังนั้นกลับแฝงด้วยเล่ห์กล ช่างเป็นคนที่ไม่ควรอยู่ใกล้เอาซะเลย
“ผมต้องกลับไปทำงานแล้ว ถ้าขาดเหลืออะไรแจ้งได้เลยนะครับ” ผมยิ้มให้เขาอีกครั้งเพื่อบอกลาก่อนลุกขึ้นยืน ทว่าในตอนที่กำลังก้าวออกมา ข้อศอกก็ถูกสัมผัสแทนการเรียกให้หยุด จนต้องหันไปมองหน้าคุณโทมัสอีกครั้ง
“คุณอัคคีทำอาหารอร่อยถูกปากผมมากเลยครับ สัปดาห์หน้าถ้าไม่ติดอะไร ผมอยากให้คุณอัคคีไปเป็นเกียรติในงานเปิดร้านใหม่ของผมด้วยนะครับ”
เป็นเกลียดหรือเปล่า
แม้ไม่อยากรับแต่ก็ปฏิเสธการ์ดเชิญที่ถูกยื่นมาตรงหน้าไม่ได้เลย
คุณโทมัสทิ้งรอยยิ้มเอาไว้ก่อนสั่งให้คนของตนเคลียร์เงินค่าอาหาร ส่วนเจ้าตัวเดินออกจากร้านไปก่อน
ผมมองการ์ดเชิญในมือ ไล่สายตาดูวันเวลา สัปดาห์หน้างั้นเหรอ ส่งเสือไปดีมั้ยนะ ท่าทางคงจะสนุกพิลึก
“กล้าดียังไงมาเปิดร้านอาหารตรงข้ามร้านเรา” เสือโยนกระเป๋าลงบนโซฟาพลางโวยวายเสียงดังให้ผมต้องยกมือขึ้นปิดหูเลโอเอาไว้
“ใจเย็นน่า มันก็สิทธิ์ของเขามั้ย”
“ก็รู้ว่าเขามีสิทธิ์แต่ทำแบบนี้มันจงใจจะแข่งกับเราชัดๆ”
“ถ้าเขาอยากแข่งแล้วไงอะ เสือกลัวเอิ้นแพ้เหรอ”
“เปล่า แค่คิดว่าถ้ามีคู่แข่งเราก็จะเหนื่อยขึ้นไง”
“ดีซะอีก”
“มองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อยมั้ง” เสือยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ถ้าไม่ติดว่าเลโอนั่งอยู่บนตักล่ะก็ จะดึงเข้ามาจูบให้ปากเจ่อเลย
“ที่ญี่ปุ่นน่ะ มีห้างๆ นึงที่มีร้านอาหารแบบเดียวกันตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กันหลายร้านเลย และในทุกๆ เดือนเค้าก็มีการประเมิณ ถ้าใครแพ้ก็ต้องเก็บของออกไป เพราะเป็นแบบนั้น ทุกร้านจึงต้องรักษามาตรฐานของตัวเอง แล้วก็พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ”
“ก็นั่นมันญี่ปุ่น” ดูเหมือนเสือจะยังไม่ค่อยเข้าใจผมเท่าไหร่แฮะ
“การทำแบบนั้นมันส่งผมดีทั้งต่อลูกค้าที่ได้กินอาหารที่มีคุณภาพและรสชาติดี ตัวร้านเองก็อย่างที่บอกเสือไปไง”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเคสนี้ล่ะ”
“เอิ้นตื่นเต้นมากเลยนะ”
“ตื่นเต้นเรื่องอะไร แล้วทำไมอยู่ๆ เปลี่ยนเรื่อง”
“ไม่ได้เปลี่ยน เอิ้นแค่จะบอกว่า เอิ้นไม่กลัวการที่มีร้านอาหารมาเปิดแข่ง แต่เอิ้นตื่นเต้นที่ร้านเราจะมีการเปรียบเทียบ ถ้าลองมองอีกมุมนึง การที่มีร้านอาหารอยู่ฝั่งตรงข้าม และหากลูกค้ายังอยู่กับเรา นั่นก็หมายความว่ารสขาติอาหารของเราเยี่ยมที่สุดยังไงล่ะ”
“มองโลกในแง่ดีมาก” เสือลากเสียงยาว ชักสีหน้าล้อเลียนผมก่อนจะถอดเสื้อเชิ้ตออกต่อหน้าต่อตาแล้วค่อยเดินไปยังห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย
นี่ก็ช่างยั่วเหลือเกิน ถ้าวันไหนเอิ้นทนไม่ได้ล่ะก็ จะมาร้องบอกให้หยุดก็แล้วกัน
[T B C]
คิดถึงคุณเสือกับคุณเอิ้นอีกแล้วค่ะ