-13-
สถานที่ที่ใช้จัดงานแต่งเป็นรีสอร์ทหรูติดทะเลสมฐานะเจ้าของงาน อุปกรณ์ที่ใช้ในงานถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นวันเพื่อให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด จะยกเว้นก็แต่ดอกไม้ที่ยังไม่ได้เอาเข้ามาในงานเนื่องจากผู้จัดต้องการคงทนความสดใหม่ของดอกไว้ให้ได้มากที่สุด บริเวณที่ใช้เป็นลานพิธีคือริมหาดทรายสีขาวสะอาดตา มองตรงไปเห็นผืนมหาสมุทรจรดผืนฟ้า เป็นภาพที่ดูสวยงามสมกับเป็นทะเลใต้อย่างยิ่ง
“สวย…” ภีมภัทรพึมพำขณะที่สายตาจับจ้องไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงที่สาดส่องเป็นสีส้มทองสะท้อนกับผืนทะเลจนเปล่งประกายวาววับงามจับตา คงเป็นโชคดีของเขาที่เดินทางมาถึงในช่วงเย็นพอดีจึงได้เห็นภาพที่น่าประทับใจเช่นนี้
ภีมภัทรเดินทางมาถึงพร้อมกับจักรพรรดิในช่วงบ่าย เขาแวะไปที่โรงแรมเพื่อเก็บของ จากนั้นจึงไปสวนใต้เพื่อทักทายคนงานรวมถึงดูความพร้อมของดอกไม้ที่เตรียมไว้ ดีที่หัวหน้าคนงานที่คอยดูแลภาพรวมและจัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนเขามาถึงทำได้ดีไม่มีที่ติ สิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติมเลยไม่ยุ่งยากมากนัก แค่รอเข้าไปจัดดอกไม้ในงานตามเวลาที่เหมาะสมก็พอ เมื่อจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ เรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินทางมาที่สถานที่จัดงานเพื่อสำรวจภาพรวม ปรับเปลี่ยนแผนผังการจัดวางดอกไม้ให้ดีกว่าเดิมแล้วนั่งรอให้คนงานเอาดอกไม้มาส่งและจะเริ่มจัดงานอย่างจริงจังในช่วงกลางคืนเพื่อให้ดอกไม้ยังสดใหม่ในงานวันพรุ่งนี้
“ไม่เคยมาทะเลเหรอ”
ชายหนุ่มหันหน้าไปหาคนถาม มองสบดวงตาคมคู่นั้นพร้อมยิ้มให้เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจ จักรพรรดิจะสงสัยก็ไม่แปลก ในเมื่อภีมภัทรเป็นคนไทย เกิดที่ไทย ถึงแม้จะไปเรียนต่างประเทศมาแต่ก็ไม่ใช่ระยะเวลาที่นานนักถ้าเทียบกับระยะเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
“เคยครั้งหนึ่งตอนเด็กมากๆ แต่ภีมจำไม่ได้แล้ว” เขาอธิบายแล้วหันหน้ากลับไปมองพระอาทิตย์ตกเช่นเดิม “ปกติก็อยู่แต่ที่ภาคเหนือซึ่งไม่มีทะเล หลังกลับมาจากต่างประเทศถึงจะไปทำร้านดอกไม้ที่กรุงเทพฯอยู่ช่วงหนึ่งแต่ก็แทบไม่ได้ไปไหนเลย”
“อา...พี่เกือบลืมไปแล้วว่าภาคเหนือไม่มีทะเล” จักรพรรดิเหยียดยิ้มขนขื่น “จากไปนานจนแทบจำอะไรไม่ได้ ยังดีแค่ไหนที่พูดภาษาไทยได้อยู่”
ภีมภัทรหันกลับมาจ้องมองคนด้านข้างอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ด้านลบที่ส่งผ่านออกมาทางคำพูด เขาคุกเข่าลง จับมือใหญ่มากุมไว้เหมือนทุกครั้งที่ต้องการให้พี่จักรของตนกลับมายิ้มได้
“ถึงจะจำไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย จากนี้พี่จักรจะได้อยู่ที่นี่ไปอีกนาน ค่อยๆ สร้างความทรงจำใหม่ก็ได้ คราวนี้ดีกว่าเดิมอีกนะเพราะมีภีมอยู่ด้วย” พูดแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเห็นด้วยกับตัวเอง แบบนี้คนมองจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มตามแล้วบีบมือเรียวกลับ
“รู้แล้ว”
“ถ้ารู้แล้วก็นึกถึงภีมให้มากๆ ดีกว่าไปนึกถึงเรื่องไม่ดีนะ”
“ที่พูดมานี่สรุปคือต้องการให้พี่นึกถึงภีมแค่คนเดียวถูกไหม” เขาถามออกไปตรงๆ เพราะดูท่าทีแล้วอีกฝ่ายน่าจะอยากพูดแบบนี้มากกว่า แต่คำถามตรงๆ เหมือนไม่คิดอะไรนั่นกลับทำให้คนฟังเริ่มหน้าร้อน
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ภีมภัทรโบกมือไปมาเพื่อปฏิเสธ
“แล้วแบบไหน”
ถามแบบนี้มาต้องการให้ตอบอะไรเล่า...
คนที่ยังไม่ชินกับการโดนแกล้งถลึงตาใส่ ปากอ้าๆ หุบๆ เหมือนอยากจะบ่นอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี สุดท้ายจึงได้แต่ยกมือยอมแพ้แล้วพูดเสียงนิ่ง
“แบบนั้นก็ได้”
“แบบไหนนะ” ยังไม่หยุดแกล้ง...
“พี่จักร...”
“โอเค ไม่แกล้งก็ได้” จักรพรรดิหัวเราะเบาๆ ขณะใช้มือที่ว่างลูบหัวเด็กน้อยขี้งอแง เขายอมให้ภีมภัทรแกะมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแล้วลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสียแต่โดยดี “ภีม...”
“หือ…” ภีมภัทรหันกลับมาเมื่อสังเกตได้ว่าน้ำเสียงที่ใช้เรียกเขาเริ่มจริงจังมากขึ้น
“ภีมจะทำงานเสร็จช่วงไหนวันนี้”
“ภีมคิดว่าน่าจะห้าทุ่มได้นะ พี่จักรมีอะไรหรือเปล่า”
“พี่นัดคุยกับเกรย์ที่โรงแรม”
ภีมภัทรหันไปมองคนพูดทั้งสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าจะนัดเจอกับเกรย์ได้ยังไงในเมื่อพวกเขาอยู่กันคนละภาคเสียด้วยซ้ำ
“พี่จักรหมายถึงโรงแรม...”
“อืม...โรงแรงที่เราอยู่นั่นล่ะ” จักรพรรดิตอบรับง่ายๆ แล้วขยายความต่อ “จริงๆ เหตุผลที่เกรย์มาไทย นอกจากจะมาเจอพี่แล้วเจ้านั่นยังมาเพื่อเที่ยวด้วย เห็นว่าจะเที่ยวให้ครบทุกภาค พอรู้ว่าพี่มาที่นี่กับภีมพอดีเลยจองห้องไว้ที่เดียวกันเพราะอยากคุยธุระกับพี่พอดี”
“อ๋อ...แล้วแบบนี้เขาจะไม่หลับก่อนเราไปถึงเหรอครับ” ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปวันอื่นจะง่ายกว่าไหม แต่หากเป็นธุระเร่งด่วนก็คงต้องคุยวันนี้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเกรงใจถ้าจะให้ฝ่ายนั้นรอนานๆ “พี่จักรไปคุยกับเขาก่อนไหม แล้วเดี๋ยวภีมทำงานเสร็จจะตามไปทีหลัง”
จักรพรรดิส่ายหน้า หากให้คุยก่อนโดยไม่ต้องรอก็คงคุยจบไปแล้ว เขาไม่ใช่คนคุยเก่ง ส่วนเกรย์ถ้าเป็นเรื่องงานก็ไม่ได้ขี้เล่นนัก คนคนนั้นจะแสดงนิสัยที่แท้จริงออกมาตอนที่อยู่กับคนสนิทเท่านั้นล่ะ
“พี่อยากให้ภีมไปฟังด้วย”
เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะให้เด็กน้อยรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา...ทีหลังจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมากอีก
“งั้นภีมจะรีบทำงานให้เสร็จนะครับ” ภีมภัทรฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ อารมณ์ดีจนแสดงออกมาทางสีหน้าเหมือนเด็กๆ เป็นท่าทีน่าเอ็นดูที่ทำให้ใครต่อใครที่เดินผ่านต่างอมยิ้ม ไม่เว้นแม้แต่คนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์
“เข้าไปข้างในเถอะ เผื่อคนจะเริ่มเอาของมาแล้ว” จักรพรรดิเอ่ยเตือนจนคนเกือบลืมตาโต พยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินมาเข็นรถพาเขาเข้าไปด้านใน
สถานที่ที่ใช้นัดหมายในการส่งของคือด้านข้างรีสอร์ทซึ่งอยู่ใกล้หาดบริเวณที่จัดงานมากที่สุด ในเวลาที่ทั้งคู่ไปถึง รถขนส่งคันใหญ่ก็จอดรออยู่ก่อนแล้ว บรรดาคนงานกำลังทยอยขนของลงมาจากรถช้าๆ ขณะนั้นเองที่หัวหน้าคนงานเดินเข้ามาหาภีมภัทรแล้วยกมือไหว้พวกเขาทั้งคู่
“คุณภีม คุณจักรพรรดิ”
“ลุงหมู...เรียบร้อยดีใช่ไหมครับ” ภีมภัทรยกมือไหว้กลับอย่างให้ความเคารพ เนื่องจากก่อนจะมาเป็นหัวหน้าที่นี่ลุงหมูเคยทำงานอยู่ข้างกายพ่อในฐานะคนสนิทมาก่อนเขาจึงคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ
“ครับคุณภีม ตอนนี้เรียบร้อยดี ถ้าจะขาดอะไรก็ไม่น่าเยอะ เอามาเติมพรุ่งนี้เช้าก็ทัน”
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวลุงให้คนขนของไปที่หาดแล้วก็เริ่มเตรียมของได้เลย เดี๋ยวภีมจะอธิบายแผนผังใหม่ให้ฟังทีละจุดอีกที”
“ได้ครับคุณภีม”
เมื่อหัวหน้าคนงานเดินกลับไปสั่งการเรียบร้อยแล้วภีมภัทรจึงหันกลับมาหาจักรพรรดิแล้วพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ภีมต้องไปเดินดูงาน พี่จักรอยากไปพักตรงไหนไหมครับ เดี๋ยวภีมพาไป”
“ไปเถอะ” จักรพรรดิตอบเสียงเรียบโดยไม่ลืมยกยิ้มให้อีกคนคลายกังวล “เดี๋ยวถ้าพี่อยากไปไหนจะเข็นรถไปเอง แต่อยากดูภีมอยู่แถวนี้มากกว่า”
“โอเค เดี๋ยวภีมรีบมาหานะ” ชายหนุ่มก้มลงบีบมือใหญ่อีกครั้งเป็นเชิงลา เมื่อได้รับการตอบกลับโดยการบีบมือเป็นเชิงรับรู้แล้วจึงหันกายเดินไปหาคนงานที่กำลังขนของลงจากรถ
เจ้าของร่างสูงใหญ่มองตามเงาร่างโปร่งไปจนสุดสายตา เขายังคงนั่งอยู่อย่างนั้นแม้จะเห็นว่าเด็กน้อยของตนเดินหายไปแล้ว จวบจนเมื่อของอย่างสุดท้ายถูกขนลงจากรถ ภีมภัทรจึงปรากฏกายให้เห็นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวหันมาเห็นเขาเข้าพอดีหรือเพราะสนใจเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ถึงได้รู้ว่าถูกเขาจับจ้องอยู่แล้วหันมาโบกมือให้แบบนั้น จักรพรรดิไม่ได้โบกมือกลับไปแต่เลือกที่จะยิ้มรับ แสงไฟที่ถูกนำมาใช้เพื่อการจัดดอกไม้ในเวลากลางคืนโดยเฉพาะสว่างจ้าไปทั่วบริเวณจนไม่เป็นอุปสรรคกับการมองเห็นนัก เขาเห็นเด็กน้อยยิ้มกว้างให้อีกรอบก่อนจะหมุนกายเดินไปอธิบายงานให้คนอื่นๆ ฟังต่อ
คนน่ามองยังคงดูน่ามองแม้จะทำหน้ายุ่งขนาดไหน ท่าทางเป็นจริงเป็นจริงในการสั่งงานขัดกับการต้องหันมาหาเขาแทบทุกนาทีทำให้จักรพรรดิอดหัวเราะไม่ได้ เขาตัดสินใจชี้มือไปที่ชายหาดเมื่อภีมภัทรหันมามอง เรียบร้อยแล้วจึงใช้แรงเข็นรถด้วยตัวเองออกไปด้านนอกไม่ให้รบกวนสมาธิของคนทำงาน
อันที่จริงแล้วทะเลในยามค่ำคืนคือสถานที่ที่จักรพรรดิชอบมากที่สุด เขาเคยไปทะเลครั้งหนึ่งตอนที่เกรย์พาไปสมัยยังอยู่ฝรั่งเศส จำได้ว่าครั้งนั้นมินตราทำโทษเขาด้วยการขังไว้ในห้องมืดนานเป็นวัน นอกจากนั้นยังออกคำสั่งให้เลิกคบเกรย์เป็นเพื่อน มองภายนอกคนอื่นอาจคิดว่าเพราะเกรย์พาเขาเหลวไหล แต่จักรพรรดิรู้ดีว่าความจริงคืออะไร...
เกรย์มีอำนาจมากเกินไป...แม้ตอนนั้นจะเป็นแค่เด็ก แต่ในอนาคตอาจจะทำให้เธอลำบากในภายหลัง
แล้วก็ไม่ผิดจากที่ผู้หญิงคนนั้นคิดนักหรอก...เกรย์ต้องนำความลำบากมาให้เธอแน่ๆ
แม้เขาในตอนนั้นจะเชื่อฟังมินตราทุกอย่าง แต่เรื่องของเกรย์เป็นข้อยกเว้น เพื่อนแท้เพียงคนเดียวที่มี คนที่นิสัยคล้ายกัน เข้ากันได้ทุกอย่าง ทำไมจะต้องตัดขาดแค่เพราะคำพูดของผู้หญิงร้ายกาจคนหนึ่ง พวกเขาทำทีเหมือนไม่ได้รู้จักกันแล้วทั้งที่แอบติดต่อกันมาโดยตลอด และจักรพรรดิก็เก่งพอที่จะหลบเลี่ยงจนไม่มีใครจับได้
ถึงจะผิดแผนไปหน่อยที่เกรย์มาที่นี่ นั่นหมายความว่ามินตราต้องรู้ว่าพวกเขายังสนิทสนมกันอยู่ แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญแล้ว
“คุณ...มาทำอะไรตรงนี้คะ” เสียงอ่อนหวานที่พูดเป็นภาษาอังกฤษจากทางด้านหลังทำให้ดวงตาคมที่กำลังจับจ้องไปยังทะเลลึกวาววับขึ้น เขาไม่คิดแม้แต่จะหันไปมอง ทว่าก็เป็นอีกฝ่ายที่เดินมาอยู่ตรงหน้าแล้วโน้มใบหน้าสะสวยเข้ามาจนใกล้ “คุณคะ”
“ไสหัวไป” น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้เจ้าของใบหน้าขาวผงะไปเล็กน้อย แต่แค่ครู่เดียวเธอก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง
“ฉันชื่อมาเรียค่ะ แล้วคุณ...”
วินาทีที่มือนุ่มนิ่มกำลังจะแตะลงบนแก้มสาก ดวงตาคู่ดุดันพลันเงยขึ้นสบพร้อมกับที่มือใหญ่ยื่นไปกำข้อมือเล็กไว้แน่นอย่างไม่ออมแรง หญิงสาวผู้ถูกทำร้ายหน้าซีดเผือกก่อนจะกรีดร้องออกมาเสียงดังเมื่อถูกผลักให้หงายลงไปบนพื้นพร้อมกับที่อีกร่างตามลงมากดทับกายเอาไว้ เธอหายใจหอบเมื่อถูกมือใหญ่กำรอบลำคอราวกับจะฆ่าให้ตาย
“ถึงฉันจะพิการ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฆ่าใครไม่ได้” ถ้อยคำกระซิบข้างใบหูดังชัดเจนราวกับจะตอกลึกเข้าไปในความทรงจำ สายตาปริ่มน้ำเริ่มพร่ามัวเพราะขาดอากาศหายใจ แต่ก่อนที่สติของเธอจะหลุดลอย เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นในความมืดมิด
“พี่จักร!” ภีมภัทรถลาเข้าไปกอดผู้ชายตัวสูงไว้จากทางด้านหลัง เขาพึมพำเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำๆ ราวกับจะช่วยเรียกสติจนมือที่เกือบคร่าชีวิตใครบางคนไปคลายแรงออก ผู้หญิงที่เกือบตายรีบขยับตัวถอยหลังแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสองหนุ่มซึ่งอยู่ในอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง
คนหนึ่งร้อนรุ่มเพราะแรงโทสะ ส่วนอีกคนร้อนรุ่มเพราะความห่วงใย
ภีมภัทรขยับตัวไปด้านหน้า สองมือประคองแก้มจักรพรรดิไว้เพื่อให้ดวงตาเหม่อลอยคู่นั้นมองสบกับเขา
“พี่จักร...มองหน้าภีม...มองภีม”
“ภีม…” แววตาของผู้เรียกสะท้านไหว
“ครับ...ภีมเอง” ภีมภัทรฝืนยิ้มทั้งที่ใจอยากร้องไห้
“ภีม…” เขารวบเอวบางเข้าไปกอดไว้แน่นราวกับกลัวอีกคนจะหายไป ใบหน้าคมคายซบอยู่กับไหล่เล็กกว่าขณะที่กายใหญ่สั่นสะท้านแบบที่ภีมภัทรไม่เคยเห็นมาก่อน “พี่ควบคุมตัวเองไม่ได้...พอภีมไม่อยู่...พี่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”
“ไม่เป็นไรครับพี่จักร ไม่เป็นไรนะ” คนเอ่ยปลอบเองก็เสียงสั่นไม่แพ้กัน ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะปวดใจที่ตัวเองไม่ได้อยู่เคียงข้างในยามที่พี่จักรต้องการ
พวกเขากอดกันอยู่แบบนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจักรพรรดิจะรู้สึกตัว เขาผละออกช้าๆ ปลายนิ้วยกขึ้นเกลี่ยแก้มขาวเบาๆ โดยที่สายตายังทอดมองใบหน้าใสที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนนิ่งงัน
“อย่าทำหน้าแบบนั้น”
“พี่จักรโอเคหรือเปล่า” ภีมภัทรรีบถาม มือยกขึ้นกอบกุมปลายนิ้วอีกคนไว้แน่น
“ไม่เป็นไรแล้ว”
เขาไม่ได้โกหก...
เป็นเพราะภีมอยู่ตรงนี้ถึงไม่เป็นไร
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ภีมเห็นพี่จักร...” เกือบจะฆ่าเธอ
“คนของมินตรา” จักรพรรดิตอบโดยไม่ปิดบัง เขาตัดสินใจรวบตัวภีมภัทรเข้ามากอดไว้อีกครั้งเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นสีหน้าของตนเองในตอนนี้...สีหน้าที่ดูราวกับต้องการฆ่าคน “พี่ใช้เวลาหลายเดือนเพื่อจดจำใบหน้าของคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมินตรา ผู้หญิงคนนั้นคือหนึ่งในนั้น”
ทำเป็นพูดภาษาอังกฤษใส่ แต่สำเนียงฝรั่งเศสที่ติดมานั่นจะเอาอะไรมาปิดได้
“เมื่อกี้ถ้าภีมไม่มา...” ภีมภัทรเพิ่มแรงกอดตอบให้แน่นขึ้นเมื่อนึกถึงตอนนั้น เขาได้ยินเสียงพี่จักรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบออกมาเสียงเรียบ
“พี่อาจจะฆ่าไปแล้ว” คนพูดชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังบางกระตุกเบาๆ เขากอดรัดอีกคนไว้แน่นขึ้นราวกับหวาดกลัวว่าจะโดนผลักออกแล้ววิ่งหนีไป “กลัวหรือเปล่า”
หัวทุยที่ซุกอยู่กับอกส่ายดุ๊กดิ๊กแทบจะทันที
“ตกใจนิดหน่อย แต่ไม่กลัวหรอก” ภีมภัทรผละตัวออกเพื่อเงยหน้ามองคนที่ยังจับแขนเขาไว้แน่น “ภีมรู้ว่าพี่จักรไม่มีวันทำแบบนั้น”
“แต่ภีมก็เห็นว่าพี่เกือบ...”
“นั่นเพราะพี่จักรถูกอารมณ์ครอบงำ พอเริ่มได้สติแล้วก็จะรู้สึกตัว”
“แล้วถ้าพี่ไม่ได้สติล่ะ” เขายังคงตั้งคำถาม
“พี่จะนึกถึงหน้าภีมก่อนจะทำแบบนั้น เชื่อสิ” คนพูดยิ้มกว้างแล้วโถมตัวเข้าไปกอดต่อ เขารู้สึกปลอดภัยยามอยู่ในอ้อมกอดนี้ มันรู้สึกดีจนไม่อยากปล่อยไปไหน
“อืม คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ” ชายหนุ่มยอมรับตามตรง เขานึกถึงภีมภัทรแทบจะตลอดเวลา หากเมื่อกี้ไม่โดนเรียกไว้ เชื่อว่าอีกไม่นานภาพดวงตาเป็นประกายของเด็กน้อยก็คงปรากฏขึ้นมาในความทรงจำจนเผลอปล่อยมืออยู่ดี
“ภีมฝากงานไว้กับลุงหมูแล้ว เหลืออีกนิดเดียวก็เสร็จ เรากลับกันเถอะครับ พรุ่งนี้คอยมาตรวจแล้วปรับตอนเช้าอีกที” ภีมภัทรบอกแล้วผละออกอีกครั้งอย่างเสียดาย เขาช่วยพยุงคนป่วยขึ้นไปนั่งบนวีลแชร์เหมือนเดิม แต่ก่อนจะได้เดินไปประจำที่เพื่อเข็นรถมือเรียวก็ถูกรั้งเอาไว้อีกครั้ง
“ขอบคุณ”
คนฟังกะพริบตาปริบๆ ก่อนรอยยิ้มสวยจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ด้วยความยินดีครับผม”
.
.
(ต่อด้านล่าง)