36
- - - - - -
ก็รู้แหละว่าเขานิสัยไม่ดี
แต่ก็ใช่ว่าพี่สนจะนิสัยดีมากสักกะหน่อย!
(+_+)
- - - - - -
นี่คือบ้านที่เขาพูดถึงใช่ไหม
นี่ตั้งใจจะสร้างครอบครัวใหญ่แค่ไหนกัน!?
“หรือว่าเราอยากไปอยู่คอนโดมากกว่า”
“สาแค่คิดว่ามันทำความสะอาดลำบาก”
“แล้วใครจะให้เราทำกัน”
“พี่สน…บ้านนี้มีตั้งสี่ห้องนอน”
“พี่คิดเผื่อไว้ว่าอาจจะมีลูกสองคน” สองคนในที่นี้คือไม่ใช่สาใช่ไหมที่ท้อง “ถ้าไม่ใช่เรามีให้พี่แล้วจะเป็นใครได้ล่ะ” เขาได้พูดดักคอไว้หมดแล้ว หมดสิทธิ์คิดเป็นอื่นไปเลย
“ใครจะไปมีลูกให้”
“ก็มีแล้วหนึ่งไม่ใช่เหรอ หรือว่าเจ้าตัวเล็กของพ่อนี่ท้องแฝด”
“พี่สน!” บ้าบอกันไปหมด นี่สายังไม่เคยยอมรับเรื่องลูกหรือยอมรับในตัวเขาสักนิดเดียว
“มาอยู่ที่นี่อาจจะเหงาหน่อย พี่จะให้คนมาดูแลแต่ถ้าสาเหงาอยากให้ฉันมาอยู่คุยด้วยก็ได้”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาขนาดนั้นเพราะพี่จะกลับมาหาเราทุกวันเหมือนเดิม” มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถาม
แต่ไม่ได้พูดออกไป…
ที่เขาวุ่นๆคงเพราะเรื่องงานและเรื่องที่บ้าน การที่สารินมาอยู่ที่นี่ด้วยเพราะรู้สึกอุ่นใจมากกว่า แต่ตนคิดผิด หากไม่ถาม คนแบบสนธยาคงไม่ตอบอะไรเพราะเขาไม่ใช่พวกที่จะมาพูดอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ สารู้ว่าคุณแพรวรรณจะไม่เป็นไรเพราะถ้าหากอาการหนักเขาคงบอกกันมาแล้ว แต่จะอย่างไร…ก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดี
“ฮัลโหล ฉัน” แต่ในขณะที่ฟุ้งซ่านอยู่นี้ เจ้าตัวดีก็โทรมาหา “เราอยู่กรุงเทพแล้วนะ” ก็เลยบอกไป ซึ่งแน่นอน…
ว่าเจ้าตัวต้องแจ้นมาหาในเย็นวันนั้นเลย
“นี่เหรอคือเรือนหอ”
“ฉันชนกตบปากห้าที”
“โหดอ่ะ เอาสารินคนมุ้งมิ้งของเรากลับมาเดี๋ยวนะ” คนๆนั้นได้ตายไปจากโลกแล้ว ในขณะเดียวกันที่ฉันก็ยังไร้สาระอยู่เหมือนเดิม
วันนี้สนธยาโทรมาบอกแล้วว่าเขาจะกลับมาดึกหน่อย แต่เพราะมีฉันอยู่จึงไม่มีอะไรให้กังวล มิหนำซ้ำเขายังบอกว่าถ้าฉันจะกลับให้เรียกคนขับรถของเขาไปส่งได้อีก บริการดีขนาดนี้ หวังว่าจะไม่ใช่แค่ช่วงทำคะแนน
“สรุปคือยังไม่ตกลงปลงใจอีกเหรอ”
“อืม” และเราก็กลับมาที่บทสนทนาแบบนี้จนได้สาก็ไม่ได้อยากจะคุยด้วยนักแต่ฉันที่ติดตามติดขอบเวทีนี่ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ ถ้าไม่เปิดปากวันนี้คาดว่าต้องมีบางคนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องแน่
“ทำไมอ่ะ พี่สนไม่ดีตรงไหน”
“เชียร์จังเลยนะ แต่ก่อนเกลียดเขาจะเป็นจะตายไม่ใช่เหรอ”
“คนเราต้องมูฟออน สำหรับเราตอนนี้เขาคือโคตรคนอื่น แต่ยินดีให้เป็นสามีเพื่อนนะ ใจๆเลย”
“ฉันนี่ไม่ใจเลยอ่ะ” คนหรืออะไร ทำไมเปลี่ยนสีเก่ง
“ก็เราเหมือนจะรู้สึกว่าเขาไปช่วยเราไว้อ่ะ”
“ช่วยอะไร”
“อ๋อ เปล่าไม่มีอะไร ว่าแต่หิวน้ำจัง ไม่มีน้ำให้แขกใช่ไหม” ได้เลยฉัน ถ้าคิดจะปิดบัง ทางนี้จะได้สะสางบัญชีที่ไปทำลับหลังกันทั้งคู่เลย!
จริงๆสาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จะว่าปลงแล้วก็ใช่ ถ้าหนีอีกคิดว่าคราวนี้ต้องตามหาเจอแน่ๆ และหากมองในระยะยาว การอยู่ที่นี่มีคนเลี้ยงดูประกอบกับหางานทำไปพร้อมๆกับเลี้ยงลูกก็ถือว่าดี มิหนำซ้ำเด็กก็จะได้มีพ่อ แม้ว่าจะงงๆที่ไม่ได้ไปไหว้ครอบครัวฝั่งพ่อแต่สารินก็คิดว่าพอรับมือไหว ถ้าเขายังอยากให้อยู่ก็อยู่ต่อไปได้ ในระหว่างนั้นก็ใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท
ตอนนี้ก็ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว จะให้กระเตงเจ้าตัวเล็กหนีพ่อเขาก็ลำบากอยู่นะ
ฉันชนกก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามเรื่องรักไม่รักอีกเพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะมีชนักบางอย่างอยู่ ขณะที่เราทานอาหารกัน คนที่คิดว่าจะกลับดึกกว่านี้ก็ดันกลับมาก่อนเวลา
“ถ้าดูแลสารินไม่ดี คราวนี้จะไม่ให้แล้วนะ” โดยไม่ได้ทักทาย เจ้าตัวดีชี้หน้าว่าที่สามีชาวบ้านเขาและพูดเช่นนั้น
“วันหลังก็หัดถามกันก่อนสิ จะได้รู้ว่าดีหรือไม่ดี” เขาก็เถียงกลับ เอาจริงๆรูปแบบที่เป็นอยู่นี้ดีกว่าสมัยที่เคยคบกันอีก
“นั่นสิ แล้วก็ไม่ควรจะมีเรื่องปิดบังกันด้วย” ทว่าในระหว่างที่สองคนกำลังต่อปากต่อคำอยู่นั้น สารินก็ได้โผล่งออกมา “มีใครปิดบังอะไรเรากันอยู่หรือเปล่า พี่สนได้ไปทำอะไรฉัน!?”
“ทำ? พี่ทำอะไร” เขายังคงตามไม่ทัน มองหน้าคนถามก็งง พอมองหน้าคู่กรณีในบทสนทนาก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก
“แน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไร ได้ไปทำร้ายหรือแกล้งอะไรเพื่อนสาหรือเปล่า”
“แกล้งเหรอ พี่แค่เคยไปหาเพื่อถามว่าสาอยู่ที่ไหนครั้งเดียวเอง” แต่นอกจากฉันจะไม่ยอมบอก ก็ยังเรียกพวกมาปกป้องอีก เขาหันไปมองเพื่อนของว่าที่เมีย และได้เห็นว่าอีกฝ่ายตัวแข็งไปแล้ว “อ๋อ…”
“อ๋ออะไรครับ” สายิ่งกดดัน
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” เขาหันไปยิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ “เผอิญมีใครบางคนถูกจับตัวไปทดลองยา พี่ดันตามไปเจอเลยรอดตายอย่างปาฏิหาริย์น่ะ”
“ฉันชนก!”
“อย่าดุเพื่อน!” ยังมีหน้ามาสั่งอีก มันใช่เหรอ!!!
“นี่มันอะไรกัน หรือว่าที่ฉันหาที่พักให้เราได้เพราะเอาตัวเองไปเสี่ยงอะไรแบบนี้งั้นเหรอ” สนธยานั้นขยับเข้าไปลูบหัวลูบหลัง เจ้าโอเมก้าของเขาโกรธมากๆ
“จริงๆคือเราแค่ได้ยินว่ามันไม่มีอะไร ไม่คิดว่าจะถูกพวกคนไม่ดีจับตัวไป แต่ก็ปลอดภัยแล้วเห็นไหม เนอะพี่สนเนอะ”
“อืม เผอิญพี่คิดว่าฉันอาจจะแอบไปหาสาสักวันเลยให้คนตามดู โป๊ะเชะถูกคนมาหิ้วปีกไป”
“แล้วนี่ถึงกับจะตายเลยเหรอ ตายไม่ได้นะ”
“เฮ้ยๆ ไม่ตายๆ นี่เราเอง จับได้ ยังมีชีวิตอยู่ โอ้ยยยยย!!!” ไม่ใช่แค่สาจะจับเท่านั้น แต่จับหยิกด้วย “เจ็บบบบบบบบ!”
“ก็หยิกให้เจ็บไง พี่สนเล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ” มาถึงจุดๆนี้ถ้าไม่พูดต้องมีคนตายจริงๆ
สนธยาเปิดปากอธิบายให้รู้ในสิ่งที่เขาเข้าใจ และเพราะข้อเสนอของไพร์มทำให้เขาได้ที่อยู่ของสารินมาไว้ เท่านี้คนฟังก็กระจ่างใจถึงกลับขมวดคิ้ว นี่มันไม่โอเคเลย
“คุณไพร์มนั่นเป็นใครที่ไหนยังไง ทำไมถึงเชื่อใจเขาง่ายๆล่ะ” สาต่อว่า ซึ่งก็จริงฉันแม่งโง่
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน” เอาจริงๆฉันเองยังงง แต่สนธยาไม่แปลกใจ
“เรามันซื่อบื้อ แล้วไพร์มก็เก่งเกินไป หมอนั่นโน้มน้าวคนเก่ง ก็ไม่แปลกหรอก”
“…”
“พี่ไม่ได้สนิทกับไพร์มขนาดนั้น แต่พอจะรู้มาบ้างว่าบ้านของหมอนั่นค่อนข้างจะโหดพอดูเลย…การแข่งขันมันสูงน่ะ”
“แล้วทำไมพี่สนไม่เตือนหน่อยล่ะ”
“ใครจะไปรู้ว่าทั้งสองคนจะสนิทกันขนาดนี้” จริงๆเขาเคยสนใจและโทรไปตักเตือนอยู่พักหนึ่งแต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก “ไพร์มเองก็ไม่ได้ทำอะไรเปิดเผยมากมาย หมอนั้นความลับเยอะแม้แต่คนที่ทำงานด้วย ต่อให้ถูกคัดมาแล้วก็ยังไม่ไว้ใจ”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนรู้ไหม”
“…” ไม่มีใครคิดว่าฉันจะถามกลับมาแบบนี้
“ผมอยากเจอ”
“เจอทำไมอีก ฉันก็ได้ยินพี่สนพูดแล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี”
“พี่สนไม่ได้พูดว่าเขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีนี่” ฉันหันกลับไปเถียงทันควัน
“กำลังจะพูดนี่แหละ”
“คุณไพร์มไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ ใครๆก็เป็นคนไม่ดี คนที่หลอกใช้คนอื่นเข้าหาน้องชายบุญธรรมนี่คนดีตรงไหน!?”
“ฉันชนก!” น่าแปลกที่นี่ไม่ใช่สนธยาที่โผล่งออกไป แต่เป็นสารินที่ทนฟังไม่ได้
“คุณไพร์มเขาแค่…ทะเยอทะยานในทางที่ไม่ดีไม่ใช่เหรอ เราเองก็ไม่ใช่คนดีสักหน่อย สาด้วย ไม่งั้นเราคงคบกันไม่ได้”
“จริงๆหมอนั่นทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะมาก แต่พี่จะไม่ช่วยส่งเสริมประสบการณ์ตรงนั้นให้ละกันนะ” ทั้งสารินและสนธยาต่างเข้าใจว่าฉันอาจจะเพ้อๆเห็นผิดเป็นถูกนิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้
บางทีถ้าคนมันใช่ พูดว่าผิดแค่ไหน ก็ไม่ผิดอยู่ดี!
ฉันชนกยอมรับว่าคุณไพร์มนิสัยไม่ดีถึงขั้นเลวร้าย แต่ตราบใดที่ไม่รู้และหน้ามืดไม่สนไม่แคร์อะไรเขาก็ไม่ได้เลวร้าย กับเรื่องของฉันที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายก็ดูมีความตั้งใจตามหาดี ถึงแม้ว่าสนธยาจะตามเจอก่อนเพราะติดตามกันอยู่แล้ว แต่เขาก็ดูจะให้ความช่วยเหลือเต็มที่
ทั้งนี้สนธยาที่เคลมว่าภูวนัยไม่ใช่คนดีนักก็พูดทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้น ถึงอีกฝ่ายจะมาช้า แต่เขาก็ดั้นด้นมาและยินยอมที่จะเจรจาแต่โดยดี ทั้งนี้ที่สารินอคติก็คงเพราะผู้ชายสองคนนี้ไปต่อรองกันโดยเอาทั้งตัวเองและฉันชนกมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน นี่มันคนดีที่ไหน น่าเฉดหัวไปทั้งคู่เลย
“แค่ไพร์มดีต่อฉันก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว ถึงจะทำเพราะหวังผลไปบ้าง แต่พี่ว่างานนี้เขาขาดทุนอยู่นะ”
“ขาดทุนมากไหมอ่ะ ฉันเสียดายแทน” สารินมองค้อน เพื่อนเรานี่มันบ้าบอ
“ก็…คิดว่าตัวอย่างที่เก็บไปจากเราก็ใช้ไม่ได้ในระหว่างตะล่อมเราก็คงมีค่าใช้จ่าย ค่าเสียเวลา สรุปที่ทำมาคือเสียเปล่านี่ก็ขาดทุนเยอะอยู่นะ” สนธยาว่าไปตามจริงซึ่งฉันรู้ดีว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการขุนฉันให้อ้วนพีนั้นมันสูงแค่ไหน “และได้ยินว่าครั้งนี้ทำให้เขาลาออกจากบริษัทไปเลย”
“หา?!”
“จริงๆไม่ใช่แค่ลาออกจากบริษัทหรอก เรียกว่าลาออกจากตระกูลด้วยนะ เสียแรง เคยได้ยินว่าไพร์มอาจจะได้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งประธานบริหารแทนพ่อของตัวเอง”
“…”
“มันมีพ่อที่คิดแบบนั้นกับลูกจริงๆเหรอ” ถึงสาจะเกิดจากท้องของโอเมก้าที่ไม่สนใจใยดีกัน แต่เพราะเติบโตมาเห็นวรวุฒิพ่อของสนธยาเป็นแบบอย่าง ตนจึงนึกเหลือเชื่อในรูปแบบความรักของบ้านสุธาสกุลไม่น้อย
“ก็นะ…” ไม่สนใจว่าจะเป็นลูกคนไหน ถ้าไม่ใช่เมียแต่งก็ให้ไต่เต้าจากการเป็นคนใช้ให้หมด ปากกัดตีนถีบไร้ความเมตตาปราณีต้องดิ้นรนให้มีชีวิตรอด และถ้ามีความทะเยอทะยานไม่พอ…
ก็จะได้ไปอยู่ที่ตำแหน่งล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร
ฉันชนกอึนไปหมดกับสิ่งที่ได้ฟัง คุณไพร์มนั้นไม่ค่อยยิ้มไปถึงตา จนหลายครั้งฉันก็อยากจะแซวออกไปบ้าง ทว่าไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะมีอดีตที่ดูดำมืดแบบนั้น ถึงจะถูกเก็บมาและเลี้ยงดูโดยผู้ชายทั้งสองคน แต่ฉันชนกนั้นมีความสุขและพลังงานเหลือล้น จนตนคิดไม่ออกว่าถ้าต้องมาเผชิญกับสิ่งเดียวกัน จะรับมือไหวไหม
อาจจะไหวแต่ก็จะกลายเป็นแบบที่คุณไพร์มเป็นไปอย่างนั้นหรือเปล่า?
“แล้วนี่ไปไหนกันนะ อยากตีนักเชียว” ฉันชนกพูดออกมาง่ายๆราวกับว่าจะตีได้ แต่ทุกคำพูดนั้นซ่อนความห่วงใยไว้ได้อย่างไม่มิดชิด หากไพร์มมาได้ยินก็คงขำอยู่ดี
ต่อไปนี้ต่อให้เขายิ้มไม่ถึงตา หรือขำแบบปั้นแต่งก็แล้ว ฉันชนกไม่มีสิทธิ์ไปแขยงสิ่งที่เขาเป็น ในเมื่อเลือกที่จะยอมรับเขาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตนเองก็ไม่เคยคาดหวังให้ได้เป็นแบบอย่างหรือช่วยให้เขาปรับเปลี่ยนกลายเป็นใครอีกคนอย่างที่สังคมคาดหวังหรอก เอาจริงๆแค่เขาเป็นคุณไพร์มแบบที่ฉันรู้จัก ก็พอใจแล้ว
หลอกตัวเองเก่งฉันรู้ แต่การแสวงหาความจริงก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขสักเท่าไหร่ เพราะแค่คิดว่าตอนนี้เขาอยู่ไหนก็ปวดประสาทแล้ว แต่อย่างไรตนก็เชื่อมั่นมากๆว่าที่ยอมเขาขนาดนี้ คุณไพร์มต้องมีข้อดีที่หักล้างพอให้ยอมปิดตาข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใครยังไง…
ต้องหาเขาให้เจอให้ได้ก่อน!
ทว่าอีกด้านในบ้านที่ฉันชนกเพิ่งจากมา สามีและแม่ของลูกของเขาก็กำลังจะเข้านอน ตั้งแต่วันที่เจอกันอีกครั้ง ก็ไม่มีเลยที่จะปล่อยให้สานอนคนเดียว ทั้งๆที่บ้านหลังนี้มีตั้งสี่ห้องนอน แต่เจ้าของบ้านกลับลำบากให้คนจัดเตรียมฟูกนอนไว้ให้เหมือนเดิม จนสาก็ขี้เกียจจะเถียง
เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันทำให้ตนกลับมานั่งตระหนักคิดถึงอะไรมากมาย บรรยากาศรอบตัวที่ดูขุ่นมัวทำให้อัลฟ่าหนุ่มเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของคนท้อง และนโยบายไม่ส่งเสริมความเครียดก็ทำให้เขาเริ่มกังวลตาม
“สานอนไม่หลับเหรอ”
“จริงๆแล้วสาก็แอบคิดว่าเป็นเพราะสาหรือเปล่าที่ทำให้ฉันตกลงทดลองยาอะไรนั่น และก็เป็นสาที่ทำให้ฉันถูกจับตัวไป”
“บางทีพวกที่จับตัวสาไปอาจจะรู้อยู่แล้วว่าฉันกับไพร์มจะทำอะไร ต่อให้ไพร์มไม่พาฉันไปทดลองก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัย”
“แล้วตอนนี้ฉันปลอดภัยไหม”
“น่าจะนะ ได้ยินว่าไพร์มไปจัดการคนทำจนเดินไม่ได้ คงเป็นการเชือดไก่ให้คนคิดจะเป็นลิงดูกลายๆ”
“…”
“พี่อาจจะพูดให้สากลัวไพร์ม ซึ่งจริงๆก็จะไม่บอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรอก สิ่งที่หมอนั้นทำคือทำลายอนาคตคนเลยถ้าเราไม่มองว่าคนๆนั้นทำอะไรมาก่อน” เขาพยายามจะเป็นกลาง “แต่ถ้ามีใครทำกับสาของพี่ แน่นอนว่าพี่ไม่ให้มันแค่เดินไม่ได้แน่” คำพูดที่ดูหนักแน่นนั้นทำให้คนฟังหน้าแดงขึ้นมา พอเป็นเขาพูดมันก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่ถูกต้อง
“แต่ฉันกับคุณไพร์มไม่ได้เป็นแบบ…พี่สนกับสาเสียหน่อย” ท้ายประโยคนั้นเสียงเบาไปหน่อยแต่เขาได้ยินชัดทุกคำ
“พี่เลยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมว่าไพร์มก็…รักฉันเหมือนที่พี่สนรักสา”
“…”
“ถึงคนแบบหมอนั่นไม่น่ารักใครจริงจังได้ก็ตาม แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้” สนธยาคิดว่าเขาจะจบบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องคนอื่น แต่ถ้าไตร่ตรองดีๆก็จะพบว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็มีความรักที่ไม่ง่ายเลย เขาอาจจะรู้สึกถึงความต้องการในตัวน้องแต่แรกพบ ทว่าหลังจากนั้นอีกหลายปีก็ไม่เคยนึกชอบใคร มารู้ตัวว่าตนมั่นคงแค่ไหนก็ตอนระลึกได้ว่าแอบรักเขามาเกือบสิบปี
“พี่สน…สามีอีกเรื่องอยากถาม”
“ครับ”
“คุณแม่ป่วยเหรอ”
“…”
“ที่พี่สนมากรุงเทพบ่อยๆเพราะเรื่องงานและเรื่องคุณแม่ใช่ไหม”
“ใช่ แต่สาไม่ต้องเป็นห่วง”
“ไม่ห่วงได้ไง” สาแย้งขึ้นมา “ถึงสาจะเลวที่หนีมาแต่สาก็ไม่ลืมว่าคุณแม่ดีต่อกันแค่ไหนหรอกนะ”
“สาไม่ได้เลวหรอก สาแค่กลัว และคนที่เป็นต้นเหตุให้สาเป็นอย่างนี้คือพี่เองครับ”
“พี่สน…”
“คุณแม่ป่วยจริงๆแต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขายิ้มให้บางๆ “ตอนที่สาไม่อยู่ คุณแม่ตรวจเจอก้อนเนื้อน่ะ ก็เลยแค่เอาออกแค่นั้น”
“แค่นั้นจริงๆเหรอ”
“ครับแค่นั้นจริงๆ” เขายิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม สารินที่จ้องมองแววตาของเขาก็ค้นหาอะไรไม่เจอ สักพักก็ยังไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นนอกจากความหวานล้ำที่ส่งมา
คนตัวเล็กกว่าที่คิดว่ามันคงเป็นสัญชาตญาณไขว่คว้าหาความปลอดภัยจากอัลฟ่าจึงค่อยๆทิ้งตัวเบาๆลงมาบนฟูกเขาและเข้าซุกตัวหาไออุ่นจากร่างกายอีกคน
“ฝันดีครับ” และสนธยาก็ไม่ได้แซวอะไรให้น้องต้องอายจนเตลิดหนี อย่างนี้เขาถือเป็นกำไรจึงคว้าไว้ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดไม่ให้อีกคนหนีไปไหนไกลอีกครั้ง
- - - - - -
มันคงไม่เสี่ยงไปใช่ไหมที่มาหาแบบนี้
สารินที่ได้ฟังสิ่งที่อดีตพี่ชายของตนพูดมาไม่ได้เกิดความเชื่อเต็มอัตราขนาดนั้น เขาคือคนที่พยายามเลี่ยงทุกอย่างเพื่อตัวสาและลูก ดังนั้นไม่แปลกที่เขาจะไม่พูดความจริง ดังนั้นสาที่ยังไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรจึงเลือกที่จะมาที่โรงพยาบาลเพื่อดูลาดเลา
หลังจากชำระเงินค่าดอกไม้ที่ตนคัดมาแล้วว่ามีแต่ที่คนป่วยชอบ เจ้าของอ้อมแขนเล็กก็กอดมันไปยังห้องพักพิเศษที่ผู้ป่วยวีไอพีเท่านั้นถึงจะได้ใช้บริการ แน่นอนว่าสารู้ดีเพราะตนอยู่กับครอบครัวนี้มานาน
เท่าที่คิดได้ บางทีอาจจะมีบอดี้การ์ดยืนอยู่หน้าห้องหรือมีใครสักคนเฝ้าไข้อยู่ สารินอาจจะสามารถไปเขย่งเท้าดูเพื่อจะเห็นว่าข้างในเป็นอย่างไร และฝากของเยี่ยมไว้ให้กับพยาบาลเอาเข้าไป ก่อนจะกลับบ้าน
สารินเป็นลูกที่ไม่ดี จนป่านนี้ก็ไม่กล้าไปพบผู้มีพระคุณทั้งสองของตน หากว่าเด็กในท้องตอนนี้ไม่ใช่ลูกของสนธยาที่เป็นลูกชายของพวกเขาทั้งคู่ บางทีอะไรๆก็อาจจะง่ายดายกว่า แต่มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว สนธยาเองก็พยายามอย่างที่สุด สารินไม่ควรโทษเขาหรือโทษใคร หรือแม้แต่ตัวเองที่สุดท้ายเราต้องมารับผิดชอบเด็กคนหนึ่งร่วมกันแบบนี้
อาจจะน่าเสียดายที่ไม่สามารถเดินร่วมทางกับธัมรงค์รัชต์ได้อีก แต่แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่างน้อยพี่สนที่ตนไม่ได้อยากให้เข้ามาข้องเกี่ยวก็ไม่ได้กดดันกันจนเกินไป บางทีในไม่ช้าสารินอาจจะตกลงปลงใจอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นของเขา และใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนต่อไปกับลูกชายที่กำลังจะเกิดในไม่นานนี้
จริงสิ…เรายังไม่เคยบอกใครเลยนี่น่าว่าเจ้าลูกหมาป่านี่เป็นผู้ชายนะ
“สาริน…”
“…”
“สาใช่ไหม” เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลังนั้นทำให้คนตัวบางแข็งค้าง หากเสียงนี้ไม่คุ้นหูตนคงจะมีสติและประคองตัวเดินหนีไปได้เร็วกว่านี้ ทว่ามันใช้เวลาอยู่หลายชั่ววินาทีเลยที่จะพิจารณาว่าใครกันหนอที่เรียกกัน
“คุณ..พ่อ…”
“มาจนได้สินะ” เหมือนวรวุฒิจะคำนวณไว้อยู่แล้วว่าถ้าสารินได้รู้ คงไม่วายมาเยี่ยม
เขามองลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้ท้องใหญ่กว่าแต่ก่อนพอควร สารินไม่ได้จัดว่าท้องใหญ่เท่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในตอนนี้หากเจ้าตัวเดินไปฝากครรภ์ก็คงจะกลมกลืนอยู่หรอก หลายเดือนแล้วผมก็ไม่ได้ตัด มันทำให้ทุกอย่างแม้แต่บรรยากาศดูหวานและอบอุ่นขึ้น จากที่ไม่เคยมีความดุดันแม้แต่น้อย ตอนนี้เรียกว่ามันดูสมบูรณ์สมกับที่จะเป็นแม่คน
“สา…”
“เข้าไปเยี่ยมหน่อยสิ แพรคิดถึงเธอมากนะ” รอยยิ้มที่ดูเหนื่อยๆของวรวุฒิทำให้สารินน้ำตาแทบตก แม้ว่าไม่มีคำตอบให้กับคำถามที่จินตนาการไว้ แต่สารินไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะหนีหายไปได้เฉยๆต่อหน้าคนๆนี้
หัวใจของโอเมก้าตัวน้อยเต้นแรงเมื่อตนกำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่ไม่คิดว่าจะได้เปิดเข้ามาด้วยซ้ำ นอกจากแพรวรรณจะไม่มีคนเฝ้าหน้าห้องแล้ว ในห้องก็ไม่มีใครมาดูแล ดูจากหน้าผู้เป็นสามีก็พอจะเดาได้ว่าคงมาเฝ้าเอง ทั้งสองคนแม้จะไม่ได้รักกันฉันคนรัก แต่ก็วางเป้าหมายที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนหมดลมหายใจ
“อีกไม่กี่เดือนคงจะคลอดแล้วสินะ”
“….”
“ตั้งชื่อหรือยังล่ะ”
“ว่าจะให้ชื่อน้องแสนดีครับ”
“คงจะเป็นเด็กดีกับคุณแม่มากสินะ” วรวุฒิยิ้มให้ อย่างไรเขาก็ไม่ได้ถามคำถามที่จะทำให้สารินลำบากใจ จึงทำให้บทสนทนาไหลลื่น การผ่าตัดของคุณแพรวรรณนั้นเพิ่งเสร็จสิ้นได้เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้คนป่วยกำลังหลับอยู่ แต่ว่าเธออาการดีขึ้นมากแล้วจากคำบอกเล่าของคนเฝ้า
และมันตรงตามกับที่สนธยาบอกกันไว้
“ถ้าเธอไม่รีบจนเกินไป ช่วยรอแพรตื่นก่อนได้ไหม”
“เอ่อ…”
“เราเข้าใจว่าการที่เธอไม่กลับมาเพราะมีเหตุผลส่วนตัว ไม่ต้องห่วงนะ พ่อและแม่จะไม่เซ้าซี้ถาม” วรวุฒิออกตัวให้เข้าใจ “แค่ได้เห็นว่าเธอปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดี ในฐานะพ่อก็พอใจแล้ว แต่อยากให้แพรได้ยืนยันในฐานะแม่สักหน่อย คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม” แล้วสาจะไปว่าอะไรได้
นอกจากน้ำตาไหลออกมา
“ร้องทำไมอีกเนี่ย เดี๋ยวลูกในท้องก็งอแงตามหรอก” วรวุฒินั้นคว้าเจ้าตัวเล็กที่ในตอนแรกเขาไม่เคยเห็นด้วยที่จะรับเลี้ยงมาไว้ในอ้อมอก เขาเชื่อว่าสารินมีเหตุผลที่บอกไม่ได้ และมันก็ผ่านมาสักพักที่พวกเขาจะทำความเข้าใจและไม่หมายจะรับรู้อะไรที่ลูกไม่อยากให้รู้
ทั้งนี้ทั้งนั้นน้ำตาของสาไหลออกมาเพราะคำว่า ‘แค่ให้ลูกมีสุขภาพที่ดี’ เพราะเราเห็นกันอยู่ว่าวรวุฒิดูซูบโทรมไปถนัดตา ส่วนคุณแพรวรรณก็ล้มป่วยเข้าผ่าตัด ทั้งนี้สานั้นตีโพยตีพายไปเองว่าตนลำบากแต่ไม่เคยมองหาว่าคนที่ตนจากมาจะเป็นเช่นไร เมื่อนับกันแล้ว สารินมีชีวิตและสุขภาพจิตที่ดี ทุกคนที่ได้อยู่ใกล้ๆต้องพยายามอย่างมากที่จะประคองกันไว้เหมือนเป็นแก้วใส ฟังเช่นนี้แล้ว…
จะให้รู้สึกดีได้เช่นไร มันจะเกินไปแล้ว…
“อืม” แพรวรรณกำลังจะตื่นนอน และเมื่อเธอตื่นเต็มตาก็ได้พบกับ “น้องสา?” ลูกชายที่เธอเฝ้ารอให้กลับมาตั้งแต่วันที่ได้หายตัวไป
“คุณแม่…ฮึก”
“เป็นอะไรน้องสา นี่คุณแกล้งลูกอีกแล้วเหรอ” เธอไม่ได้ถามหาเหตุผลหรือแม้แต่จะทักทายว่าสบายดีไหมเพราะเห็นกันอยู่ เธอเลือกที่จะทำทุกอย่างเหมือนที่เคยผ่านมา ทำให้มันเหมือนเป็นปกติของบ้านเราทั้งๆที่มันไม่ใช่ เราต่างก็มีรอยแผลจากการหายไปในตอนนั้น
“สา…ขอโทษ”
“แม่ดีใจที่น้องสามา” เธอยิ้มให้ มันดูซีดเซียวแต่เต็มไปด้วยความสุขสบายใจ
แพรวรรณค่อยๆพิจารณาลูกชายคนเล็กเสียใหม่ ดูเหมือนว่าอีกไม่นานสาก็คงจะคลอดแล้ว ตอนนี้ไปไหนมาไหนก็ลำบากแต่ก็ยังมาหา ลูกคงรู้ว่าเธอป่วยจากฉันชนกที่อ้างเสมอว่าไม่เคยรู้ว่าสาอยู่ไหน แต่ช่างมันเถอะ วันนี้เธอได้เจอแล้ว ก็สบายใจได้สักที และต่อไปนี้เธอจะไม่บังคับหากไม่อยากกลับไป แต่พอจะเป็นไปได้ไหม
ที่โอเมก้าตัวน้อยคนนี้จะเปิดโอกาสให้เราได้เจอกันบ้าง?
“คุณพ่อครับ” ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมเสียงเรียกหาวรวุฒิที่คุ้นเคย สารินหันหลังไปหาผู้มาใหม่ และเราก็ได้จ้องตากัน อย่างนี้ไม่เหมือนที่คุยไว้เลย
“พี่สน…”
“อา… ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ไม่ใช่สิ เราไม่เคยคุยกันไว้นี่นา…
ว่าต่อหน้าพ่อกับแม่แบบนี้…
ควรจะทำตัวยังไง?
TALK:
จะจบแล้ว นี่แหละที่สุดของความดราม่าของน้องฉัน ผิดก็ไม่ว่าตามผิดค่ะ ชี้นกเป็นไม้ชี้ไม้เป็นนกสุด