พี่ครับ 02“ไงครับมึงตัวแดงเป็นจ้ำๆ นี่โดนใครดูดมาวะ”
เมื่อคืนไปนอนห้องไอ้พี่สองแล้วผมก็โดนดูดมาทั้งตัว ฟังดูอีโรติกเวอร์ๆ แต่ลึกๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอก สิ่งที่ผมเจอมามันยิ่งกว่าหนังฆาตกรรมสยองขวัญเสียอีก
“ยอดเลี้ยงข้าวเช้ากูหน่อยดิ” ขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้แหละ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง รู้ตัวตื่นอีกทีก็สายแล้ว พาสารร่างในชุดนักศึกษายับๆ ออกจากห้องมาทำงานได้นี่ก็ถือว่าเก่ง
“คนที่ไปนอนด้วยเมื่อคืนเด็ดเหรอ”
“เลี้ยงข้าวกูดิ เดี๋ยวเล่าให้ฟังแบบละเอียดยิบ”
“กูต้องไปทำงานแล้ว” ชิ่งกันเฉยแล้วแบบนี้ใครจะเลี้ยงข้าวเช้าไอ้เซวะ โคตรหิวอ่ะ แต่ดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ห้องไอ้พี่สองอีก เออ ความซวย
จ๊อกกก~~
แล้วท้องก็เสือกร้องในลิฟต์ที่บรรทุกพนักงานเต็มความจุ อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีเลย
พอลิฟต์จอดที่ชั้นวาไรตี้ผมนี่รีบก้มหน้าก้มตาเดินออกมาเลย อายไง ทว่าเมื่อเดินห่างลิฟต์ออกมาราว 3 ก้าวก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยเสียงๆ หนึ่งเสียก่อน
“น้องเซ”
เมื่อเอี้ยวตัวกลับไปมองก็พบพี่สาวผู้ช่วยพี่ปกรณ์
“แซนวิชทูน่าค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เซก็หิวนะแต่เซก็มีความเกรงใจอยู่บ้างเหมือนกัน แม้จะปฏิเสธแต่พี่สาวก็ไม่ละความพยายาม คงเวทนาท้องที่ร้องดังลั่นในลิฟต์ล่ะมั้ง
“รับไปเถอะค่ะ คุณปกรณ์…”
พอได้ยินชื่อพี่ไปป์ผมก็รับแซนวิชมาอย่างไม่ลังเล ถ้าบอกว่าพี่เลี้ยงผมฝากมาแต่แรกป่านนี้แซนวิชลงไปนอนรอย่อยอยู่ในกระเพาะแล้ว
“มาสาย ทั้งคู่!!!” เสียงพี่ไปป์ดังจากข้างหลัง ชั่วขณะหนึ่งผมก็คิดนะว่าไหนๆ ก็ต้องเจอกันอยู่แล้วจะฝากของมากับพี่ผู้ช่วยทำไม
สงสัยพี่ไปป์จะเป็นพวกขี้อาย
ไม่นานเจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแล๊กสีดำซึ่งถูกรีดจนกริบก็เข้ามายืนร่วมวงกับเรา
“เป็นนักศึกษาฝึกงานก็หัดทำตัวให้มันดีๆ หน่อย” น้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ทำให้ผมที่กำลังเคี้ยวแซนวิชแทบสำลัก
มองผมที่อยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วก็ส่ายหน้าหน่ายก่อนหันไปตำหนิพี่ผู้ช่วยซึ่งยืนตัวลีบอยู่ใกล้ๆ กัน
พอพี่ไปป์อ้าปากผมก็อยากชิ่งนะแต่พอจะก้าวขาก็ถูกสายตาดุหันมารั้งเอาไว้ มองพี่สุดเนี้ยบที่กำลังพูดไม่หยุดแล้วก็ได้แต่คิดว่า คนอะไรบ่นเก่งชะมัด บ่นจนพี่ผู้ช่วยสำนึกผิดไม่ทันแล้วมั้งนั่น
เราเสียเวลาที่หน้าลิฟต์ราว 10 นาที พอบ่นจนพอใจพี่ไปป์จึงไล่พี่ผู้ช่วยให้ขึ้นไปทำงาน
เมื่อเหลือแค่เรา 2 คนไอ้เซก็มั่นใจแล้วว่ากูคงโดนยับไม่ต่างจากคนหน้าเศร้าที่เพิ่งขึ้นลิฟต์ไปเมื่อครู่หรอก
“รู้มั้ย…” รู้อะไรครับพี่ ก่อนจะถามเนี่ยพี่ช่วยเกริ่นอะไรสักหน่อยมั้ย “การไม่ตรงต่อเวลาเป็นคุณสมบัติไม่พึงประสงค์อันดับต้นๆ ของคนทำงาน”
“เซ…”
“ไม่ต้องแก้ตัว มาสายแล้วยังจะมายืนอ้อยอิ่งอยู่อีก”
ได้ข่าวว่าพี่เป็นคนรั้งผมไว้ ถ้าไม่ต้องยืนฟังพี่บ่นป่านนี้ทำงานได้ร้อยอย่างแล้ว โด่
“อ้อ…” อะไร? คิดจะหยุดเดินก็หยุด ถ้ารองเท้าไม่ดีผมพุ่งชนพี่แล้วนะ “เช็ดปากซะด้วยนะ”
“ปาก” ผมทวนคำแล้วใช้หลังมือเช็ดปาก เศษอาหารอะ สงสัยเมื่อกี้รีบไปหน่อย หากขณะที่กำลังใช้หลังมือเช็ดร่องรอยบนใบหน้าลวกๆ ก็ถูกคนตรงหน้ากวาดสายตามองนิ่งๆ จนต้องเอ่ยถามว่าสงสัยอะไรในตัวผม
“บนตัวนั่นน่ะรอยอะไร” เมื่อถูกถามก็รู้สึกคันขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นมาลูบที่ต้นคอ
“ยุงกัดครับ”
“ไปห้องพยาบาลซะ”
“ไปไม่ถูก”
“ชั้น 11 ขึ้นลิฟต์ไปแล้วเลี้ยวซ้าย”
“ไม่ได้อยากให้พี่ไปป์… พี่ปกรณ์บอกทางแต่อยากให้พาไปต่างหาก”
“ไม่ว่าง”
“ยุงกัดทั้งตัวเลย ที่หลังก็มีทายาไม่ถึงหรอก” เห็นใจผมสิ แสดงความห่วงใยสิครับ นี่น้องนะ เป็นพี่เลี้ยงต้องดูแลน้องสิ
เรายืนมองหน้ากันเงียบๆ ราวกับกำลังหยั่งเชิง แต่ก็ยืนเท่ได้ไม่นานผมก็เริ่มขยับตัวยุกยิก โธ่ กำลังจะเท่เลยดันมาคันซะนี่
“ไปห้องพยาบาลซะ” ออกคำสั่งแล้วก็ช่วยกดลิฟต์ให้ ขอบคุณครับ ซึ้งใจอย่างแรง
แต่ว่า… “พี่ปกรณ์ครับ” เสียงเรียกของผมรั้งคนที่ตั้งท่าจะเดินจากไปเอาไว้ ท่าทางตอนที่พี่ไปป์เอี้ยวตัวมาแล้วทำหน้างงโคตรน่ารักจนหัวใจไอ้เซสั่นร้อยแปดริกเตอร์
“อะไร” แต่น้ำเสียงห้วนมาก
“เซ ผมลืมกระเป๋าตังค์อะ ขอยืม…” โคตรเสียศักดิ์ศรีเลย
“เอาเท่าไหร่ 500 พอมั้ย” พี่ไปป์ก็ใจดีควักเงินจากกระเป๋าให้ผม
“เดี๋ยวเซคืนนะ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมแล้วค่อยรับแบ็งค์สีม่วงมา ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัส พี่ไปป์ก็ดึงแบ็งค์กลับแล้วว่าด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“แน่นอนสิ ขึ้นชื่อว่ายืมก็ต้องคืนอยู่แล้วป่ะ”
อาการคันเริ่มกำเริบถึงกระนั้นผมก็ยังคงจับจ้องพี่ไปป์ซึ่งกำลังก้มหน้าพิมพ์บางอย่างบนสมาร์ทโฟน จริงจังมากจนต้องชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เซ็นซะ”
สมาร์ทโฟนเครื่องแพงถูกยื่นมา พอกวาดสายตามองข้อความบนโน้ตแล้วก็ถึงกับหลุดขำ
บางทีพี่ไปป์ก็มีมุมเด็กๆ กับเขาเหมือนกัน น่ารักว่ะ
‘ผม นายสิทธา ได้ยืมเงินจำนวนห้าร้อยบาทถ้วนจากนายปกรณ์
และจะคืนให้ครบตามจำนวนก่อนฝึกงานเสร็จ
ขอรับรองว่าเป็นความจริง หากไม่คืนอนุญาตให้ตบหัวได้เท่าจำนวนเงิน’
โหดสัดรัสเซียแต่ไม่ยอมก็ไม่มีเงินกินข้าว แล้วไอ้เซจะเลือกอะไรได้ไหม
ยาที่เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลทาให้เมื่อตอนสายช่วยบรรเทาอาคารคันจากร่องรอยยุงกัดได้จริง มันช่วยให้ผมมีสมาธิทำงานแต่ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
“มึงจะคันอะไรนักหนาวะเซ” ผมหยุดมือแต่ก็แค่แป๊บเดียว ไอ้อาการคันคะเยอเนี่ยทำให้เสียบุคลิกโคตรๆ หมดกันความหล่อดีไร้ราคีที่สั่งสมมา
“มึงลองถูกยุงรุมกัดบ้างมั้ยล่ะ”
“ใครจะบ้าออกไปนอนระเบียงอย่างมึง” ก็จริงของไอ้ยอด แต่ก็นะ ถ้าไม่นอนระเบียงก็ไม่มีที่จะซุกหัวอะ
คืองี้ เมื่อคืนน่ะ หลังจากแยกกับพี่ไปป์ ผมก็โทรหาพี่สอง ขอร้องกราบกรานให้มันลงมารับและพี่ชายผมก็ช่างเป็นคนใจดีของโลกใบนี้ พอผมอาบน้ำเสร็จก็โยนผ้าห่มกับหมอนมาให้พร้อมทั้งบุ้ยปากไปทางระเบียง ตอนแรกผมก็คิดว่ามันล้อเล่นแต่ที่ไหนได้เอาจริงสุดๆ เพราะคำสั่งพ่อ
คำสั่งที่ว่าก็ไม่ได้น่ากลัวซักเท่าไหร่หรอก ก็แค่ห้ามใครช่วยเหลือผม หากฝ่าฝืนจะโดนลงโทษเหมือนกัน พ่อโคตรใจร้าย แต่ก็ช่างเหอะ คิดว่าไอ้เซจะยอมแพ้เหรอ ฝันไปเถอะ อายุ 20 กว่าแล้วครับ ไม่ใช่เด็ก 5 ขวบ เซจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเซอยู่ได้
“แล้วคืนนี้มึงจะเอาไงต่อ นอนห้องกูมั้ย แฟนกูกลับบ้านต่างจังหวัดพอดี”
ได้ฟังข้อเสนอแล้วก็ตาโตแอบลิงโลดอยู่ในใจ แต่จะกระโตกกระตากไม่ได้ครับขอเล่นตัวนิดนึง
“ได้แน่เหรอวะ กูเกรงใจ”
“มึงอย่ามาตอแหลทั้งที่สายตามึงเป็นประกายวิบวับ” โห อุตส่าห์เก็บอาการ ถูกจับได้ซะแล้ว
เอาวะ ช่างเถอะ อย่างน้อยคืนนี้ก็มีที่ซุกหัวนอนแล้ว
ปุบ!
ขณะที่กำลังกรุ้มกริ่มหัวใจพองโตที่คืนนี้มีที่ให้ซุกหัวนอน เผลอๆ อาจจะมีข้าวเย็นให้กินฟรีๆ อยู่ๆ ถุงพลาสติกซึ่งมีตราร้านยาก็ถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนเจ้าของมันจะนั่งลงข้างๆ กัน
‘พี่ไปป์’
“พี่ปกรณ์สวัสดีครับ ผมชื่อยอดเป็นเพื่อนสนิทไอ้เซ” ไอ้ยอดยกมือไว้ขณะที่ผมคว้าถุงยามารื้อดู
“เคยได้ยินเรื่องคุณจากพี่เลี้ยงเหมือนกัน”
“พี่เขาชมผมเหรอครับ”
“อือ ชมว่าห่วย” ใบ้แดกไปเลยครับเพื่อน
“พี่ไปป์ เอ้ย พี่ปกรณ์ นี่มันกระเป๋าตังค์เซนี่ อยู่ที่พี่ได้ไง”
“มีคนมาฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์”
“แล้วยานี่…”
“บรรเทาอาการคันจากแมลงสัตว์กัดต่อย อ่อ เป็นยาใช้ทาภายนอก อย่าเผลอกินเข้าไปล่ะ” โห ไอ้เซก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นป่ะวะ ฉลากก็มี ภาษาไทยตัวใหญ่เท่าฝาบ้าน มองเห็นแล้วก็อ่านออกหรอกน่า
“คันอะพี่ปกรณ์ ช่วยทายาให้เซหน่อย”
“มีเพื่อนไว้ทำไม”
“ต้องไปทำงานแล้ว ขอตัวนะครับพี่ปกรณ์” แสนรู้กว่าหมาก็ไอ้ยอดนี่ล่ะครับ
“ไม่มีเพื่อนแล้วอะครับพี่ปกรณ์”
“ไปห้องพยาบาล” บอกอย่างเฉยชาแล้วก็ลุกขึ้น โห ไรวะ นี่น้องไง ไม่เห็นใจน้องเลย ไอ้เซโซแซด
ทว่าขณะที่กำลังบีบน้ำตา พี่ไปป์ที่เพิ่งจะก้าวห่างออกไปก้าวนึงก็หยุดขาแล้วเอี้ยวตัวมามอง ผมนี่ใจชื้นเลย เปลี่ยนใจแล้วใช่มั้ย จะกลับมาช่วยไอ้เซทายาแล้วใช่รึเปล่า
“อย่าลืมเขียนรายงานการฝึกงานส่งผมด้วยนะ”
โพล๊ะ!!
ได้ยินเสียงความคาดหวังของผมแหลกสลายไหมครับ
รายงงรายงานอะไร ไม่ทำหรอกโว้ย!!!
“ยอด รายงานนี่มันต้องเริ่มยังไงวะ”
ถึงไม่อยากทำแต่ถ้าไม่ทำก็ฝึกงานไม่ผ่าน เพราะงั้นผมจึงต้องมานั่งหลักขดหลังแข็งพิมพ์รายงานแล้วลบ ลบแล้วพิมพ์ ทำซ้ำๆ จนนิ้วแทบล็อค
“มึงชอบพี่ปกรณ์เหรอวะ” ผมสะดุ้งเลยตอนที่ถูกถามอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงโคตรเรียบ
ผมมองตามนิ้วมือของมันที่กำลังพิมพ์ในส่วนแรกของรายงานให้พลางคิดถึงใบหน้าที่พยายามปั้นนิ่งของพี่ไปป์
ถามว่าชอบเหรอ ก็คงตอบไม่ได้ตอนนี้ แต่ถามว่าถูกใจไหม อืมมม~ ถูกใจโคตรๆ เลย
“อะ เนี่ยกูเริ่มให้แล้ว ที่เหลือมึงก็พิมพ์ลงไปว่าวันๆ ทำเหี้ยไรบ้างแล้วผลที่ออกมาเป็นยังไง และถ้าไม่เข้าใจตรงไหน เปิดไฟล์กูดู แล้วอย่าเสือกลอกล่ะมึง”
“เห็นกูเป็นคนยังไง”
“จนและกาก” เจ็บอะ ทำไมเพื่อนยอดพูดจาทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ เรื่องกากนี่ค่อนข้างจะยอมรับแต่เรื่องจน กูเพิ่งจนเองนะ จนตอนขึ้นปี 4 เนี่ย
เอาจริงๆ นะ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ก็อย่างที่บอกไปตอนก่อนโน้นไง ไม่เสิร์ฟน้ำ ซื้อกาแฟ ก็จัดฉาก
“มึงว่ากูเขียนแบบนี้พี่ไปป์จะด่ากูมั้ยวะ” ไอ้ยอดละสายตาจากหน้าจอมือถือของมันแล้วชะโงกหน้ามามองจอคอมพ์ตรงหน้าผม
มองแล้วส่ายหน้าหมายความว่าไงครับเพื่อนรัก
“กูเนี่ยจะด่ามึงก่อนพี่ปกรณ์ ห่า เสิร์ฟน้ำอะไรทุกวัน”
“ไม่ทุกวันนะมึง บางวันกูก็จัดฉาก เอ้อ มีครั้งนึงช่วยฝ่ายคอสตูมด้วย” ผมเลื่อนหน้าเวิร์ดให้มันดูพร้อมคำบรรยาย แต่กระนั้นไอ้ยอดเพื่อนรักก็ยังคงไม่เลิกทำหน้าหน่ายใจ
“เอาที่มึงสบายใจละกัน แต่ก็โทษมึงไม่ได้ว่ะ พี่เลี้ยงมึงไม่ใส่ใจ”
“อย่าว่าพี่ไปป์”
“ทำไม ชอบพี่เขาจริงๆ ล่ะสิมึง”
“ไม่รู้เว้ย รู้แต่ว่ากูไม่ชอบให้ใครว่าเขา กูว่าเขาได้คนเดียว”
พอเถียงกันเสร็จต่างคนก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาจัดการเรื่องของตัวเอง จนเวลาผ่านไปถึงช่วงดึกสงัดอยู่ๆ ท้องของเราสองคนก็ร้องประสานเสียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“มึงหิวป่ะ” ไอ้ยอดวางมือถือลงแล้วถามก่อน
“ห้องมึงมีอะไรกินป่ะ” มันส่ายหน้า เออดี งี้ก็ต้องไปเซเว่นแล้วดิ
“แฟนกูเขาไม่ให้ซื้อขนมติดห้องว่ะ บอกว่ากลัวอ้วน” กลัวอ้วนก็แค่ไม่ต้องกินรึเปล่าวะ เกี่ยวอะไรกับซื้อขนมติดห้อง ตรรกะป่วยคนหิวว่ามันไม่โอเค
“งั้นไปเซเว่นกัน” ใต้หอไอ้ยอดก็มีร้านขายของชำแต่ป่านนี้คงปิดไปแล้ว
“ฝนตกนะมึง”
มองออกไปยังระเบียงแล้วก็ต้องร้องเหี้ยหนักมาก นี่คือหนึ่งในความซวยของไอ้เซถูกมั้ย
“แต่กูมีร่มนะ” มีอันเดียวทำเป็นคุย
“งั้นกูไปเอง”
“ซื้อสปาเก็ตตี้ให้กูด้วย”
“อย่างแพง เอาตังค์มา” ไอ้ยอดพยักเพยิดไปยังกระเป๋าเก่าๆ เหี่ยวๆ ของมัน มองด้วยตาก็คิดนะว่าถ้าผมจับแล้วเชื้อโรคจะติดมือหรือเปล่า แต่ช่างเชื้อโรคมันก่อน ตอนนี้ของกินคือเป้าหมาย ไปหาของกินกัน
บรรยากาศตรงทางเดินหอพักไอ้ยอดน่ากลัวมาก โคตรเหมือนบุปผาราตรี ผมรีบก้าวขายาวๆ ไปที่ลิฟต์ กดย้ำๆ แม้รู้ว่ามันไม่ช่วยอะไรแต่ก็ทำ
พอลงมาถึงชั้นหนึ่งก็ต้องร้องเหี้ยหนักมากอีกครั้งเมื่อที่เทลงมาจากฟ้าตอนนี้มีทั้งลมทั้งฝน ซัดกระหน่ำจนหน้าแข้งผมเปียกอะคิดดู นาทีนี้ร่มก็คงไม่ช่วยอะไร
ถึงกระนั้นผมก็ฝ่าฝนออกไป เพราะว่าหิวหนักมาก เอาเถอะไหนๆ ก็ซวยแล้ว เอาให้มันสุดๆ ไปเลย
กว่าจะไปถึงเซเว่นก็เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ เสื้อยืดตัวบางแนบไปกับลำตัวในยามที่แอร์ในร้านสะดวกซื้อสัมผัสกาย ไอ้เซก็ได้แต่กอดตัวเองที่กำลังสั่นระริก
อเนจอนาถเหลือเกินชีวิตกู
“เซ”
ใบหน้าของผมถูกตบเบาๆ
“ไอ้เซ”
ตบหน้าอีกแล้ว หน้ากูดีกว่ามึงใช่มั้ยถึงได้ตบรัวขนาดนี้
“เหี้ยเซถ้าไม่ตื่นตอนนี้มึงไปฝึกงานไม่ทันแล้วนะ”
ฝึกงาน คำนี้แม่งโคตรต้องสาป ผมเด้งกายขึ้นนั่งบนเตียง สะบัดหัวไล่ความมึนงงก่อนจะพาร่างสะโหลสะเหลเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มไปอาบน้ำ
ใช้เวลาจัดการตัวเองประมาณ 10 นาทีก็มายืนโหนเสาทำหน้าสลอนอยู่บนรถเมล์
ทั้งชีวิตเคยนั่งแต่รถส่วนตัว ตอนนี้ตกอับกระทั่งต้องมานั่งรถเมล์ฟรีที่จอดไม่เคยตรงป้ายอะคิดดู
ยืนโยกไปโยกมาให้ถุงแกงร้อนๆ นาบแข้งนาบขาไม่นานก็มาถึงตึก โคตรทรหดอะเช้านี้ คงเพราะเบียดคนเยอะแยะบนรถผมถึงรู้สึกมึนหัวมาก
“ไหวมั้ยไอ้คุณหนู”
“คุณหนูเหี้ยไร”
“คุณหนูตกอับ”
ฮือออ~ ถ้าจะพูดแบบนี้ เอาปากกามาเขียนหน้ากูเลยดีกว่า อยากจะบอกให้เอาปืนมายิงแต่ก็กลัวเจ็บ
“นักศึกษาฝึกงานมานั่งอู้อะไรตรงนี้ครับ”
ไอ้เหี้ยพี่สอง เพราะเอาแต่ทำปากพะงาบๆ ด้วยความตกใจที่อยู่ๆ มันก็โผล่มา กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ไอ้พี่ชายตัวดีก็เดินตัวปลิวเข้าลิฟต์ผู้บริหารไปแล้ว
สัดอย่าให้ถึงทีกูบ้างนะมึง จะเดินให้เท่กว่ามึงพันเท่าเลย
“พี่สองโคตรเท่อะมึง”
“เท่เหี้ยไร อย่าเพ้อ ไปทำงาน”
เราแยกกันที่หน้าตึกเพราะวันนี้ไอ้ยอดต้องไปดูการถ่ายทำที่สตูดิโอ ส่วนผม แก้บทยังไม่เสร็จเลยคร้าบบบ~
มวลมหาประชาชนบนรถเมล์ฟรีว่าเบียดแล้ว เจอมวลมหาชาวประชาบริษัทเข้าไป รถเมล์ฟรีน่ะเบๆ เลย
“น้องเซหน้าซีดมากเลยค่ะ”
พี่ผู้ช่วยพี่ไปป์อีกแล้ว ช่วงนี้เจอเธอบ่อยมาก บ่อยจนแอบสงสัยว่าเธอตามผมอยู่รึเปล่า
“กินข้าวเช้ามารึยัง เอาแซนวิชไปกินนะคะ” คนเยอะมากแต่ก็ยังแทรกๆ เบียดๆ หยิบแซนวิชในถุงผ้าส่งมาให้ผม
จะไม่รับไว้ก็กะไรอยู่อะเนอะ ดังนั้นผมจึงรับมาแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะถูกคลื่นมนุษย์ซัดสาดให้ไหลออกจากลิฟต์มา มองดูตัวเลขบอกชั้นก็ต้องถอนหายใจครับ อีกตั้ง 3 ชั้นกว่าจะถึงชั้น 7 จะรอลิฟต์ก็คิดว่าสายแน่นอน ถ้าพี่ปกรณ์ทราบเรื่องล่ะก็ไอ้เซถูกด่ายับแน่นอนไม่ต้องรอให้หมอดูคอนเฟิร์ม
รู้สึกว่าวันนี้ร่างกายตัวเองอ่อนแอแปลกๆ มันรู้สึกมึนเหมือนตอนเพิ่งตื่น กระนั้นผมก็ยังคงพยายามสาวราวแล้วก้าวขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า สวัสดีหอยทาก ช้าแบบถ้าเดินข้างหอยทาก พี่หอยก็คงแซง เดินได้แค่ชั้นเดียวก็นั่งทรุดตัวลงนั่งพัก หรือผมจะหิว ไม่ใช่หรอก ท้องไม่ร้อง ไม่รู้สึกหิวด้วย มีแต่อาการมึนหัวที่เพิ่มขึ้น
แม้จะขึ้นบันไดหนีไฟมาแต่ผมก็ยังสายอยู่ดี แต่ก็ยังโชคดีอยู่ที่ไม่เจอพี่ไปป์ที่แผนกวาไรตี้
“พี่ดูบทที่มึงแก้แล้ว ใช้ได้อยู่นะ” กระดาษเอสี่ยับๆ ถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเมื่อผมนั่งลง
ผมนี่ก็เก่งใช้ได้เหมือนกันแฮะ
“แก้บทเสร็จแล้วก็ลงไปช่วยที่สตูนะ รู้ใช่มั้ยว่าเขาถ่ายกันที่สตูไหน”
“ทราบครับ” ผมรับคำพี่โปรดิวเซอร์ด้วยเสียงอันแหบแห้ง
จำได้ว่ารายการเริ่มถ่ายทำตอน 10 โมง ระหว่างนี้ของีบก่อนก็แล้วกัน มึนหัวฉิบหายเลย
หลับไปแค่งีบเดียวผมก็ถูกกวนให้ตื่นด้วยมือของใครสักคนที่แตะบ่าเบาๆ งัวเงียลุกขึ้นมาก็พบหน้าดุๆ ของพี่ไปป์
ฉิบหายแล้วไอ้เซ โดนด่าหูชาแน่มึง
“คนที่สตูฯ บอกว่าเธอไม่สบาย”
“เอ่อ…” ไม่ด่าว่ะ
“ถ้าไม่สบายก็ไปหาหมอสิ มานอนอยู่แบบนี้มันจะหายได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรมากหรอกพี่ แค่นอนน้อยครับ”
“แน่ใจนะว่าไหว” เก้าอี้ข้างๆ ถูกเลื่อนออกก่อนเจ้าของร่างโปร่งจะนั่งลงข้างๆ สายตาพี่ไปป์อ่อนโยนจนผมแอบเคลิ้ม แต่ก็เคลิ้มได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขาวางหลังมือลงบนหน้าผากของผม
ความอ่อนโยนที่ได้รับทำให้ภายในอกของผมวูบโหวง ตั้งใจละสายตาไปมองที่อื่นแต่สุดท้ายก็กลับมามองหน้าพี่แกเหมือนเดิม
ใบหน้าพี่ไปป์มีแรงดึงดูด ไม่สิ สายตาอ่อนโยนคู่นั้นต่างหากที่มีแรงดึงดูด
“ตัวร้อนมาก ไปนอนห้องพยาบาลเถอะ”
อาจเพราะกลัวว่าผมจะไม่ทำตาม พี่ไปป์จงคว้าต้นแขนของผมแล้วดึงให้ลุกขึ้น เดินนำไปยังลิฟต์ทั้งที่ไม่ยอมละมือจากผมเลย
“ดื้อเหมือนกันนะเรา”
“ครับ?” ผมสบตากับพี่ไปป์ผ่านภาพสะท้อนที่ประตูลิฟต์
“ดื้อไง ถ้าไม่ไหวก็ไม่จำเป็นต้องฝืนนะ”
“ผมไหวจริงๆ”
“ดื้อ!!” พี่ไปป์เอ็ดผมเสียงดุ ทว่ากลับไม่ทำให้ผมกลัวสักนิด มิหนำซ้ำยังรู้สึกดีจนต้องยกยิ้มขึ้นมา “ยิ้มอะไร”
“รู้สึกดีที่พี่ไปป์เป็นห่วงครับ”
“ในฐานะพี่เลี้ยง”
“ทราบครับ แต่ถึงจะห่วงในฐานะพี่เลี้ยง เซก็รู้สึกดีครับ”
ติ๊ง!
ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้น 11
พี่ไปป์พาผมมาส่งที่ห้องพยาบาลโดยปราศจากคำพูดใด เจ้าหน้าที่จัดยาบังคับให้กินแล้วกำชับให้พักผ่อน และเมื่อถูกปล่อยให้อยู่ลำพังผมก็หลับไปเลย
ตื่นขึ้นมาอีกทีตอน 11 โมง
เลยเวลาถ่ายรายการมาแล้วกว่าชั่วโมง ผมงัวเงียลุกขึ้นมา รู้สึกมึนอยู่หน่อยๆ ลองจับหน้าผากตัวเองก็พบว่ามันไม่ได้ร้อนนัก ผมคิดว่าตัวเองยังไหวนะ
“คุณปกรณ์บอกว่าไม่สบาย” ผู้กำกับหันมาถามเมื่อผมยกมือไหว้
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“แน่นะ”
“ครับ”
“งั้นก็นั่งนี่ อย่าทำตัวมีปัญหา” ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และไม่มีเงินด้วยเช่นกัน
การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อยๆ แบบที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก นอกจากนั่งศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติงานจริงของพวกพี่มืออาชีพเขา
กว่าจะได้รายการดีๆ ออกมาให้ทุกคนดูกันที่หน้าจอโทรทัศน์นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“พัก 15 นาที” เสียงผู้กำกับดังให้ทีมงานเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
พักในที่นี้หมายถึงให้พิธีกรพัก ส่วนทีมงานน่ะเหรอต้องพร้อมทำงานอยู่เสมอ
“ไงเรา ชอบแผนกวาไรตี้มั้ย”
“ก็สนุกดีครับ”
“ไงก็ฝากให้ท่านประธานพิจารณาโบนัสพวกเราด้วยนะ” พี่ผู้กำกับว่าทีเล่นทีจริง
ไอ้เซก็อยากช่วยอยู่หรอกแต่ตอนนี้ตัวผมเองยังเอาไม่รอดเลย
ความจริงเรื่องที่ผมเป็นลูกชายคนเล็กของท่านประธานก็ไม่ใช่ความลับอะไร แต่ก็มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ทราบ ก็ผมน่ะไม่ค่อยออกสื่อกับพ่อซักเท่าไหร่ ไม่รู้สิ ไม่อยากดัง และก็คิดว่าพี่ไปป์เองก็คงไม่รู้ว่าผมเป็นใคร รายนั้นน่ะยังคิดว่าผมเป็นเด็กขายน้ำอยู่เลยมั้ง
ต้องอธิบายยังไงถึงจะเลิกเข้าใจผิดก็ไม่รู้
พอนึกถึงก็โทรมาเลย
“อยู่ไหน” รับสายปุ๊บก็ดุกันเลย จะโหดไปไหนครับ รู้มั้ยว่ามันไม่เข้ากับใบหน้าหล่อน่ารักของพี่เลย
“อยู่สตูฯ ครับ”
“บอกให้พักไง”
“ผมโอเคแล้วครับพี่ปกรณ์”
“โอเคอะไร จิตใจหรือร่างกาย ถ้าเป็นอะไรขึ้นมานะ…” จากนั้นก็บ่นยาวจนผมต้องปลีกตัวออกมาที่บันไดหนีไฟเพื่อฟังเสียงบ่นโดยเฉพาะ
บ่นแปลว่าห่วง พี่ไปป์ห่วงผมว่ะ โคตรรู้สึกดี
“ผมสัญญาว่าคืนนี้จะกินยาแล้วรีบนอนแต่หัววันเลยครับ”
“แล้วแต่!!” กระชากเสียงใส่แล้วก็วางสายไปเลยอ่ะ ขี้งอนชะมัด
เมื่อกลับเข้ามาในสตูดิโออีกครั้งการถ่ายทำก็เริ่มขึ้นแล้ว และผมก็ไม่อาจนั่งเฉยๆ ได้อีกต่อไป
“ให้ผมช่วยนะพี่”
ถึงจะบอกว่าไม่ชอบทำงานใช้แรงแต่คนดีอย่างไอ้เซก็เข้าไปช่วยพี่เขาแบกน้ำเหมือนเดิม บางทีผมอาจจะติดใจงานใช้แรงพวกนี้แล้วก็ได้
หลังจากงานแบกน้ำ ผมก็ทำนู่นทำนี่ไม่หยุดเลย แม้บางครั้งอาการปวดหัวจะกำเริบแต่เมื่อได้นั่งพักสักหน่อยอาการก็ทุเลาลง
“โอเค ขอบคุณทุกคนมาก” เสียงของผู้กำกับไม่ต่างจากนาฬิกาบอกเวลาเลิกงาน ทุกคนดูโล่งใจมาก ผมเองก็ด้วย
“น้องสิทธาโอเคมั้ยเนี่ย หน้าซีดมากเลย”
“สบายพี่” ผมทรุดนั่งยองๆ กับพื้น ยกหลังมือขึ้นปากเหงื่อ ทั้งที่แอร์ในห้องนี้ก็ออกจะเย็นแต่ผมกลับรู้สึกร้อนมาก เหงื่อไหลโทรมกายเหมือนเพิ่งวิ่งแข่งมา
ปวดหัวอีกแล้วว่ะ คราวนี้ปวดมากกว่าทุกครั้งเลย
ผมนั่งอยู่บนพื้นมองพี่ทีมงานเก็บของแล้วค่อยๆ ทยอยออกจากห้องไปทีละคนสองคน ไฟในสตูดิโอก็ถูกปิดลงจนเกือบหมด
“ไอ้น้องนั่งทำอะไรตรงนั้น กลับบ้านได้แล้ว” พีทีมงานคนสุดท้ายกวักมือเรียกให้ผมพยุงตัวที่ปราศจากเรี่ยวแรงลุกขึ้น
การจะพาตัวเองไปยังประตูมันช่างยากลำบากเหลือเกิน
“เจอกันพรุ่งนี้ไอ้น้อง วันนี้ทำดีมาก เดี๋ยวพี่ให้คะแนนประเมินเต็มสิบเลย”
“ขอบ…” ไม่ทันที่คำซึ่งเค้นออกมาจากลำคออันแหบแห้งจะหลุดออกมาจากริมฝีปาก พี่เขาก็เข้าลิฟต์ไปแล้ว
ผมทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอีกครั้ง กอดตัวเองเมื่อรู้สึกว่าอากาศโคตรหนาว ใบหน้าและร่างกายร้อนผ่าว พละกำลังที่มีอย่างมหาศาลบัดนี้ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด กระทั่งดวงตาก็ไม่สามารถบังคับให้มันเปิดอยู่ได้ ดังนั้นผมจึงหลับไป
ติ๊ง!
ได้ยินเสียงลิฟต์
“เซ!!”
ได้ยินเสียงพี่ไปป์ และทุกอย่างก็มืดดับไป
สิ่งแรกที่ผมรับรู้ตอนได้สติคือกลิ่นโรงพยาบาล ปวดหัวว่ะ ผมพยายามจะพลิกตัวทว่ากลับรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนซึ่งถูกเข็มตรึงเอาไว้
น้ำเกลือเหรอ?
“ไอ้เซมึงฟื้นแล้ว” เสียงไอ้ยอด เมื่อลืมตาขึ้นมอง ปรับสายตาให้เข้ากับความสว่างแล้วก็พบกับใบหน้าตื่นตกใจของเพื่อนผม
ปวดหัว ผมยกมือขึ้นกุมขมับแล้วขยับตัวเพื่อนั่งทว่ากลับถูกกดไหล่เอาไว้
“นอนไปเลยมึง อย่าฝืน”
“กูหลับไปนานเท่าไหร่วะ”
“ครึ่งวันกับหนึ่งคืน” มันหาวปากกว้างกว่าอุโมงค์ที่แยกมไหศวรรย์ซะอีก
“พี่ไปป์ล่ะ”
“มึงรู้ได้ไงว่าเขาพามึงมาส่ง”
“กูได้ยินเสียงเขาก่อนหมดสติว่ะ”
“พี่ไปป์ของมึงเพิ่งกลับไปเมื่อเช้า”
“พี่เขาไม่ใช่ของกูซักหน่อย”
“แล้วมึงจะเขินทำซากอะไร อย่าบอกนะว่ามึงคิดกับเขาเกินพี่เลี้ยงจริงๆ”
“กูปวดหัว มึงจะไปไหนก็ไปกูจะนอน”
“ถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นพี่ไปป์มึงคงไม่ไล่อย่างหมาแบบนี้” ประชดครับ มันประชด
“ไปไกลๆ เลยหมา ชิ่วๆ” สะบัดมือไล่มันแล้วผมจึงหลับตาลง
ถามว่ายังปวดหัวอยู่จริงๆ เหรอ ก็ไม่เท่าไหร่นะ ดีขึ้นกว่าตอนก่อนจะหมดสติเยอะเลย อาจเพราะได้พักผ่อนด้วยล่ะมั้ง
“หลับไปอีกแล้วเหรอ” ผมแค่หลับตาแต่ไม่ได้หลับจริง และเมื่อได้ยินเสียงพี่ไปป์ ผมก็หรี่ตามอง เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความกังวล มันก็น่ามองดี แต่ก็ไม่เท่าชุดลำลองที่ประกอบด้วยเสื้อคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนส์ทรงกระบอกเผยข้อเท้าขาวๆ นั่นหรอก
“หลับไปสักพักแล้วพี่ ผมฝากพี่ปกรณ์ดูมันต่อได้มั้ยครับ ผมต้องไปรับแฟนอะ”
“ก็ไปสิ ขอบใจมากยอด”
เสียงฝีเท้าไอ้ยอดห่างออกไปเป็นจังหวะเดียวกับที่เก้าอี้ข้างเตียงถูกลากออกแล้วพี่ไปป์ก็นั่งลง
หน้าผากของผมถูกสัมผัสด้วยมืออุ่นๆ ที่แนบลงมาเพื่อวัดอุณหภูมิ
“ตัวก็ไม่ร้อนแล้ว ที่หลับนี่ไม่สบายหรือขี้เกียจ” พี่ปกรณ์ก็มองผมในแง่ร้ายเกินไป อาการของไข้หวัดก็ยังมีอยู่แต่ความขี้เกียจมีมากกว่า แต่ที่มากกว่าความขี้เกียจคือความสำออย
“น้ำ” ผมขยับริมฝีปากหน่อยๆ แล้วร้องขอน้ำ เมื่อหรี่ตาขึ้นก็ประสานสายตากับคนข้างงเตียงพอดี “พี่ไปป์”
แทนที่จะเหวี่ยงที่ผมเรียกชื่อเล่นพี่แกกลับทำแค่มองเฉยๆ ก่อนช่วยปรับเตียงให้ผมนั่งแล้วค่อยหันไปรินน้ำมาให้
“ถือเองได้มั้ย” ผมส่ายหน้าพี่แกก็จิ๊ปาก แม้จะแสดงความไม่พอใจแต่ก็ยอมป้อนน้ำผมแต่โดยดี “รู้สึกดีขึ้นรึยัง”
“ก็ดีครับ แต่ยังปวดหัวนิดหน่อย”
“ทำไมเป็นคนรั้นแบบนี้ฮะสิทธา”
“ครับ? ผม เอ่อ…” ก่อนอาการจะทรุดจนต้องนอนโรงพยาบาล พี่ไปป์บอกให้ผมพัก เขาบอกว่าอย่าฝืนแต่ผมก็ไม่เชื่อ สมควรแล้วที่โดนดุ
“ผมบอกให้คุณนอนพักไม่ใช่เหรอ แล้วไปทำงานทำไม ใครใช้ให้ไป”
“ไม่มีใครใช้ครับ”
“คุณรู้มั้ยว่าที่บรษัทมีระบบพี่เลี้ยงไว้ทำไม”
“เอ่อ…”
“มีไว้เพื่อให้คุณเชื่อฟังไง แต่ถ้าคุณไม่เชื่อฟังผมก็ไม่ต้องมาเป็นน้องผม”
“เซขอโทษครับพี่ปกรณ์ เซจะไม่ดื้ออีกแล้ว” จะโทษใครได้ ที่ต้องมานอนซมในโรงพยาบาลแบบนี้แถมยังสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไปทั่ว ทั้งหมดนั้นเกิดจากความดื้อรั้นของผมจริงๆ
แม้ผมจะขอโทษด้วยเสียงอ่อยๆ ช้อนตามองพี่ไปป์เหมือนหมาอ้อนเจ้านาย ถึงกระนั้นคนถูกอ้อนก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย สายตาก็ทอดมองไปนอกหน้าต่างโน่น
“พี่ไปป์ เซขอโทษครับ” ผมยื่นมือไปแตะที่ต้นแขนแต่เจ้าของมันกลับสะบัดออก มองผมเขม็งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน งอนแรงมากอะคนเรา
“หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นี่เสื้อผ้า” กระเป๋าใบเล็กถูกวางลงบนเตียงข้างตัว เมื่อลองรื้อดูก็พบว่าเป็นเสื้อผ้าซึ่งไม่ใช่ของผมซักชิ้น
“เซไม่มีที่ไป”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านกัน”
“บ้าน?”
“บ้านผม พอใจรึยัง”
บร๊ะ!! ได้ไปอยู่บ้านพี่ไปป์แล้วโว้ย ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วจะมีที่ซุกหัวนอนโดยไม่ต้องร้องขอ ไอ้เซยอมป่วยตั้งนานแล้วครับ
[T B C]ได้เข้าบ้านพี่ไปป์สมใจไอ้เซแล้ว
เนี่ย ป่วยตั้งแต่แรกก็จบแล้วเนอะ
ไม่ต้องอ้อนต่องอ่อยเลย 555
เจอกันอีกทีวันที่ 15 นะคะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ
รัก