18
“ทำไมตาบวมแบบนี้ล่ะ?” เอสถามขึ้นเมื่อเห็นคนรักเดินมาหาเขาที่บ้านในตอนเช้าด้วยเปลือกตาที่ดูบวมแดงผิดปกติ
“ขึ้นรถก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” เขาดันตัวคนถามให้ไปขึ้นรถฝั่งคนขับ ส่วนตัวเองก็เดินแยกไปอีกด้าน ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้อีกฝ่ายฟังเลย แต่มันก็จำเป็น
ขับรถออกมาได้สักพัก เอสก็เอ่ยถามขึ้นอีก “เมื่อคืนมีเรื่องอะไรเหรอ?” เพราะก่อนที่เขาจะวางสายไปก็ยังดูปกติดีอยู่เลย ตอนนี้ตี๋ดูแปลกไปนิดหน่อย ดูเซื่อง ๆ เหมือนกับว่ามีเรื่องให้คิดอยู่ตลอด
“อืม...ก็มีนิดหน่อยอะ” คนน้องตอบเสี่ยงเอื่อย
เขาเงียบเพื่อที่จะรอฟัง สักพักตี๋ถึงเริ่มพูด
“ม๊ารู้เรื่องแล้วนะ”
เอสชะงักไปนิดหน่อย เหลือบมองคนด้านข้างก็เห็นว่าอีกฝ่ายหันมองตนอยู่ก่อนแล้ว
“เรื่องของเรา” ตี๋พูดต่อให้จบประโยค
จะผิดไหมที่เขารู้สึกดีกับคำว่า ‘เรื่องของเรา’ จากปากของอีกฝ่ายในสถานการณ์แบบนี้
“อมยิ้มอะไรของพี่วะ?”
“โทษที ๆ” เอสบอกแต่ใบหน้าก็ยังคงเจือไปด้วยความรู้สึกดี ไม่ใช่เขาไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่ม๊าของตี๋รู้หรอก แต่เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าสักวันทุกคนก็ต้องรู้เรื่องนี้...เขาทำใจไว้นานแล้วล่ะ
“นี่พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่พี่ไม่รู้สึก” เขาคว้ามืออีกฝ่ายมาบีบเพื่อให้ใจเย็นลง “แต่พี่เตรียมใจไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่คบกับเราใหม่ ๆ โน่น ภูมิต้านทานพี่เลยเยอะกว่ายังไงล่ะ”
“เออ พ่อคนเก่ง”
เอสยิ้มขำ แต่ก็สบายใจเมื่อเห็นตี๋ผ่อนคลายขึ้น “แล้วม๊าว่ายังไงบ้าง?”
“ม๊าไม่ว่าอะไรเลย” เพียงแค่เปิดปากพูดก็เหมือนน้ำตาจะไหลอีกครั้ง เขาเลยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ม๊าบอกว่า..ไม่ว่าตี๋จะเป็นยังไงเขาก็ยังรัก”
เอสยิ้ม “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ นี่แหละความรักของคนเป็นแม่” ได้ยินน้องพูดแบบนี้เขาก็เบาใจขึ้น ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เขาก็มั่นใจว่าถ้าม๊าของตี๋รู้เรื่องของพวกเขา ท่านจะโอเค คนที่น่าเป็นห่วงคือป๊าของตี๋ต่างหาก...
“ตี๋ดีใจมาก ๆ เลย แต่ก็เสียใจด้วย”
“หืม..มันยังไงกันล่ะเนี่ย” เขาหัวเราะในลำคอเสียงเบา
“ไม่รู้สิ คนเป็นพ่อเป็นแม่เขาก็คงหวังให้ลูกแต่งงานมีครอบครัวล่ะมั้ง”
“ม๊าบอกว่าผิดหวังในตัวเราเหรอ?”
“เปล่า”
“เห็นไหม..ท่านก็ไม่ได้พูดซะหน่อย คิดมากเกินไปแล้ว เนี่ยเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดีของตี๋นะ รู้ตัวหรือเปล่า?”
เจ้าตัวยู่ปาก เถียงไม่ออกเพราะที่อีกคนพูดมามันก็เป็นเรื่องจริง
“พี่ไม่ได้บอกให้เราไม่ต้องคิดหรอกนะ แต่เรื่องที่มันยังไม่เกิดคิดไปมันก็เครียดเปล่า ๆ คิดพอให้เรามีภูมิต้านทานที่ดีแบบพี่ก็พอ”
“พูดดีไปเถอะ ถ้าป๊าตี๋ไม่เห็นด้วยพี่จะทำยังไงล่ะทีนี้”
“เอาจริงดิ”
“อย่ากวนตีนได้ปะ!” ตี๋แหวใส่เสียงดัง คิ้วเรียวขมวดแทบจะผูกกันเป็นโบว์
คนพูดจากวนประสาทหัวเราะอารมณ์ดี “พี่จะไปทำอะไรป๊าเราได้ ที่พี่ทำได้..ก็แค่รักและดูแลลูกชายคนเล็กคนนี้ของป๊าให้ดีที่สุด นอกนั้นก็แล้วแต่ความเห็นชอบของท่านแล้วล่ะ”
ใบหน้าของตี๋ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเขินปนรู้สึกดี แล้วตอนนี้มันก็แดงไปหมดลามไปจนถึงหูกับคอเลยด้วย ทั้งที่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันก็ไม่ใช่คำพูดแสนหวานอะไร แต่มันก็มีผลต่อใจเขามากเหลือเกิน
พอรถติดไฟแดงก็ทำให้เอสได้มีโอกาสหันมามองคนที่นั่งด้านข้างชัด ๆ และความแดงของตี๋ก็ทำให้เขาตกใจปนตลกมากจนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ จนเจ้าตัวหันมามองส่งสายตาไม่พอใจมาให้นั่นล่ะถึงได้หยุดขำ
“นี่จริงจังนะว้อย!”
“พี่ก็จริงจังนะ”
“แล้วหัวเราะทำไมล่ะวะ!”
เอสยกยิ้มก่อนจะกุมมือของคนที่กำลังโวยวายขึ้นมากดจูบลงไปอย่างแผ่วเบา “ก็พี่อยากให้เราผ่อนคลาย อย่าเครียดไปเลยนะ ไม่ว่ายังไงพี่ก็จะอยู่ข้างเราเสมอ...จะไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน”
แววตาของตี๋อ่อนลงเมื่อรู้ถึงเจตนาของเอส เจ้าตัวเอนหัวพิงกับไหล่กว้างนั้น “ขอบคุณนะ” เขาพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มอ่อน ๆ รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
พอไฟเขียวตี๋ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อที่เอสจะได้ขับรถได้อย่างสะดวก ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงเขตมหาวิทยาลัย คนพี่ไปส่งเขาถึงหน้าคณะก็ออกรถไปบริษัทต่อทันทีไม่ได้ลงมาส่งแต่อย่างใด
เขามาถึงคนแรกของกลุ่ม เพราะไอ้พวกนั้นมันนอนหอที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเลยตื่นสายได้ แล้วช่วงนี้มันย้ายเข้าที่ใหม่แชร์ค่าห้องกันด้วย เดี๋ยวก็คงจะมาพร้อมกันนั่นแหละ
เขานั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอเพื่อนมาสมทบ ไม่นานนักพวกมันก็เดินมาพร้อมกัน
“ทำไมตามึงบวมจังวะ?” ภาคถามวางกระเป๋าลงกับโต๊ะก่อนจะนั่งลง เขามองเปลือกตาของเพื่อนรักที่บวมตุ่ยผิดปกติอย่างสงสัย
“เสือก”
พอโดนเพื่อนตอกกลับภาคก็อุทานว่า ‘โอ๊ะ’ สั้น ๆ ส่วนกลอยก็หัวเราะร่วนด้วยความตลก
“เรารึอุตส่าห์เป็นห่วงเห็นว่าเพื่อนดูแปลกไป ดูสิคนเรา กลับมาด่าเพื่อนหยาบคายแบบนี้ได้ยังไงกัน” ภาคแกล้งบ่นตัดพ้อยาวเหยียด
“พอเลยมึง” ตี๋ทำท่าจะปาโทรศัพท์ในมือใส่มันด้วยความหมั่นไส้ ถ้าไม่ติดว่าราคาแพงนะ เครื่องนี้ได้เอาเลือดหัวมันออกแน่
“ก็แล้วมีอะไรล่ะตามึงถึงบวมขนาดนี้” กลอยถามบ้าง
“ก็...มีเรื่องนิดหน่อย” ตี๋ตอบอ้อมแอ้ม
“ถ้าให้กูเดานะร้องไห้มาล่ะสิ?”
ตี๋หันขวับไปมองภาคที่พูดออกมาทั้งที่ขนมปังเต็มปาก แอบด่ามันในใจ ไอ้นี่ให้มันเดาอะไรก็แม่นแม่งทุกครั้ง ไม่รู้ว่ามันมีพรายกระซิบหรือยังไง
“นี่ไง มองหน้ากูแบบนี้...กูเดาถูกล่ะสิ”
เพื่อนตัวดียกนิ้วขึ้นชี้หน้าเขาพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“มึงนี่มัน...” ตี๋เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ขี้เสือกจริง ๆ”
ภาคยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “รีบเล่ามาเลยมึง กูอยากรู้ว่าอะไรทำให้เพื่อนรักกูต้องเสียน้ำตา”
“มึงก็พูดเหมือนเป็นห่วงกูนะสัด”
“หรือทะเลาะกับผัว” ภาคไม่ใส่ใจคำด่าว่าของเพื่อน แถมยังย้อนถามกวนตีนอีก
“ผัวเหี้ยอะไรล่ะ” ตี๋ยกมือขึ้นหวังจะตบหัวแต่ไอ้เพื่อนตัวดีหลบทัน
กลอยมองพวกมันสองคนด่ากันไปมาสักพัก พอเห็นว่ากลุ่มเขาเริ่มเป็นเป้าสายตาก็เลยต้องปรามกันบ้าง “พวกมึงทั้งคู่หยุดทะเลาะกันได้แล้วโว้ย จะเถียงกันให้คนรู้เรื่องทั้งคณะเลยรึไงวะ” พวกมันถึงจะหุบปากกันได้
“ตี๋มึงก็พูดมาเหอะว่ามีปัญหาอะไร พวกกูจะได้ช่วย” พอเห็นว่าสงบปากกันได้ กลอยก็เลยเป็นฝ่ายถามแทน เพราะตี๋มันไม่ค่อยกล้าหือกับเขาหรอก อารมณ์เหมือนกับว่ามันแพ้ทางกันมากกว่า
ไอ้ภาคนี่เหมือนคู่กัดกัน...กัดกันเป็นหมาเลย
“ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ม๊าแค่มาพูดกับกูว่าเขารู้แล้วว่ากูคบกับพี่เอสอะแหละ” ตี๋บอก
ทั้งกลอยและภาคตาโตส่งเสียงร้องพร้อมกัน “เหี้ย!”
“จะเสียงดังหาพ่อมึงรึไง!!” ตี๋ด่าเข้าให้
ทั้งสองคนตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ก็แหม...เจอเรื่องแบบนี้เป็นใครก็ตกใจไหมล่ะ
“โทษที” กลอยบอกพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ
“แล้วเป็นไงบ้างอะมึง?” ภาครีบถาม
“เขา...เข้าใจกูนะ ไม่ได้ว่าอะไรเลย” ตี๋ตอบคำถามเพื่อนสั้น ๆ ยังคงรู้สึกซึ้งใจไม่หาย แบบนี้เขาถึงยังไม่อยากเล่าให้พวกมันฟัง เพราะเขาจะร้องไห้นี่ไง
กลอยยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เพื่อน “ก็ดีแล้วนี่”
“แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย พวกกูนี่ลุ้นกันเยี่ยวเหนียวเลยมึง” ภาคบอกใบหน้าบ่งบอกถึงความสบายใจ
“ขอบใจพวกมึงมากนะ” ตี๋บอก
“แล้วป๊ามึงอะเขารู้หรือยัง?” ภาคถามต่อ เพื่อนรักทำหน้าเครียดและเงียบไปพักใหญ่ จนเขากับกลอยมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อดี แต่ปกติแล้วเพื่อนเขาเป็นพวกถ้าเจอคำถามยาก ๆ มันจะใช้เวลาคิดคำตอบนานอยู่แล้ว เลยทำให้พวกเขายังคงรอดูท่าทีของมันก่อน
“เฮ้อ” ตี๋ถอนหายใจทิ้งก่อนจะเริ่มพูด “เขายังไม่รู้ว่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เขาจะดูออก เพราะที่ม๊ากูรู้เรื่องนี่เขาก็ดูออกเองนะมึง โชคดีไปที่ท่านรับได้ แต่อีกคนนี่...กูไม่รู้เหมือนกันว่าผลมันจะออกมายังไง”
ตี๋เงียบไปช่วงอึดใจก่อนจะพูดต่อ “ที่กูห่วงน่ะไม่ใช่ตัวเองหรอก กูห่วงพี่เขาต่างหากว่าจะเป็นยังไงถ้าเกิดพ่อกูไม่ยอมรับขึ้นมาจริง ๆ”
...ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้ามันยังไม่เกิดขึ้นก็รับประกันอะไรไม่ได้หรอกว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน
คนที่ดูภายนอกว่าเข้มแข็ง แต่ภายในอ่อนแอแค่ไหน ใครหรือจะรู้...
“อย่าเพิ่งคิดไปในทางที่ไม่ดีเลยมึง มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้นะเว้ย”
ตี๋หันไปยิ้มบาง ๆ ให้กับเพื่อนทั้งสองคน “กูจะพยายาม”
ภาคก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าตอนนี้ถึงเวลาเริ่มเรียนแล้ว พวกเขาทั้งสามคนเลยรีบหอบของแล้วออกวิ่งไปพร้อมกับเสียงบ่นของตี๋
“พวกมึงแม่งเอาแต่ชวนกูคุย สายเลย แม่งเอ๊ยยย คาบ’จารย์ชูชัยด้วย โดนด่าแน่มึง”
ทั้งภาคและกลอยก็ได้แต่หัวเราะร่วนและก็วิ่งไปพร้อมกัน
/
“วันนี้มีคนมารับไหมมึง?” กลอยถามขณะเก็บอุปกรณ์การเรียน
“ไม่ว่ะ เห็นว่าวันนี้เลิกดึก”
“งั้นไปเล่นห้องพวกกูป่าว” ภาคชวนยักคิ้วให้ วันนี้วันศุกร์พรุ่งนี้พวกเขาไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยเลยกะว่าจะตั้งวงกันนิดหน่อย ถึงไอ้ตี๋จะเป็นพวกไม่ดื่มก็เถอะ แต่หลายคนก็ดีกว่าสองคน บรรยากาศจะได้ครึกครื้นหน่อย
ตี๋ใช้เวลาคิดนิดหน่อยก่อนจะตอบ “เออ เดี๋ยวขอโทรบอกม๊าก่อน”
“บอกม๊าหรือบอกก...”
“ไอ้สัด” ตี๋ด่าแล้วเดินชนไหล่ไอ้ภาคออกไป เขาล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่บ้าน เสียงสัญญาณดังอยู่สักพักก็มีคนกดรับ “ม๊า..เดี๋ยวคืนนี้ตี๋นอนห้องไอ้ภาคกับไอ้กลอยมันนะ”
“โอเคลูก ตี๋อย่าลืมบอกพี่เอสเขาด้วยนะ” ม๊าบอก
“ครับ” เจ้าตัวตอบรับก่อนจะกดวาง เขาไลน์ไปบอกพี่เอสว่าจะค้างห้องของเพื่อนตามที่มารดาบอกไว้ แล้วจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม
ปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้ไปนอนค้างห้องเพื่อนบ่อยนักถ้าไม่มีงานกลุ่มที่ต้องช่วยกันทำ แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงถึงได้ตามพวกมันมา ทั้งที่ก็รู้ว่าพวกมันจะก๊งเหล้ากัน ระหว่างทางที่กำลังเดินไปก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นพี่เอสที่โทรหาเขานั่นเอง
(มีงานกันเหรอครับ?) อีกฝ่ายเอ่ยถามเขา
“หึ เปล่า...พวกมันชวนหลายครั้งแล้ว ก็ไปซะหน่อยเดี๋ยวจะเสียน้ำใจกันอะ”
พวกเขาคุยกันอีกนิดหน่อยก็วางสายกันไป เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยุ่ง เพราะว่าวันนี้มีการปรับปรุงระบบคอมใหม่ในบริษัท เลยทำให้ต้องกลับดึกหน่อย อาจจะต้องถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนเลยทีเดียว
“พี่ก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะฮะ” ไอ้ภาคป้องปากพูดเสียงเล็กแหลมกับท่าทางสะดีดสะดิ้งล้อเลียนเขา
“นะฮะพ่อมึง กูไม่ได้พูดโว้ย” ตี๋ว่าพร้อมกับยกขาขึ้นถีบก้นมันไปที
พอเห็นว่าใกล้จะถึงหอแล้วกลอยก็พูดกลั้วหัวเราะเพื่อนทั้งสองคนของตน “เดี๋ยวแวะเซเว่นซื้อของกันมึง”
“อย่าลืมโค้กของกูละกัน” ตี๋บอก
“จ้า เด็กอนามัย” กลอยเหน็บ
“มึงไม่ลองซะหน่อยเหรอวะ?” ภาคถามขณะเลือกซื้อขนมขบเคี้ยวไว้แกล้มเหล้าที่มีอยู่แล้วบนห้อง
คนถูกถามนิ่วหน้าเบะปากพร้อมกับส่ายหัว เขาเคยได้ยินว่าเหล้ามันไม่อร่อย และเขาชอบกินของที่อร่อยมากกว่า “กูเป็นคนเลือกกิน ไม่อร่อยกูไม่กินหรอก”
ภายหยุดคิด ก่อนจะดีดนิ้ว “เหี้ย..เดี๋ยวกูจัดการให้ จะทำให้อร่อยเลยมึง” พอเห็นว่าตี๋ทำหน้าไม่เชื่อเขาก็บอกต่อ “เชื่อฝีมือกูเหอะน่า”
ทั้งสามคนจัดการซื้อของจำเป็นในการดื่มเรียบร้อยในเวลาไม่นาน ภาคและกลอยหิ้วของถุงใหญ่เต็มสองมือ แล้วก็พากันขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นห้องของพวกมันเอง
ตี๋เพิ่งเคยมาห้องใหม่ของเพื่อนเป็นครั้งแรก ที่นี่เป็นหอสร้างใหม่มีทั้งห้องเดียวและห้องคู่ ซึ่งพวกมันเลือกเป็นห้องคู่ ทำให้บริเวณในห้องกว้างขวางพอสมควรและค่าเช่าก็สูงตามไปด้วย เจ้าของหอนี้ตกแต่งห้องแบบโมเดิร์นที่เน้นสีขาวและเทาเป็นหลัก ทำให้ดูสะอาดตา แต่ไอ้พวกสกปรกนี่ดันทำให้ห้องสวย ๆ ดูไม่ได้เลย ไอ้กลอยเก็บของเข้าตู้เย็นในขณะที่ไอ้ภาคเคลียร์พื้นที่ที่จะนั่งกินเหล้ากันตรงโต๊ะเตี้ย ๆ หน้าทีวี
“มา ๆ นั่งลงเลยมึง” ภาคโบกมือเรียกตี๋ที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางทางเดินให้เข้ามานั่งตรงที่มันจัดให้
“จะดีเหรอวะ” เจ้าตัวพึมพำตอนที่เห็นไอ้ภาคมันกำลังวุ่นผสมนั่นนี่โน่นตามสูตรที่มันก้มดูในโทรศัพท์ให้เขากินตามที่มันได้โม้เอาไว้
“เอาน่า..สักครั้งในชีวิต” กลอยบอกมือก็ผสมเหล้าของตนเองกับไอ้ภาค “ไม่ต้องกังวล ถ้ามึงเมาล่ะก็ พวกกูรับปากจะดูแลอย่างดีเลย”
“เอาไป” ภาคยื่นแก้วมาให้เขา
ตี๋รับมาถือเอาไว้ มองอย่างลังเลว่าจะกินหรือไม่กินดี เขาก้มลงดม ๆ ก็ยังได้กลิ่นเหล้าอยู่เลยยิ่งทำให้เขาลังเลเข้าไปใหญ่
“แดก ๆ ไปเหอะน่า” ภาคดันมือของตี๋จนขอบแก้วชนเข้ากับปากบางนั่น เพื่อนของเขาตัดสินใจลองจิบดูเล็กน้อย ก่อนมันจะทำตาโตเท่าที่ตาตี่ ๆ นั่นจะโตได้ เขายิ้มแล้วยักคิ้วให้มัน “เป็นไงล่ะมึง?”
“ก็ไม่แย่อย่างที่คิดนี่หว่า” ตี๋ว่า
ทั้งสามคนนั่งกินไปพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่ตี๋จะเริ่มเมาเป็นคนแรกจากส่วนผสมหลายอย่างที่เพื่อนปรุงให้ดื่ม ใบหน้าที่ปกติจะขาวจัดจนเกือบซีดกลับกลายเป็นแดงระเรื่อจากความร้อนของแอลกอฮอล์ จากที่เป็นคนพูดน้อยก็พูดมากขึ้น พฤติกรรมที่ไม่เคยทำก็ดันทำขึ้นมาซะอย่างนั้น
ภาคเหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาห้าทุ่มแล้ว ตัวเขากับไอ้กลอยน่ะแค่มึน ๆ แต่ในสายตาของเขาไอ้ตี๋นี่ดูท่าทางจะหนักเกินไปแล้ว เลยคิดว่าจะไล่ให้มันไปนอน แต่โทรศัพท์ของมันก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ฮาโหล” ตี๋รับสายด้วยน้ำเสียงยานคาง
(.....ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นล่ะ?) เอสชะงักไปก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“หื้อ เมานิดหน่อยเอง” เจ้าตัวตอบหน้ามึน
(ไหนเราเคยบอกว่าจะไม่กินเหล้าไง?) เอสถามเสียงแข็งด้วยความที่ตนไม่พอใจนิดหน่อยเรื่องที่ตี๋เมาแบบนี้
“ก็ไอ้ภาคมันทำอร่อยดี..เลยเอาซะหน่อยอะ”
(พี่ว่าไม่หน่อยแล้วนะแบบนี้น่ะ)
“ก็แล้วทำไมต้องว่าด้วยล่ะ!” ตี๋ขึ้นเสียงใส่เอสที่พูดกับเขาโดยที่ใช้น้ำเสียงไม่เหมือนเดิม
คนเป็นพี่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพยายามใจเย็นลง (พี่ไม่ได้ว่า)
“แต่พี่ก็ไม่พอใจ” เขาจับอารมณ์ของคนที่โทรมาได้
(ใช่พี่ไม่พอใจ แต่มันเป็นเพราะว่าพี่ไม่อยากให้เรากินของพวกนี้ มันไม่ใช่ของดีแค่ไหนพี่รู้ดี พี่เป็นห่วงเรามากนะ)
ตี๋สลดลงหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบ ถึงเขาจะเมาแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ดูเหมือนว่าพอเมาแล้วจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยากขึ้น เขาอาจจะเป็นคนที่โวยวายบ่อยก็จริง แต่การควบคุมอารมณ์ของเขาในช่วงปกตินั้นถือว่าทำได้ดีกว่านี้มาก
“เอามาให้กูคุยนี่มา” กลอยฉกเครื่องมือสื่อสารของตี๋ไป
“ไอ้ห่านี่เมาแล้วงี่เง่าโว้ย” ภาคว่าแล้วผลักหัวมันไปที ก่อนจะลงมือเก็บซากอารยธรรมที่กินกันเอาไว้ เพราะพอพี่เอสโทรมาแล้วไอ้ตี๋มันโวยใส่ เขากับไอ้กลอยก็ส่งสัญญาณว่าเลิกกินท่าจะดีกว่า
“ฮัลโหล สวัสดีพี่ ผมกลอยนะ” เจ้าตัวกรอกเสียงลงไป
(อืม สวัสดี)
“ขอโทษครับ พวกผมบอกให้มันกินเองแหละพี่ อย่าไปโกรธมันเลยนะ” กลอยบอกอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้ทั้งสองคนผิดใจกัน
(พี่ไม่ได้โกรธหรอก) เอสบอกเสียงเบา
“เอ่อ...” เขาเองก็ไม่รู้จะไปต่อยังไงดี
(ห้องเราอยู่ที่ไหนน่ะ? เดี๋ยวพี่จะไปรับตี๋กลับบ้าน) จู่ ๆ เอสก็ถามขึ้น
“เดี๋ยวผมแชร์โลเคชั่นให้ครับ”
หลังจากนั้นพี่เอสก็วางสายไป กลอยก็ใช้โทรศัพท์ของเพื่อนรักนั่นแหละแชร์โลเคชั่นให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันมามองมันนั่งซึมกะทืออยู่ที่เดิม กลอยโยนเครื่องมือสื่อสารคืนให้เจ้าของไป
“เก็บของได้แล้วมึง เดี๋ยวพี่เขามารับ”
ตี๋เหลือบมองคนพูดก่อนจะถอนหายใจน้อย ๆ เขาหยิบกระเป๋าสะพายอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาถือไว้ กลอยบอกให้เขาขึ้นไปนั่งบนโซฟาเขาก็ทำตามอย่างว่าง่าย ส่วนเพื่อนทั้งสองคนก็ช่วยกันเก็บทั้งแก้ว ทั้งขวดเหล้า ห่อขนมให้เรียบร้อย
“ไปมึง เดี๋ยวพวกกูไปส่ง” ภาคชวนให้ตี๋ไปนั่งรอด้านล่างกัน เพราะชั้นล่างของหอพักมีล็อบบี้อยู่ ตี๋เดินตามพวกเขามาเงียบ ๆ ไม่หือไม่อือ
“เป็นห่าไรวะ พอโวยวายเสร็จก็เงียบเลยมึง” กลอยถาม
“พอเมาแล้วเป็นแบบนี้เองเหรอวะ” ภาคว่าหัวเราะในลำคอ
เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร หัวสมองมันโล่งไปหมด สายตาเหม่อลอยออกไปจมอยู่กับตัวเอง...นานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งไอ้ภาคมันเรียกบอกว่าพี่เอสมาถึงแล้ว
“พวกผมขอโทษด้วยนะพี่” ทั้งสองคนยกมือไหว้ขอโทษคนที่โตกว่าด้วยความรู้สึกผิด โดยที่มีไอ้ตี๋ยืนหลบอยู่ข้างหลังพวกเขา มันคิดว่าจะหลบพ้นหรือยังไงกัน
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” เอสบอกเสียงเรียบ ทำเอาเพื่อนของคนรักทั้งสองคนใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย
“แต่อย่าให้มีอีกแล้วกัน”
แต่ประโยคหลังนี่ทำเอาใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย คนตรงหน้าพูดด้วยใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์อะไรทำให้ดูน่ากลัวขึ้นหลายเท่า ทั้งที่ปกติจะดูเป็นมิตรกว่านี้
“จะไม่มีอีกแล้วพี่..พวกผมรับปาก”
คนโตกว่ายิ้มรับคำสัญญาก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังของทั้งคู่ เห็นคนรักของเขายืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จา “ตี๋..กลับบ้านได้แล้ว”
พอกลอยเห็นว่าเพื่อนตัวดีไม่มีท่าทีตอบรับกับประโยคเมื่อครู่ก็หันมาว่า “ไป ๆๆ กลับบ้านได้แล้วมึง” พร้อมกับดันหลังให้มันเดินขึ้นไปเผชิญหน้ากับคนที่ตัวโตกว่า แล้วรีบวิ่งหนีขึ้นห้องไปพร้อมกับภาค
ตี๋เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสวยของเอสที่มองตนอย่างไม่วางตา และก็เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายหลบตาก่อน ปากบางเม้มเป็นเส้นตรงอย่างทำตัวไม่ถูก
เอสที่เห็นคนตรงหน้ามีอาการซึมแบบนี้แล้วก็ทำโกรธได้ไม่นาน เขาเผยรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมสีดำนิ่มมือตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู มืออีกข้างก็เลื่อนมากุมฝ่ามือของตี๋แผ่วเบา
ตี๋เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
“ไม่โกรธตี๋แล้วเหรอ?”
เอสยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ไม่ได้ตอบคำถามนั้น “กลับบ้านเรากันนะ”
พอตี๋พยักหน้า พี่เอสก็ดึงมือเขาให้เดินตามไปขึ้นรถ แล้วจึงขับออกไป ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรออกมา มันทำให้ตี๋รู้สึกอึดอัด...เขารู้สึกผิดที่ขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มขอโทษยังไงดี
จนกระทั่งถึงบ้านของอีกฝ่ายเขาก็ยังไม่กล้า...
เอสเดินนำตี๋ขึ้นบันได เขาเดินเข้าห้องไปก่อนโดยไม่ได้หันมามองตี๋ที่เดินตามหลังมาเลย อาจจะเพราะความรู้สึกในอกมันยังคงไม่สงบลงสักเท่าไหร่นัก เขาไม่ได้โกรธอีกฝ่าย...แต่แค่รู้สึกแย่นิดหน่อย เขาเดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกระเป๋าเงินกับกุญแจรถวางลงบนโต๊ะ
ตี๋มองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวด ก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดพี่เอสจากด้านหลังแน่น ซุกหน้าลงกับไหล่หนาเงียบ...คนถูกกอดก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยืนนิ่งและรอดูว่าตี๋จะทำอะไร
“ตี๋ขอโทษ” ในที่สุดเจ้าตัวก็พูดออกมาเสียงเบา
เอสยิ้มบางออกมาใจอ่อนยวบ ก่อนจะถาม “ขอโทษพี่เรื่องอะไรเหรอ?”
“ขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่พี่”
คนพี่ตบลงบนแขนที่โอบรอบเอวเขาอยู่ “ไม่เป็นไร ๆ”
“ตี๋ขอโทษนะ...” ยิ่งอีกคนพูดเสียงนิ่งแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด “จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
เอสแกะแขนของตี๋ออกแล้วหมุนตัวหันกลับมา เขาเกลี่ยผมที่ปิดบังใบหน้าขาวออก เปิดให้เห็นสายตาที่รู้สึกผิดของอีกคนที่กำลังมองมาที่เขาอย่างเว้าวอน
“พี่เองก็ขอโทษนะที่เจ้ากี้เจ้าการกับเรา”
“ไม่ ๆๆ” ตี๋ส่ายหัว “พี่ไม่ผิดเลย เรื่องทั้งหมดตี๋ผิดเอง”
“ไหนบอกพี่สิ หืม...” เอสใช้สองมือประคองใบหน้าของคนรักให้เงยขึ้นสบตากัน “เราผิดอะไร?”
ตี๋เม้มปากก่อนจะตอบสั้น ๆ “ตี๋ดื้อ”
เอสยกยิ้มมุมปาก “แล้วรู้ไหมว่าเด็กดื้อจะต้องโดนลงโทษ”
TBC…
บทลงโทษของเด็กดื้อจะเป็นอะไรน้า~~ ฮิฮิ
เรายังยืนยันอยู่ว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายฟีลกูดนะคะ
อย่าเครียดกันไปเลย 555555