BED CARE JOB
ตอนที่ 13 คนอะไรลืมง่าย
ท่วงท่าให้ขอบคุณคุณคีนนั้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลย แต่ผมไม่ได้ตอบเขากลับไปเพราะมีคนข้างหน้ามาตอบแทนผมแล้ว คุณเคนหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงกระแอมกระไอทีหนึ่ง
“ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจไอแต่มันห้ามไม่ได้” คุณเคนว่าอย่างนั้น ผมว่าเขาไม่ได้หมายความแบบนั้นจริง ๆ หรอก
“เคน” เสียงทุ้มนุ่มชวนฝันของผมเรียกชื่อคนนั่งข้างหน้า มันช่างปราศจากความอ่อนโยน คล้ายคราวก่อนที่เขาดุผม แต่ผมว่าน้ำเสียงที่เรียกชื่อคุณเคนนั้นดูโหดร้ายกว่าตอนดุผมมากนัก ถ้าผมเป็นคุณเคนถูกเรียกชื่อแบบนั้นคงจะกลัวแน่ ๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมฟังแล้วจะรู้สึกแค่กลัวนิดหน่อย เป็นเพราะเขาไม่ได้ใช้เสียงนั้นกับผม โล่งใจเลย
“ครับ?” แต่คุณเคนรับคำแบบไม่ทุกข์ร้อน ผมนับถือเขาจริง ๆ คุณเคนแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว “อ้อ..น้องเปล ผมซ่อมโทรศัพท์เสร็จแล้ว” นอกจากไม่สนใจแล้วยังหันมาคุยกับผมอีกแน่ะ เดี๋ยวเราทั้งคู่ก็โดนดุพร้อมกันหรอก
“จริงเหรอครับ” ผมลืมตัวดีใจไปเสียสนิท ขยับขาและตัวออกจากคุณคีน แล้วยืดตัวชะโงกหน้าข้ามเบาะข้างหน้าไป
“นี่ครับ” คุณเคนยื่นโทรศัพท์มาให้ แต่มันไม่ใช่อันเดิมที่ผมเคยใช้ ผมไม่กล้ารับจึงมองของในมือเขาอย่างไม่เข้าใจ
“รับไปสิ” คุณคีนพูดขึ้นบ้าง ผมไม่อิดออดเอื้อมมือไปรับพลางขอบคุณอีกฝ่าย
“ไหนคุณเคนบอกว่าซ่อมได้ไงครับ” ผมมองโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่เอี่ยมในมือ
“ซ่อมแล้ว ดูสิ มีทั้งเบอร์โทร ทั้งข้อมูลต่าง ๆ อยู่ในนั้นครบ”
“เขาเรียกว่าย้ายข้อมูลต่างหากครับ” ผมเม้มปาก
“อ้าวเหรอ ที่บ้านผมเรียกแบบนี้ว่าซ่อม บ้านน้องเปลเรียกไม่เหมือนกันเหรอ” ผมส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำถาม
“ไม่เหมือนครับ คงมีแต่บ้านคุณเคนคนเดียวที่เรียก ที่อื่นเขาเรียกว่าเปลี่ยนเครื่องใหม่” ผมตอบเขากลับไป คุณเคนนี่ยียวนเก่งเหลือเกิน
“ผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยเหรอ แย่จังนะครับ ถ้าอย่างนั้น ผมต้องขอโทษด้วยนะน้องเปล”
“พอได้แล้วทั้งสองคน เคนก็เลิกแกล้งน้องสักที” ผมกำลังจะอ้าปากบอกคุณเคนว่าให้เลิกแกล้งผม แต่คุณคีนก็เข้ามาห้ามทัพและช่วยผมเอาไว้ เขาดึงผมให้ลงไปนั่งที่เบาะข้างตัวเขาเหมือนเดิมแล้วถามผมเสียงเบาเช่นเคย “หิวหรือยัง”
“นิดหน่อยครับ แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกันเหรอ” เคยเป็นไหมครับ ตอนแรกก็ไม่หิวพอถูกถามกลับหิวขึ้นมาทันทีเลย ผมจึงถามคุณคีนเพราะอยากกลับไปกินข้าวที่ห้องแล้ว หวังว่าป้าร้านข้าวตรงหน้าปากซอยจะยังไม่เก็บร้าน
“ไปกินข้าว”
“เอ๊ะ? เอ่อ..ไม่เป็นไรครับ ช่วยไปส่งผมที่ห้องแล้วเดี๋ยวผมหาอะไรแถวนั้นกินเองได้ครับ” ผมบอกด้วยความเกรงใจ
“ผมตั้งใจว่าจะกินข้าวแล้วคุยเรื่องที่บ้านคุณไปพร้อมกัน”
“เอ..อย่างนั้นหรือครับ ได้ครับ ๆ” พอเขาจั่วหัวมาเรื่องที่บ้าน ผมคิดว่าผมจะพลาดเรื่องนี้ไม่ได้เพราะยังไงพวกเขาก็คือครอบครัวผมและผมก็เป็นห่วงปิงด้วย
“งั้นเรากินข้าวกันไป คุยเรื่องที่บ้านคุณกันไปนะ”
“ตกลงครับ”
เรามาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมเห็นทางเข้าร้านถูกประดับประดาด้วยไฟสีต่าง ๆ ทั้งดอกไม้นานาพันธุ์ รวมถึงต้นไม้สีเขียวมากมาย มีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า เห็นแล้วทำให้รู้สึกผ่อนคลายมาก แค่มองจากข้างนอกยังดูสวยหรูขนาดนี้แล้วข้างในล่ะจะเป็นอย่างไร ผมเดินข้างตัวคุณคีนเงียบ ๆ ประหม่าทุกย่างก้าวที่เดิน ผมไม่เคยมาสถานที่สวย ๆ และอลังการแบบนี้มาก่อนสักครั้ง
อาหารหรูสุดในชีวิตผมก็คือชาบูหน้ามอหรือสเต๊กในห้าง อ้อ เพิ่งนึกได้ว่าผมเคยมีมื้อหรูกว่านั้นคืออาหารในโรงแรมชื่อดัง โจเป็นคนชวนผมไปที่โรงแรมเพราะเป็นงานวันเกิดพ่อของโจ ไม่ใช่เพียงแค่ผมที่ได้ไปนะ ภพกับเอกก็ไปเช่นกัน
งานวันเกิดพ่อของโจนั้นผมยังมีเพื่อนไปด้วยให้อุ่นใจ อะไรที่ไม่เคยกิน ไม่เคยลองก็มีเอกและภพที่หน้าแตกไปด้วยกัน มันเลยไม่รู้สึกเขินและอายเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปผมมากินข้าวกับนักการเมืองคนดังตามลำพัง คุณเคนไม่ได้มาด้วย เขาขอลงจากรถไประหว่างทางที่มาร้านอาหารและบอกผมทานอาหารให้อร่อย แต่ท่าทางยิ้มน้อย ๆ ของคุณเคนนั้นทำให้ผมคิดดีไม่ได้เลย ไม่รู้จะแกล้งอะไรผมอีกไหม เสียแรงที่ผมคิดว่าคุณเคนใจดีไม่แกล้งผม!
ผมเดินตัวลีบไปถึงหน้าประตู มีพนักงานชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้า เขายิ้มให้ก่อนจะโค้งศีรษะให้ผมกับคุณคีนและเปิดประตูให้เราอย่างนอบน้อม ขาผมชักจะก้าวไม่ออก คุณคีนกินข้าวข้างทางธรรมดาไม่ได้หรือ ผมไม่ได้เดินตามเขาไปเพราะมัวแต่คิดสงสารตัวเองว่ากำลังมาอยู่ผิดที่ผิดทาง คุณคีนเห็นผมยืนนิ่งจึงใช้มือแตะหลังผมเบา ๆ เป็นการเร่งให้เดินไปพร้อมกัน
ข้างนอกว่าสวยแล้ว ข้างในสวยเกินกว่าที่ผมจินตนาการไว้มาก ผมมองภายในร้าน บนเพดานร้านถูกประดับด้วยโคมไฟระย้ามีเส้นสายไฟหลากสีถูกลากยาวออกไปจากตัวโคมไฟ ไปจรดที่ผนังอีกฝั่ง มีสายไฟผูกโยงแบบนี้ไปทั่วทั้งร้าน นอกจากนั้นยังมีไม้ประดับห้อยลงมาจากเพดานด้วย รู้สึกเหมือนกำลังหลุดเข้ามาอยู่ในเทพนิยาย ดินแดนมหัศจรรย์
พนักงานพาเราไปนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน เป็นมุมที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านแต่มีพนักงานยืนอยู่ในระยะสายตา แต่ไม่ต้องกังวลว่าถ้าเรียกพนักงานแล้วจะไม่มีทางได้ยิน
“อยากกินอะไรครับ”
“ผม..เอ่อ..ไม่รู้ครับ” ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีอาหารแบบไหนบ้าง ถ้าบอกว่าขอส้มตำปูปลาร้าเผ็ดจัด จะมีให้กินไหม และต่อให้มีจริงผมก็ไม่กล้าสั่งหรอก มันไม่เข้ากับคนตรงหน้าผมเลย ชุดสูทสวย ๆ กับท่าปั้นข้าวเหนียวจิ้มน้ำส้มตำคงไม่เข้ากับฝรั่งตาสีน้ำตาลอ่อนเท่าไหร่
“ถามใหม่ คุณชอบกินอาหารแบบไหน ไทย จีน ญี่ปุ่น หรืออื่น ๆ ?”
“ผมกินได้หมดครับ ผมไม่เรื่องมากเรื่องของกิน” คำถามนี้ตอบง่าย ผมตอบจากใจเลย มัวแต่เรื่องเยอะ ผมอาจจะไม่มีกินเอาได้
“เชฟที่นี่เขาทำอาหารเหนืออร่อยมาก อยากลองดูหน่อยไหม” คุณคีนเสนอความคิดเห็น จะว่าไปตอนที่กลับลำปางผมก็ไม่ได้กินข้าวที่บ้านเลย แม่ไม่ได้ทำกับข้าวไว้เนื่องจากปิงไม่อยู่บ้าน น้องชายผมมันไปรับจ้างทำงานที่อำเภอใกล้ ๆ
“มีด้วยเหรอครับ”
“มีครับ” คุณคีนชูมือขึ้นนิดหน่อยเป็นสัญญาณเพื่อเรียกพนักงาน “ที่นี่มีอาหารเหนืออะไรบ้างครับ”
“ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าคุณคีนทานอาหารเหนือด้วยนะคะ” พนักงานสาวถามคุณคีนขึ้นด้วยความสนเท่ห์
“วันนี้พาคนเหนือมาเผื่อว่าเขาจะคิดถึงอาหารบ้านเกิด”
“อ้อ..ค่ะ ร้านเราทำอาหารเหนืออร่อยมาก ๆ รับรองคุณผู้ชายท่านนี้ต้องชอบแน่ ๆ ค่ะ งั้นดิฉันขออนุญาตแนะนำเมนูเลยนะคะ เชฟของเราวันนี้ลงมือทำน้ำพริกอ่อง ลาบหมูคั่ว แกงฮังเล น้ำพริกหนุ่มและข้าวซอยไก่ค่ะ ส่วนเมนูอาหารเหนืออื่น ๆ จะอยู่ที่หน้าสาม คุณลูกค้าลองเปิดดูเพิ่มเติมก่อนก็ได้ค่ะ” หญิงสาวพนักงานตอบด้วยน้ำเสียงฟังรื่นหู ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาที่ให้บริการ
“เปลว่าไงครับ อยากกินอะไร”
“ผมอยากกินไข่อ๊อกมีไหมครับ” ผมมองหน้าเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ตอนที่ถามถึงเมนูไข่ของโปรดผม
“มองหน้าผมทำไมครับ ถามพนักงานเองเลย ไม่ต้องเกรงใจผม”
“เอ่อ.. มีไข่อ๊อกไหมครับ” ผมทำตามที่คุณคีนบอก เงยหน้าขึ้นไปถามพนักงานอย่างเกรง ๆ
“มีแน่นอนค่ะ”
“งั้นเอาที่หนึ่งครับ” ผมสั่งเสร็จสรรพ ถ้ามองหน้าคุณคีน เขาต้องบอกให้ผมสั่งเองแน่นอน
“พอแล้วหรือ” คุณคีนถามเมื่อเห็นผมสั่งเพียงอย่างเดียว
“ครับ”
“แล้วจะอิ่มได้ไง” เขาส่ายหน้าเล็กน้อย มันไม่ใช่สีหน้าเอือมระอานะ ไม่รู้สิผมบอกไม่ถูกว่าเขาทำหน้าแบบไหน คุณคีนหันไปทางพนักงานแล้วพูดต่อ “ข้าวสวยสอง และอาหารเหนือที่แนะนำมาเมื่อสักครู่นี้ด้วย อ้อ...พาสต้าเนื้อแกะตุ๋น พิซซ่าน้ำมันทรัฟเฟิลใส่เห็ดแชมปิญองและมักคาโพเน่ชีสครับ”
“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
คุณคีนมองหน้าผม เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงถาม เขาเลือกไม่พูดแต่ต้องการให้ผมตัดสินใจเอง
“น้ำเปล่าครับ” ผมขอเลือกน้ำที่ปลอดภัยที่สุดไว้ก่อนแล้วกัน
“ผมขอโซดาครับ”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานทวนรายการอาหารแล้วขอตัวออกไป
“ไม่สั่งกาแฟเหรอครับ” ผมสะดุดหูตอนที่เขาสั่งน้ำเป็นโซดา ผมไม่เคยเห็นเขาดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ เลยนอกจากกาแฟ
“วันนี้ผมดื่มไปสามแก้วแล้ว มากกว่านี้เดี๋ยวนอนไม่หลับพอดี” คุณคีนตอบพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ
ขอร้อง..อย่ายิ้มแบบนี้ได้ไหม ผมจะทนไม่ไหว
“ดีแล้วครับ พอก่อนก็ดี คุณดื่มเยอะมากเลย ตอนที่ไปร้านพี่ปุยฝ้าย คุณต้องสั่งกาแฟอย่างน้อยสองแก้วตลอด ดื่มมากไปก็ไม่ต่อสุขภาพหรอกครับ” ผมพูดตามใจนึก
คุณคีนมองผมนิ่งด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก เขาคิดอะไรอยู่หรือว่าจะไม่พอใจที่ผมไปแนะนำเขา ผมแค่หวังดีไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นเลย
ผมสาบาน
“เอ่อ..อย่าโกรธผมนะครับ ผมไม่ได้ต่อว่าหรือจะสอนคุณ” เมื่อเขาไม่พูด ผมเลยกลายเป็นคนร้อนตัวต้องรีบบอกไม่อยากให้เขาเข้าใจเจตนาผมผิด
“หวังดีหรือเป็นห่วง?”
“ผม...”
“ผมคาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบหลังนะครับ”
“แล้วเอ่อ..คุณสั่งอาหารมาหลายอย่าง แบบนี้จะกินหมดไหม” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่องถามถึงเมนูอาหารของเขา นึกถึงพิซซ่าชื่อแปลก ๆ ยาว ๆ นั่นที่ผมจำชื่อไม่ได้แล้วด้วย
คุณคีนไม่ว่าอะไรที่ผมตั้งใจไม่ตอบคำถาม เขาทำเพียงแค่หัวเราะเบา ๆ เท่านั้น
เอาละ ผมสารภาพก็ได้ว่าผมหวังดีกับคุณคีนและปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแท้จริงแล้วผมเป็นห่วงเขา เป็นห่วงมากด้วย ก็..ก็เขาอายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว ต้องดูแลตัวเองหน่อย แล้วดูสิสั่งอะไรมาก็ไม่รู้ แป้งทั้งนั้น
“งั้นก็ช่วยผมกินให้หมดสิครับ”
“เยอะขนาดนั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะกินหมดไหม ถ้ากินไม่หมดเสียดายแย่” ผมโอดครวญ
“อย่าคิดมาก นาน ๆ ทีนะครับ อีกอย่างผมคงไม่ได้พาคุณมากินแบบนี้บ่อย ๆ”
“ครับ” ผมพยักหน้าแล้วมองไปรอบร้าน ไม่กล้ามองหน้าเขากลัวคุณคีนจะทวงคำตอบ ร้านนี้สวยและยังแฝงความหรูหราเอาไว้ คุณคีนมองตามสายตาผมก่อนจะถามขึ้น
“ชอบร้านนี้ไหม”
“ชอบครับ ร้านสวยมาก”
“ใช่ ร้านสวยมาก เจ้าของร้านตั้งใจตกแต่งร้านให้ลูกค้าชอบโดยเฉพาะ”
“ครับ? คุณพูดเหมือนตกแต่งร้านให้ลูกค้าชอบนี้ไม่ดี” ผมแปลกใจ ลูกค้าชอบสิดี จะได้มาอีกบ่อย ๆ
“ดีครับ ถ้าลูกค้าที่ชอบจะไม่ใช่ลูกค้าพิเศษ”
“หมายความว่าไงครับ” ผมถามกลับไปนึกสงสัยคำพูดเขา
“ไม่มีอะไรหรอกครับ อาหารมาแล้วล่ะ” คราวนี้เป็นคุณคีนที่เลือกเปลี่ยนเรื่องบ้าง ผมอาจจะซื่อไปบ้างแต่ผมก็ปะติดปะต่อ เดาเรื่องเก่งนะ
“ครับ แล้ว..เรื่องที่บ้านผมเป็นไงบ้าง”
“กินก่อนดีไหม อิ่มแล้วค่อยคุย”
ผมอ้าปากจะปฏิเสธว่าไม่เป็นไร คุยเลยก็ได้ แต่อาหารตรงหน้ากลับส่งกลิ่นหอมเย้ายวนจมูกผมเหลือเกิน ผมกินข้าวต้มมาหลายมื้อแล้ว โหยหาอาหารที่ไม่ใช่ข้าวต้มเต็มที และยิ่งได้กลิ่นอาหารบ้านเกิดทำให้ผมแทบอดใจไม่ไหว แล้วนั่น..นั่น..ไข่อ๊อก อาหารจานโปรดของผม หน้าตาน่ากินมาก จนผมเกือบจะห้ามใจจ้วงมันไม่ได้ แต่ติดที่ว่าเกรงใจคนนั่งตรงข้าม เขาอาจจะตกใจที่เห็นผมแปลงร่างกลายเป็นคนตะกละตะครุบของกินไปแล้ว
“กินเลย คุณคงหิวแล้ว”
“งั้นผมกินเลยนะครับ”
“อืม กินเยอะ ๆ นะ”
ผมหิวข้าวก็จริงอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะกินได้เยอะขนาดนี้ ผมฟาดมันทุกอย่างตรงหน้า ตอนที่ผมเห็นจานพาสต้ากับพิซซ่าถูกนำมาเสิร์ฟวางบนโต๊ะ แวบแรกในหัวผมคือมันช่างไม่เข้ากันเสียเลย อาหารเหนือกับอาหารอิตาเลี่ยน มันจะไปด้วยกันได้ไง คุณคีนบอกขึ้นเมื่อเห็นผมลังเลอาหารต่างสัญชาติตรงหน้า
“ลองกินดูสิครับ มันต่างกันก็จริงแต่ไม่ได้แปลว่าเข้ากันไม่ได้”
ผมลองกินตามคำแนะนำจากคุณคีนและค้นพบว่าอาหารอร่อย ผมตักจานนั้น จานนี้กินสลับกันโดยลืมไปแล้วว่าอาหารบนโต๊ะมันแตกต่างกัน คุณคีนไม่ได้กินเยอะเท่าผม เขานั่งเท้าคางเอียงใบหน้าเล็กน้อย อีกมือหนึ่งยกแก้วโซดาดื่มเป็นระยะ คอยมองผมเงียบ ๆ
“คุณอิ่มแล้วเหรอ” ผมถามเพราะเห็นเขาหยุดกินไปสักพักแล้ว
“ครับ”
“งั้นผม..” ผมควรจะเลิกกินตามเขาดีไหม แล้วถ้าผมยังกินต่อ เขาจะคิดว่าผมตะกละหรือเปล่า
“กินต่อเถอะครับเปล”
“แต่คุณอิ่มแล้วนี่ครับ” ผมเริ่มอึกอักชักกินต่อไม่ลง ก็ดูสิ..เขามองผมไม่ละสายตาไปทางไหนเลย
“ครับ ปกติผมกินไม่เยอะ อายุขนาดผมใช่ว่าจะตามใจปากได้ตลอดเวลา แต่ถ้าคุณยังไม่อิ่ม ก็กินต่อเถอะครับไม่ต้องสนใจผม คุณยังเด็ก กินได้อีกเยอะแล้วตอนนี้คุณก็ผอมกว่าตอนแรกที่ผมเจอคุณเสียอีก”
“ผมผอมลงเหรอครับ” ผมมีอะไรต้องคิดมากจนไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่าผมอ้วนขึ้นหรือผอมลง
“ใช่ครับ”
“คุณรู้ได้ไงว่าผมผอมลง ผมเองยังไม่รู้เลย”
“จะให้ผมบอกจริง ๆ เหรอว่าผมรู้ได้ยังไง” เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ปล่อยมือจากแก้วโซดา หยุดเท้าคางแล้วมองผมอย่างตั้งใจ
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมก็ลืมไปว่าคุณต้องรู้อยู่แล้วไม่งั้นชุดที่ผมใส่อยู่คงไม่พอดีตัวแบบนี้”
“ฉลาดเลี่ยง”
“เปล่าสักหน่อย” ผมอุบอิบตอบกลับ ผมลืมไปได้ยังไงว่าเขาเป็นคนเดียวที่ได้ใกล้ชิดผมมากที่สุด ผมก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อไม่กล้าสู้หน้าเขา อีกอย่างท้องผมก็ยังไม่อิ่ม
ผมจัดการไปทีละอย่าง ทีละอย่าง จนเกือบหมด ผมอิ่มมากจริง ๆ ท้องผมจะแตกแบบชูชกไหม
“อิ่มแล้วเหรอ” คุณคีนถามขึ้นเมื่อเห็นผมวางช้อนส้อมเรียบร้อย
“ครับ อิ่มแล้ว อิ่มมาก”
“หายป่วยแล้วกินเก่งไม่เบา สงสัยจะเลี้ยงไม่ไหว”
“ถึงผมจะกินเยอะแต่ผมก็ทำงานเก่งนะ รับรองถ้าจ้างผมแล้วผมจะไม่ทำให้ผิดหวังเลย อีกอย่างอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างเลย ผมเสียดายถ้ากินไม่หมด” ในคำตอบผมมันมีทั้งความจริงและคำหลอกลวงแฝงปนอยู่ในนั้น ผมเสียดายอาหารก็จริงอยู่ แต่มันไม่มากไปกว่าที่ผมอยากกินเพราะอาหารอร่อยมาก
“ถ้าจ้างทำงานแล้วจะตั้งใจ ไม่ทำให้ผิดหวังจริงเหรอ”
“จริงครับ” ผมฉีกยิ้มกว้างให้เขา ผมไม่เกี่ยงงาน ทุ่มเทตั้งใจทำงานทุกงาน
“มีอยู่งานหนึ่ง” คุณคีนเกริ่นแล้วมีหน้าครุ่นคิดเหมือนกำลังประเมินอะไรอยู่สักอย่าง
“ครับ?”
“มีอยู่งานหนึ่งที่คุณไม่ค่อยตั้งใจ”
“มีด้วยเหรอครับ ผมตั้งใจทำทุกงานนะ” ผมบอกเขา จะเรียกว่าเถียงก็ได้ อย่ากล่าวหาผมในทางร้ายแบบนี้สิ
“แล้วงานที่เคยทำกับผมล่ะ ตั้งใจหรือเปล่า”
“คะ..ครับ?” ผมหน้าร้อน หายใจติดขัดจนสำลักน้ำลายรีบคว้าน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มอั้ก ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย
“ค่อย ๆ ดื่มสิ”
ถ้าเขายังไม่หยุดพูดอีก ผมจะขอมุดใต้โต๊ะตรงนี้ ภาพย้อนกลับมาเป็นฉาก ๆ ถึงครั้งที่ผมกับเขาเคยอยู่บนเตียงเดียวกัน เขาทำอะไรกับผมบ้าง ทำไมผมจะจำไม่ได้ ถึงจะปิดไฟในห้อง มองไม่เห็นอะไร แต่ร่างกายผมไม่ได้ถูกปิดไฟด้วยนี่นา
“หน้าแดงหมดแล้ว คิดอะไรไม่ดีอยู่ใช่ไหม”
“ไม่ใช่ครับ” ผมกระแอมทีหนึ่ง หวังให้มันช่วยปรับเสียงให้มั่นคง เปลี่ยนเรื่องดีกว่า “แล้วที่บ้านผมเป็นไงบ้างเหรอครับ” เขาบอกว่ากินอิ่มแล้วค่อยคุย ตอนนี้ผมอิ่มแล้ว มาเข้าเรื่องกันเถอะ
“เรื่องที่บ้านคุณ...”
“ไง..คุณคีน ไม่นึกว่าจะเจอคุณที่นี่” ชายผู้มาใหม่เข้ามาทักคุณคีน ผมไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ แต่ประเมินจากสายตาว่าเขาน่าจะมีอายุประมาณสักห้าสิบปีขึ้นไป คุณคีนลุกขึ้นยืนทันทีที่ถูกทัก ผมจึงรีบลุกขึ้นตามเขาโดยพลัน
“สวัสดีครับคุณศักดิ์” คุณคีนยกมือไหว้อีกฝ่าย ผมจึงทำตามเขาอีกครั้ง
“แล้วเคนไม่มาเหรอ ปกติเห็นตัวติดกัน”
“เคนติดธุระครับ” คุณคีนตอบอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
“อย่างนั้นเหรอ อ้าว..หนุ่มน้อยหน้ามนคนนี้ใครกันล่ะ ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน”
“เป็น...น้องชาย..” ผมไม่รู้ว่าคุณคีนจะบอกว่าผมเป็นน้องชายของใครแต่ผมรีบแทรกขึ้นทั้งที่รู้ว่าเสียมารยาทก็ตาม ผมยังจำได้ถึงประโยคที่คุณเคนเคยพูดตอนพาผมไปโรงพยาบาลได้ในตอนนั้น
‘ถ้าใครถามผมยังบอกได้ว่าเขาเป็นน้องชาย แล้วคุณล่ะจะบอกคนอื่นว่าไง’ “สวัสดีครับ ผมเป็นน้องชายของพี่เคนครับ” ผมไหว้คนมาใหม่อีกครั้งและเริ่มแนะนำตัว ผมไม่ใช่คนโกหกเก่งก็จริง แต่ถ้ามันไม่ค่อยเกี่ยวกับความรู้สึก ผมสามารถทำได้ไม่ยากลำบาก
“งั้นเหรอ ไม่คิดว่าเคนจะมีน้องชายด้วย”
“ครับ”
“ชื่ออะไรล่ะพ่อหนุ่ม”
“คุณศักดิ์มาทานข้าวเหมือนกันเหรอครับ” คุณคีนถามขึ้นจังหวะเดียวกันกับที่คุณศักดิ์ถามผม
“ใช่ ๆ เพิ่งประชุมพรรคเสร็จน่ะ เลยมาหาอะไรกินผ่อนคลายเสียหน่อย”
“เหรอครับ ผมก็เพิ่งกินเสร็จ กำลังจะกลับพอดี เสียดายที่เจอกันช้าไปหน่อยนะครับ ไม่งั้นคงได้ร่วมโต๊ะกันแล้ว” คุณคีนตอบอีกฝ่ายกลับไปอย่างนอบน้อม แต่ผมกลับไม่ค่อยสบายใจ
วงการนี้มันโปร่งใส ตรงไปตรงมาอย่างที่เราเห็นหรือเปล่า?
“อืม น่าเสียดาย เอาละ ผมไม่กวนเวลาพวกคุณแล้วกัน ผมกลับโต๊ะก่อนละกัน”
“สวัสดีครับ ทานให้อร่อยนะครับ” คุณคีนยกมือไหว้คนอายุสูงกว่า แล้วผมล่ะ? ก็ทำตามอย่างที่คุณคีนทำเหมือนเดิม คุณศักดิ์พยักหน้าทำท่าจะเดินกลับไปแต่คงนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันมาทางผมแล้วยิ้มให้
“เกือบเสียมารยาทแล้วที่ไม่ได้แนะนำตัวให้น้องชายเคนรู้จัก นี่นามบัตรผมนะ ต้องการความช่วยเหลือก็ติดต่อมาได้” เมื่อเขายื่นมาให้ ผมจำเป็นต้องรับและกล่าวขอบคุณ
คล้อยหลังคุณศักดิ์อะไรนั่นกลับไป คุณคีนก็เรียกพนักงานมาคิดเงินทันที ผมไม่ได้ถามเขาว่าทำไมต้องรีบกลับทันทีทั้งที่ผู้ชายคนนั้นแค่มาพูดคุยด้วยเท่านั้น แน่ละ ผมจะถามเขาไปทำไมในเมื่อก็เห็นอยู่แล้วว่าสถานการณ์มันแปลก ๆ ไม่ชอบมาพากลเลย
คุณคีนกระซิบบอกผมตอนที่เราลุกออกจากโต๊ะด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า “เดินเร็วหน่อยนะครับเปล”
ผมไม่รู้ว่าเดินเร็วของเขาคือเร็วแค่ไหน และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกเซ็นของผมในวันนี้ดูจะไม่เพียงพอกับคำว่าเดินเร็วของคุณคีนเสียแล้ว เขาเดินเร็วมาก ผมเดินตามเขาไม่ทันแต่พอเขาเห็นว่าผมไม่ได้เดินข้างเขา คุณคีนก็ชะงักแล้วก้าวขาให้ช้าลงเพื่อรอให้ผมไปพร้อมกับเขา