ผมชื่ออลาโน่ นั่นเป็นชื่อจริงในใบเกิด แต่ส่วนใหญ่แล้วจะถูกเรียนว่าอาลัน มารีน่า (ที่ผมเรียกชื่อเธอเพราะตอนที่ผมลืมตาดูโลกมารีน่าอายุเพียงแค่18) มารีน่า...เล่าประวัติคร่าวๆ ให้ฟังว่า ผมเกิดมาตอนที่แม่ไปเดินแบบบนเรือสำราญในงานหนึ่ง หลัง after party จนเรื่องมันเลยเถิด แล้วก็ one night stand กับนายแบบสุดฮอตสักคน (เล่าไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี)
เกิดเป็น ‘อลาโน่’ อย่างผมขึ้นมา ในขณะที่ยังเป็นนางแบบซึ่งกำลังไต่ระดับขึ้นสู่เวทีระดับแนวหน้าของประเทศ แต่ก็ยอมที่จะอุ้มท้องผมท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนรอบข้าง จนโดนครอบครัวตัดหางปล่อยวัด และคลอดผมออกมาอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่มีชื่อพ่อในใบเกิด แต่ก็มีผู้จัดการส่วนตัว (สาวประเภทสอง) ชื่อว่าแม็คช่วยกันเลี้ยงดูผมคนนี้
ตอนที่ผมอายุได้ 5 ขวบ มารีน่าแต่งงานกับช่างภาพคนหนึ่งตอนที่เริ่มรับงานเดินแบบถ่ายแบบอีกครั้ง และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่านรกมีอยู่จริง พ่อเลี้ยงผมเป็นคนขี้หึงอย่างรุนแรง แต่เขาก็รักมารีน่ามากเช่นกัน และไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไรที่ผมที่เกิดมาหน้าตาเหมือนแม่และคงจะได้ความหน้าตาดีจากฝั่งพ่อที่เป็นนายแบบสุดฮอต (ซึ่งไม่รู้ว่าใคร) นั่นมักจะนำความโชคร้ายมาให้ผมเสมอ
ในขณะที่มารีน่าไปเดินแบบหรือไปทำงาน และผมต้องอยู่กับเขาตามลำพัง ถ้าหากวันไหนเขาไม่เมา ผมก็แค่จะเก็บตัววาดรูปอยู่ในห้องเงียบๆ แต่ถ้าวันไหนที่เหล้าเข้าปาก (ซึ่งก็แทบทุกวัน) วันนั้นแหละ….จะเป็นนรกสำหรับผม
เขาดีกับมารีน่ามาก ซึ่งนั่นมันคนละส่วนกับที่เขาปฏิบัติกับผม อย่างที่เรียกว่าสวรรค์กับนรกก็ยังเทียบกันไม่ได้
“ถ้าขืนพูดมากฟ้องแม่มึงละก็ คราวหน้าจะโดนหนักกว่านี้” เขาว่าพลางกระดกเหล้าเข้าปาก หลังจากที่กระทืบผมที่ท้องและหลังเพื่อระบายอารมณ์เรียบร้อยแล้ว
เหตุผลส่วนหนึ่งเขาเกลียดเสี้ยวหน้าของผมที่เหมือนใครก็ไม่รู้ เขาว่าแบบนั้น
ยิ่งผมร้องไห้สะอึกสะอื้น หรืออ้อนวอนว่า ‘อย่า..’ หรือ ‘ได้โปรด...’ มันก็ยิ่งเหมือนไปกระตุ้นต่อมโมโหของเขาให้หนักขึ้น ผมเริ่มอดทน การที่ผมไม่ร้องไห้และไม่สะอื้นเลย มันทำให้เขาเบื่อที่จะกระทืบเด็ก 5 ขวบที่ไร้ความรู้สึกอย่างผม
พอนานไป ผมก็เริ่มจะชินชา
ตู้เสื้อผ้าคือที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุด แต่รู้ไหม มันไม่มีกลอนสำหรับล็อกจากข้างใน ผมจะถูกทุบตีในที่ที่แม่จะมองไม่เห็น หรือเพราะแม่เหนื่อยมาก และผมก็ถูกกำชับขู่ว่าไม่ให้พูด ถ้าวันไหนมารีน่าระแคะระคายเรื่องที่ผมโดนซ้อม เขาจะทำดีกับผมและจัดชุดใหญ่ให้ในวันถัดมา
บางวันที่หนักมากๆ ผมก็จะหนีไปซ่อนตัวในสวนหลังบ้าน หรือไม่ก็ห้องเก็บของ และจะกลับเข้าบ้านตอนที่ได้ยินเสียงรถแม่กลับมา
“อย่าให้กูหาเจอนะ ไอ้เด็กเวร” เสียงเขาขู่อาฆาตขว้างปาข้าวของออกมาข้างนอกบ้าน
ผมทำได้แค่หมอบตัวให้ต่ำที่สุดในเงามืดพร้อมกับกอดสมุดวาดเขียนของตัวเองเอาไว้แนบอก มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมสงบจิตสงบใจได้ ผมชอบวาดรูปมารีน่าใส่ชุดสวยๆ เดินบนเวทีที่มีเสียงเพลงและแสงไฟเฉิดฉาย หน้ามารีน่าดูมั่นใจกว่าใครๆ และมีความสุข และผมก็มีความสุขเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั่น
แต่ความลับก็ไม่มีในโลก นั่นเพราะเมื่อคืนผมมัวแต่ห่วงสมุดวาดภาพของตัวเองจนหาที่ซ่อนตัวไม่ทัน ตัวผมในวัย 7 ขวบที่นอนงอคุดคู้กอดสมุดอยู่บนพื้น ถูกพ่อเลี้ยงเตะ และกระทืบระบายอารมณ์โมโหอย่างบ้าคลั่ง เขาโกรธมารีน่าเรื่องงานโชว์วันนี้
“ชุดมันดูเปลือยเกินไป” เขาออกความเห็นในขณะที่มารีน่าเพียงแค่หัวเราะออกมา
“มันเป็นงาน เราตกลงกันแล้วนี่”
เขาคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้มารีน่า แต่แววตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย ผมรู้ชะตาตัวเองได้ทันทีในตอนนั้น
คืนนั้นผมจำต้องนอนนิ่งอยู่กับพื้นเพราะสมุดวาดภาพที่ซุกไว้ในเสื้อ กลัวมันจะตกลงมา แล้วเขาจะเอาไปทำลายอีก เขาเคยเอาไปฉีกทิ้งและหัวเราะเยาะผมราวกับคนบ้า นั่นทำให้ผมเสียใจผมร้องไห้ และผมก็จะโดนทุบตีซ้ำแล้วซ้ำอีก ภาพของมารีน่าที่ผมวาด เขาบอกว่าเกลียดมัน เขาไม่ชอบให้ใครมองมารีน่า แต่เขาก็ไม่สามารถห้ามเธอไม่ให้ออกไปทำงานที่เธอรักได้
เมื่อผมไปโรงเรียนในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วเกิดไข้ขึ้นเพราะทนเจ็บไม่ไหวจนล้มลงกลางสนาม ครูประจำชั้นโทรหาแม่ในขณะที่ผมไม่ได้สติถูกหามส่งโรงพยาบาล
ผมจำได้เลือนรางว่าไม่ใช่แค่ถูกรักษาแค่อาการเจ็บไข้ แต่ร่างกายผมยังถูกตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้งเอ็กเรย์และสแกนส่วนต่างๆ ของร่างกาย มารีน่าที่ยืนรออยู่ข้างนอกก็เอาแต่ร้องไห้อย่างหนัก โดยมีแม็คเกาะไหล่ช่วยปลอบโยน
ผมอาจจะเป็นโรคร้ายแรง….เด็ก 7 ขวบคิดได้แค่นั้น
‘เด็กซี่โครงหัก โชคดีที่ไม่ทิ่มโดนอวัยวะภายใน มีร่องรอยฟกช้ำตามลำตัวอีกหลายแห่ง เราจะตรวจให้ละเอียดอีกครั้ง’ คุณหมอรายงานอาการของผมให้มารีน่าฟัง
“ขอโทษ...ฉันขอโทษ...แม่ขอโทษ...” มารีน่าเอาแต่ร้องไห้อย่างหนักและเอาแต่ขอโทษซ้ำๆ เธอจะแทนตัวเองว่าแม่ตอนที่อยู่กับผมและแม็คหรือเฉพาะตอนที่เราอยู่กันในที่ส่วนตัวมากๆ เพราะนางแบบในวัย 20ต้นๆ ที่กำลังมาแรง ยังไม่ควรจะมีข่าวอะไรไปมากกว่างาน และการเป็น working women
ผมเจ็บเกินกว่าจะพูดปลอบเธอ ที่จริงเจ็บจนไม่มีแรงจะเปล่งเสียงเลยต่างหาก ผมอยากบอกมารีน่าว่าผมไม่เป็นไร ผมทนมันได้ อยากให้เธอยิ้ม….ยิ้มอย่างมั่นใจและเฉิดฉายเหมือนตอนที่เดินบนเวที
แล้วผมก็หลับไปกี่วันไม่รู้หลังจากนั้น เราย้ายมาอยู่ในเมืองใหม่ และบ้านหลังใหม่ มันไม่ใหญ่เหมือนแต่ก่อน แต่ผมก็ว่ามันดีกว่าที่บ้านหลังนี้ไม่มีเขาอีก เขาชื่ออะไรนะ...ซามอล...หรือโซมอน...สักอย่าง ในเศษเสี้ยวความทรงจำของผมมันพร่าเลือน หรือบางทีอาจจะเป็นตัวผมเองที่ไม่อยากจะจดจำ
ผมเผลอมองอย่างหวาดระแวงตอนที่ก้าวเข้าไปในบ้าน มารีน่าดึงตัวเข้าไปกอดแน่นแล้วเริ่มร้องสะอื้น พลางบอกว่า ‘ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ’ และผมก็ยินดีที่จะเชื่อแบบนั้น
ผมไม่ได้ถามถึงเขาอีก เพราะมันดีแล้ว มารีน่าเองก็มีเวลาอยู่กับผมมากขึ้น
เราสองคนกำลังช่วยกันจัดของเข้าบ้าน
“อาลันวาดเองเหรอ? ”
มารีน่าหยิบสมุดวาดรูปของผมขึ้นมาเปิดดูตอนที่เราเริ่มจัดของเข้าบ้านกัน และผมก็พยักหน้าตอบอย่างอายๆ ผมควรจะเอาคลังสมบัติของผมไปซ่อนที่ห้องก่อนที่ใครจะเห็น แต่ก็ไม่ทันแล้ว
มารีน่าทำตาลุกวาวตื่นเต้น พลิกดูภาพวาดของผม และหยิบเล่มอื่นๆ ออกมาวางเรียงกัน
“ขอดูอีกได้ไหม”
ผมพยักหน้าตอบอีกครั้ง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปิดบังในเมื่อมารีน่ารื้อมันออกมาทั้งหมดแล้ว และผมก็ชอบที่มารีน่าชอบมัน จากนั้นสมุดวาดรูปในกล่องแห่งความลับของผมก็ถูกเอามาเปิดกางวางเต็มพื้นห้องนั่งเล่น เราคุยกันอย่างสนุกสนานในเรื่องชุดต่างๆ ที่ผมวาด
“ผม...อยากให้มารีน่าใส่ เดินบนเวที คงสวยดี” ผมบอกตามตรง เธอน่ายิ้มกว้าง วางมือบนหัวผมแล้วโยกไปมา แล้วสักพักก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ หันไปคว้าโทรศัพท์กดหาใครสักคน
“นี่แม็ค...ฉันว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อย อ่อ...ฉันว่าเธอควรมาที่บ้านฉันตอนนี้เลย” มารีน่าคุยโทรศัพท์เสียงตื่นเต้นกับแม็คที่เป็นผู้จัดการและเพื่อนคนสนิท ผมชอบเขานะ ชอบซื้อดินสอสีและสมุดสำหรับวาดภาพให้ผมบ่อยๆ รวมไปถึงของกินอร่อยๆ ด้วย และครั้งนี้ผมก็คิดว่าจะได้กินมันอีกถ้าแม็คมา
มารีน่าไม่ได้รับงานเดินแบบและถ่ายแบบแล้ว เธอทำงานกับแม็คที่บ้าน โดยมีผมเป็นผู้ช่วย...ช่วยวาดภาพชุดสวยๆ ในจินตนาการ และมารีน่าเป็นคนดึงจินตนาการของผมให้ออกมาเป็นรูปร่าง และแม็คก็เป็นคนทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ขึ้นมา จำได้ว่าทั้งมารีน่าและแม็คตื่นเต้นแค่ไหนที่ทำมันสำเร็จในชุดแรกภายใต้ชื่อแบรนด์ของ alanmaria
ทุกอย่างมันควรจะดีขึ้น...
แต่ผมก็เหมือนเป็นคนที่ไม่สมควรได้รับความสุขจากพระเจ้า
พวกเรายังคงต้องย้ายที่อยู่อีกหลายครั้งในรอบหลายปีมานี่
ผมเปลี่ยนโรงเรียนไปเรื่อยๆ เพราะอดีตพ่อเลี้ยงคนเดิมยังคงคุกคามชีวิตเราสองแม่ลูกไม่หยุดหย่อน ป้ายหน้าร้านโดนทำลาย ห้องเช่าที่มารีน่าเปิดร้านขายงาน โดนทำให้เสียหายหลายครั้ง มารีน่าต่อสู้และเข้มแข็ง เธอเปิดสโตร์ออนไลน์และใช้เส้นสายของเพื่อนนางแบบโดยมีแม็คช่วยเหลือในการส่งชุดเข้าประกวดและโชว์ต่างๆ ทำให้แบรนด์ติดตลาดได้อย่างง่ายดาย และข่าวลือลับๆ ที่ทำให้ถุกพูดถึงกันในแวดวงออกแบบคือการที่ alanmaria มี back designers ลึกลับที่ไม่เปิดเผยตัวตนและทำงานให้แค่ alanmaria แต่เพียงผู้เดียว
ชีวิตเราสองคนควรจะสุขสบาย มารีน่ายังคงยิ้มให้ผมเสมอเมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมตั้งใจจะวาดรูปให้เยอะขึ้นเพื่อรอยยิ้มของเธอ แต่ระยะหลังมานี่ผมรู้ว่าเธอมีเรื่องไม่สบายใจ บางครั้งก็มีปากเสียงกับแม็ค แต่ไม่ได้ทะเลาะกันเสียงดังจนน่ากลัว
“นี่มารี่, เธอคิดดูสิ นี่เป็นหนทางที่แบรนด์ของเธอจะไปไกลแบบก้าวกระโดดเลยนะ” แม็คว่า
“นักธุรกิจอย่างเขาต้องมีอะไรแอบแฝง เขาต้องการอะไร” มารีน่ายังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด
“เธอคิดมาก หรือน่าจะไปคุยกับเขาสักหน่อย เรื่องข้อตกลงที่เธอต้องการ” แม็คยังคงเซ้าซี้ปลายเสียงเหมือนจะอ้อนวอนอยู่ในที
“แม็ค, เธอก็รู้ว่างานออกแบบทั้งหมดไม่ใช่ของฉัน นั่นมันจะมีปัญหา”
“ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน เราก็ทำให้มันเป็นความลึกลับต่อไปก้ได้นี่”
“แล้วเธอจะให้ฉันบอกพวกเขายังไง ว่างานออกแบบมา่จากเด็กคนนั้น ฉันไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเขาอีกแล้วแม็ค เธอก็รู้” มารีน่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจและเริ่มยกมือกุมขมับ
แม็คนิ่งเงียบ ห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อทุกคนกำลังใช้ความคิด
“ฉันแค่ไม่อยากให้เธอซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว เธอเหมาะกับแสงสีมากกว่าจะเป็นอยู่แบบนี้”
อ่า...นั่นผมเห็นด้วยกับแม็คนะ มารีน่าสวยมากเมื่ออยู่บนเวที
“เราปิดชื่อผู้ออกแบบไว้เป็นความลับก็ได้นี่” แม็คยื่นข้อเสนอ
“เราทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าเซ็นสัญญาทางธุรกิจและเป็นหุ้นส่วน ”
“ทำไมเขาถึงสนใจแบรนด์เล็กๆ อย่างเราแม็ค” มารีน่าตั้งคำถาม แม็คส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“ฉันแค่มองเห็นหนทางที่เธอกับอาลันจะได้อยู่อย่างสุขสบายเสียที” ท้ายประโยคของแม็คฟังดูเศร้าสร้อย มารีน่าทำหน้าเครียดและเงียบไปราวกับกำลังใช้ความคิด
“ฉันก็อยากให้เขาสุขสบายเสียทีแม็ค อยากให้เป็นแบบนั้นจริงๆ ” เสียงมารีน่าเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน ถ้ามารีน่าหันมายิ้ม ผมก็จะยิ้มตอบเธอเสมอ จะไม่ทำเรื่องให้เธอต้องลำบากใจ
ไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างผมจะเข้าใจไปเสียทุกอย่างหรอกนะว่าไหม? ผมยังคงนั่งฟังทั้งสองคนถกเถียงกัน ในขณะที่มือยังคงวาดรูปชุดต่อไป ผมทำการบ้านมาจากที่โรงเรียนแล้ว เพราะงั้นผมจึงมีเวลาอีกสองสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้านอน
...........................
การไปโรงเรียนของผมดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับมารีน่า เธอจะวิตกกังวลมากทุกครั้งที่ผมไม่อยู่ในสายตา และกำชับนักหนาว่าห้ามไปไหนกับคนแปลกหน้าโดยเด็ดขาด ถ้าวันไหนมารีน่าไม่ว่างมารับ วันนั้นผมจะเห็นแม็คยืนยิ้มให้ที่หน้าโรงเรียนแทน
มีครั้งหนึ่งมารีน่ายอมทิ้งงานที่ทำอยู่เพื่อมาหาผมที่โรงเรียนเพราะโดนพ่อเลี้ยงคนเดิมส่งภาพหน้าโรงเรียนผมไปให้ ผมย้ายโรงเรียนอีกครั้งและอีกหลายครั้ง ราวกับว่าเธอต้องการซ่อนผมไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด
แต่ก็เหมือนโชคชะตาไม่เข้าข้าง
อย่างที่บอก ผมคงไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมคำอวยพรของพระเจ้า
ผมโดนเขาจับได้ในที่สุด ราวกับว่าชาติที่แล้วผมไปทำเวรกรรมหนักหนาอะไรกับใครเขาไว้
ขณะยืนรอแม็คมารับที่หน้าโรงเรียน ก็โดนฟาดด้วยอะไรแข็งๆ ที่หัวแล้วก็วูบไป
พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องมืดๆ ห้องหนึ่ง ขนาดว่ามองไม่เห็นเพราะมืดยังรู้ได้เลยว่าสกปรก มีกลิ่นเหม็นสาบและเฉอะแฉะ มือสองข้างถูกมัดไพล่หลังผมรู้สึกปวดไปหมดทั้งตัว รวมไปถึงหัวด้วย เปลือกตาเหมือนจะลืมไม่ขึ้นคงเพราะกระแทกกับอะไรบางอย่าง ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ ผมขยับได้แค่หัวจึงมองเห็นแค่เพียงปลายเท้าเท่านั้น ก่อนที่เขาจะย่อตัวแล้วนั่งตรงลงตรงหน้า
"ในที่สุดกูก็เจอมึงจนได้" เสียงนั้นดังสะท้านก้องเข้ามาในหู ผมจำได้อย่างแม่นยำแม้จะมองไม่เห็นหนาเขาเลยก็ตาม ความรู้สึกรู้สึกหนาวยะเยือกเมื่อรู้ว่านรกแบบเดิมกำลังฉายวนซ้ำมาอีกรอบแล้ว
เขาใช้มือดึงผมให้เงยหน้าขึ้นมองเขาให้เต็มตาแต่เปลือกผมก็หนักเหลือเกิน
ในใจตอนนี้ผมกังวลไปว่าถ้ามารีน่ามาเห็นผมในสภาพนี้จะร้องไห้อีกหรือเปล่า
"เพราะเด็กอย่างมึง มารีน่าถึงหนีกูไป" เขาโทษผม เป็นผมเองที่ผิดทั้งหมดอย่างงั้นหรือ?
ผมปล่อยให้เขาพูดไป เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะไม่เจ็บตัวเพิ่มขึ้นอีก
"กูจะทำยังไงกับมึงดี ฆ่าแล้วโยนลงทะเล? หรือเอาไปขายดีนะ? อย่างมึงต้องได้ราคาดีแน่" แล้วก็หัวเราะอย่างกับคนบ้า มีดปลายแหลมในมือแตะลงตรงแก้มผมอย่างน่าหวาดเสียว
ก่อนที่มันจะกรีดลงบนแก้มผม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
"ฮายยยย มารีที่รัก ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ คิดถึงผมเหรอ" พอรู้ว่าเป็นใครโทรมา ผมอยากจะรวบรวมแรงทั้งหมดร้องตะโกน แต่ปลายแหลมของมีดจ่ออยู่ที่คอ ผมไม่กล้าแม้จะขยับตัวด้วยซ้ำ
"เอาซี่ ถ้าอยากก็มาเจอกัน ฉันมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จะให้ด้วยนะ" เสียงหัวเราะน่าขยะแขยง
เขายังจ่อมีดที่คอผมขณะคุยโทรศัพท์ “หืมมมม ใจร้อนเสียด้วย ได้สิ….ที่รัก” ราวกับว่าเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว
ผมไม่อยากให้มารีน่ามาเจอเจ้าโรคจิตนี่ อยากจะตะโกนบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมอีกต่อไปแล้ว ผมอยากให้นรกทั้งหมดจบลงตรงนี้เสียที แม้จะแลกด้วยลมหายใจของผมก็ตาม
เขากดวางสายแล้วหันมาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมให้ แล้วลากผมขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ทั้งที่ยังถูกมัดมือไพล่หลัง
"ตอนมารีน่ามา บอกให้เธอเซ็นสัญญานี่ซะ จะได้ไม่มีใครต้องเจ็บตัว" เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้า ซึ่งผมอ่านไม่ทันว่าคืออะไร อาจจะเป็นสัญญาผูกมัด หรือไม่ก็อะไรสักอย่างที่จะทำให้ไอ้โรคจิตนี่เป็นเจ้าของมารีน่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
"เข้าใจไหม!!! " มันตะคอกเมื่อผมมองอย่างเหม่อลอย
ผมรีบพยักหน้าตอบรัว ๆ แม้ว่าตอนนี้ผมจะปวดหัวมากก็ตาม
เขาเดินออกไปแล้วพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างคนโรคจิต ปิดประตูขังผมไว้ในห้องสกปรกโสโครกและมืดสนิทตามเดิม น่าแปลกที่ความมืดและความเงียบนั่นทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องเจ็บตัวอีกสักพัก
รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนได้ยินเสียงโวยวายโครมครามข้างนอก เสียงอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับประตูห้อง ด้วยความหวาดกลัวและตกใจจึงได้กัดฟันลากร่างตัวเองไปซุกอยู่ตรงมุมห้องที่มีลังกระดาษเก่าๆ กองสุมอยู่ ในใจมันสั่นไปหมด ผมเจ็บแขน และแผลที่หัวเหมือนจะมีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว ผมอยากเรียกมารีน่าแต่อีกใจผมก็ไม่อยากให้เธอมา แต่ผมก็ไม่รู้จะเรียกหาใคร
ปัง!!!
เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับแสงที่ลอดเข้ามา ตาผมพร่าไปหมด เงาของใครบางคนกำลังเข้ามา ผมหวาดกลัวตัวสั่นงันงกอย่างห้ามไม่ได้
"เจอแล้ว...." เสียงทุ้มตะโกนบอกใครข้างนอก ผมยังไม่กล้าปริปากส่งเสียง เบียดตัวเข้าหากำแพงราวกับว่ามันจะช่วยซ่อนตัวได้
"ชู่ววววว์ อย่ากลัว ฉันมาช่วยเธอ มากับฉัน ไปหามารีน่ากัน" เสียงของเขาฟังอบอุ่นอ่อนโยนราวกับเทวดา
ผมเงยหน้ามองเมื่อเจ้าของเสียงที่ยื่นมือมาให้ แผลที่หัวคงเลือดไหลจริงๆ
และมันคงจะไหลเข้าตาผมถึงได้เห็นว่าเทวดาตรงหน้ามีปีกสีดำ....
======จบตอน=====
ฝากน้องไว้ในอ้อมใจด้วยน้าาาาา