เถียนซานกลับไปแล้ว เจ้าตัวรู้กาลเทศะดีเป็นที่หนึ่ง ที่ถามคำถามนั้นออกมาก็คงเพราะสุดอดกลั้นแล้วจริงๆ แต่เว่ยชิงไม่มีปัญญาจะอธิบาย มันเป็นปัญหาซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับคนในตระกูล แม้เถียนซานจะมีศักดิ์เป็นหลานห่างๆ ก็ใช่ว่าจะมีส่วนรับรู้ได้ เรื่องไม่น่าคิดถึงนี้ให้มีแต่เขากับคนคนนั้นรับรู้ก็พอ เว่ยชิงนับถือลูกน้องคนนี้มากจริงๆ ตอนแรกเขาคิดว่าเถียนซานจะมาขอลาออก แต่ก็จบลงที่การถามคำถาม และยอมกลับไปโดยไม่ปริปากอะไรอีก ลูกน้องที่รู้หน้าที่และกาลเทศะแบบนี้คงหาได้ไม่มากแล้ว ยิ่งทำงานรับใช้กันมานานยิ่งไม่อยากเสียไป เขานึกดีใจที่ไม่ได้ใช้ “คำสั่ง” กับคนคนนี้
การมารายงานของเถียนซานนั้น นับว่าเป็นอาการโดยละเอียดที่สุดของเว่ยจินหยินนับตั้งแต่ล้มป่วยลง เว่ยชิงไม่รู้ว่าสมควรจะดีใจหรืออย่างไรดี ลูกชายของเขาไม่ตาย แต่เสียสติ จะด้วยเหตุอะไรนั้นเขาไม่อยากจะคิดให้มาก เพียงแต่นึกสะท้อนใจอยู่
เขาเสียลูกชายไปสองคน นิทราไปอีกคนหนึ่ง และยังเสียสติไปอีกคนหนึ่ง เพียงเพราะความหวาดกลัวเงาหลอนในอดีต แต่หากปล่อยไปมากกว่านี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปเหมือนในครั้งนั้น ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เว่ยชิงไม่หันหลังกลับ เขาจะดำเนินการต่อจนถึงที่สุด
เพื่อดับไฟแค้นที่สุมแน่นมาตั้งแต่ครั้งอดีต
----------------------------------------
เถียนซานกลับมาที่ห้องนอนของเว่ยจินหยินในเวลาหัวค่ำ จัดการเช็ดตัวและป้อนข้าวอดีตเจ้านายบนเตียง ช่วงหลังๆ นี้เว่ยจินหยินลืมตาบ่อยขึ้น สามารถทานอาหารได้บ้าง แต่ต้องป้อน และพอกินไปได้สักพักก็จะหยุด เหมือนกลับไปหลับอีก เวลาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ดูจะมองไม่เห็นอะไร เหมือนดวงตานั้นมองออกไปในที่ไกลแสนไกลจนไม่มีใครมองตามได้
เถียนซานลูบศีรษะเจ้านายเขาอย่างสะทกสะท้อน แม้แต่เสียงเรียกของเขาเว่ยจินหยินก็ไม่ได้ยิน แม้ว่าเขาจะอยู่ตรงหน้าเจ้าตัวก็ไม่ใส่ใจมอง แต่จะยิ้มออกมาบ้างเมื่อถูกแตะตัว เถียนซานไม่รู้ว่าเว่ยจินหยินฝันอะไรอยู่ แต่สีหน้ายามยิ้มนั้นมีความสุขมากจริงๆ
หนุ่มวัยสี่สิบแปดหยิบถุงใส่ขนมขึ้นมา มันเป็นขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ ที่เจ้านายของเขาเคยชอบทาน เว่ยจินหยินนั้นชอบกินของพื้นๆ อย่างไม่น่าเชื่อ หากไม่ใช่เขาคงไม่มีใครรู้ การไปพบกับเว่ยชิงทำให้เขารู้ว่าอย่างไรสัมพันธ์พ่อลูกก็คงตัดไม่ขาด แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ทราบสาเหตุของการเกลียดชังดังกล่าว เจ้านายใหญ่ของเขาดูจะพอเหลือเยื่อใยกับลูกชายคนนี้อยู่บ้าง แม้จะบางเบาเต็มทีก็ตาม เถียนซานอยากจะให้เว่ยจินหยินกลับมาดำรงสติแบบปกติมากกว่าจะอยู่แบบนี้ เขาบิขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ พอจะไม่ได้ติดคอ และหยิบไปจ่อที่ปากของอีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณชายครับ นี่ขนมปังที่คุณชอบไงครับ”
เว่ยจินหยินยังคงนิ่งเงียบ ไม่ขยับอะไรแม้แต่ลูกนัยน์ตา เถียนซานพยายามพูดอีกครั้ง
“จำได้รึเปล่าครับ ร้านนี้ที่เราไปซื้อกันประจำตอนที่คุณยังเรียนอยู่ไงครับ”
รออีกพักใหญ่เว่ยจินหยินจึงอ้าปากรับขนมปังชิ้นนั้นเข้าไป เถียนซานยิ้มอย่างดีใจ
“เป็นไงบ้างครับ อร่อยเหมือนเดิมไหม?”
“................”
นัยน์ตาของเว่ยจินหยินว่างเปล่าเหมือนเดิม เถียนซานบิขนมปังออกมาอีกชิ้นหนึ่ง และทำเหมือนเดิม คราวนี้ทางนั้นยอมรับในเวลาเร็วขึ้น กินไปได้สักพักหนึ่ง เว่ยจินหยินก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆ นัยน์ตาสีดำดวงนั้นเหมือนจะมองมาทางเขา แต่เถียนซานรู้ดี เว่ยจินหยินมองไม่เห็นเขา คงกำลังมองตัวเขาที่อยู่ในความคิดมากกว่า นั่นทำให้หัวใจของชายวัยกลางคนปวดแปลบ เขาเลื่อนมือไปจับมือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้
“คุณชายครับ มองผมได้ไหมครับ ผมอยู่ตรงนี้ครับ อยู่ตรงหน้าคุณ”
นิ้วมือเรียวนั้นบีบมือของเขาตามสัญชาตญาณ แต่นัยน์ตายังคงเลื่อนลอยเช่นเดิม เถียนซานยกมือที่ไร้กำลังขึ้นมาแนบหน้า จูบลงไปเบาๆ แล้วกระซิบอีกครั้ง
“ได้โปรดกลับมาเถอะนะครับ ผมอยู่กับคุณที่นี่ตรงนี้ ผมมาอยู่กับคุณตามสัญญาแล้ว”
นัยน์ตาของเว่ยจินหยินพริ้มหลับลงช้าๆ
---------------------------------------------
เถียนซานเก็บกวาดห้องนอนของเจ้านาย และปัดเศษอาหารที่ร่วงอยู่บนผ้าห่มและเตียงออกจนสะอาด ระหว่างนั้นเว่ยจินหยินลืมตาขึ้นมาบ้าง และหลับตาลงสลับกันไป แต่ก็ยังไม่พูดหรือแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือจากนั้น รอจนเถียนซานอาบน้ำเสร็จ กลับมาอีกทีก็เห็นเว่ยจินหยินยังลืมตาอยู่ เจ้าตัวยังคงอยู่ในท่านั่งท่าเดิมที่เขาจัดไว้ให้ ไม่รู้ว่าหลับไปทั้งๆ ที่ลืมตาหรืออย่างไร เถียนซานเอ่ยถามออกไป
“คุณชายครับ?”
เมื่อเห็นว่าไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง เถียนซานจึงจับไหล่เจ้านายของเขาเบาๆ เว่ยจินหยินจึงกระพริบตาครั้งหนึ่ง อดีตลูกน้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่ชอบเลยถ้าต้องเห็นเจ้านายนั่งตาแข็งค้างแบบนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนรูปปั้นไม่มีผิด ร่างกายของเว่ยจินหยินอุ่นขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเย็นกว่าปกติอยู่ดี เถียนซานนั่งลงข้างๆ บีบนวดมือและเท้าของอีกฝ่ายเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น ระหว่างนี้เว่ยจินหยินยิ้มออกมาอีกหลายหน เหมือนจะชอบที่ถูกบีบนวดอย่างนี้ เถียนซานอดยิ้มไม่ได้ แต่ก็รู้สึกปวดใจระคนกันไป เขาเอ่ยแทรก
“คุณชายครับ ตรงนี้แรงอีกนิดดีไหมครับ จะให้นวดตรงข้อเท้าอีกรึเปล่า?”
เว่ยจินหยินไม่มีคำตอบ มีแต่รอยยิ้มค้างคาอยู่บนใบหน้า สักพักก็หลับตาลงอีก เถียนซานนวดมือนวดเท้าเจ้านายของเขาจนอุ่นดี จึงพยุงร่างนั้นให้เอนตัวลง เพราะเว่ยจินหยินหลับตาแล้ว พอหัวถึงหมอน นัยน์ตาสีดำคู่นั้นก็ลืมขึ้นมาอีก แต่ยังคงเลื่อนลอยเหมือนเดิม ผู้เป็นลูกน้องคลี่ยิ้มพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของเจ้านายอย่างอ่อนโยน
“จะนอนรึยังครับ? หรืออยากฟังนิทาน?”
เว่ยจินหยินหลับตาลงอีก เถียนซานก้มลงจูบหน้าผากเจ้านายเบาๆ ก่อนจะปีนข้ามมานอนอีกฝั่งหนึ่ง โอบกอดเว่ยจินหยินไว้หลวมๆ เหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ ชายวัยกลางคนหลับตาลงอย่างรู้สึกตื้อในหัว
ถึงอย่างนั้นเขายังเชื่อว่าสักวันเว่ยจินหยินจะกลับมายิ้มให้เขา
-------------------------------------------------
เว่ยเฟิงปิงนอนพลิกตัวอยู่ในอ้อมกอดของจางซื่อเยี่ยน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ เว่ยเฟิงปิงกระสับกระส่ายแบบนี้มาสองสามวันแล้ว หลังจากไปเยี่ยมพี่ชาย จางซื่อเยี่ยนพยายามเอ่ยถามถึงสาเหตุ แต่ฝ่ายนั้นก็ปฏิเสธที่จะตอบ คืนนี้เขาเลยตัดสินใจไม่ถาม
“นี่ ซื่อเยี่ยน” ในที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา เขาหันหน้ากลับมาหาลูกน้องซึ่งนอนอยู่ข้างๆ จางซื่อเยี่ยนพยายามแสดงสีหน้าว่ากำลังตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปสักพักจึงพูดต่อ “หนีไปด้วยกันเถอะ!”
คนฟังทำหน้าแปลกทันที เว่ยเฟิงปิงไม่รอให้เขาอ้าปากถาม กระนั้นก็ไม่ได้ทำสีหน้าหงุดหงิด แต่เป็นสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“เราหนีไปด้วยกันนะ พี่รองเป็นแบบนั้นแล้ว นายว่าคุณพ่อจะยอมปล่อยฉันหรือ?”
จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมา พยายามจะปลอบใจเจ้านาย “คุณท่านไม่น่าจะฆ่าคุณหรอกครับ ก็คุณท่านไม่ได้เกลียดคุณ”
“ฉันยังทำแผลโบยบนหลังฉันได้” ผู้เป็นเจ้านายตอกกลับ ทำเอาจางซื่อเยี่ยนต้องหุบปาก เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ
“ฉันนอนคิดๆ มาหลายวันแล้วนะ ถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อฆ่าพี่รองทำไม แต่ลองสั่งฆ่าคนที่ทำงานได้ดีแบบนั้นได้ กับฉันก็คงจะสั่งได้เหมือนกัน บางทีฉันอาจจะไปทำให้อะไรให้ไม่ถูกใจเอาไว้ก็ได้”
จางซื่อเยี่ยนเกือบจะพยักหน้าแล้ว เพราะเว่ยเฟิงปิงทำตัวให้ไม่น่าพอใจจริงๆ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่า ทำแบบนั้นก็คงไม่ส่งผลดีอะไร จึงได้แต่กะพริบตาทำหน้าตั้งใจฟังต่อ
“ตกลงนายจะหนีไปกับฉันไหม?”
“พูดจริงๆ หรือครับ?”
เว่ยเฟิงปิงมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังฝืนทนไว้ พูดต่อ “นายน่ะ คิดว่าเถียนซานจะยอมยกโทษให้หรือไง ถึงเขาจะเดาเอาไว้แล้วก็เถอะ นายเล่นพี่รองไว้ขนาดนั้น เขาจะยอมให้อภัยนายเหรอ?”
“พี่เถียนเป็นคนคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลนะครับ ไม่ฆ่าผมตอนนี้หรอก”
คนฟังทำเสียงขึ้นจมูก และพูดต่ออย่างไม่สนใจ “นายตกลงหนีไปกับฉันนะ”
จางซื่อเยี่ยนดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแทนคำตอบ
“หนีไปไหนก็ไม่พ้นหรอกครับ คุณก็รู้คุณท่านเป็นคนกว้างขวาง ยิ่งคุณชายรองกลายเป็นแบบนี้อำนาจก็หวนกลับไปหาเจ้าของเก่า ผมคิดว่าเราอยู่กันแบบนี้น่าจะดีกว่า”
“อ๋อ แล้วพอถึงเวลานายก็จะรับ “คำสั่ง” แล้วมาฆ่าฉันสินะ” เว่ยเฟิงปิงค่อนแคะ จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจ
“ผมไม่ฆ่าคุณหรอกครับ สาบานได้ ถ้าถูกสั่งแบบนั้นผมจะรีบยิงตัวตายก่อน”
“ฉันไม่ให้นายไปถูกสั่งหรอก คนงี่เง่าแบบนายน่ะ...” ชายหนุ่มพูดค้าง จู่ๆ ก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายดื้อๆ
“ไปกับฉันเถอะนะ ฉันกลัวว่าวันหนึ่งคุณพ่อจะสั่งนายไปทำอะไรอีก ฉันกลัวนายจะกลับไปหาคุณพ่อ นายขัดขืนเขาไม่ได้ ซื่อเยี่ยน ฉันอยากให้นายอยู่กับฉัน อยู่กับฉัน”
จางซื่อเยี่ยนกอดตอบเจ้านาย รู้สึกสงสารอยู่ลึกๆ เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้าง แม้จะไม่เคยรู้จักหน้าพ่อตัวเองเลยก็ตาม การที่พ่อคิดจะฆ่าลูกในไส้ ยังไงก็คงหนีไม่พ้นคำว่าอำมหิต แล้วก่อนหน้านี้เว่ยชิงก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเอ็นดูลูกชายคนนี้มาก่อนเลย แต่เขายังเชื่อว่าเว่ยชิงจะไม่ฆ่าเว่ยเฟิงปิง
“ผมอยู่กับคุณอยู่แล้วครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว และดันตัวเจ้านายออกมาหน่อยหนึ่ง สบนัยน์ตาเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าใสนั้น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เชื่อผมสักครั้งเถอะครับ ผมปกป้องคุณได้แน่ คุณไม่ต้องหนีไปไหนหรอกครับ เชื่อผมนะครับ”
เว่ยเฟิงปิงยกมือขึ้นทุบหน้าอกของจางซื่อเยี่ยนทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “เชื่อนายหรือ? คนงี่เง่าแบบนาย ฉันเชื่อได้ด้วยหรือ?”
คนถูกด่าไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เว่ยเฟิงปิงซุกหน้าเข้ากับแผงอกเขา
“ฉันจะเชื่อนายสักหนก็ได้... หนนี้หนเดียวนะ”
จางซื่อเยี่ยนดึงตัวเจ้านายของเขามากอด และจูบหน้าผากอย่างอ่อนโยน
-----------------------------------------------
คืนนี้จางซื่อเยี่ยนกอดเขาแน่นกว่าปกติ และเว่ยเฟิงปิงก็ไม่ได้หันหลังให้อย่างที่เคยทำทุกวัน เขานอนโดยซบหน้าเข้ากับแผงอกกว้างของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าทางนั้นหลับไปแล้วรึเปล่า แต่ตัวเขาเองยังนอนไม่หลับ สมองกำลังคิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย
จนถึงตอนนี้เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจพ่อของตัวเองเลยสักนิด ถึงเขาจะเกลียดพ่อเพราะพ่อไม่เคยสนใจใยดีเขา แต่สำหรับกรณีของเว่ยจินหยิน เว่ยเฟิงปิงสะเทือนใจหนักกว่าเดิม พ่อของเขาเป็นคนยังไงกันแน่ คนแบบนี้ยังเป็นพ่อคนได้อีกหรือ เขารู้สึกหวาดกลัวคนที่ตัวเองเรียกว่าพ่อขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ แม้จะรู้ดีว่าการหนีออกไปนั้นอันตรายเสียยิ่งกว่าอยู่แบบนี้เสียอีก แต่เว่ยเฟิงปิงกลัวมากจริงๆ กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะโดนเหมือนที่เว่ยจินหยินโดน
ถ้าเขาถูกจางซื่อเยี่ยนฆ่า เขาจะทำหน้ายังไง เว่ยเฟิงปิงไม่เคยรักใครขนาดยอมให้ถูกฆ่า และไม่เคยเข้าใจความคิดแบบนั้น ถ้าเขารักใคร เขาก็อยากจะอยู่ด้วยอย่างมีความสุข กับจางซื่อเยี่ยน จนถึงตอนนี้ก็ยังแทบจะหาสิ่งที่เรียกว่าความสุขไม่ค่อยเจอ เจ้าหมอนี่ทำเขาปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานอะไรดลใจนัก ไปๆ มาๆ สุดท้ายเขาก็ดันไปริรักเจ้าซื่อบื้อนี่เข้าจริงๆ จนได้
เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเลย เขาพอบอกได้อยู่หรอกว่ารักรูฟัสเพราะผู้ชายคนนั้นมีเสน่ห์ แต่สำหรับจางซื่อเยี่ยน เว่ยเฟิงปิงนึกเหตุผลดีๆ ไม่ออก เหตุผลเดียวที่ฟังยังไงก็ดูไม่เข้าท่าสักนิด แต่เป็นอย่างเดียวที่เขาระบุได้ คือเจ้าหมอนี่ดูจะทำอะไรๆ หลายอย่างเพื่อเขาจริงๆ
รักคนที่เขารักเรา มันคงจะดีกว่าการรักเขาข้างเดียวเป็นไหนๆ ที่น่าตกใจคือเขาก็รักเจ้าหมอนี่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่บ้าขนาดยกปืนขึ้นจ่อพี่ชายหรอก การยกปืนใส่เว่ยจินหยินฉลาดที่ไหน โชคยังดีที่เขาไม่ตาย โชคยังดีที่พี่ชายคนนี้ดูจะมีเหตุผลอยู่เหนืออารมณ์
เว่ยเฟิงปิงลองมาคิดๆ ดู บางทีพี่ชายเขาอาจจะเผื่อใจเอาไว้ก่อนแล้วก็ได้ ถึงกับสั่งคนในตึกให้ปล่อยพวกเขาออกไป เว่ยจินหยินเผื่อสถานการณ์ไว้มากจริงๆ แต่สภาพแบบนั้น คนคนหนึ่งที่ไร้จิตวิญญาณอยู่ในร่าง ความสะเทือนใจแบบไหนที่ทำให้คนเป็นได้ขนาดนั้น กระทั่งกับคนที่ทำให้เว่ยจินหยินคลั่งอย่างเถียนซาน คนที่ดูจะมีความสำคัญกับหัวใจของเว่ยจินหยินมากที่สุดคนนั้น ก็ไม่อาจจะเยียวยาได้
หากจะหาเหตุผลความสะเทือนใจของพี่ชาย สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงเดาคือการถูกหักหลังจากพ่อซ้ำซาก และตัวเขาเองไม่อยากจะโดนแบบเว่ยจินหยิน นอนคิดอยู่หลายวันสุดท้ายคำตอบก็คือการหนี ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจบอกจางซื่อเยี่ยน แล้วก็พบปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่คาด ดูท่าจางซื่อเยี่ยนจะมีสติดีกว่าเขาในตอนนี้จริงๆ ไม่ก็อำมหิตกว่าที่เขาคิด
เว่ยเฟิงปิงขยับตัวซุกเข้าไปอีก อ้อมกอดแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนกอดเขาด้วยใจรึเปล่า แต่การกอดคืนนี้แนบแน่นกว่าทุกคืน เหมือนกับการกอดก่อนหน้านี้ เหมือนว่าผู้ชายคนนี้แสดงออกกับเขามากขึ้น เขาควรจะเชื่อเจ้าหมอนี่สักครั้งไหม?
อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวเขาแนบแน่นขึ้นอีก ก่อนจะซุกหน้าลงบนหัวไหล่เขา กระซิบเสียงแผ่ว “ผมรักคุณมากนะครับ”
ลมหายใจอุ่นๆ รดใบหูของเว่ยเฟิงปิงเหมือนจงใจ ผู้เป็นเจ้านายขมวดคิ้ว จางซื่อเยี่ยนไม่เคยแสดงพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงละเมอ แต่ถ้านี่คือการละเมอจริงๆ ล่ะก็ เว่ยเฟิงปิงคงจะรู้สึกโมโหมากกว่าที่เป็นอยู่ โชคยังดีที่จางซื่อเยี่ยนขยับใบหน้าขึ้นมาสบนัยน์ตาเขา คนละเมอคงไม่มีสายตาแจ่มใสแบบนี้หรอก
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ริมฝีปากได้รูปก็โน้มมาประกบริมฝีปากของเขาไว้ จูบคราวนี้ผิดแผกจากครั้งที่ผ่านๆ มาค่อนข้างมากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนจูบเขาอย่างแสดงความต้องการออกมาอย่างเด่นชัด เรียวลิ้นที่กวาดเข้ามาอย่างหิวกระหายทำให้ร่างบางถึงกับผงะ ราวกับว่าอีกฝ่ายเก็บงำความต้องการนี้เอาไว้เป็นเวลานาน มือใหญ่ขยับขึ้นมาช้อนท้ายทอยของเขาเอาไว้ เพื่อรองรับแรงจูบที่เพิ่มมากขึ้น โดนแบบนี้เว่ยเฟิงปิงลืมวิธีตอบโต้ไปหมด เขาทำได้แค่บีบมือเข้ากับอกเสื้อของอีกฝ่ายแน่น การจู่โจมแบบกะทันหันและร้อนแรงจนคิดไม่ถึง ทำให้เขาพ่ายแพ้แทบจะสิ้นท่า
เกิดมายังไม่เคยถูกใครจูบจนหน้ามืดแบบนี้มาก่อนเลย
เพิ่งนึกขึ้นมาได้จริงๆ ว่าชั้นเชิงที่จางซื่อเยี่ยนใช้กำราบเขาเมื่อหลายวันก่อนก็ดุดันผิดกับก่อนหน้านี้ไปลิบลับ นี่คือการค่อยๆ แสดงความรู้สึกของฝ่ายนั้นรึเปล่า
ขนาดถูกจูบจนหูอื้อตาลาย เว่ยเฟิงปิงยังมีกะใจจะนึกหงุดหงิด เขาไม่คิดว่าเจ้าซื่อบื้อนี่จะมีเทคนิคการจูบดีเยี่ยมขนาดนี้ ก่อนหน้านี้คงเคยผ่านอะไรๆ มามากแล้วสิ แต่ก็ดันงี่เง่าที่เพิ่งงัดมาใช้กับเขาตอนนี้ ความโมโหเล็กๆ ทำให้เว่ยเฟิงปิงออกแรงต่อต้านไปบ้าง และสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนตอบกลับมาก็คือริมฝีปากที่แนบแน่นขึ้น และการรุกไล่อย่างไม่ปล่อยให้มีจังหวะสวนกลับ อย่างกับว่าการต่อต้านของเขายิ่งเป็นเชื้อปะทุให้อารมณ์ของอีกฝ่ายพุ่งพล่านอย่างนั้นแหละ
เจอแบบนี้เว่ยเฟิงปิงแทบจะโยนผ้าขาว อารมณ์หงุดหงิดเล็กๆ น้อยๆ สลายไปหมด ยามที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเพื่อพักหายใจ เขาเพิ่งมีโอกาสสังเกต ดวงตาสีอีกานั้นเต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ยังไม่ทันได้ดูให้เต็มที่ ริมฝีปากก็เคลื่อนเข้ามาผนึกกันอีก แม้จูบครั้งนี้จะไม่รุกเร้าอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนตอนแรก แต่ก็ถี่และกระชั้นจนเว่ยเฟิงปิงผงะไปหลายรอบ หนำซ้ำมือใหญ่ก็เลื่อนลงไปกอบกุมตะโพกเขาอย่างไม่เกรงใจ
จางซื่อเยี่ยนแสดงความต้องการกับเขาอย่างไม่สงวนท่าที ร่างบางผงะ นี่เป็นสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงไม่เคยเผชิญมาก่อน มือแข็งแรงตะโบมลูบไปรอบสะโพกของเขาอย่างหื่นกระหาย เรียวลิ้นที่รุกเข้ามาก็เร่งเร้ามากขึ้น ร่างที่เบียดเสียดกันทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านมาจากท้องน้อยของอีกฝ่าย ตัวของจางซื่อเยี่ยนตอนนี้แทบจะร้อนเป็นไฟ
ในที่สุดร่างสูงก็ยันตัวลุกขึ้นมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ และค่อยๆ ถอดเสื้อผ้า แทบจะเหมือนต้องการให้เขามองดูมัดกล้ามเนื้อสมส่วนใต้ร่างนั้นชัดๆ เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหายใจติดขัดมากจริงๆ เดิมทีเขาก็มีอารมณ์กับเรือนร่างของชายหนุ่มอยู่แล้ว และเรือนร่างของจางซื่อเยี่ยนก็ไม่เลวเลย สวยงามและปลุกเร้าอารมณ์ในยามนี้จนแทบจะเตลิด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นคนคนเดียวกับที่เคยร่วมรักกับเขาอย่างแทบจะจืดชืดจนแทบไม่อยากจะเก็บมาใส่ใจ
เว่ยเฟิงปิงเกือบจะเบือนหน้าหนีด้วยความกลัวว่าจะแสดงสีหน้าพ่ายแพ้ตอนที่จางซื่อเยี่ยนถอดกางเกงออก แต่ความกระหายใคร่รู้ก็เอาชนะ นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งมองอวัยวะที่อวดศักดิ์ดาของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา ลมหายใจถึงกับชะงัก นี่จางซื่อเยี่ยนเคยใส่ไอ้ขนาดนี้เข้ามาในตัวเขางั้นหรือ ไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้น ร่างบางก็สะดุ้งเฮือก เมื่อสันจมูกโด่งสัมผัสเข้ากับข้างแก้มอย่างจงใจ ความร้อนวาบขึ้นมาในตัวแทบจะทันที
“คุณชาย..” จางซื่อเยี่ยนกระซิบเสียงแผ่ว พ่นลมหายใจอุ่นๆ ใส่ใบหูเขาอย่างกับจะแกล้ง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นหยอกล้ออย่างอ่อนโยน เว่ยเฟิงปิงเผลอร้องครางออกมา นี่เป็นจุดที่ไม่มีใครเคยยุ่งมาก่อน กระทั่งก่อนหน้านี้จางซื่อเยี่ยนก็ไม่เค่อยจะทำอะไรกับมัน ผู้เป็นลูกน้องกดแนบร่างกายแข็งแรงลงมาบนร่างที่นอนหงายอยู่
สิ่งแรกที่เว่ยเฟิงปิงสัมผัสได้คือความแข็งขึงและร้อนผะผ่าวที่สัมผัสตรงหว่างขา เหมือนเลือดทั้งหมดจะพร้อมใจกันสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้สึกเหมือนถูกไฟเผาอย่างนี้ จางซื่อเยี่ยนยังคงเล่นกับใบหูของเขาสักพัก ก่อนจะเลื่อนไปที่อื่นอย่างช้าๆ เหมือนต้องการสำรวจร่างกายของเขาอย่างละเอียด มือแข็งแรงค่อยๆ ปลดดึงเสื้อผ้าของเขาออกทั้งๆ ที่ร่างยังทาบอยู่นั่นแหละ ถอดออกไปได้ครึ่งทาง มือนั้นก็เลื่อนเข้ามานวดเฟ้นหน้าอกของเขาอย่างตะกรุมตะกราม ราวกับว่าไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการถอดเสื้อจนหมด
เว่ยเฟิงปิงจิกมือลงบนผ้าปูที่นอนแน่น มือของจางซื่อเยี่ยนร้อนราวกับเหล็กเผาไฟ ยามลูบไปตามร่างกายก็เหมือนจะถ่ายความร้อนมาด้วย จนร่างบางหลุดเสียงครางออกมาอีกรอบ ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกผนึกด้วยจูบร้อนแรงจนแทบเผาไหม้
จางซื่อเยี่ยนถอดเสื้อผ้าเขาจนหมดหลังจากนั้น เลื่อนมือและริมฝีปากลงมาสำรวจแผงอกขาวเนียนอย่างตั้งใจ ปลายนิ้วที่ลากผ่าน เรียวลิ้นร้อนที่หยอกเย้ายอดของเนินต่ำ เว่ยเฟิงปิงไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้อีก เสียงครางอ่อนหวานลอดออกมาจากริมฝีปากบางที่แดงระเรื่อเพราะแรงจูบก่อนหน้า และสะดุ้งอีกครั้งเมื่อส่วนนั้นถูกดูดดุนเข้าไปในช่องปากร้อนระอุ
การหยอกเย้าด้วยริมฝีปากและปลายลิ้นกับส่วนนั้นเร่งเร้าจนลมหายใจเริ่มขาดห้วง แต่ฝ่ายนั้นดูจะไม่ต้องการให้เขาปลดปล่อยในตอนนี้ ริมฝีปากเลื่อนต่ำลงไปจนถึงช่องปิดด้านล่าง หลังจากสร้างความเปียกชื้นอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือก็เริ่มถูกสอดเข้ามา ขณะที่ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วโคนขาอ่อน เว่ยเฟิงปิงแยกขาออกโดยไม่คิดอะไรให้มากอีก ซ้ำยังขยับตะโพกอย่างท้าทายไปกับการรุกรานของปลายนิ้ว
จนรู้สึกว่าช่องทางนั้นผ่อนคลายได้ที่ ส่วนร้อนระอุก็ค่อยๆ ถูกดันเข้ามา เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งอีกคราเนื่องจากความร้อนที่จ่ออยู่ตรงช่องทางอ่อนไหว เขาเกิดความกลัวขึ้นอย่างไม่อาจหักห้าม ทั้งๆ นี่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กลัวจะตอบสนองความใหญ่โตนั้นไม่ได้เต็มที่ กลัวกระทั่งอาจจะหมดแรงไปก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาจนสุด ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนโน้มเข้ามาจูบเขาราวกับจะปลอบประโลม ก่อนที่ส่วนแข็งนั้นจะถูกดุนเข้ามาด้วยกำลัง
เว่ยเฟิงปิงร้องอย่างตกใจราวกับเพิ่งเผชิญเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ความร้อนระอุเบียดแทรกเข้ามาในร่าง ลมหายใจติดขัดไปหมด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านพุ่งผ่านไขสันหลังขึ้นมาถึงสมอง ร่างบางครางเสียงหนัก คิ้วขมวดจนมุ่น ปกติถ้าเขาแสดงอาการแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนจะหยุดทันที แต่ครั้งนี้ผิดไป ทางนั้นยังคงค่อยๆ ประสานส่วนแข็งนั้นเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับดึงดันจะเอาเข้ามาให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ในที่สุดสะโพกของเขาก็สัมผัสกับท้องน้อยของอีกฝ่ายเต็มที่
เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ ขณะที่จางซื่อเยี่ยนเริ่มขยับตัว เขาร้องครางไม่เป็นภาษา ดึงรั้งผ้าปูเตียงอย่างคนคิดอะไรไม่ออก หลังจากนั้นร่างทั้งร่างก็เหมือนถูกกระชากลงสู่ห้วงหฤหรรษ์ที่ยากจะต่อต้าน เว่ยเฟิงปิงถึงจุดครั้งแล้วครั้งเร่า แต่อีกฝ่ายยังคงดำเนินบทรักไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าต้องการให้ขาดใจตายไปทั้งอย่างนี้เลย
ในเพลงรักที่ยากจะรักษาสติ เว่ยเฟิงปิงรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่สัมผัสเข้ากับแผ่นหลังของเขา จูบลงบนริ้วรอยที่ไม่อยากให้ใครเห็นอย่างรักใคร่ หัวใจของเขาเต็มตื้นขึ้นในวินาทีนั้นเอง
เขาจะลองเชื่อจางซื่อเยี่ยนดูสักครั้ง
---------------------------------------------------
**ตอนนี้เป็นตอนที่อารมณ์สวิงมากจริงๆ ของทั้งสองพี่น้องบ้านเว่ย... ด้านเฟิงปิงนี่แอบชอบฉากตบๆ คนอย่างไอ้ซื่อมันควรจะตบให้หัวหลุดจริงๆ ฮ่าๆๆ
ส่วนคุณชายรอง... เป็นสุดรักสุดสวาทของเราอยู่แล้ว เพราะงั้น... ต้องบอบช้ำเจ็บหนักปางตาย ดราม่ากระหน้ำ ซ้ำเติมปัญหา (เอาเข้าไป)
ตอนต่อไปถ้าไม่ลืม พรุ่งนี้จะเอามาลงต่อนะจ้ะ^^
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ