ตอนพิเศษ
@ไร่อ้อย - รู้สึกเซ็กซี่
“เฮ้อ...”
เสียงทอดถอนใจของคุณหนูกาลแห่งเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ปริกก็มิได้ใส่ใจนับให้เป็นจำนวนที่แน่นอนนัก ด้วยเหตุที่นั่งกังวลกับอาการของคุณหนูเสียมากกว่า นิ้วอวบขยับสะกิดผู้เป็นนายพลางพยักพเยิดไปทางต้นเสียงก่อนจะกระซิบกระซาบลดเสียงเพื่อปรึกษากัน
“อิฉันเห็นนั่งถอนใจมาเป็นอาทิตย์แล้วนะเจ้าคะ”
“นั่นสิ ฉันถามก็เอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ บอกแต่ว่าไม่เป็นไรๆ คนไม่เป็นอะไรไฉนนั่งถอนใจเฮือกๆ ตาลอยเยี่ยงนี้”
เพิ่งจะคุยกันได้ไม่กี่คำเสียง เฮ้อ... ก็ดังลอยมาตามลมให้ได้ยินอีก คุณมารตีตัดสินใจวางกรวยหยอดแป้งร่ำที่จักทำเป็นของฝากให้นายกเทศมนตรีที่อังกฤษเมื่อครั้งช่วยประสานงานตอนที่หนูกาลโดนจับตัวไป เห็นลูกรักอาการหนักเยี่ยงนี้ผู้ใดจะไปมีแก่ใจทำต่อได้ แม่ปริกส่งผ้าเช็ดมือให้คุณมารตีอย่างรู้ใจ ก่อนจะค่อยๆ พยุงผู้เป็นนายลุกขึ้นแล้วก้าวเดินอย่างหมายมาดไปหาสาเหตุที่ทำให้บุตรของตนต้องมีอาการเช่นนี้
ปลายนิ้วที่ค่อนข้างเย็นเพราะเพิ่งทำความสะอาดมาแตะลงบนท่อนแขนของลูกชาย ส่งผลให้คนที่ถูกสัมผัสสะดุ้งตกใจแล้วกะพริบตาปริบเมื่อเห็นเป็นมารดา
“คุณแม่มาเงียบๆ หนูตกใจหมด ทำงานเสร็จแล้วหรือจ๊ะ”
กาลถามพลางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้มารดาทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างคุณมารตีสังเกตสีหน้าบุตรชายก็พบรอยคล้ำใต้ตา แสดงถึงอาการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นอย่างดี ร่องรอยที่ว่ายังพอจะมองข้ามไปได้ หากแววตาที่หรุบต่ำ ไม่เปล่งประกายฉายแสงแห่งความสุขดังแต่ก่อน ทำให้หัวอกของผู้เป็นแม่ปวดร้าวยิ่งนัก
“หนูกาล... บอกแม่เถิดหนา เจ้าเป็นกระไรกันแน่ ไฉนจึงดูอมทุกข์เยี่ยงนี้ แม่กับปริกเห็นแล้วก็อดเป็นกังวลกับเจ้าด้วยไม่ได้ ลองบอกแม่ดูทีรึ แม่จักได้ช่วยคิดช่วยแก้ไขเพื่อให้เจ้าเบาใจ”
พอโหมดวิเคราะห์ของผู้เป็นนายทำงาน บ่าวอย่างปริกก็สมองหมุนเร็วจี๋ยิ่งกว่าหนูถีบจักร ปากก็เอ่ยขยับตามความคิดในหัวทันที
“ถ้าจะมีใครที่ทำให้คุณหนูขัดเคืองใจได้ คนๆ นั้นก็ต้องเป็นคนที่คุณหนูรักมากด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ หากเมื่อเช้าคุณหนูยังออดอ้อนท่านอำนาจ แลยามนี้ก็ยังกอดคุณมารตีได้ เพราะฉะนั้นผู้ต้องสงสัยมีเพียงหนึ่งเดียว และอิฉันฟังธงว่าเป็น ‘เจ้าพุด’ เจ้าค่ะ”
แม่นอย่างกับจับวาง เมื่อชื่อของพุดออกมา กาลก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที และแน่นอนว่าไม่อาจหลุดพ้นสายตาของสองสาวจิตสัมผัสไปได้ แม่ปริกตบเข่าฉาดพลางเอ่ย
“ว่าแล้วไหมล่ะ ทีซื้อหวยล่ะไม่ยักกะถูก”
“พ่อพุดทำกระไรให้หนูกาลคับข้องใจกระนั้นรึ”
คุณมารตีมองออกทันทีว่าปัญหาที่ว่านี้ต้องเป็นปัญหาทางใจเป็นแน่ ด้วยพุดนั้นทะนุถนอมกาลยิ่งกว่าสิ่งใด มิมีทางที่จะหักใจทำร้ายร่างกายบุตรชายของตนเป็นแน่ ยิ่งเห็นท่าทางลูกรักอึกอักคุณมารตียิ่งใช้เสียงอ่อนโยนเข้าปลอบ หวังให้กาลระบายความในใจออกมาจักได้ช่วยหาทางแก้ไข
“หนูกาลเอ๋ย ฟังแม่ให้ดีหนาลูก การครองคู่กันนั้น ต้องมีเหตุให้กระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ข้อนี้คู่ของใครจักต้องพบเจอด้วยกันทั้งสิ้น หากหัวใจสำคัญนั้นอยู่ที่เมื่อกระทบกันแล้ว ได้เปิดใจพูดคุยถึงปัญหานั้นกันหรือไม่ หากมัวปล่อยให้ค้างคากันไปเนิ่นนานจักกลายเป็นปัญหาใหญ่โตในภายหลังได้หนา” คุณมารตีพูดไป มือก็ลูบแขนปลอบโยนลูกไป
“หนู... หนูไม่ได้ทะเลาะอะไรกับพี่พุดเลยนะจ๊ะ”
อาการอึกอัก นิ้วเรียวจิกเกร็งกับโจงที่สวมอยู่จนขึ้นข้อซีดขาว แต่ใบหน้ากลับขึ้นสีเรื่อ ยิ่งทำให้คุณมารตีสงสัย หากก็ได้แต่นิ่งรอให้บุตรชายเป็นฝ่ายเปิดปากบอกเล่าถึงสาเหตุออกมาเอง เงียบกันไปเป็นครู่จึงค่อยได้ยินเสียงบ่นหงุงหงิงคล้ายเสียงแมลงหวี่บินผ่าน
“ก็พี่พุด... ยอม... อะไร”
“ขออีกรอบได้ไหมเจ้าคะคุณหนูกาล อิฉันแก่แล้ว หูไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ มีกระไรก็เล่าแจ้งแถลงไขออกมา อิฉันกับคุณมารตีพร้อมจักช่วยเป็นกำลังเสริมให้คุณหนูกาลเต็มที่เจ้าค่ะ” ปริกกระเถิบตัวเข้าไปใกล้พลางเอียงหูตั้งใจฟัง
“ก็พี่พุด... พี่เขากลัวหนูเจ็บ เลยไม่ยอมมีอะไรกับหนูอะจ้ะ”
จบคำพูดจากใบหน้าที่ขึ้นสีเรื่อครานี้กลับแดงราวมะเขือเทศสุกก็มิปาน ขณะที่คุณมารตีกับแม่ปริกนั่งอึ้งตะลึงอ้าปากค้างก่อนจะได้สติกระแอมไอแก้เก้อ
“อ้อ... กระนั้นรึ” คุณมารตีที่ปรับตัวได้เร็วกว่าแม่ปริกเอ่ยปากตอบให้คล้ายเป็นเรื่องธรรมดา ปัญหา... ให้เยี่ยงไรก็คือปัญหา จะเล็กจะใหญ่ จะในรึจะนอกร่มผ้าก็คือปัญหา อย่างไรก็ต้องเป็นที่พึ่งให้ลูกยามเมื่อลูกต้องการความช่วยเหลือล่ะนะ คุณมารตีสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยสงบสติอารมณ์แล้วซักถามต่อไป
“ไฉนเป็นเช่นนั้นเล่า ไหนหนูกาลลองเล่าต้นสายปลายเหตุให้แม่ฟังที”
เมื่อมีคนพร้อมรับฟังโดยไม่มีทีท่าหยอกล้อ กาลจึงข่มใจระงับความอายแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดราวกับเขื่อนทำนบแตกก็ไม่ปาน เริ่มจากเมื่อ ๔ เดือนที่แล้วที่ตนเองขอร้องพุดไว้เพราะกลัวความเจ็บปวด ทว่าอยู่ร่วมกันมาตั้งนานนมมีทั้งกอดทั้งหอม มากสุดคือการจูบจนปากเจ่อแล้วพี่พุดก็หยุดแล้วตัดเข้าโคมไฟตลอดๆ จะว่าไปที่พี่พุดไม่ยอมลงมือ เพราะตนดันเป็นคนออกปากเรื่องนี้ไว้เอง
“อย่างนี้มันเข้าข่ายหล่อแต่ไม่อร่อยนะเจ้าคะคุณหนูกาล!”
“ห๊ะ!” กาลที่กำลังหนักอกหนักใจถึงกับชะงักในข้อหาของปริก
“ก็มันจริงไหมล่ะเจ้าคะ เล่นไม่ยอมรุกคืบเยี่ยงนี้ใช้ได้ที่ไหน พูดก็พูดเถอะนะเจ้าคะ ใครๆ ก็ว่าชีวิตคู่เรื่อง Sex ไม่สำคัญ แต่อิฉันว่าถ้าไม่มีมันส์ก็ไม่ Fun จริงไหมเจ้าคะคุณรตี” ปริกหันไปหาเสียงสนับสนุนจากผู้มีประสบการณ์มากที่สุดในสามคนที่นั่งอยู่ทันที เล่นเอาคุณมารตีถึงกับสะดุ้งแต่ก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างมิให้เสียกิริยา
“อันที่จริงพี่พุดเขาก็ไม่ผิดหรอกนะจ๊ะ เป็นหนูนี่แหละที่ตั้งแง่ไว้ ทีนี้พี่พุดก็แค่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเฉยๆ เพียงแต่... เพียงแต่หนูว่ามันก็น่าจะเปลี่ยนแปลงข้อตกลงทีหลังได้ก็น่าจะดี”
สองสาวมองสบตากันแล้วประกายก็สว่างวาบขึ้นจนกาลชักจะใจคอไม่ดี ขณะที่กำลังจะออกปากว่าไม่เป็นไร ทั้งคุณมารตีและแม่ปริกต่างก็เอื้อมมือมากุมมือของกาลไว้คนละข้าง แม่ปริกเอ่ยปาก
“จะไปยากอาไร้... เราก็แค่ต้องอ่อยให้เจ้าพุดรุกให้ได้สิเจ้าคะ”
คุณมารตีพยักหน้ารับ กุมกระชับมือบุตรชายแน่น สองคนตนเองกับปริกรวมกันก็มีมารยา ๑,๐๐๐ เล่มเกวียนละ จะงัดทุกกลยุทธ์มาใช้ก็ให้มันรู้ไปว่ามันจะไม่ได้ผล!!
******************************************************
“แม่เสือสาวเรียกกระซู่โหย ราชสีห์หนุ่มเดินมาแล้ว ให้สมันน้อยเข้าประจำที่ได้”
“.....”
“แม่เสือสาวเรียกกระซู่โหย... เอ๊ะ! แม่ปริกนี่กระไร ฉันเรียกกระไรไม่ตอบ”
“ทำไมอิฉันต้องเป็นกระซู่ล่ะเจ้าคะ แถมยังเป็นกระซู่โหยอีก อิฉันไม่อยากเป็นกระซู่เลยไม่ตอบเจ้าค่ะ” เสียงกระเง้ากระงอดที่ลอดมาจากวิทยุสื่อสารทำให้คุณมารตีถอนหายใจยาว
“ก็แล้วแม่ปริกอยากใช้รหัสใดเล่า”
“ไนติงเกลน้อยเจ้าค่ะ อิฉันอยากเป็นนกไนติงเกลที่มีเสียงไพเราะจับใจคนฟัง”
“ได้ ไนติงเกลก็ไนติงเกล แต่ฉันจะบอกแม่ปริกไว้ก่อนนะ มีแต่นกไนติงเกลตัวผู้เท่านั้นแหละที่มีเสียงไพเราะ!”
เมื่อเป้าหมายเดินอ้อมโค้งทางด้านนอกชานผ่านเข้ามาปริกก็สาดน้ำในมือเข้าใส่คุณหนูกาลเต็มแรง พลางรีบทิ้งกะละมังในมือลงแล้วอุทานเสียงสูงยกมือทาบอกทันที
“ว้ายตายแล้ว ตาเถรหก อิฉันไม่เห็นคุณหนูจริงๆ เจ้าค่ะ โถ... พ่อคุณ เปียกม่อล่อกม่อแลกไปหมดเลย ทำเยี่ยงไรดี”
พุดชะงักฝีเท้าทันทีเมื่อเห็นคุณหนูกาลในสภาพเปียกโชก เสื้อผ้าป่านแนบไปกับผิวเนื้ออ่อนใสจนแลเห็นตุ่มไตชัดเจนจนน่าโมโห เห็นปริกละล้าละลัง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องโวยวายแล้วยิ่งขัดใจ จะเสียงดังให้บ่าวไพร่คนอื่นมามุงภาพเช่นนี้ได้กระนั้นรึ ยิ่งคิดยิ่งขุ่นมัว จึงรีบสาวเท้ายาวๆ ไปโอบประคองคุณหนูกาลไว้ทันที
“คุณหนูกาล หนาวหรือไม่ขอรับ เดี๋ยวพี่รีบพากลับเรือนหนา ทนไหวหรือไม่ คุณปริกนี่ก็กระไร เดินเยี่ยงไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” ท้ายเสียงหันไปกล่าวโทษแม่ปริกเอาเสียอีก ปริกได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อยากเถียงใจแทบขาด แต่ก็กลัวแผนจะแตกเอาเสียก่อน จึงได้แต่ข่มความไม่พอใจ แล้วรีบกระวีกระวาดวิ่งไปคว้าผ้าขนหนูมาห่มให้คุณหนูกาลก่อนจะรีบไล่พุดให้พาคุณหนูกลับเรือนแพไปผลัดผ้าเสียที
ระหว่างเดินกลับเรือน กาลตัวสั่นกึกๆ ขึ้นมาเป็นระยะ พุดจึงยิ่งโอบกระชับวงแขนให้แน่นหนาเพื่อบรรเทาความหนาว กาลนึกถึงคำสอนของคุณมารตีที่แว่วมาเป็นฉากๆ ในหัว ก่อนจะเริ่มเอนตัวพิงซบกับอกของพุด ให้ผิวเนื้อเสียดสีกันมากขึ้น จังหวะการก้าวเท้าที่มั่นคงเมื่อครู่เริ่มเซนิดๆ ทันที กาลเห็นว่าได้ผลจึงเริ่มมั่นใจมากขึ้น กระซิบกับอกของพุดแถวบริเวณป้านสีเข้มทันที
“พี่พุดจ๋า หนูหนาว”
ลมที่ปัดผ้าบริเวณหน้าอก ชวนให้หัวใจคันยุบยิบเสียเหลือเกิน พุดถึงกับต้องกลั้นลมหายใจ ท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆในหัวเพื่อช่วยเตือนตัวเองเป็นการด่วน เมื่อเห็นพุดไม่มีคำพูดตอบรับ จึงนึกว่าลมที่ออกจากปากเวลาพูดน่าจะไม่แรงพอ จึงห่อมากเป่าลมออกไปตรงๆ อีกครั้ง
“ฟู่ววว”
ได้ผลทันที เมื่อตุ่มไตบนหน้าอกของพุดคล้ายจะชูชันตอบรับ เหลือบตาลงมองด้านล่างก็เห็นกล้ามท้องหดตัวเรียงลูกสวยขึ้นมาทันที แต่ปฏิกิริยาใดก็ไม่เท่ากับอาการเดินสะดุดขาของตัวเองจนเกือบจะล้มคว่ำกันลงไปทั้งคู่ของพุด ที่ทำให้มองออกว่าการเป่าลมในครั้งนี้ได้ผล
“คะ... คุณหนู ถึงเรือนแล้วขอรับ รีบไปผลัดผ้าเร็ว”
พุดเอ่ยเร่งปากคอสั่น ในขณะที่กาลช้อนตามองเพียงนิดเดียวแล้วเริ่มทิ้งตัวแปะลงกับพื้นเรือนทันที เล่นเอาพุดอุทานเรียกเสียงหลง แล้วรีบทรุดตัวลงคว้าประคอง
“คุณหนูกาลเป็นกระไรขอรับ เอ... เมื่อเช้าตอนออกจากเรือนก็ยังดีอยู่หนา คุณหนูผลัดผ้าไปก่อนนะขอรับ ประเดี๋ยวพี่จักรีบไปตามหมอ”
มือเรียวคว้าเข้าที่ข้อมือของพุดทันที ขืนให้ไปตามหมอมาเดี๋ยวก็โดนจับฉีดยาบำรุงเท่านั้นเอง นาทีนี้ไม่ต้องการยาบำรุง แต่กาลต้องการยาบำเรอ!
เสียงอ่อนแรงดังมาจากร่างที่นั่งอยู่กับพื้นมาพร้อมกับรอยยิ้มแหยชวนให้เอ็นดู
“หนูไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะพี่พุด แค่... เอ่อ... แค่เป็นตะคริวน่ะจ้ะ พี่พุดช่วยหนูผลัดผ้าออกหน่อยได้ไหมจ๊ะ เนี่ย พอหนาวแล้วหนูก็เป็นตะคริวแบบเนี้ยอะจ้ะ”
อืม... สเต็ปแถเริ่มคล่องขึ้นเยอะ ไอ้กาลชักมีกำลังใจอ่อยต่อละ
กาลมัวแต่ภาคภูมิใจ จนไม่ทันสังเกตอาการมือกระตุกหนังตาสั่นระริกของพุดที่ถูกขอให้ทำภารกิจโหดหิน จะไม่ช่วยคุณหนูเธอก็ไม่ได้ ดูท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรง เนื้อตัวเปียกโชกนั่นเสียก่อนว่าน่าสงสารขนาดไหน อดทนไว้ไอ้พุด
พุดรับคำ “ขอรับ” เสียงแผ่วเบาก่อนจะกลั้นใจโอบประคองร่างขาวเนียนมือไว้แนบอกอีกครั้ง แล้วพาเข้าห้องนอนไปผลัดผ้าด้วยความรู้สึกหิวโหย แต่ต้องอดกลั้นอย่างจำใจ
“คุณหนูยกมือขึ้นอีกหน่อยขอรับ พี่จักถอดเสื้อให้”
กาลให้ความร่วมมือรีบยกมือชูสองข้างเหนือศีรษะทันที ก่อนนึกขึ้นได้ว่าต้องทำเป็นไม่มีแรง จึงค่อยๆ ลดความเร็วในการยกมือขึ้นให้แลดูเชื่องช้าไปอีกสักหน่อย เมื่อเสื้อที่เปียกพ้นศีรษะไปแล้วจึงแกล้งลดมือลงวางแปะไว้บนบ่ากว้างของพุดทันทีเหมือนกับหมดแรงขึ้นมากะทันหัน
ส่วนคนถอดเสื้อให้ก็ถึงกับลืมหายใจไปแล้ว ตาจ้องมองแผ่นอกขาวเนียนตรงหน้าที่สะท้อนขึ้นลงเหมือนเป็นการเชิญชวนก็ไม่ปาน แต่ก่อนคุณหนูกาลเธอขาวแต่ติดจะออกไปทางขาวซีดเสียมากกว่า ทว่าเดี๋ยวนี้เธอขยันรับประทานยาบำรุงกำลังเพิ่มมากขึ้น ผิวเนื้อจึงมีเลือดฝาด แลดูเป็นสีขาวอมชมพู ยิ่งตรงป้านสีชมพูอ่อนนั้น...
“เอื้อก!”
กาลว่ากาลเห็นลูกกระเดือกของพี่พุดขยับขึ้นลง และหูคล้ายจะแว่วได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยนะ เอาวะ ถอดท่อนบนยังได้ผลขนาดนี้ ถอดท่านล่างน่าจะโดนละ
ร่างที่ยังชื้นจากน้ำ เอนลงพิงซบคนที่ยืนตกตะลึงทันที มือที่วางไว้บนบ่าเริ่มขยับมาประสานกันที่หลังต้นคอของพุด จนกลายเป็นการคล้องคอไว้เป็นที่เรียบร้อย
“พี่พุดผลัดโจงให้หนูด้วย หนูไม่มีแรงแล้วเนี่ย”
เสียงที่พูดกับซอกคอของพุดทำเอาขนลุกกรูเกรียว เส้นผมที่ยาวประบ่าของกาลหลุดลุ่ยจนน้ำที่เปียกไหลย้อยลงมาตามเส้นผมและหยดลงลวกบนแผ่นอกของพุดอย่างช่วยไม่ได้ พุดพยายามจะมองเพียงดวงตาเรียวยาวของคนตรงหน้าเพียงเท่านั้น ในขณะที่เอื้อมมือไปแกะปมของโจงที่ไม่รู้เปียกน้ำหรืออย่างไร มันถึงได้แกะยากแกะเย็นเช่นนี้
ในขณะที่มือสั่นสะท้านจับปมผิดปมถูกอยู่นั้น เจ้าของดวงตาที่จ้องตอบกลับมากลับยิ้มหวาน พลางใช้มือค่อยๆ ลากผ่านบริเวณขมับของพุดอย่างช้าๆ พลางเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“พี่พุดร้อนเหรอจ๊ะ เหงื่อออกเลย หนูสิหนาวจะแย่ แต่ก็พอดีเลยนะ ถ้าอย่างนั้นหนูกอดพี่พุดแน่นๆ ดีกว่า พี่พุดถ่ายไอความร้อนให้หนู หนูก็คืนความเย็นให้พี่พุดกลับไปดีไหมจ๊ะ”
โจงร่วงไปกองอยู่ที่พื้น ในขณะที่กาลทาบลำตัวทั้งหมดกอดพุดอย่างแนบแน่นพอดี เท่ากับว่าตอนนี้เนื้อตัวเปลือยเปล่าทั้งหมดของคุณหนูกาลแนบกับผิวเนื้อของพุดแบบถึงเนื้อถึงตัวโดยมีแต่โจงสีพื้นของพุดเท่านั้นที่กั้นขวางระหว่างพวกเขาสองคน
“คะ... คุณหนูกาล ปล่อยก่อนดีไหมขอรับ พี่จักทนไม่ไหวเอา พี่มิอยากให้คุณหนูกาลต้องเจ็บหนา”
อาการทนไม่ไหวที่ดุนดันอยู่เบื้องล่างก็ทำเอากาลตัวแข็งเกร็งอยู่เหมือนกัน แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ไอ้กาลสู้ตาย!
กาลเงยหน้าขึ้นจุมพิตปลายคางคร้ามคมแผ่วเบาแล้วกระซิบ
“เขาว่ากันว่า... เจ็บแต่ก็มีความสุขใช่ไหมจ๊ะพี่พุด หนู... หนูก็อยากมีความสุขบ้างอ่ะจ้ะ”
(มีต่อค่ะ)