Seventh Song“คุณเคยเห็นปารีสตอนฝนตกไหม”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ไม่ได้ยินคำถาม
“คุณชอบเพลงคลาสสิคเพลงไหนเหรอ”
ร่างกำยำที่กำลังดำผุดดำว่ายในน้ำไม่ตอบ
“แล้วคุณว่า...ถ้าผมหายไป คุณจะอยู่ได้ไหม”
ไม่มีคำตอบ
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะเขาไม่เคยถามออกไป แต่เขาก็คิดวิถีชีวิตตัวเองหลังคำตอบเอาไว้บ้างแล้ว
ถ้าคนๆ นั้นบอกว่าอยู่ได้ เขาจะออกเดินทาง แต่ถ้าไม่...
ถ้าไม่แล้วจะยังไงต่อ...
...
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
-กริ้ง กริ้ง-
เสียงเรียกเข้าคุ้นหูทำให้เขาต้องหันไปมองเจ้าอุปกรณ์เล็กจิ๋วที่กำลังแผดเสียงอย่างบ้าคลั่ง
ชื่อคนโทรเข้าทำให้เด็กหนุ่มรีบคว้ามันขึ้นมากดรับสาย
[มึง กูได้เรื่องแล้ว]
“ว่ามา”
หัวใจเขาเต้นถี่รัว แต่เสียงที่เปล่งออกไปยังคงราบเรียบเหมือนปกติ
ปลายสายเงียบไป ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงพลิกกระดาษที่ดังลอดผ่านเข้ามา
[กูสืบมาได้สามคน คนแรกที่หน้าคล้ายพี่มึง เข้าฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตช่วงพฤษภาคมเมื่อห้าปีก่อน ซึ่งตรงกับช่วงที่พี่มึงหายออกไปจากบ้านพอดี แต่พี่มึงไม่ได้ท้องเพราะฉะนั้นตัดไป คนที่สอง ชาวบ้านบอกว่าเป็นเมียกำนัน กูว่าพี่ดาไม่ใช่คนตาต่ำ ตัดซะ ส่วนคนสุดท้ายนี่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด เห็นว่าเปิดร้านขายอาหารอยู่แถวในเมือง สำคัญคือโสด กูว่าคนสุดท้ายนี่แหละ]
ริมฝีปากบางระบายลมหายใจออกมาเงียบๆ
เขาว่าเป็นคนแรก แต่ปลายสายต้องไม่รู้เรื่องนี้
“มึงส่งมาให้ทั้งสามคนเลยได้ไหม เดี๋ยวกูจะได้ไปหาเบาะแสเพิ่ม”
[เอาของสองคนแรกด้วยเหรอวะ]
นัยน์ตากลมจับจ้องไปที่ใครบางคนที่กำลังออกกำลังกายในสระน้ำอย่างมีสมาธิ
เขาอยากมั่นใจว่าอีกคนจะไม่รู้เรื่องนี้
จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้
“เออ ไหนๆ ก็หามาแล้ว เอามาให้หมดนั่นล่ะ ส่งมาทางเมล์เหมือนเดิม”
[เออ ได้]
เขาได้ยินเสียงนิ้วสัมผัสคีย์บอร์ด
ต๊อกแต๊ก...ต๊อกแต๊ก...ต๊อกแต๊ก
แล้วโทรศัพท์ของเขาก็สั่นแจ้งเตือนการมาถึงของข้อความ
นิ้วเรียวปัดหน้าจอไปมาอย่างคล่องแคล่วอยู่อึดใจ
“ได้แล้ว ขอบใจมาก”
[เออ พี่มึงก็เหมือนพี่กู ช่วยอะไรได้ก็อยากช่วยว่ะ]
เขาทอดสายตามผืนน้ำที่กระเพื่อมไหว
[ปกติพี่ดาเขาเป็นคนใจเย็นนะเว้ย แต่คราวนี้เขาหายไปไม่ติดต่อมึงมาห้าปีเลยนะเว้ย ห้าปีเลยนะมึง ทะเลาะกันแรงไปไหม กูว่ามึงไปคุยกับพ่อให้ช่วยพูดดีไหมวะ]
แสงแดดที่กระทบกับผืนน้ำทำให้เขาตาพร่า
ตาพร่าจนเห็นเหตุการณ์วันนั้นวาบกลับขึ้นมาในหัว
‘พ่อคะ หนูท้อง’
‘กับใคร’
‘...’
‘ฉันถามว่าท้องกับใคร!’
‘ฮึก หนู...หนูท้องกับคุณ...’[เฮ้ย มึงยังฟังกูป่ะเนี่ย]
เสียงนั้นดึงเขากลับมาสู่โลกแห่งความจริง
โลกที่ร้อนอบอ้าวและสงบ
“เออ ฟังอยู่”
เขาโกหก
‘จำคำฉันไว้ อย่าเอาความจริงทั้งหมดไปฝากไว้กับใครทั้งหมด เลือกใช้คนให้เป็น บนโลกแห่งผลประโยชน์ไม่มีคำว่ามิตรภาพ’ไม่มี...ไม่มีใครทั้งนั้น
[แล้วพักนี้มึงหายไปไหน ไม่เห็นมาหากูทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนเลย]
“ยุ่งกับร้าน”
[โกหกพ่อตาย]
“อย่ายุ่งกับพ่อกู”
คำพูดราบเรียบถูกเปล่งออกจากปาก
ไม่ใช่เพราะอยากปกป้องคนถูกพูดถึง แต่เขาทำไปเพื่อปกป้องคนพูดต่างหาก
[แหม ลูกดีเด่นจังเลยมึงอะ เชี้ย!]
คำอุทานของอีกฝ่ายทำให้เขาขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมาด้วยความสงสัย ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากถามอีกฝ่ายก็พูดใส่มารัวเร็ว
[มึง พ่อมึงมาที่สนามกูวะ ฉิบหายมากๆ กูลืมตารางเช่าสนามไปเลยไอ้เหี้ยเอ๊ย กูขอตัวไปดูแลพ่อมึงก่อนนะ]
พอพูดจบก็วางสายใส่เขาทันที
ให้ตายสิ
“หัวเราะอะไร”
เสียงร้องทักจากคนที่เพิ่งขึ้นจากสระน้ำยิ่งทำให้เขาฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว้างเก่า
ไม่ได้ยิ้มเพราะคำถาม แต่ยิ้มเพราะเห็นร่างกายหนากำยำเปียกโชกราวกับลูกหมาตกน้ำ
ตอนเขาอายุหกสิบปีจะกลายเป็นคนแบบตาลุงนี่ไหมนะ
...เขาจะมีอายุอยู่ถึงหกสิบปีไหมนะ...
“ลุงมานี่มา”
แขนเรียวที่ยื่นมาจนสุดความยาวทำให้คนตัวสูงฉีกยิ้มกว้าง คนๆ นั้นเดินมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ชายหาดตัวเดียวกับเขาพร้อมกับยื่นผ้าขนหนูในมือมาให้
ผมสีควันบุหรี่ถูกเช็ดอย่างอ่อนโยน
กล้ามเนื้อสวยถูกสัมผัสด้วยผ้าเนื้อนุ่มทุกตารางนิ้ว
“ขอบคุณ”
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ชายหาดเอ่ยเบาๆ พลางกระตุกข้อมือเขาเป็นสัญญาณว่าให้ขยับขึ้นไปนั่งบนตัก
เขาไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ
“ถ้ามีลูก ให้เขาชื่ออุ่นกับหนาวดีไหม”
สายลมร้อนเอื่อยๆ พัดผ่านร่างของเขาสองคน
“คนหนึ่งเกิดตอนหน้าร้อน อีกคนหนึ่งเกิดตอนหน้าหนาว”
เขาได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะ แต่ภาพที่ปรากฏในหัวกลับเป็นกลุ่มหมอกควันที่เขาหาทางออกไม่เจอ
“ดิม”
ร่างแกร่งเอนตัวลงบนเก้าอี้ชายหาด ท่าทางนั้นเป็นการบังคับให้เขาต้องทิ้งตัวซบลงกับแผงอกของอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
มืออุ่นๆ เล่นหัวเขาอย่างที่ชอบทำ
“ฉันอยากมีลูก”
เขาก็อยากมี
อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์กับคนๆ นี้เหมือนกัน
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ”
แต่นั่นคือคำตอบที่สมควร
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ”
เขาไม่รู้
เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เขาจึงจะปลดปล่อยตัวเองจากความรู้สึกหนักอึ้งนี่ได้สักที
“ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ต้องบอกฉันนะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นฟังดูเหมือนกำลังอ้อนวอน
“ฉันจะรอวันที่พวกเราได้อยู่ด้วยกัน”
ความหยุ่นชื้นประทบลงบนหัว
“เป็นครอบครัว”
แดดวันนี้คงแรงเกินไป ภาพตรงหน้าของเขามันถึงได้เบลอไปหมด
เสียงกระทบของส้นรองเท้าบนพื้นคอนกรีตดังก้องไปทั่วบริเวณ ขาเพรียวสวยก้าวไวๆ อย่างคนคุ้นชินเส้นทางก่อนจะถูกหยุดไว้ด้วยคำทักทายจากคนคุ้นเคย
“อ้าวดิม มึงมาได้ยังไงวะ”
“พ่อเรียกกูมา”
เขาตอบแค่นั้นแล้วออกเดินต่อ ทำให้อีกฝ่ายต้องเดินตามมาด้วย
“ก็สมควรเรียกอยู่หรอก วันนี้พ่อมึงเอาปืนมาลองหลายกระบอกเลย เขาคงอยากให้มึงดู”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะรีบปรับสีหน้ากลับเป็นราบเรียบตามเดิม
ปืน...พ่อซื้อปืนอีกแล้วเหรอ
ทำตัวเหมือนพวกมาเฟียเข้าไปทุกที
“พ่อกูอยู่ไหน”
“ที่เดิม”
“ขอบใจ”
คำขอบคุณของเขาถูกตอบรับมาด้วยการใช้สองนิ้วแตะขมับแล้วตวัดออกก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปอย่างรู้งาน
สมแล้วที่คบกันมานาน
เขาหุบยิ้มลงเมื่อเดินมาถึงบริเวณที่มีบอดี้การ์ดยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง
“สวัสดีครับคุณชาย”
พวกเขาไม่ได้ยกมือไหว้ แต่กลับค้อมตัวลงคำนับ
นั่นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของบ้านมาตั้งแต่เขาจำความได้
“พ่ออยู่ไหน”
“ด้านในครับ”
เด็กหนุ่มกวาดตามองหน้าชายหนุ่มสองคนตรงหน้า
ไม่เคยเห็น
“วันนี้พ่อมีโปรแกรมไปไหนต่อไหม”
“มีไปคุยธุรกิจกับคุณฤกษ์ที่โรงแรมของคุณฤกษ์ตอนห้าโมงเย็นครับ”
เป็นคนทางด้านขวาที่ตอบกลับมาก่อน
เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่ยืนไม่พูดไม่จาอะไร
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
เหมือนจะรับรู้ถึงสายตากดดันได้ คนทางด้านซ้ายจึงยอมปริปากออกมา
“ไม่มีแล้วครับ เป็นเวลาพักผ่อน”
ใบหน้าน่ารักพยักรับหนึ่งทีก่อนจะส่งสัญญาณให้เปิดประตู
ห้องรับรองที่ปรากฏตรงหน้ายังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่เขามา ตัวห้องกว้างขวางมีบรรยากาศแข็งกระด้างจากผนังและพื้นที่เป็นปูนเปลือย เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นเน้นโทนสีขาวดำวางไว้อย่างมีแบบแผน ส่วนในสุดของห้องคือสนามหญ้าเปิดโล่งที่มีเป้าสำหรับการซ้อมยิงหลายรูปแบบ ทั้งเป้านิ่ง เป้าเคลื่อนไหว บางครั้งก็มีเป้ามีชีวิตบ้างถ้าลูกค้าต้องการ
สนามยิงปืนแห่งนี้เป็นสถานที่แบบนั้น
สนามยิงปืนของ
‘เดล’ เป็นสถานที่ไร้จริยธรรมแบบนั้นล่ะ
สองข้างเรียวก้าวเข้าไปช้าๆ ด้วยจังหวะมั่นคง ทุกฝีเท้าย้ำชัดถึงตัวตนของเขา
ต้องหนักแน่น ไม่อย่างนั้นตัวตนจะถูกกลืนกิน
“มาช้ากว่าที่ฉันคิดไปสามนาที”
คำพูดนั้นดังมาจากชายสูงวัยที่ยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าเขา
ขนาดหันหลังยังรู้ว่าเป็นเขา
แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้ว่าเป็นเขา
...สมแล้วที่เป็นพ่อ...
“ผมคุยกับบอดี้การ์ดหน้าห้องอยู่น่ะครับ”
“เหรอ”
อีกฝ่ายไม่ได้หันมามองหน้าเขาเหมือนอย่างที่ควรทำ ตรงกันข้าม ฝ่ามือเหี่ยวย่นนั้นกลับปลดสไลด์ปืนแล้วยกขึ้นเล็งเป้าอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาคุ้นชินกับท่าทางพวกนี้ของพ่อเสียแล้ว
เพราะแบบนั้นเขาจึงเลือกหันไปทางด้านขวาของห้อง ที่ตรงนั้นมักมีคนคุ้นหน้าคุ้นตายืนอยู่
วันนี้ก็เช่นกัน
“อานพครับ รบกวนจัดการบอดี้การ์ดสองคนที่เฝ้าหน้าห้องด้วย”
“มีเรื่องอะไรเหรอครับคุณดิม”
เด็กหนุ่มปรายตามองไปที่ ‘พ่อ’ ก่อนจะหันกลับมาสบตากับคู่สนทนา
“มันรู้ตารางงานพ่อ”
แม้จะไม่มองหน้ากัน แต่เขารู้ดีว่าคนสูงวัยกำลังรอฟังคำพูดเขาอยู่
“ตามหลักของเรา นอกจากมือซ้ายกับมือขวาก็ไม่มีใครมีสิทธิ์รู้ตารางงานของเจ้านาย ไม่ว่ามันจะรู้มาเพราะความสู่รู้ส่วนตัวหรือเพราะเป็นสายของคู่แข่งก็ต้องจัดการ”
ชายวัยกลางคนในชุดสูทดำเผยยิ้มพึงพอใจเหมือนรู้ดีอยู่แล้วว่าจะถูกสั่งให้ไปทำอะไร แต่อย่างน้อยเจ้าตัวก็ยังมีมารยาทพอจะรอฟัง ‘นายน้อย’ ของบ้านสั่งการ
“จัดการมันซะ”
แล้วคนอายุมากกว่าก็ก้มหัวให้กับเขา
“รับทราบครับ”
เสียงปิดประตูเงียบไปแล้ว อีกไม่นานมันคงจะถูกแทนที่ด้วยเสียงปืน
เสียงปืนนัด สองนัดในสนามยิงปืนไม่ใช่เรื่องแปลก หรือต่อให้มันแปลก เพื่อนเขาก็ใจหยาบพอที่จะปล่อยผ่าน
นี่คือความจริงของเขา...คือโลกแห่งความจริงของเขาที่ตาลุงนั่นไม่เคยสัมผัส
เขาเป็นคนแบบนี้ ไม่ใช่แมวน้อยไร้เดียงสา ไม่ใช่ดิมช่างตัดผมผู้มีชื่อเสียง แต่เขาคืออนาคตผู้กุมบังเหียนกิจการทั้งหมดภายใต้เครือไวยสมุทร แม้จะเป็นกิจการในโลกสว่างแต่บางครั้งก็มีคู่แข่งในโลกสีเทา
เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใคร เพื่อเงินมนุษย์ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว รวมไปถึงการหันกระบอกปืนใส่คนบริสุทธิ์ด้วย
ปากกระบอกปืนมันมีไว้สำหรับทุกคน ถ้าไม่พกปืนไว้กับตัวสักกระบอก สักวันก็คงโดนยิงตาย
เขาเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรของโลกสีเทาแห่งนี้ เป็นคนที่อาศัยอยู่ในโลกสีเทาๆ หม่นๆ นี่มาตั้งแต่เกิด แม้จะไม่เคยสบายใจที่ต้องตัดสินชีวิตใคร แต่เขาต้องทำ
ถ้าเขาไม่ชิงตัดสินมัน สักวันจะเป็นเขาเองที่ถูกตัดสิน
พ่อสอนเขามาแบบนี้ เลี้ยงดู ปลุกปั้นเขาให้เติบโตมาแบบนี้
ครอบครัวที่ ‘ปกติ’ มันดูเป็นอะไรที่ห่างไกลจากความจริงของเขาเหลือเกิน
“ทำได้ดี”
ในที่สุดชายคนนั้นก็ยอมหันมา
รูปร่างเตี้ยหนา ไหล่สองข้างผึ่งผาย ใบหน้าขึงขังเต็มไปด้วยริ้วรอยย่นแต่ก็ยังปรากฏเค้าของความหล่อเหลาในอดีต
คนๆ นี้คือพ่อของเขา
“ไอ้ฉันก็เผลอคิดไปว่าแกจะกลายเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไปแล้วจริงๆ”
เขาเงียบเพราะรู้ว่ายังไม่ใช่จังหวะที่เขาควรพูด
“แล้ววันนี้ไปไหนมาล่ะ”
ลมหายใจของเขากระตุกไปชั่ววูบ แต่เขามั่นใจว่าตัวเองกลบเกลื่อนมันได้อย่างแนบเนียน
“ไปบ้านเพื่อนครับ”
“เหรอ”
เสียงแหบต่ำของอีกคนเอ่ยรับแค่นั้น ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียเฉยๆ
เขาชินแล้ว ตาแก่นี่เอาแต่ใจจะตาย
“แล้วตกลงแกจะเอาผู้หญิงหรือผู้ชาย”
น้ำลายเหนียวๆ ถูกกลืนลงไปในคอ
“ผมไม่ชอบผู้หญิงครับ”
นัยน์ตาคมดุปรายมองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันไปสนใจกับปืนในมือตามเดิม
“ก็แล้วแต่แก ยังไงก็ท้องได้แล้วนิ อยากทำอะไรก็ทำ แต่ฉันขอเตือนไว้อย่าง...”
ใบหน้าดุดันเงยขึ้นมอง
“อย่าทำอะไรโง่ๆ อย่างพี่สาวแก”
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังติดอยู่ในหัว
“พ่อหมายถึงอย่าท้องก่อนแต่งเหรอครับ”
นั่นคือสิ่งที่เขาสงสัยมาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
คนอย่างพ่อ ไม่น่าจะโกรธแค่เพียงเพราะท้องก่อนแต่ง
เขาได้ยินเสียง ‘ฮึ’ ต่ำๆ จากคนที่อยู่ห่างไปหลายเมตร
“แม่แกก็ท้องก่อนแต่ง เผื่อไม่รู้”
เขารู้ เพราะรู้อยู่แล้วก็เลยสงสัยว่าทำไมเหตุการณ์วันนั้นจึงเลวร้ายได้ขนาดนั้น
“ถ้างั้น...”
“คิดสิ”
นัยน์ตาคมกริบสบกับเขาอย่างมีนัยยะ
“อย่าโง่”
เพียงเท่านั้นคำถามทั้งหมดก็ถูกกลืนหายลงไปในคอ
ความเงียบเข้ายึดพื้นที่ในห้องอยู่พักใหญ่จนกระทั่งปืนกระบอกหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าเขา
ปืนพกแบบกึ่งอัตโนมัติสีดำสนิทถูกยื่นมาให้โดยพ่อบังเกิดเกล้าของเขาเอง
“ฉันได้ปืนมาใหม่ อันนี้ของแก”
“ผมยังมีกระบอกเก่าอยู่ และมันก็ยังใช้ได้...”
“ฉันให้”
เพียงแค่นั้นเขาก็ต้องยอมรับมันมา
หลังจากยื่นปืนให้เขา ร่างของชายสูงวัยก็เดินกลับไปตรงแท่นเตรียมยิง
“แกจะทำอะไร ที่ไหน กับใคร ฉันไม่เคยคิดจะก้าวก่าย”
เขาได้ยินเสียงปลดสไลด์ปืน
“แต่ฉันขอไว้สองอย่าง...”
-ปัง!-
ลูกปืนลูกแรกถูกยิงออกไป
“หนึ่ง สิ่งที่แกเลือกจะต้องเป็นสิ่งที่ส่งผลดีต่อไวยสมุทร”
-ปัง!-
ลูกปืนลูกที่สองถูกยิงออกไป
“สอง”
ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นหันมามองเขา
“จะเอากับใครก็คิดให้ดีๆ”
พอพูดจบก็หันกลับไปง่วนอยู่กับการใส่กระสุนปืน ทิ้งเขาไว้กับหัวใจที่เต้นถี่รัวจนแทบทะลุอออกมาจากอก
หมายความว่ายังไง พ่อของเขาหมายความว่ายังไง
“ออกไปได้แล้ว จะไปไหนก็ไป”
ยังไม่ทันที่เขาจะหาความหมายของคำสั่งนั้นได้ คำไล่ราบเรียบก็ถูกเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
แม้จะสงสัยแต่เขาก็เลือกที่จะไม่เซ้าซี้แล้วเดินออกมา
พ่อเขาหมายความว่ายังไง
ใช่ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา การที่พ่อจะรู้จะเห็นเรื่องคุณปราณบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาทำใจเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกที่คบกับตาลุงนั่นแล้วว่าถ้าพ่อจะรู้ก็ปล่อยให้รู้ไป แต่ต้องไม่ใช่โดยการเดินเข้าไปบอกจากปากเขาโดยตรง
ถ้าพ่อจะรู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่พ่อไม่สั่งห้ามหรือพูดตรงๆ นั่นต่างหากที่แปลก
ถ้าคนๆ นั้นเป็นศัตรู พ่อจะสั่งไม่ให้เขายุ่ง
ถ้าคนๆ นั้นเป็นมิตร พ่อจะสั่งให้เขาสานสัมพันธ์
อย่างคราวแฟนเก่าของเขา พ่อก็สั่งให้เดินหน้าสานสัมพันธ์เต็มที่ ตอนเขาขอผ่าตัดมดลูกก็ไม่มีอิดออดแม้แต่คำเดียว แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม พ่อไม่พูดอะไรเลยสักอย่าง ไม่ห้าม ไม่สนับสนุน แต่กลับบอกให้เขาคิดดีๆ นั่นแสดงว่าพ่อรู้อะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้
พ่อรู้เบื้องหลังบางอย่างแต่เลือกจะไม่บอกเขา
...ทำไมล่ะ...
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าปืนในมือหนักกว่าปกติ
ทั้งที่เขาเองก็คุ้นชินกับปืนมาตั้งแต่เด็กแท้ๆ แต่พอนึกถึงใบหน้าของอีกคนที่อยู่ในห้วงความคิด อาวุธในมือก็ดูเป็นภาระหนักอึ้งไปเสียอย่างนั้น
เขาเป็นคนในโลกสีเทา และเขาก็คิดว่าตาลุงนั่นคือคนที่อยู่ในโลกสีขาวมาตลอด
แต่ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจ
คำพูดของพ่ออาจจะน่ากลัวและเย็นชา แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะถูกกล่าวขึ้นมาลอยๆ อย่างไร้ความหมาย
คุณปราณ คุณเป็นใครกันแน่
***********************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ