มาแล้วครับ...ขออภัยที่หายไปนานมาก เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนของทุกปี เหมือนนัดกันเสมอ เป็นช่วงที่งานจะยุ่งมากจริงๆ
ช่วงกันยายนของปีที่แล้ว ผมเริ่มแต่งเรื่องนี้กลับมาใหม่ท่ามกลางงานอันวุ่นวายแบบนี้แหละครับ แต่ยังไงก็ตาม ผมเขียนจบแน่นอน ไม่หนีหายแน่นอนครับ
บทที่ 64 มาแล้วครับ ไม่เป็นการเสียเวลา มาดูกันต่อเลยดีกว่าครับ^^
**********
Chapter 64 แผงหนังสือในร้าน Kinokuniya สาขาสยามพารากอน ตอนนี้ สงบเงียบจนไม่อยากกลับไปบ้าน...หรือที่ตอนนี้ผมเรียกว่าคุกนั้นแหละ ผมรู้ว่าผู้ช่วยผมอยู่ไม่ห่างจากผมมากนัก เดินตามผมห่างๆ และช่วยถือหนังสือเล่มที่ผมต้องการซื้อ การอ่านหนังสือ ตั้งใจทำทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด พอจะช่วยให้ผมลืมเรื่องในใจไปได้ในบางเวลา
“แทน” ใครเรียกผม คุ้นมาก ผมหันไปทางต้นเสียงที่เรียกผม
“ต้าร์ สวัสดี” ผมเกือบทักผิดคน เพราะต้าร์ในชุดนักเรียนกางเกงน้ำเงินตอนนี้ หนวดกับเคราเริ่มหนาเหมือนไม่ได้โกนมา มันทำให้หน้าคุณชายที่หล่อเหลา ดูเป็นเข้มขึ้นแบบคนละคนไปเลย
“ตกใจหน้าเราเหรอ จะไปถ่ายแบบวันเสาร์นี้ เค้าต้องการให้หน้าเข้มดุกว่าปกตินิดนึง เลยต้องไว้หนวดกับเครา ดูเข้มนิดๆ ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นเปล่า” ผมได้แต่พยักหน้าเล็กๆ ในขณะที่ต้าร์มองรอบๆ ไปมาช้าๆ อย่างสุขุมที่สุด แล้วผู้ช่วยผมก็เดินมาประกบผม เพราะต้าร์จัดว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับผม
“สวัสดีครับ ผมต้าร์ ลูกชายคุณพีระกับคุณหญิงมณี ผมคงไม่รบกวนเวลาของแทนมากครับ” น้ำเสียงของต้าร์ถึงจะไม่ได้วางอำนาจ แต่เสียงที่แน่นของต้าร์ ก็ทำให้ผู้ติดตามผม ต้องเดินถอยออกไปให้ผมอยู่กับต้าร์เป็นส่วนตัว
“โทรหาคุณแม่นะ เดี๋ยวเราจะคุยเอง” ต้าร์บอกผมแบบกึ่งกระซิบ ผมโทรหาคุณแม่ แล้วต้าร์ก็พยักหน้าขอโทรศัพท์ผมไปคุย
“ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมต้าร์นะครับ” ต้าร์เริ่มต้นทักทายแม่ผมก่อน
“ผมเจอแทนที่ร้านหนังสือ ผมเลยขอยืมมือถือโทรมาทักทายคุณน้าครับ เดี๋ยววันนี้ผมขอชวนแทนไปทานข้าวด้วยจะได้ไหมครับ” ต้าร์เอยปากขอกับแม่ผม ในขณะที่ต้าร์ยิ้มอย่างไม่กังวลอะไรกับการคุยกับแม่ผม
“ผมขับรถมาครับวันนี้ ไม่ได้ขับมอไซค์มา ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมพาแทนส่งที่บ้านแน่นอน แล้วจะแวะไปสวัสดีคุณน้าที่บ้านด้วยนะครับ” ต้าร์ยิ้มกว้างขึ้น แล้วส่งมือถือกลับมาให้ผมคุยต่อ
“ครับ คุณแม่” ผมรับสายคุยต่อจากต้าร์ คุณแม่ผมบอกแค่ว่าอย่ากลับบ้านดึกมาก ก่อนที่ผมจะสวัสดีแล้ววางสายไป ต้าร์ขยิบตาหนึ่งที ก่อนจะหันไปมองผู้ติดตามของผม ที่ไม่ถึงนาทีถัดมา ก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณแม่ผม
“กระเป๋ากับย่าม เอากลับบ้านไปก่อนนะ คุณแม่บอกแล้วนะ” ผู้ติดตามผมพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ในขณะที่ต้าร์รีบจูงมือผมไปหลบหลังชั้นหนังสือในมุมที่ลับตามากขึ้น
ต้าร์ไม่พูดอะไร นอกจากบอกยกนิ้วชี้ประทับริมฝีปากบอกให้ผมอยู่เงียบๆ แล้วถอยออก ก่อนจะชี้บอกผมให้รออยู่ตรงนี้ ต้าร์ค่อยๆ ออกไปสักพัก ไม่ถึงสามนาทีถัดมา ต้าร์กลับมาอย่างรวดเร็ว
“การ์ดของแม่แทนมีสองคนใช่ปะ” ผมพยักหน้า
“ทั้งคู่อยู่นอกร้าน ยืนรอหน้าร้านจุดนึงกับรอตรงลิฟท์ในร้านจุดนึง...” ต้าร์เหมือนคิดอะไรอยู่สักครู่ ก่อนจะยิ้มออกมา แล้วกระซิบข้างหูผมเบาๆ
ผมกับต้าร์เดินออกจากร้านหนังสือตรงประตูจอดรถ โดยเดินเลาะชั้นหนังสือให้พ้นจากระยะประตูร้าน ก่อนจะวิ่งออกไปทางลานจอดรถ ต้าร์เรียกผมให้วิ่งตามไป เสียงปลดล็อครถคันนึงดังขึ้น วันนี้ต้าร์ไม่ได้ขับ Porsche Cayman GTS คันที่ผมเคยนั่ง แต่เป็น BMW M6 Gran Coupe สีเงิน ผมกับต้าร์รีบเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ก่อนที่ต้าร์จะคว้าเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสวมทับเสื้อนักเรียนอีกที
“อาทิตย์ก่อน เราเห็นแทนอยู่ร้านหนังสือ แต่มีคนติดตาม เราว่ามันแปลกๆ เราเลยขับมอไซค์ตาม แต่ก็ไม่ใช่คอนโด แต่เป็นบ้านหลังใหญ่มาก เราเลยคิดว่า มันต้องไม่ปกติแน่” ต้าร์พูดขึ้นหลังจากที่คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วติดเครื่องรีบออกรถอย่างรวดเร็ว
“พ่อกับแม่เราย้ายมากรุงเทพฯ เราก็เลยต้องไปอยู่ด้วย” ต้าร์พยักหน้าอย่างเดียว ในขณะที่รถกำลังวิ่งลงทางจอดรถอย่างรวดเร็ว
“ถ้าไม่มีเรื่อง แทนก็คงไม่ย้ายไปอยู่บ้านพ่อกับแม่หรอก” ผมรู้สึกเหมือนโดนแทงใจดำอย่างบอกไม่ถูก ต้าร์ส่งบัตรจอดรถพร้อมเงินค่าจอดก่อนจะรีบออกมาจากตัวห้างฯ
“เราไปหาบิ๊กมาเมื่อวานนี้ บอกว่าจะพาแทนไปหา” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหูฟาดไป
“Range Rover สีดำที่ติดอยู่หลังเราสองคันนั้น ใช่รถที่แทนนั่งปะ” ผมเหลือบไปดูกระจกมองข้างให้ชัดๆ จนพอจะเห็นทะเบียนรถ ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งที
ทันทีที่รถของต้าร์ แตะถนนใหญ่ เลี้ยวซ้ายออกจากห้างฯ แล้วเลี้ยวขวาไปทางสี่แยกอังรีฯ ต้าร์กดคันเร่งแล้วมุดหนีตามช่องทันที บางจังหวะก็ทำให้รถคันอื่นกับมอไซค์ต้องบีบแตรยาวใส่ ต้าร์ส่ง iPhone ของตัวเองให้ผม
“กดโทรศัพท์หาบิ๊กให้ที” ผมรับมากดเบอร์มือถือของบิ๊ก หลังจากโทรเสร็จ เสียงรอสายดังในลำโพงของรถของต้าร์ สองทีต่อมา
“เห้ยมึง!!! กูได้มาละ กำลังสลัดให้หลุดแล้วไปหาที่จุดนัดนะ ไปคุยกับแทนต่อเอง” ต้าร์พูดกับบิ๊กหลังจากบิ๊กรับสายแล้ว ก่อนจะส่งมือถือให้ผมคุยต่อ
“แทน...โอเคนะ” เสียงแรกของบิ๊กในรอบสองเดือนนับจากวันที่เราจากกัน...น้ำตาของผมไหลออกช้าๆ
“ครับ...บิ๊กละ” ผมลืมไปด้วยซ้ำว่าตอนนี้รถกำลังเลี้ยวซ้ายจนเอียงเทไปทั้งคันก่อนจะเลี้ยวพ้นพอดี
“โอเคที่สุดครับ เราจะรีบไปหานะ” ผมได้แต่ตอบฮือไป เพราะสองเดือนที่ไม่ได้คุยกัน มันทำให้ผมแทบจะพูดไม่ออก มันมีอะไรมากมายเต็มไปหมดที่อยากพูดออกมา ผมส่งมือถือคืนให้ต้าร์
“ไปรอที่นัดหมายได้แล้วมึง ไปช้าเวลาเจอกันน้อยโทษกูไม่ได้นะ” ต้าร์พูดขณะที่กำลังมุดแล้วแหกไฟเหลืองกลางแยกสามย่านที่เหลือแค่วินาทีสุดท้ายจนรถเด้งตามพื้นถนนแบบเต็มแรง
“ขอบใจมากนะ” เสียงบิ๊กเองก็บอกได้ว่ากำลังร้องไห้เหมือนที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้
“กูขอสลัดให้หลุดก่อนนะ แล้วเจอกันที่นัดหมาย ถึงไม่โอเค เดี๋ยวโทรไปบอกแผน B” ต้าร์รีบพารถตัวเองลัดเลาะไปให้ถึงทางด่วน เมื่อรถของต้าร์มาถึงหน้าด่านจ่ายเงิน ช่อง EasyPass ที่โล่งอยู่ เป็นใจให้ต้าร์สามารถขึ้นทางด่วนได้ โดยที่มองไปข้างหลัง รถของต้าร์สามารถสลัดรถของผมที่ขับตามหลุดไปได้เรียบร้อย
“แทน ปิด Locations ในมือถือตัวเองด้วยนะ” ผมจัดการตามที่สั่ง ในขณะที่ต้าร์ยังขับแบบไม่ลดความเร็ว ช่องทุกช่องที่ต้าร์สามารถวิ่งได้เพื่อทำเวลาทำให้ M6 ของต้าร์วิ่งเหมือนลูกธนูที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ทีนี้ เราเลยไปดักบิ๊กที่หน้าโรงเรียนเมื่อวาน ก็เลยรู้ว่าเรื่องทั้งหมดของแทนเกิดอะไรขึ้น เราอาสามาช่วยเอง เพราะคุณน้าคงไม่รู้ว่าเรารู้จักกับบิ๊ก และอย่างน้อย คุณน้าน่าจะเกรงใจเรากับสถานะครอบครัวเราที่มีต่อการงานด้วย” ต้าร์ยังคงเพ่งสมาธิกับทางด่วน
“แล้ว...เราจะไปไหนกันอะ” ผมก็อยากรู้ว่าต้าร์จะพาผมไปไหน
“บ้านเรานี่แหละ ชัวร์สุด” ต้าร์หันมายิ้มกับยักคิ้วให้ผม ในขณะเสียงท่อของรถต้าร์ยังคงแน่นและดังขึ้นจากการเร่งเพื่อทำเวลาต่อไป
ผมบอกไม่ถูกกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่...มันเหมือนฝันอย่างบอกไม่ถูก
เกือบห้าโมงเย็น ผมอยู่ในซอยที่สองข้างทางค่อนข้างเงียบจนนึกในใจว่า ตอนกลางคืนคงจะเงียบและเปลี่ยวเอาเรื่อง และไม่ถึงห้านาทีที่เข้าซอยมา บ้านหลังใหญ่แบบเดียวกับที่แม่ผมพาผมไปอยู่ เมื่อประตูเปิดออกมา บรรยากาศที่ร่มรื่นของสนามหญ้าเป็นสิ่งแรกที่ผมเห็น และต้าร์ก็เลี้ยวรถจอดหน้าบันไดหินอ่อนของบ้าน
“สวัสดีครับคุณแทน คุณหนู คุณบิ๊กมาถึงแล้ว อยู่เรือนหลังเล็กแล้วครับ” ชายในชุดซาฟารีอายุประมาณ 50 กว่าๆ รีบวิ่งมารายงานให้ต้าร์รับทราบ ก่อนที่ต้าร์จะยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม ก่อนที่คนงานของต้าร์จะย้ำให้ต้าร์ไม่ต้องไหว้ขอบคุณผู้น้อยเช่นนี้อีก แล้วขับรถของต้าร์ไปเก็บที่โรงรถ
“เราจะให้แทนอยู่กับบิ๊กสองต่อสองตามสบายเลยนะ ของใช้จำเป็นทุกอย่างครบ อยากกินไรโทรศัพท์เข้าครัวกลางเราไปเลย หรือถ้าจะโทรหาเราก็มีเบอร์ติดอยู่ที่โทรศัพท์นะ” ผมเดินตามต้าร์ที่กำลังพาผมเลาะไปตามสวนที่ล้อมคฤหาสน์ของต้าร์ ผ่านสระว่ายน้ำหลังบ้านที่น้ำใส ใหญ่พอที่จะว่ายเป็นเรื่องเป็นราว
“ทำไมต้องช่วยเราด้วย” ความคิดนี้มันวนเวียนไปมาตั้งแต่ที่ต้าร์เริ่มทักและพาผมมาถึงตรงนี้ ต้าร์หยุดสักครู่ ก่อนจะหันมาบอกผมว่า
“เวลามีน้อยนะ อย่าพึ่งถามอะไรเลย คนที่แทนควรใช้เวลาด้วยคือบิ๊กนะ” ต้าร์หันกลับไปเดินนำต่อ
เรือนหลังเล็กที่ต้าร์หมายถึง เป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่ล้อมด้วยสวนกับไม้ยืนต้นใหญ่จนรู้สึกได้ถึงความร่มรื่น หน้าทางเข้าบ้านเป็นบริเวณที่สามารถจัดงานเลี้ยงกลางแจ้งได้ เมื่อต้าร์เค้าประตูกระจกขุ่นแบบบานเลื่อน ทันทีที่ประตูเปิดออกมา บิ๊ก...
นี่คือครั้งแรกหลังเกิดเรื่องที่คอนโดแม่ผม ที่ผมได้เจอบิ๊กแบบตัวเป็นๆ อีกครั้ง
……………….
สามเดือนเต็ม...ที่ผมได้แต่เฝ้าดูแทนห่างๆ ขับน้องถ่านห่างๆ จนรู้ว่าแทนพักที่ไหน พักอยู่ห้องมุมไหนของบ้าน ผมได้แต่มอง ผมไม่กล้าติดต่อ ไม่อยากให้แทนเดือดร้อน ทุกอย่างได้แต่เขียนผ่านจดหมายที่มีแชมป์กับไบร์ทช่วยเป็นสื่อกลางในการส่งให้ ทุกเช้า ทุกเย็น ผมฟิตร่างกายหนักมาก ถ้ามันต้องวิ่ง ปีน และใช้เพื่อแอบเข้าบ้านไปหาแทน ผมจะทำโดยไม่ลังเล
ผมไม่คิดว่าคนที่จะช่วยให้ผมได้เจอกับแทนอีกรอบ จะเป็นต้าร์ อันที่จริง ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าต้าร์จะช่วยผมไปทำไม ช่วยไปก็ไม่ได้อะไรจากแทน และไม่คิดว่าต้าร์จะช่วยได้ แต่ประโยคนึงที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุญที่ใช้ไม่หมดกับต้าร์คือ
“เราก็ไม่เคยลืมแทนได้หรอก ถ้าสิ่งที่เราทำ ช่วยให้แทนมีความสุข เราก็มีความสุขวะ” พ่อพระเอกจริงๆ...ผมยอมให้มันหล่อกว่าผมก็ตอนนี้แหละ หลังจากผมนัดแนะแผนการณ์ทุกอย่างแล้ว หลังจากเลิกเรียน ผมขับน้องแพนด้า (Toyota 86) มาที่บ้านต้าร์ก่อนห้าโมงเย็นตามที่นัดเวลาไว้ บ้านของต้าร์ทำให้ผมเชื่อแล้วว่า คนๆ นี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
“แทน...” ภาพแรกของแฟนผมตัวเป็นๆ หลังจากผมไม่เจอสามเดือนเต็มๆ ทำให้ผมพูดออกแค่นี้ สิ่งแรกที่ผมทำ คือการพุ่งไปกอดแทนไว้แน่นๆ ในขณะที่แทนเองก็กอดผม ผมรู้สึกแค่น้ำตาของแทนกำลังไหลออกมาเปื้อนหน้าอกเสื้อนักเรียนผม
“บิ๊ก...ทุ่มตรงหมดเวลานะ ทานมื้อเย็นที่บ้านเราก่อนกลับด้วยละ เราไปละ” ผมพยักหน้าขอบคุณต้าร์ สิ่งที่ผมมองเห็นจากต้าร์ตอนนี้คือ แววตาที่พยายามกลบความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป
“เราไม่ได้ฝันใช่ไหม” คำถามแรกของแทนทำให้ผมรู้สึกเกลียดที่ตัวเอง ที่ไม่สามารถพาตัวเองไปหาแทนได้ตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมา
“เราอยู่นี่แล้ว เข้ามาก่อนเถอะ” ผมพาแทนเดินเข้าเรือนหลังเล็กของบ้านนี้ ก่อนจะพาขึ้นไปชั้นสอง เป็นห้องนอนที่ต้าร์เตรียมไว้ให้ผมอยู่กับแทนสองต่อสองตามสบาย เมื่อผมพาแทนเข้ามาในห้องแล้ว สิ่งแรกที่ผมทำทันทีคือ...ผมดึงแทนมากอดแน่นๆ ก่อนจะส่งริมฝีปากกับลิ้นตัวเองประกบเข้าริมฝีปากของแทนทันที
มันไม่ใช่จูบที่มีความใคร่อยู่ในสัมผัสนั้น ผมคิดถึง...ถ้านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ผมขอให้สัมผัสนี้ติดอยู่ที่ริมฝีปากผมนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แทนเองก็บดริมฝีปากกับลิ้นรับกับสัมผัสผมเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความคิดถึงแบบที่ผมรู้สึกเช่นกัน
“บิ๊กตัวใหญ่ขึ้นมาก แบบ...เสื้อนักเรียนฟิตเลยอะ” แน่นอนว่าช่วงนี้ทุกคนรอบตัวผมทักหมด ผมต้องการร่างกายผมทุกสัดส่วนที่แข็งแรงและพร้อมเสี่ยงภัยทุกแบบได้ถ้าผมเห็นช่องที่จะไปหาแทน
“จะได้หล่อขึ้นเวลาแทนเจอเราไง แทนโอเคนะ แม่แทนไม่ทำอะไรกับแทนรุนแรงใช่ไหม” แทนพยักหน้าให้ผม แต่ก็ร้องไห้มากกว่าเดิมจนผมต้องเช็ดน้ำตา แล้วพาแทนไปนั่งที่เตียงนอนในห้อง
“เราขอโทษที่ติดต่ออะไรไม่ได้ มือถือเราอยู่กับการ์ดของแม่เราตลอด เราจะได้ใช้มือถือต่อเมื่อเรียกขอ มันไม่ได้อยู่กับเรา ไม่ว่าจะคุยหรือใช้ทางไหน การ์ดแม่เราจะเอาไปตรวจว่าทำอะไร เราเลยไม่สามารถติดต่อบิ๊กได้” เสียงสะอื้นของแทนบอกถึงความลำบากที่ต้องเจอในช่วงที่ผ่านมา ผมประทับริมฝีปากที่หน้าผากของแทนก่อนจะเช็ดน้ำตาคนรักของผมเบาๆ
“ไม่เป็นไรนะครับ แค่ได้อ่านจดหมายที่แทนเขียนฝากไบรท์มาให้ เราก็มีแรงสู้แล้ว เราตามมองแทนตลอดนะ ขับตามแทนจนถึงบ้านทุกวัน เหมือนไปส่งแทนถึงที่บ้านเลยรู้ไหม” ผมพยายามยิ้มให้กว้างๆ เพื่อให้เวลาที่จำกัดนี้ออกมาบรรยากาศดีที่สุด
“บิ๊ก...เราคิดอะไรอย่างนึงมาตลอด เป็นความคิดที่เราอยากทำที่สุดตอนนี้” น้ำเสียงจริงจังกึ่งร้องไห้ของแทน ทำให้ผมรู้ว่าแทนตั้งใจในสิ่งที่กำลังจะบอกผม
“เราหนีไปด้วยกันได้ไหม ไปให้ไกลจากทุกอย่าง เราจะช่วยบิ๊กหาเงินเลี้ยงตัวเอง ขอแค่บิ๊กโอเค เราจะไปกับบิ๊กทุกที่นะ” ผมกอดแทนไว้แน่นๆ ก่อนจะบอกกับแทนทั้งที่กอดไว้ว่า
“เรื่องของเราสองคนยังไม่ได้มาถึงจุดสิ้นหวังนะ ถึงมันดูเลวร้ายจนไม่มีทางออก แต่เราเชื่อว่าเราทั้งคู่จะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันได้ โดยที่ทุกอย่างยอมรับเราด้วยดีแน่นอน เราสัญญา สัญญาด้วยชีวิตเรา เรื่องของเราทั้งคู่ต้องมีอนาคตแน่นอน” แทนปล่อยโฮออกมาหนักขึ้นกว่าเดิม
“บิ๊กไม่รู้หรอก สิ่งที่บิ๊กกำลังเจอ มันเลยความเมตตาปราณีทุกอย่าง มันโหดร้ายและทำให้บิ๊กถึงตายได้นะรู้ไหม” ความอ่อนแอที่แทนมีตอนนี้ ทำให้ผมไม่อยากพูดอะไรดีๆ เพื่อให้ความหวังว่ามันจะดี แต่...ผมมีอย่างเดียวที่รู้ว่ามันดีสำหรับเรื่องของผมกับแทนแน่นอนคือ...
“ถ้าเราแพ้ แล้วต้องตายเพราะแม่แทน เรายินดี เพราะเราเต็มใจให้แทน แต่ถ้าเราหนี แล้วทิ้งให้แทนอยู่แบบนี้ เราตายทั้งที่หายใจอยู่ ซึ่ง...เราทำได้แน่นอน” ที่จริง ผมคิดไว้อยู่นานแล้วว่า สิ่งแรกที่ผมจะทำกับแม่ของแทนคือ
“เราตัดสินใจแล้ว เราจะเข้าไปกราบแม่ของแทน ขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้น และขอให้ลดความตึงเครียดที่แม่แทนทำกับแทน” แทนรีบส่ายหน้าแบบไม่เห็นด้วยทันที
“ไม่นะ แม่เราไม่จะฆ่าบิ๊กก่อนที่บิ๊กจะพูดด้วยซ้ำ” ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น
“เราเชื่อว่าแม่แทนยอมฟังเรา เราไปเพื่อไปถอยหนึ่งก้าว แล้วหาทางก้าวกลับไปดีๆ ถึงแม่แทนจะใจร้ายแค่ไหน ความดีน่าจะชนะใจได้นะ ถึงมันจะใช้เวลานานก็ตาม แต่...เรามีเวลาให้แทน ทั้งชีวิต... รอได้ไหมครับ” แทนมองผมด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาก
“บิ๊ก สิ่งที่บิ๊กคิดไม่มีทางเป็นจริงได้แน่นอน แม่เราถ้าคำไหนคำนั้นจริงๆ ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนใจแม่เราได้ อีกอย่าง สิ่งที่เราเป็น แม่เราก็ไม่มีวันยอมรับแน่นอน” ผมไม่เคยคิดว่าสิ่งที่แทนเจอ จะทำลายจิตใจลึกๆ ของแทนที่ปกติเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอได้ขนาดนี้
“เรานึกออกแล้ว ลองให้คุณยายของแทนช่วยพูดให้ได้ไหม” ผมคิดถึงบุคคลที่สามที่พอจะช่วยเรื่องของเราสองคนได้อยู่คนเดียว คุณยายของแทนใจดี น่าจะช่วยได้แน่นอน
“เราไม่กล้ารบกวนท่าน ช่วงก่อนที่เราจะมาเรียน กทม. ท่านเป็นโรคหัวใจตีบ ถ้าเราเล่าเรื่องนี้ไป มันต้องทำให้คุณยายเป็นอะไรแน่ๆ เลย เราไม่อยากให้แม่กับคุณยายต้องทะเลาะกันเพราะเราอีก แค่นี้ทุกคนก็เดือดร้อนเพราะเราหมดแล้ว” ผมไม่อยากไปไหน อยากพาแทนไปอยู่เงียบๆ โดยที่ผมจะไม่ปล่อยกอดนี้เด็ดขาด
“เราจะกอดแทนไว้แบบนี้ ไม่ต้องกลัวนะ เราจะสู้ให้ถึงที่สุด พักนะครับ” แทนพยักหน้าในอ้อมกอดของผมอยู่
นี่คงดีที่สุดกับความสามารถผมที่จะทำให้แทน...
……………….
ผมปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรได้มากไปกว่า กอดแทนไว้แบบนี้ แฟนผมอ่อนแรงอย่างยิ่ง แรงที่มีถูกใช้ไปกับการร้องไห้กับสภาพที่แทนเจออยู่ตอนนี้ ความเหนื่อยล้าทำให้แทนหลับไป แต่ยังมีเสียงร้องไห้ตามมาบ้างเบาๆ
“บิ๊ก...” ผมตอบรับด้วยจุมพิตที่กระหม่อมของแทน
“บิ๊กเรียนรู้เรื่องไหมตอนที่เราไม่อยู่ กินอาหารดีๆ ไม่กินอาหารเวฟเปล่า และก็ ไม่ขับน้องถ่านเร็วเกินไปด้วยใช่ไหม” คำถามทั้งหมดของแทน ผมตอบข้างหูของแทนว่า
“ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ขยันกว่าเดิม กินดีไหม ไข่ต้ม อกไก่ อะไรที่บำรุงให้เราแข็งแรงเรากินหมด ส่วนน้องถ่านสบายดี มันบอกเราด้วยแหละ ว่าคิดถึงคนซ้อนท้าย แล้ว...แทน ตอนไม่มีเรา ยิ้ม หัวเราะ ร่าเริงบ้างไหม...” ไม่มีอะไรที่ผมห่วงแทนมากกว่ารอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติของแทน มันเลยเป็นคำถามแรกที่ผมอยากถามบ้าง
“ฮือ...ยิ้มซิ ทุกครั้งก่อนนอนเราจะยิ้มให้น้องหมีของบิ๊ก ละก็...ดูรูปที่บิ๊กให้เราไว้...” ผมพึ่งเห็นรอยยิ้มที่ยิ้มยิงฟันกว้างๆ เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาเจอกันนี่แหละ แทนค่อยๆ ใช้สองมือจับแก้มผมตรงริมฝีปากทั้งสองของข้างของผมเบาๆ แล้วดึงแก้มผมออกให้ยิ้มตาม
“บิ๊กยิ้มแล้ว เราจะจำภาพนี้ให้ดีที่สุดนะ” ผมยิ้มให้กว้างขึ้น ก่อนจะอิงหัวตัวเองไปซบหน้าผากแทนเบาๆ
“ถ้าแทนอยากเจอเรา ติดต่อเราได้เลยนะ จะปีนเข้าบ้านไปถึงห้องแน่นอน” แทนส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่เป็นไรนะ ยังไงเราก็จะมาเจอบิ๊กให้ได้บ่อยๆ นั่นแหละ สัญญานะว่าจะไม่ทิ้งเราไปไหน” ผมพยักหน้าแล้วเอายกฝ่ามือขวาขึ้นมาสาบาน
“สัญญาด้วยชีวิตของเราครับ” แทนกอดผมแน่นๆ ผมลูบศีรษะแฟนผมช้าๆ เบาๆ
“กี่โมงแล้วอะครับ” แทนถามเวลาผม ข้อมือซ้ายกับ Apple Watch บอกเวลาเกือบทุ่มตรงแล้ว ผมดูการแจ้งเตือนในนาฬิกา ต้าร์ยังไม่ตามอะไรผม
“จะทุ่มตรงแล้วครับ หิวข้าวไหม” แทนมองผมยิ้มๆ ก่อนจะตอบว่า
“ถ้ากินกับบิ๊ก เราหิวทั้งวันแหละ” ผมพยักหน้าก่อนจะหยิบมือถือโทรหาต้าร์ แต่ยังไม่ทันที่จะโทรออกไป
“รู้ใจเปล่าวะเนี่ย จะโทรบอกว่าจะไปกินข้าววะ” ผมรับสายต้าร์แล้วทักก่อนเลย
“บิ๊ก!!! มึงรีบหลบในห้องนอนนะ แล้วให้แทนเดินกลับมาเรือนใหญ่คนเดียวนะ พ่อแทนตอนนี้อยู่ห้องรับแขก พ่อกับแม่กูรับหน้าอยู่” ผมรีบเก็บสีหน้าให้ปกติโดยทันที
“กูขอโทษ ที่ทำให้มึงมีเวลากับแทนมากกว่านี้ไม่ได้” ผมยิ้มออกมา ในขณะที่อีกมือก็ลูบศีรษะแทนเบาๆ ไปด้วย
“กูรู้เรื่องละ เดี๋ยวว่ากันนะ” ผมตัดจบแล้ววางสายลง
ผมกอดแทนแน่นๆ อีกครั้ง แทนเหมือนจะงงว่าทำไมผมกอดแทนแน่นขนาดนี้ แต่ก็กอดผมตอบเช่นกัน จิตใจผมตอนนี้ อยากเดินไปเผชิญหน้ากับคุณพ่อของแทน แล้วสวัสดีสักรอบ เผื่อคุณพ่อจะไม่เหมือนคุณแม่ แต่...มันคงโง่มากที่ผมจะทำแบบนั้น ผมเรียกน้ำลายให้อยู่ในปากพอที่จะเริ่มพูดออกไปว่า
“ต้าร์โทรมาบอกว่า พ่อแทนมารับที่บ้านแล้ว” ผมพูดช้าๆ ชัดๆ สิ่งที่แทนตอบรับผมคือ มือที่กอดผมเริ่มแน่นขึ้น
“แทนต้องเดินกลับไปเรือนใหญ่คนเดียว แล้วจนกว่าแทนจะกลับไป เราถึงจะออกไปได้นะ” แทนพยักหน้ารับทราบว่าต้องทำอะไร ผมปล่อยแทนจากกอดที่ผมไม่อยากปล่อยออก แล้วยิ้มให้สดใสที่สุดให้แทน
แทนดึงผมมาสัมผัสริมฝีปาก ผมกับแทนหลับตาแล้วค่อยๆ บดริมฝีปากกับลิ้นไปช้าๆ ให้สัมผัสทั้งหมดซึมซับกันอย่างชัดเจนที่สุด ก่อนที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่จะแยกออกจากกัน ผมลุกขึ้นพาแทนไปส่งหน้าประตูห้องนอน และก่อนจะไป
“ไม่ว่าอะไรๆ จะแย่ยังไง ยิ้มไว้นะ” ผมใช้สองมือของผมดึงแก้มของแทนเบาๆ ให้ริมฝีปากทั้งสองข้างยกขึ้นจนยิ้ม แล้วเอาสองมือตัวเองมาดึงให้ตัวเองยิ้มบ้าง
“ดูแลตัวเองเยอะๆ นะ เราจะต้องได้กลับมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม” ผมพยักหน้าให้แทน ก่อนจะเปิดประตูให้แทนเดินออกไป
“แล้วเจอกันนะ” ผมบอกลาแทนก่อนที่แทนจะยิ้มและพยักหน้า
ภาพของแทนค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ตามบานประตูที่ปิดลง จนเมื่อประตูปิดสนิท...ผมกดล็อคประตู แล้วค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งลงหน้าประตูช้า กอดเข่าตัวเอง ถอดแว่นตาวางไว้ข้างๆ
ฮือๆๆๆ....ผมมันไร้ความสามารถที่จะปกป้องแทนจริงๆ ทำไมผมทำอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ได้ซะที...
***********
บทที่ 65 จะเป็นจุดแตกหักที่พ่อกับแม่ของแทนจะลงมือกับบิ๊กแบบไม่มีปราณี และกดดันแทนด้วยไม้แข็งมากขึ้น ในขณะที่ต้าร์เองก็แทบจะโดนลูกหลงจากเรื่องนี้ไปกับเค้าด้วยครับ
บทที่ 65 ผมจะพยายามเขียนให้ได้อ่านกันในอาทิตย์หน้าหรือเร็วกว่านั้นนะครับ (ช่วงนี้งานเริ่มคล่องตัวขึ้นบ้างแล้ว)
ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ