บทที่ 8 @แม่น้ำเทมส์ - รู้สึกอะไรก็เป็นไปได้
“หนูกาลๆ ตื่นเถิดหนา วันนี้วันพระ ไหนว่าจะไปช่วยปริกทำขนมไม่ใช่หรือเจ้า”
แรงเขย่ามาพร้อมกับเสียงเรียกอ่อนหวานที่ชวนให้หลับต่อเสียจริงๆ กาลพลิกหน้าซบลงบนตักของคุณมารตีพลางทำเสียงงัวเงีย
“ขอหนูนอนต่ออีกหน่อยได้ไหมจ๊ะ” พูดจบก็คว้าเอามือของคุณมารตีมารองหนุนแก้มเตรียมหลับต่อ คนเป็นแม่เห็นแล้วก็ให้เอ็นดูนัก แต่ก็จำต้องหักใจทำเสียงแข็งใส่อีกระลอกเพราะมิเช่นนั้นคงมิทันถวายเพลเป็นแน่ กว่าจะเตรียมอาหารคาวหวาน กว่าจะเดินทาง
“ไม่ต้องมาออดอ้อนเลยเจ้า ลุกมาเสียแต่โดยดี ถ้ามิอยากโดนแม่หยิกเนื้อเขียวรับอรุณ”
“คุณแม่อ่า...”
ใบหน้าที่ซุกซบกลิ้งเกลือกอยู่บนตักของมารดาอย่างเกียจคร้านย่นยู่ ขณะที่ปากอิ่มขอต่อรองอยู่นั้น ดวงตาทั้งคู่ต่างก็สมัครสมานกันปิดสนิท ไม่ยอมเปิดมาดูเสียด้วยซ้ำ คุณมารตีเลยใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด พยักพเยิดให้ปริกลุกไปเปิดผ้าม่านออกให้หมดทุกด้าน ส่งผลให้คนขี้เซาหยีตาทันที
ท่าทางที่ค่อยๆ หรี่ตาแล้วทำปากเบะ ไม่รอดพ้นสายตาของผู้เป็นแม่แม้แต่น้อย
“โตแต่ตัวนะเจ้า ไฉนขี้เซาเป็นเด็กๆ เยี่ยงนี้หือ”
กาลลุกขึ้นนั่งพับเพียบอยู่บนที่นอนพลางโอบเอวมารดาอย่างประจบประแจงทันที
“เป็นเด็กอย่างนี้ไม่ดีหรือจ๊ะ หนูจะได้อยู่ให้แม่เลี้ยงหนูไปนานๆ”
“กระบวนการปากหวานนี่คุณหนูกาลชนะเลิศเจ้าค่ะ อ้อนเก่งขนาดนี้ ถ้ามีคนรัก อิฉันว่าคนรักของคุณหนูต้องหลงคุณหนูหัวปักหัวปำแน่ๆ เทียว”
“ไม่เอาอะจ้ะ หนูจะอยู่เป็นลูกแดงให้คุณแม่กับพี่ปริกเลี้ยง อยู่อ้อนไปนานๆ ดีไหมจ๊ะสาวๆ”
เพี๊ยะ!
เสียงฟาดต้นขาโดยฝีมือคุณมารตีทำให้เจ้าตัวดีหยุดพูดเล่นได้ จากนั้นจึงโดนไล่ให้ไปอาบน้ำแต่งตัว เพราะถ้ายังขืนโยกโย้เยี่ยงนี้ ท่าทางขนมที่จะทำไปถวายท่านเจ้าประคุณคงไม่แล้วเป็นแน่
แม่ปริกจัดเตรียมข้าวของอันประกอบด้วยแป้งถั่วเขียว แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย เกลือ หัวกะทิ และน้ำลอยดอกมะลิที่คุณหนูกาลอาสาเก็บให้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน กำลังตระเตรียมพิมพ์ใส่ขนมอยู่ ก็มีอันต้องสะดุ้งจนพิมพ์หลุดมือ เมื่อมีท่านแขนอ้อมมาจากด้านหลังแล้วโอบกอดเข้าให้เต็มรัก
“จ๊ะเอ๋!”
“อุ๊ย! หกๆ ตกหมดแล้วพ่อคุณเอ๊ย!”
นางปริกยกมือทาบอก หัวใจยังเต้นตึ้กๆ ด้วยความตกใจ แต่คนแกล้งกลับหัวเราะจนตายิบหยี แล้วยังมีหน้ามาเอ่ยปลอบทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายลงมือแกล้งคนเขาแท้ๆ
“โอ๋ๆ น้าพี่ปริก ไหนๆ มาให้หนูเป่าเพี้ยงเรียกขวัญมา”
แขนเรียวยาวที่โอบเข้ารอบเอวพลางเอนหน้าซบลงบนต้นแขนแล้วยิ้มตาหยีส่งให้ เจอลูกประจบแบบนี้เข้าไปแม่ปริกรึจะกล้าเอ่ยคำว่ากล่าว นอกจากดุไม่ลงแล้วยังลูบศีรษะด้วยความรักใคร่อีกต่างหาก
“มาๆ เจ้าค่ะ เร่งกวนขนมกันดีกว่า ประเดี๋ยวจะยิ่งสายไปกันใหญ่ ซุบซิบอะไรกันยะพวกหล่อน ตั้งเตาสิยะ แล้วกระทะทองล่ะอยู่ไหน ไม้พายด้วย เอามาเสียให้พร้อมกัน คุณหนูเธออุตส่าห์ลงครัว อย่าได้มัวชักช้า”
พวกบ่าวสาวๆ คนอื่นต่างปิดปากหัวเราะคิกคักพยักพเยิดให้ดูคนสองมาตรฐานกันใหญ่ คุณหนูกาลทำอะไรก็ดีงามไปเสียทั้งสิ้น ทีพวกตนแค่ป้องปากกระซิบก็โดนแหวเข้าใส่กันเสียแล้ว
ปริกยังคงบ่นต่อไปอีกสามสี่คำ ก่อนจะจับจูงคุณหนูกาลมานั่งแปะลงหน้าเตา เทน้ำลอยดอกมะลิใส่ลงในแป้งถั่วเขียว คนให้เข้ากัน แล้วจึงกรองเพื่อนำไปกวนต่อไป
“หนูกวนให้นะจ๊ะพี่ปริก เรื่องกวนหนูว่าหนูถนัดนะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงไม่รู้กันหรอกว่าคุณหนูกาลเธอจะกวน... เอ่อ กวนอารมณ์เก่งขนาดนี้ แต่บัดนี้ ปริกเชื่อหมดหัวใจเลยเทียวว่าเรื่องกวนนี่ไว้ใจคุณหนูกาลได้ มืออวบส่งไม้พายให้พร้อมทั้งสอนให้กวนไปทิศทางเดียวกัน ขนมจะเข้ากันได้ดีกว่า แรกๆ ตัวขนมยังใส กาลก็กวนไปคุยหยอกล้อกับแม่ปริกไป จนขนมเริ่มข้นขึ้นก็เกิดอาการเก้ๆ กังๆ ขึ้นมาทันที ปริกกลัวขนมจะไหม้จนต้องเททิ้งทั้งกระทะ จึงฉวยไม้พายมาจัดการต่อเองเป็นอันจบเรื่องราว
จนมาจะหยอดขนมลงพิมพ์ กาลก็ตักช้าจนน่ากลัวขนมจะเย็นตัวแล้วหยอดไม่ได้ ร้อนถึงบ่าวคนอื่นต้องมาช่วยหยอดให้ทันก่อนขนมเย็นตัวกันเป็นการใหญ่ ขั้นตอนสุดท้ายบีบหน้าลงบนตัวขนมก็ทะลักเละเทะจนแม่ปริกต้องกุมขมับ เพราะของถวายพระถวายเจ้าก็ควรต้องงามงดกันอยู่สักหน่อยกระมัง
กาลหัวเราะแหะๆ ก่อนยื่นถุงบีบส่งคืนให้แม่ปริกอย่างรู้ตัวดีว่าถ้าฝืนทำต่อไปอาจเกิดโศกนาฏกรรมทางอาหารมากไปกว่านี้ก็ได้ หน้าที่เพียงหนึ่งเดียวตอนนี้ของกาลก็เลยเป็นการยกจานขนมที่แบ่งออกไว้ไปให้คุณมารตีกับท่านอำนาจชิม
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ หอมไหม”
กาลออกปากถาม เมื่อทั้งพ่อและแม่ต่างส่งขนมเข้าปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อร่อยมากจ้ะหนูกาล จริงไหมเจ้าคะคุณพี่” คุณมารตีหันไปจิกตาใส่ผู้เป็นสามีให้รีบตอบคำถามของลูกรัก แน่นอนว่าขนมยังไม่ทันถูกกลืนลงคอ ท่านอำนาจก็พยักหน้ารัวว่าอร่อยเต็มที่
“อร่อยน่ะมันอร่อยแน่อยู่แล้วล่ะจ้ะ แม่ปริกลงมือเองซะอย่าง หนูถามว่าหอมรึเปล่าต่างหากล่ะจ๊ะ”
“หือ” ท่านอำนาจเลิกคิ้วพลางพยายามสำรวจว่ามีกลิ่นหอมตามคำบอกของบุตรชายหรือไม่ หลังจากที่กลืนขนมคำสุดท้ายลงคอไปก็รู้สึกถึงความหอมอวลอยู่ในโพรงปากจริงๆ
“หอมอ่อนๆ ชื่นใจดีนะเจ้า กลิ่นมะลิใช่ฤาไม่”
กาลรีบฉีกยิ้มพยักหน้ารับทันที พลางเอ่ยปากโอ้อวดฝีมืออันเป็นเอกในครานี้อย่างภาคภูมิใจ
“คุณพ่อตอบถูกจ้ะ เป็นกลิ่นมะลิจริงๆ น้ำลอยดอกมะลิที่เอามาทำขนมวันนี้น่ะ หนูเป็นคนเด็ดมะลิเองกับมือ ขนมถึงได้หอมขนาดนี้ยังไงล่ะจ๊ะ”
คนที่นั่งอยู่บนนอกชานต่างอึ้งกันไปเป็นแถวๆ ยิ่งแม่ปริกทั้งทึ่งทั้งขำจนน้ำตาเล็ด เออหนอ ทำกระไรไม่ได้เธอก็ยังภูมิใจที่เธอเป็นคนเด็ดดอกมะลิเองกับมือเอาก็ได้ นี่ถ้าท่านเจ้าประคุณรู้ถึงฝีมือเด็ดดอกมะลิจนทำให้ขนมหอมอร่อย คงจะชื่นชมจนน้ำตาไหลเสียกระมัง
ส่วนท่านอำนาจเมื่อรู้ถึงสาเหตุที่บุตรชายถามหาความหอมของขนมก็ได้แต่เลิกคิ้วหัวเราะลั่นเรือน ผิดกับคุณมารตีที่หน้าเจื่อนเพราะอุตส่าห์ออกตัวรับรองกับสามีเสียดิบดีว่าวันนี้ลูกลงครัวทำขนมเอง
“ไปๆ เร่งเดินทาง ไปถวายเพลเสร็จจักได้กลับมาตระเตรียมข้าวของ งานการยังรออยู่อีกพะเรอเกวียน วันนี้นั่งรถไปแล้วกันนะเจ้าคะคุณพี่ ไปทางเรือน้องเห็นว่าจะเป็นการชักช้าเสียเวลา คุณพี่คิดเห็นประการใดเจ้าคะ”
ขณะที่ท่านอำนาจเตรียมจะอ้าปากบอก บรรดาบ่าวไพร่ต่างก็ฉวยหยิบข้าวของเดินลงเรือนไปยังโรงรถข้างเรือนใหญ่ทันที ก็ถ้าคุณมารตีบอกว่านั่งรถเสียอย่าง จะขนของไปทางเรือเพื่ออะไร! บ่าวคนสุดท้ายก้าวลงบันไดเรือนก็ได้ยินเพียงเสียงตอบรับแว่วๆ ตามที่คาดการณ์ดังลอยมาตามลม
“พี่ก็เห็นพ้องกับแม่รตีเช่นกัน ไปทางเรือน่าจะมิทันท่วงที ไปทางรถตามอย่างที่เจ้าว่าน่ะถูกต้องแล้ว”
*******************************************************************************************
“กราบนมัสการท่านเจ้าประคุณเจ้าค่ะ”
คุณมารตีเอ่ยนำพร้อมก้มลงกราบ สามี ลูกและบ่าวด้านหลังล้วนก้มกราบภิกษุแห่งวัดใหญ่กันถ้วนหน้า ท่านเจ้าประคุณรับคำ
“เจริญพร” ก่อนจะกวาดสายตามองดูญาติโยมที่มาจากเรือนเศรษฐ์ฯ ที่ดูจะมากันครบ ขาดเพียงชายหนุ่มผิวคร้ามที่เคยตามติดเป็นเงาเจ้าเด็กปากดี
“เจ้าพุดไปไหนเสียเล่า สงสัยฝนฟ้าจะตกผิดฤดูกระมังจึงยอมห่างกายเจ้านายมันได้เยี่ยงนี้”
“อิฉันใช้ให้ไปเตรียมงานที่ฟากขะโน้นเจ้าค่ะ จักได้เบาใจหน่อยว่ามีคนดูแล” คุณมารตีเป็นฝ่ายตอบ
“หาไม่พวกคนงานที่จ้างมาคงได้แอบอู้เป็นแน่”
“อ้อ กระนั้นรึ ข้าก็ลืมไปเสียสิ้นว่าโยมต้องไปที่ฟากโน้นกันทุกปีนี่หนา”
ริมฝีปากขมุบขมิบที่เห็นทางหางตาแวบๆ ทำให้ท่านเจ้าประคุณอดไม่ได้ที่ต้องหันไปลับฝีปากกับเจ้าตัวดีมันเสียหน่อย
“มีกระไรรึเจ้ากาล พูดอะไรก็ให้ชัดถ้อยชัดคำ มาทำอุบอิบกระซิบกระซาบ ข้าไม่รู้เรื่อง”
เจ้าคนโดนเรียกก็ได้แต่สะดุ้ง ส่งยิ้มแหยไปให้ เพราะเมื่อครู่กำลังนึกนินทาอยู่เชียวว่าหลวงตาคนโน้นก็เหมือนกับหลวงตาคนนี้ พอแก่แล้วก็ขี้หลงขี้ลืม แต่ใครจะไปกล้าบอกความจริงกันเล่า คงได้โดนดึงหูยานแน่ ถ้าท่านเจ้าประคุณรู้ว่าโดนนินทา คิดแล้วก็รีบคลานเข่าเข้าไปบีบนวดอย่างประจบประแจงเพื่อแก้สถานการณ์จากการที่กำลังจะโดนดุทันที
“แหม... หนูกำลังรอ ร้อ รอ ต่างหากล่ะจ๊ะ ว่าเมื่อไหร่ท่านเจ้าประคุณจะชิมขนมของหนูเสียที เนี่ย หนูรีบตื่นตั้งแต่เช้ามาช่วยพี่ปริกทำสุดฝีมือเลยนะจ๊ะ ขนมเนี่ยเหมาะกับผู้สูงอายุเป็นที่สุด”
ภิกษุชราได้แต่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ วันนี้ไอ้เจ้ากาลมาแปลก มาทำเป็นออดอ้อนไม่กวนเหมือนดังเก่า ฤามาอยู่ที่นี่นานวันเข้าคงได้รับการกล่อมเกลาไปบ้างแล้วกระมัง ท่านเจ้าประคุณยิ้มออกมาอย่างพึงใจในพฤติกรรมที่ดูท่าจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นของเจ้ากาล ตาเหลือบลงมองสำรับอาหารที่เพิ่งถูกยกประเคนเมื่อสักครู่ก็เห็นขนมสีสวยหวาน ทั้งสีชมพู สีฟ้า แลดูกระจุ๋มกระจิ๋มอยู่ในพิมพ์ถ้วยพลาสติกใส
“อืม นี่เรอะขนมที่ว่า เรียกขนมกระไรเล่านี่” ปากเอ่ยถามในขณะที่มือก็หยิบมาพิจารณาไปด้วย
แม่ปริกรับหน้าที่ตอบทันทีด้วยความภูมิใจ
“ขนมลืมกลืนเจ้าค่ะท่านเจ้าประคุณ ลองชิมดูสักหน่อยนะเจ้าคะว่ารสชาติถูกปากฤาไม่”
ขนมรสหวานอ่อนๆ มีรสเค็มของกะทิที่หน้าขนมกลืนแล้วก็ให้ลื่นคอนัก ท่านเจ้าประคุณพยักหน้าเอ่ยชมว่าเข้าทีดีทีเดียว เล่นเอาแม่ปริกถึงกับยิ้มแก้มปริ หลังจากอยู่สนทนากันได้ครู่ใหญ่ ทั้งหมดก็ขอตัวลากลับเรือนเพื่อไปตระเตรียมข้าวของก่อนออกเดินทาง พระภิกษุให้ศีลให้พรให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยเสร็จสรรพต่างก็ทยอยลงจากกุฏิ
กาลกับแม่ปริกอยู่รั้งท้ายแถวชวนคุยกันหัวเราะกระซิกกระซี้ เมื่อหันมองซ้ายมองขวาไม่มีใครอยู่ใกล้ตัว กาลจึงได้แอบกระซิบกับแม่ปริกด้วยสีหน้ามีเลศนัย
“พี่ปริกรู้ไหมจ๊ะ ทำไมขนมลืมกลืนถึงเหมาะกับผู้สูงอายุอย่างท่านเจ้าประคุณ”
“ฮ้าย! คุณหนูกาล” ปรกยกมือทาบอกลากเสียงยาว
“ประเดี๋ยวท่านเจ้าประคุณได้เอ็ดเสียงเขียว ไปว่าท่านว่าแก่ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“หนูยังไม่ได้พูดเลยนะ พี่ปริกพูดออกมาเองว่าแก่ หนูไม่รู้เรื่อง”
“แน่ะ!” หาความให้อีปริกแล้วไหมล่ะคุณหนูของบ่าว เอาเถอะๆ อิฉันรับไว้เองก็ได้ ว่าแต่ทำไมลืมกลืนถึงได้เหมาะกับท่านเจ้าประคุณล่ะเจ้าคะคุณหนูกาล”
“ก็คนแก่ขี้หลงขี้ลืมไงล่ะพี่ปริก รอบที่แล้วก็ลืมนอน รอบนี้ก็ลืมกิน”
เสียงหัวเราะคิกคักของสองนายบ่าวมีอันต้องชะงักกึกเมื่อมีเสียงตวาดไล่หลังมา
“เจ้ากาล!”
จากนั้นก็เป็นการแข่งกันโกยอ้าวแทน โดยมีแม่ปริกที่หุ่นอวบอัดแต่ซอยเท้าได้พลิ้วจนกาลยังตามแทบไม่ทันวิ่งนำอยู่ด้านหน้า ข้อมือบางถูกคว้าหมับเข้าให้โดยมือที่เหี่ยวย่นทว่าแข็งแรงกว่า มองไล่ตามท่อนแขนขึ้นไปจะเห็นสีเหลืองเรืองรองที่รู้สึกเจิดจ้าแสบตามมากกว่าทุกวัน จนเมื่อสบตากับดวงตากระจ่างซึ่งสวนทางกับอายุก็เล่นเอากาลสะดุ้ง เพราะท่านเจ้าประคุณจ้องเขม็งตาเขียวปั้ด
“แหะๆ นมัสการหลวงตาอีกรอบ แล้วขออนุญาตกราบลาเลยนะจ๊ะ หนูต้องรีบไปช่วยคุณแม่ฉีกใบตองแล้วจ้ะ”
“เฮ้อ! เอ็งนี่มัน... ไฉนจึงเป็นเด็กที่กวนประสาทข้าเยี่ยงนี้หนอ”
ท่านเจ้าประคุณแห่งวัดใหญ่ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจยาว พลางระงับอารมณ์ จุดประสงค์ที่แท้จริงเพื่อจะตามมาฝากถ้อยคำสักสองสามคำเพียงเท่านั้น หากดันมาได้ยินเจ้าตัวดีพูดจากระตุ้นต่อมโมโหเอาเสียก่อน แล้วดูหน้าตาตอนถูกจับได้ว่านินทากระทั่งพระกระทั่งเจ้าของมันเข้าเถิดหนา ถ้าเป็นหมาก็เรียกว่าหูลู่หางตกเทียวล่ะ คนมองก็ได้แต่ใจอ่อนแอบยกโทษให้อยู่ร่ำไป
“เอาเถิด... ไม่ต้องมาทำสายตารู้สึกผิดใส่ข้าเลย มิได้จักมาดุด่าหรอกหนา แค่จะมาเตือนว่าหากเกิดเหตุการณ์อันใด เจ้าจึงรู้จักหัดสงบปากสงบคำไว้เสียจักเป็นการดี อย่าได้เที่ยวยั่วเที่ยวแหย่ไปทั่วเช่นนี้อีก กับตัวข้า กับพ่อแม่แลบ่าวไพร่ของเอ็งอาจไม่ถือสา แต่หากเป็นคนนอกที่มิได้รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนก็คงเป็นการไม่งามนัก เข้าใจหรือไม่ ปากเอ็งนี่หนาเจ้ากาล... บทจะดี ปากนี้ก็ช่างฉอเลาะจำนรรจานัก หากบทจะกวนขึ้นมา เฮ้อ... ขนาดข้าถือศีล ๒๒๗ ข้อ ยังเก็บอารมณ์แทบไม่อยู่”
ภิกษุชราแห่งวัดใหญ่ทอดถอนใจ ดูเอาเถิดว่าตั้งใจมาเจรจาตักเตือนด้วยหวังดี มาได้ยินเจ้ากาลพูดหยอกล้อตนเข้า เส้นเลือดในกายยังพล่านราวน้ำเดือด
กาลรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ท่านเจ้าประคุณมีให้ จึงก้มลงกราบน้อมรับคำสั่งสอนมาไว้ในใจแล้วลุกขึ้นสวมกอดเข้าที่เอวพลางออดอ้อน
“หลวงตาสั่งสอน หนูย่อมต้องน้อมนำไปปฏิบัติตามอยู่แล้วจ้ะ แล้วที่พูดเล่นเมื่อกี๊ว่าหลวงตาแก่ก็ไม่จริงเลยสักนิดเดียว เนี่ย แข็งแรงแบบนี้นี่ยังเตะปี๊บดังแน่นอน”
“เตะเอ็งก็ดังอยู่ดอกนะเจ้ากาล”
กาลสะดุ้งโหยง กระโดดหนีพลางหัวเราะร่า ก่อนจะหันไปกราบลาท่านเจ้าประคุณอีกคำรบ ทิ้งให้คนสอนยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าที่พูดไปน่ะมันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหรือไม่
กลับมาถึงที่เรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลก็ได้เวลาวุ่นวายเตรียมดอกไม้ หยวกกล้วย ใบตองกันให้อลหม่าน นาทีนี้ไม่มีใครค่อยๆ เยื้อง ค่อยๆ ย่างกันอีกแล้ว ต่างเดินกันเร็วจนสไบปลิวกันเป็นแถบๆ ฝ่ายฉีก ฝ่ายพับ ฝ่ายเย็บ ฝ่ายประกอบ เร่งทำงานประสานกันจนมือเป็นระวิง แน่นอนว่ากาล อดีตเด็กวัดผู้ช่ำชองการพับกระทงใบตองก็กำลังบรรจงประดิดประดอยกระทงเพื่อนำไปลอยขอขมาพระแม่คงคาอยู่เหมือนกัน
“คุณหนูกาลทำสวยจริงเจ้าค่ะ เมื่อก่อนคุณหนูมิใคร่ชอบลอยกระทงเท่าใดนัก จำได้ว่าแทบจะเขวี้ยงกระทงลงน้ำตอนพาไปลอยน่ะเจ้าค่ะ”
กาลคันปากยิกๆ อยากจะตอบว่าเทศกาลลอยกระทงนี่ของโปรดเลย ตอนนั้นที่วัดมีการระดมเด็กวัดและชาวบ้านที่มีจิตศรัทธาช่วยกันทำกระทงใบตองเพื่อหารายได้เข้าวัดสมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญ เวลาคนมาซื้อกระทงก็จ่ายตามกำลังศรัทธา แล้วก็นำกระทงไปลอยกันที่ท่าน้ำหน้าวัดนั่นแหละ มันคือเทศกาลแห่งความสุขชัดๆ ไอ้คุณหนูกาลไม่ชอบได้ยังไง ภาพที่แต่ละคนหอบลูกจูงหลานกันเข้ามาที่วัดยังติดตราอยู่ในหัวใจกาลมาจนบัดนี้อยู่เลย
“เออ... แล้วนี่พี่พุดทำกระทงไปรึยังอะจ๊ะ วิ่งวุ่นทำงานอยู่ทางโน้น ไม่รู้มีใครทำเผื่อพี่เขาบ้างไหม”
“คุณหนูกาลก็ทำไปเผื่อเจ้าพุดมันสิเจ้าคะ ถ้าเจ้าตัวได้รับกระทงที่คุณหนูตั้งใจทำให้ คงดีใจไม่หยอกเทียว”
“กลัวว่าจะไม่ทันซะแล้วสิพี่ปริก นู่น... ตาชดมาไล่ต้อนพวกเราเดินทางละ ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนแบ่งของหนูให้พี่พุดลอยก็ได้เนอะ ไปกันเร็วพี่ปริก”
พูดจบเจ้าตัวก็เดินนำลิ่วๆ ไป ทิ้งให้แม่ปริกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว จนกระทั่งคุณมารตีต้องส่งเสียงกระแอมเตือน จึงได้หันมาเห็นท่านอำนาจกำลังประคองคุณมารตีเดินมา
“ไม่ต้องลุ้นออกนอกหน้ามากก็ได้กระมังปริก ปล่อยไปตามครรลองที่ควรจะเป็นเถิด”
“โถ.. อิฉันก็แค่ยิ้มเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ไม่ชักนำ หากก็ไม่ขัดขวางตามที่เจ้าพุดเคยออกปากขอไว้นั่นล่ะเจ้าค่ะ”
***************************************************************************************
(มีต่อค่ะ)