ที่นี่ยามค่ำคืน เงียบสงบยิ่งกว่าวัดป่า เสียอีก ทั้งๆที่เจ้าของบ้านหลังนี้บอกว่าที่นี่เป็นเมืองหลวง แต่กลับเงียบยิ่งกว่าเมืองลับแล ผมไม่ชอบกลางคืนของที่นี่เอาเสียเลย เพราะรู้สึกว่ามันเนิ่นนาน อ้อยอิ่ง และเดียวดาย
ผมเดาเวลาเอาเองว่าตอนนี้น่าจะสักประมาณทุ่มกว่าๆแล้ว พวกคนใช้ต่างพาลูกพาหลานเข้านอนกันแล้ว คิดดูสิ ตอนผมอยู่กรุงเทพฯ ทุ่มสองทุ่มนี่ยังติดแหง็กอยู่บนถนนเลย
เก้าอี้ไม้ถูกลากมาวางชิดขอบหน้าต่างที่เปิดรับลมไว้ ผมนั่งลงบนมันและเกยคางบนมือที่ทอดบนขอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีอะไรให้มอง แม้แต่แสงไฟดวงเล็กๆก็..................ไม่มี
“ป่านนี้ที่บ้านคงจะไปแจ้งตำรวจแล้วมั้ง ลูกชายหายไปทั้งคน” ผมคิด
“เอ.....หรือไม่ พวกที่นั่นก็คงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายไป”
“หรือบางที ยังลืมไปด้วยซ้ำว่า กูกลับมาจากออสเตรเลียแล้ว”
ความคิดมากมายแล่นเข้าหัว
“ทำไม ไอ้บ้านั่นต้องโกรธกูมากขนาดนั้นด้วยวะ” ผมย้อนคิดถึงเรื่องเมื่อครู่
“ไม่อยากอยู่มันแล้วเว้ย บ้านหลังนี้.................เฮ้อ ทำไงถึงจะได้ไปอยู่บ้านหลังนั้นนะ” ผมมองไปที่หลังคาบ้านคุณชั้น ทุกทีที่เห็นมันผมก็รู้สึกอบอุ่นในใจ อย่างน้อย บ้านหลังนั้นก็ยังมีเค้าโครงบ้านหลังปัจจุบันที่ผมอยู่
“หมอ ๆ ช่วยด้วยหมอๆ” และท่ามกลางความเงียบงันจู่ๆก็มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกดังลั่นอยู่หน้าบ้าน ผมสะดุ้งเล็กน้อย
“หมอช่วย นังอาบมันด้วยหมอ”
....................................................................................
ผมแง้มประตูมองออกไปนอกห้องว่ามีอะไรเกิดขึ้น และตรงหน้าผมนั่นเองมีภาพชายผู้หนึ่งอุ้มเด็กหญิงอายุราวๆสัก 12-15 ปีขึ้นมาบนบ้านในสภาพเหงื่อท่วมตัว สีหน้าซีดเผือด
หมอปีย์รีบวิ่งออกมาจากห้องโดยมีพวกบ่าวไพร่ต่างพากันออกมามุงดู เหตุการณ์ดูชุลมุนวุ่นวาย ชายคนนั้นอุ้มเด็กหญิงวางลงกลางเรือน หมอปีย์ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นตัวเกร็งกระตุกเป็นระยะๆ
ผมเปิดประตูห้องเดินออกมาดู
“ไปเอาช้อนพันผ้ามายัดปากมันเสียก่อนที่มันจะกัดลิ้นตัวตาย” หมอนั่นสั่งบ่าวคนหนึ่ง
ผมเดินเข้ามาใกล้ๆ จ้องภาพเด็กนั่นตาไม่กระพริบ เกิดมาไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน
“กูบอกมึงแล้วใช่หรือไม่ อ้ายฟัก ว่าให้พานังอาบมันมาหาหลวงพินิจ มึงก็ไม่เชื่อข้า กลับพามันไปหาอีหมอผีหมอปอบ เปนเยี่ยงไรเล่า” เสียงของหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่วิ่งตามทีหลังด่าทอพร้อมกับตบตีไปที่ตัวของชายคนนั้น
“ช่วยมันทีเถิด คุณหลวง ช่วยลูกข้าทีเถิด” แววตาของชายผู้นั้นร้อนรนจนแทบจะรักษาลูกเสียเอง
“เปนมากี่เพลากันเล่า” หมอปีย์ถาม
“ก็ตั้งแต่ สองค่ำที่แล้วเห็นจะได้ ตั้งแต่มันกลับมาจากไปหาของป่ากับแม่มันนั่นแหละ” เขารีบตอบ
“คราแรก กระผมคิดว่ามันถูกผีป่าผีเขาเข้า เลยพาไปหาหมอผีที่ท้ายตลาด แต่ก็ไม่หาย มาเมื่อหัวค่ำ มันไอเปนเลือด และชักอย่างที่เห็นนี่แหละ คุณหลวง กระผมถึงรีบพามันที่นี่”
ครู่หนึ่งบ่าวคนที่วิ่งไปเอาช้อนก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง เขารับช้อนมาแล้วยัดใส่ปากเด็กนั่นทันที เด็กคนนั้นดิ้นไปมา
“ไปตามเจ้าสนมาหาเรา บอกให้เอายามาด้วย” เขาสั่งบ่าวอีกคน ก่อนที่จะหันไปหาอีกคนโดยมองข้ามผมไป
“เอ็งไปต้มน้ำร้อนใส่รากไม้รวก รากหญ้านาง หัวแห้วหมู รากมหาระงับ อย่างละกำมือ แล้วเอามาให้เราบัดเดี๋ยวนี้”
“อุ้มเด็กเข้ามาหลบน้ำค้างในนี้เถิด” ว่าแล้วเขาก็จัดแจงที่ทาง ผมเดินตามมาดูอย่างห่างๆ
เด็กคนนั้นตัวสั่น และชักกระตุกตาเหลือก ถี่ขึ้น เธอเพ้อไม่เป็นภาษา บางครั้งบอกร้อน บางครั้งบอกหนาว ผมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
“เจ้า............” หมอปีย์หันมาทางผม เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว “เร่งไปเอาผ้าห่มมาให้เราเถิด” เขาพูด ผมรีบวิ่งไปเอาผ้าห่มในห้องอย่างทุลักทุเล ทันทีที่คล้อยหลังไป เสียงเด็กคนนั้นก็ไอขึ้นมาอย่างหนัก
“เลือด เลือด เจ้าค่ะ เลือด ช่วยอีอาบมันด้วยเถิดเจ้าค่า” เสียงผู้เป็นแม่คร่ำครวญ
ผมรีบเร่งฝีเท้าเข้าห้องเพื่อไปหยิบผ้าห่มออกมา แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“อีอาบ!! อีอาบ เอ็งอย่าตายนะอีอาบ ฮือๆ” เสียงผู้เป็นแม่กรี๊ดร้องขึ้น ตามด้วยเสียงเรียกชื่อลูกสาวของพ่อ ผมยืนตัวชาอยู่ในห้อง ไม่กล้าที่จะออกไปเห็นภาพข้างนอก
“ตัดอกตัดใจเสียเถิดนังสมเอ้ย นังอาบมันไปดีแล้ว” เสียงบ่าวในบ้านปลอบผู้เป็นแม่ที่ร้องไห้เสียสติไปแล้ว
ผมหอบผ้าห่มเดินตรงมายังกลุ่มคนหล่านั้น มือสั่น ขาสั่นไปหมด
“เอา ผ้าห่ม” ผมยื่นไปให้หมอปีย์ แต่ไม่ยอมมองไปที่ศพเด็กผู้หญิงคนนั้น เขารับผ้าห่มจากมือผม
“ปิดตาให้นังอาบมันเสียเถิด อ้ายฟัก” เสียงนั้นเองทำให้ผมเผลอหันไปมองภาพของเด็กหญิงคนนั้น และถึงกับอึ้ง
เธอนอนอ้าปากค้าง ตาเหลือก และเลือดไหลออกมาทั้งทางปาก หู จมูก ผมเข่าอ่อน ทรุดลงไปนั่งกับพื้นใกล้ๆหมอปีย์
เสียงร้องไห้ของพ่อแม่ปานจะขาดใจ ผมนึกในใจนี่คนสมัยนี้เขาตายกันง่ายดายอย่างนี้เลยเหรอ
“เราเสียใจด้วยนะ ที่ช่วยอะไรลูกพวกเจ้าไม่ได้ เอามันกลับบ้านเถิด พรุ่งนี้ เราจักให้บ่าวไพร่ช่วยจัดการเรื่องศพ” หมอปีย์พูด ดูเหมือนเขาจะรับมือได้ดีกับเรื่องราวความเป็นความตายพวกนี้
แหงหล่ะก็มันเป็นหมอ ไม่ใช่เชฟอย่างผมนี่
...
บ้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ตรงที่มันเงียบอย่างเดียวไม่พอ ยังวังเวงอีกด้วย ก็เพิ่งมีคนตายในบ้านหยกๆ จะให้ผมไม่รู้สึกอะไรได้ยังไง
ผมมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ขดตัวอยู่อย่างนั้น เอาหมอนใบแล้วใบเล่ามันถมตัวเองไว้ไม่ให้มีช่องว่าง พอแน่นเข้าก็เสือกหายใจไม่ออก ต้องเอาจมูกโผล่ออกมาจากผ้าห่มเพื่อหายใจ พอจมูกโผล่ออกมาก็เสือกกลัวผีบีบจมูกอีก เฮ้อ บ้าบอสิ้นดี
เสียงจักจั่นเรไรเมื่อครู่ที่ไม่มีอะไรให้คิดมาก แต่ตอนนี้พอได้ยินกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเสียงร้องไห้กระซิกๆ เสียงจิ้งจกร้องทัก เป็นระยะตอนนี้กลับจินตนาการว่ามันต้องทักอะไรสักอย่าง เสียงไม้กระดานบนเรือนลั่นเอี๊ยดอ๊าดซึ่งก็เป็นปกติของบ้านไม้เก่า ก็คิดเอาว่าเป็นเสียงของใครบางคนกำลังเดินย่องเบาๆ
“บรู๋ววววววววววววววววววว” และเสียงไอ้หมาเวรตัวเดิมนี่อีกแหละที่ทำให้ความอดทนผมหมดลงในที่สุด แสงไฟจากตะเกียงสี่ห้าดวงที่ผมประโคมจุดให้สว่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันดันสว่างไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของแสงนีออน แต่ก็ยังดี ดีกว่าไม่เห็นอะไรเลย
ผมจัดแจงหยิบหมอนผ้าห่มแนบจักแร้เอาไว้ มืออีกข้างถือตะเกียง
ใช่ครับ
ผมตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนห้องผู้ชาย
จะใครเสียอีกละ ก็ไอ้หมอปีย์นั่นแหละ
ทั้งๆที่โกรธมันอยู่นะ แต่ตอนนี้ ไปนอนกับคนที่โกรธ ยังดีกว่านอนกับผีละวะ ศักดิ์ศรีบางทีมันก็ช่วยให้ผีกลัวไม่ได้
ผมเปิดประตูบานไม้ออกไปเสียงเอี๊ยดดังขึ้นบาดหุเสียเหลือเกิน
สองเท้าค่อยๆย่องออกมาจากห้องและเดินไปตามทางเดิน ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเดินให้เบาเหมือนกับคนบ้านนี้เขาได้แล้วนะนี่
“นี่ นี่ หลับรึยัง” ผมกระซิบหน้าแนบประตูห้องหมอปีย์
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก หลับรึยังวะ หมอ” ผมกระซิบเบาๆอีกที ไม่อยากตะโกนให้บ่าวไพร่มันได้ยิน เดี๋ยวจะเอาไปนินทาเอาได้ว่าแอบย่องเข้าห้องผู้ชาย ดึกๆดื่นๆ
“ไอ้หมอปีย์ มึงหลับรึยัง” โกรธแล้ว ไม่ยอมออกมาซะที ข้างนอกมืดจะตายห่า เกิดผีมันมาอยู่ข้างหลังจะทำไง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว (คนเขียนก็ขนลุก 555)
เสียงก๊อกแก๊กๆดังอยู่ข้างในแสดงว่าผู้ที่อยู่ในนั้นยังไม่หลับ
“ถ้ามึงไม่เปิดกูจะพังเข้าไปแล้วนะ” ผมทนไม่ไหวแล้ว เยี่ยวจะราดแล้ว
“เอี๊ยดดดดดดดดดด” แล้วประตูบานนั้นก็เปิดออกมา
“มีเรื่องอันใดรึ” เขาโผล่หน้าออกมา
“เอ่อ..............เอ่อ.............” ผมบิดไปบิดมา ลืมนึกหาเหตุผลที่จะมานอนกับมันไปเสียสนิท
“หากเจ้าไม่มีการณ์ใด เราขอตัวก่อน” ว่าแล้วหมอนั่นก็ดึงประตูกลับหวังจะปิด แต่ผมคว้ามันไว้ทัน
“ชั้นปวดท้อง!!!” ผมพูดโพล่งออกไป “ใช่ๆ ชั้นปวดท้องน่ะ ปวดมาก โอ้ยๆ” ทำท่ากุมท้องบิดตัวไปมา
“ชั้นขอนอนด้วยคนนะ เผื่อว่า เผื่อว่าเป็นอะไรนายจะได้ช่วยชั้นทันไง นะ นะ ก็นายเป็นหมอนี่ จริงมั๊ย แห่ๆ” ผมทำตาใส
หมอปีย์นิ่งไปครุ่หนึ่ง มองผมอย่างพินิจพิเคาระห์
“คงเพราะเจ้ากลืนข้าวไม่เคี้ยวกระมัง ถึงได้ปวดท้องเยี่ยงนี้ เจ้านี่มันดื้อด้านเสียจริง ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่ง เราจะเฆี่ยนเสียด้วยหวาย” มันบ่น
แต่ตอนนั้นมึงจะทำอะไรก็เรื่องของมึงแล้วหล่ะ กูไม่สนใจแล้ว ตอนนี้กูขอเข้าไปในห้องมึงก่อน เสียวสันหลังชิบหาย แมร่ง บรื๋อ
ผมเบียดแทรกตัวเข้ามาในห้อง ทันทีที่เข้ามาในห้องนี้ ความอุ่นใจก็เกิดขึ้น ห้องของหมอปีย์ นั้นดูมีอะไรมากกว่าห้องผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในห้องนั้นเต็มไปด้วยหนังสือมากมาย ตะเกียงถูกจุดไว้สี่มุมของห้อง และอีกดวงนึงที่หัวโต๊ะ หนังสือเล่มหนึ่งถูกกางออกมา มีปากกาจุ่มหมึกวางอยู่ใกล้ๆกับกระดาษเปล่า
“จะให้ชั้นนอนตรงไหน” ผมถามหันไปหันมา
“จะนอนตรงไหนก็เรื่องของเจ้า” มันตอบไม่ไยดี
“นี่ นายยังโกรธชั้นเรื่องเมื่อเย็นอีกเหรอ ขอโทษก็ได้อ่ะ ขอโทษ” ผมยกมือไหว้
“เราหาได้โมโหเจ้าไม่ เพียงแต่ ไม่อยากให้เจ้าทำตัวเปนพวกฝรั่งเศส ที่ดูถูกรากเง้าของชาวสยาม เจ้าเองเปนชาวสยามแท้ๆ แต่กลับมิรู้เรื่องพวกนี้เลย เราไม่อยากให้พวกบ่าวไพร่เอาไปติฉินนินทาเอาได้ และไม่อยากให้เรื่องนี้ล่วงรู้ไปภายนอก มันจะไม่ใช่การณ์ดี”
“พูดอะไร งง” ผมว่า “ยังไงชั้นก็ขอโทษก็แล้วกัน คราวหลังสัญญาจะกินทุกอย่างที่นายกิน โอเค๊” ผมยิ้ม
“ว่าแต่ ทำไมนายถึงจงเกลียดลงชังฝรั่งเศสนักหล่ะ ดูนายก็ไม่เหมือนไทยแท้ซะหน่อย ออกจะฝรั่งจ๋าขนาดนี้” ผมถาม
“ถึงเราจักมีใบหน้าเป็นพวกฝรั่ง แต่จิตวิญญาณเราเปนสยาม เรามิยอมให้ชนชาติจากโพ้นทะเลเหล่านั้น มาเอาจิตวิญญาณของเราไปดอก” มันพูดเม้มปากแน่น ผมไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น มันถึงได้เกลียดฝรั่งเศสเอามากๆ แต่เท่าที่เรียนมาตอนม.ปลายนั้น ไทยเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสเกือบค่อนประเทศ ด้วยเหตุผลที่ฟังดูแล้วเหมือนเราโดนกลั่นแกล้ง
“เอาหล่ะๆ ว่าแต่จะให้ชั้นนอนตรงไหน” ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นมันเครียดจัด
“นอนบนเตียงเรานั่นแหละ” มันบอก
“อ้าว แล้วนายหล่ะนอนไหน”ผมถาม
“ไม่ต้องเป็นห่วงเราดอก เรือนนี้เป็นเรือนของเรา เราจักนอนที่ไหนก็ได้” โธ่ ไอ้หมอ กูไม่ได้ห่วงมึง กูก็แค่ถามพอเป็นพิธีไปอย่างนั้นแหละ อีกอย่างที่กูมานอนห้องนี้ก็เพราะอยากมีเพื่อนนอนด้วย ถ้สมึงไปนอนซะที่อื่น แล้วกูจะมานอนห้องนี้ทำไม
“ไม่เป็นไรหรอก เรานอนข้างๆเตียงนายก็ได้ เราแมนๆ นอนที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว” แมนมาก กลัวผีจนนอนห้องตัวเองไม่ได้ แมนมาก
ผมจัดแจงปูผ้าที่หอบมาจากห้องพร้อมหมอนเรียบร้อย ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของหมอปีย์
“ทำอะไรอ่ะ” ผมถาม เมื่อเห็นมันกำลังคร่ำเคร่งกับตำราภาษาอังกฤษ
“ไม่มีอะไรดอก เจ้าไม่ปวดท้องแล้วรึ” อ่าว ลืม นึกขึ้นได้ว่าต้องปวดท้อง
“อ๋อ เอ่อ โอ้ยๆ ปวดท้อง แต่ปวดนิดหน่อยทนได้” ผมยิ้มเห็นฟันครบทุกซี่
“นายไม่ตกใจเรื่องเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้เหรอ” ผมถามนั่งลงใกล้มัน
“ไม่ดอก เราเห็นมานักแล้ว คนเป็นหมอ ต้องหนักแน่นกับเรื่องเจ็บเรื่องตาย หน้าที่ของเราคือรักษาคนให้หาย”
“ใจดำ” ผมบ่นพึมพำ
“เจ้าจะว่าเราอย่างนั้นก็ไม่ผิดดอก ตั้งแต่เราเห็นพ่อกับแม่เราตายไปต่อหน้าต่อตา เราก็ไม่เสียน้ำตาให้กับการสูญเสียใดๆอีกเลย”
ผมนิ่ง.........................................................................
แววตาของมันกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง เมื่อต้องแสงตะเกียง จมูกที่เป็นสันรับกับริมฝีปากที่อวบอิ่ม ส่วนประกอบบนใบหน้านั้นช่างลงตัวที่สุด นี่ถ้ามาอยู่ในยุคผมนี่ เป็นดาราได้เลยนะนี่
“มองอันใด”
“หา” ผมสะดุ้ง “ปล่าวๆ แหะๆ กำลังทำอะไร”
“เรากำลังแปลหนังสือทางการแพทย์ตะวันตกน่ะ หมอเจอราร์ทท่านสั่งไว้ก่อนที่จะไปประจำการที่บ้านขุนวรจักรวงศา”
“ไหนดูสิ” ผมถือวิสาสะ ดึงหนังสือเล่มนั้นมา
“โรคติดเชื้อ Infectious disease เป็นโรคซึ่งเป็นผลจากการมีเชื้อจุลชีพก่อโรค อาทิไวรัส แบคทีเรีย รา โพรโทซัว ปรสิต หรือแม้กระทั่งโปรตีนที่ผิดปกติเช่นพรีออน เชื้อดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโรคในสัตว์หรือพืชได้ โรคติดเชื้อจัดเป็นโรคติดต่อ Contagious diseases, Communicable diseases เนื่องจากสามารถติดต่อไปยังบุคคลอื่นหรือระหว่างสิ่งมีชีวิตในสปีชีส์เดียวกัน การติดต่อของโรคติดเชื้ออาจเกิดได้มากกว่า 1 ทาง รวมถึงการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง จุลชีพก่อโรคอาจถ่ายทอดไปโดยสารน้ำในร่างกาย อาหาร น้ำดื่ม วัตถุที่มีเชื้อปนเปื้อน ลมหายใจ หรือผ่านพาหะ”
ผมอ่านโดยที่แปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษเล่มนั้นอย่างคล่องแคล่ว หมอนั่นทำหน้าอึ้ง อ้าปากค้าง
“อึ้งล่ะซี้ เก่งใช่มั๊ยหล่ะ” ผมยิ้ม ยักคิ้วหลิ่วตา
“เจ้าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ใด” เขาถาม
“ก็บอกแล้วว่าสมัยชั้นน่ะ เราเรียนกันแบบ Biligual สองภาษา ภาษาไทยกะภาษาอังกฤษ”
“สมัยเจ้า เราเป็นเมืองขึ้นของบริเตนแล้วรึ” เขาทำหน้าตกใจ อะไรจะ sensitive ขนาดนั้น
“ปล่าว เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นใครทั้งนั้นแหละ เราเป็นเอกราชมาตลอด แต่ยุคของชั้น การสื่อสารไร้พรมแดน เราติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนไม่เพียงแต่สิ่งของ แต่รวมทั้ง ความรู้และวัฒนธรรมด้วยนะ”
“เหมือนที่เราค้าขายไม้สักที่หัวเมืองเหนือกับพวกบริเตนกระนั้นรึ”
“ประมาณนั้นแหละ แต่ว่า มันง่ายกว่านั้น ชั้นก็ไม่รุ้จะอธิบายยังไงนะ แต่............” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง
“นายเชื่อชั้นแล้วใช่ป่าวว่าชั้นมาจากโลกอนาคต”
หมอปีย์ไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และอาการลังเล
“สมัยชั้นน่ะ เราไม่ต้อง...................”
“พอเถิด” ผมยังไม่ทันพูดจบ หมอนั่นก็ขัดขึ้นมา “เจ้าไปนอนเสียเถิด ดึกแล้ว” เขาไล่
“แต่ชั้นยัง.................”
“เราอยากทำงานเงียบๆ” เขามีน้ำเสียงเข้มขึ้นมาอีกแล้ว
“ตามใจแล้วกัน มีอะไรให้ชั้นช่วยก็บอกนะ” ผมว่า ก่อนจะเดินไปที่ที่นอน ล้มตอนลงนอนบนพื้นไม้กระดานแข็งโป๊ก
เมื่อไม่ต้องคอยมากังวลเรื่องผีเรื่องสาง ผมก็หลับได้ไม่ยาก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เวลาผ่านไปแค่ไหนไม่รู้ที่ผมผล็อยหลับไป แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีผ้าอุ่นๆมาคลุมร่าง ผมลืมตาขึ้นมอง หน้าของหมอปีย์ลอยอยู่ตรงหน้า เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ห่มผ้าเสีย อากาศหนาวเดี๋ยวเจ้าจักไม่สบาย” ผมยิ้มตอบพลางพยักหน้า นึกขอบคุณเขาใจ และผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เสียงดนตรีหนักหน่วงดังอยู่รอบตัว แสงไฟหลากสีส่องแสงวิบวับวิบวับ ผู้คนมากมายห้อมล้อมอยู่รอบตัวผม พวกเขากำลังเต้นรำปล่อยอารมณ์กันสุดเหวี่ยง ผมจำพวกนี้ไม่ได้หรอก ว่าเป็นใคร เพราะผมเมา นี่บอกกันตรงๆไม่ได้แอ๊บเลยว่าผมเมา
ก็นับจากวันที่ถูกผู้หญิงคนนั้นบอกเลิกโดยไปคั่วกับผู้ชายที่เคยมาจีบผมนั่นแหละ งงมั๊ย งงสิ เพราะโลกร้อนละมั้ง อะไรหลายๆอย่างที่นี่เลยเปลี่ยนไป
วันนั้นผมเมามายกลับบ้านมา และมาโวยวายอยู่หน้าบ้านอาที่ขี้งก โลภ รวมหัวกับผัวหนุ่มอยากจะฮุบสมบัติของหนูวาด ยายทวดของผม ผมโวยวายเสียงดังจนถูกพวกเขาจับมามัดขังไว้ที่เรือนครัวหลังเก่าหลังบ้านนี่แหละ และที่นั่นเองที่ผมเผลอหลับไปและฝันประหลาดๆ ฝันถึงคนโบราณ บ้านเมืองสมัยโบราณ บ้าบอคอแตก แต่เมื่อผมตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งเช้าก็พบว่าตัวเองนอนคดขู้อยู่ในเรือนเก่าหลังนี้
หลังจากวันนั้นผมก็ใช้ชีวิตเหลวแหลกไปตามประสาพวกเสเพลธรรมดาทั่วไป กิน ขี้ ปี้ นอน ไปตามประสา ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่กลับไปเรียนให้จบ ไม่สนใจร้านอาหารไทยของแม่ที่บ้าน ไม่เอาอะไรทั้งนั้นละเว้ย
คืนนี้ก็เช่นเดียวกันที่ผมออกมาสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันจากการดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ Cowgirls เมื่อสองคืนก่อน ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่หรอก แค่คุยกันรู้เรื่อง พวกมันเป็นลูกคนมีกะตังส์เหมือนกัน เราจึงคุยกันถูกคอ
“เฮ้ย มึงไปต่อที่คอนโดกูมั๊ยวะ หิ้วน้องเจนไปด้วย” ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินกอดคอคลอเคลียกับศึกษาสาว มหาลัยชื่อดังที่เธอบอกว่า เธอไม่เคยเที่ยวที่แบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
“ถุย กูคงเชื่อมึงหรอกนะ หึ เห็นท่ามึงซดเบียร์กูก็เดาออกแล้ว ว่าอย่างมึงนะ เขาไม่เรียกไม่เคยหรอกเว้ย เขาเรียกช่ำชอง” ผมบ่นในใจ แต่มันจะเสียหายอะไรกันเล่าในเมื่อเด็กมันบอกอย่างนั้น ผมก็ต้องเชื่อ จริงมั๊ย เด็กมันเสนอมา เราก็ต้องจัดไปอย่าให้เสีย
เสียงรถ Porsche รุ่น Cayenne ที่กระหึ่มด้วยลูกสูบเต็มพลังแน่นเปรี๊ยะนั้น ทำให้คนในลานจอดรถต้องเหลียวมอง ผมยิ้มมุมปาก ก่อนจะกระชากตัวอย่างแรงโชว์ความเก๋าของรถรุ่นนี้ให้เป็นบุญตาของพวกไม่มีจะขับเหล่านั้นได้อึ้ง ทึ่ง เสียวกันสักครั้งในชีวิต
ราตรีของกรุงเทพฯยามตีสองนี้ ช่างแตกต่างจาก ราตรีของสยามยามสองทุ่มเสียจริง ที่นี่ถึงแม้จะตีสอง แต่ก็ยังมีแสงไฟสว่างจ้า รถราแล่นกันให้ขวัก ให้รู้ว่าเรายังมีเพื่อนนอนดึกอยู่บนถนนอีกมากมาย รถพาผมแล่นมาจอดยังคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหล่าพวกไฮโซเหล่านั้นต่างพากินหิวสาววัยแรกรุ่นกันคนละคนสองคนขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น Balcony ของคอนโด ท่าทางจะรวยจริง เพราะหากไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่มีปัญญาอยู่คอนโดหรูๆแบบนี้ และห้องสุดพิเศษแบบนี้หรอก
“เฮ้ย คืนนี้มีของดีเว้ย ไม่อั้น ไม่อั้น”
“เฮ้ย มึงหามาได้ไงวะสัตว์ ได้ข่าวช่วงนี้ตำรวจแม่งเข้ม ของขาด”
“อ้าว ไอ้เหี้ย มึงไม่รู้เหรอว่าพ่อกูเป็นใคร นี่” ชายคนนั้นชี้ไปที่รูปพ่อของมัน “พ่อกูเป็นพ่อของตำรวจอีกทีเว้ย”
เสียงหัวเราะดังลั่นห้อง ต่างคนต่างจัดแจงหาที่เหมาะๆ แล้วลงมือปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน
ผมนั้นถึงแม้จะเสเพลไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดจะแตะต้องไอ้ของพรรค์นั้น ปล่อยให้พวกมันจัดการกินขนมกันอย่างเมาส์มัน ส่วนผมขอแยกมาอยู่กับน้องเจน แม่สาวไร้เดียงสาที่ใส่ชุดชั้นในสีชมพูแซมด้วยลูกไม้สีดำดีกว่า
“อยากไปสนุกกับพวกนั้นมั๊ยคะ” ผมพูดเสียงออดอ้อน
“ไม่อาวอ่ะ เจนไม่เคย เจนขออยู่กับพี่ปอดีกว่า” ว่าแล้วเธอก็เอาหน้าซุกแผ่นอกของผมก่อนจะทำตัวสั่นระริก ผมกอดเธอแน่น
กลิ่นน้ำหอมนั้นหอมเย้ายวนเหลือเกิน ถึงแม้มันจะเป็นกลิ่นที่ผมไม่ปลื้มอยู่บ้าง แต่เมื่อรวมกับกลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้า และเหงื่อเข้าไป มันก็ทำให้ผมใจเต้นรัวได้ไม่น้อย
“กลัวเหรอคะ หึ มามะ เดี๋ยวพี่ปอจะทำให้หายกลัว” ว่าแล้วผมก็ช้อนคางของน้องเจนขึ้นมา เธอมองตอบด้วยแววตาไร้เดียงสาที่ทำได้ไม่ยาก แค่ big eye สีน้ำตากลมโตคู่เดียว ก็ทำให้น้องเจนผู้เจนโลกของผมคนนี้ กลายเป็นนู๋เจนผู้เดียงสาในบัดดล
ผมระดมจูบเธอทั่วไปหน้า และริมฝีปาก มือทั้งสองข้างกอดเธอแน่น ริมฝีปากที่อวบอิ่มนั้นละเลงแลกหมัดกับริมฝีปากผมอย่างเมามันส์
“คืนนี้เป็นของพี่นะคะ” ผมขอ เธอพยักหน้าทำเสียงงุ๊งงิ๊ง
“ไม่เอานะคะ พี่ปอ อย่าค่ะ ตื่นเถอะ คะ ตื่นเถอะ” เธอพยายามผลักผมออกมา แต่ผมรู้นิสัยผู้หญิงดี
“อย่านะพี่ ไม่เอาน่า ตื่นได้แล้ว” แล้วเธอก็บอกให้ผมตื่นเป็นรอบที่สอง
“จะตื่นอะไร พี่ยังไม่ได้หลับเสียหน่อย” ผมไม่ยอม
พวกข้างนอกเริ่มเงียบเสียงลง ผมเดาเอาว่าพวกมันก็คงปฏิบัติภารกิจคล้ายๆกับผมอยู่เหมือนกัน
ผมพยายามเล้าโลมเธอให้เธอมีอารมณ์ ขาทั้งสองข้างเกี่ยวก่ายไปมา มือนั้นก็ควานเข้าไปในเสื้อนักศึกษาสีขาวแล้วค่อยๆคลึงเค้นปถุมถันที่สู้มือไม่น้อย เธอร้องครวญครางในลำคอเบาๆ
ผมระดมจูบไล่ลงมาจากหน้าผาก จมูก เรื่อยลงมาจนถึงแก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง เอ๊ะ ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆกับแก้มของเธอ มันไม่เหมือนแก้มนิ่มๆของผู้หญิงทั่วไป ผิดจากนั้นยังรู้สึกสากๆเสียด้วยซ้ำราวกับเจนเพิ่งโกนหนวดมา
นอกจากนั้นหน้าอกที่เคยอวบอิ่มนุ่มนิ่มของเธอตอนนี้กลับแข็งโป๊กราวกับเจนไปเล่นกล้ามมา ผมค้างมือไว้ครู่หนึ่ง
ค่อยๆลืมตามองหน้าเจน
ค่อยๆลืมตา
เสียงสว่างเรื่อๆแยงตาทำให้ผมต้องหรี่ตาปรับสายตา
เจน
เจน
ผมกระพริบตาถี่ๆ
เจน
และในที่สุดผมก็ลืมตาขึ้นมองหน้าเจนอย่างเต็มที่
“แหว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“ไอ้หมอปีย์”
“เจ้ยยยยยย”
ผมตะโกนลั่นห้อง ภาพหมอปีย์นอนตัวแข็งทื่อเป็นเสาไฟฟ้ามือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ที่หน้าอก ตัวสั่นงกๆ โดยมีผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง ขาทั้งสองข้างพันขามันแน่น มือก็กำลังตะปบอยู่ที่หน้าอก ส่วนหน้าผมนั่น จ๊าก ไม่อยากจะบรรยาย
“ไอ้หมอบ้า มึงมาทำอะไรตรงนี้” ผมดีดตัวออกจากหมอนั่นอย่างรวดเร็วจนเกือบตกเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมเรือนร่างของตัวเอง จะทำไปทำไม
“เรา เอ่อ.........” เขาพูดตะกุกตะกัก
“มานอนบนเตียงได้ยังไง” ผมเค้นถาม
“เอ่อ นี่มันเตียงเรา แล้วเจ้าก็เปนผู้ที่ปีนขึ้นมานอนบนนี้เอง” เขาพูดน้ำเสียงอายๆ
ผมมองไปรอบๆ พยายามรวบรวมความคิด เออ ใช่นี่หว่า เมื่อคืนกูมาอาศัยนอนห้องมัน และนั่นก็เป็นที่นอนของกู
“ไม่รุ้หล่ะ แล้วทำไมไม่ปลุก”
“เราปลุกเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ตื่น”
“แล้วนายทำอะไรชั้นมั่ง”
“เรามิได้ทำอันใดเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าต่างหากที่.............” เขามองไปที่หน้าอกตัวเอง
“ไอ้บ้า ไอ้ ไอ้ ทะลึ่ง” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนั้นรู้สึกเลือดมันฉีดขึ้นหน้าจะหน้าแทบระเบิด ยืนหันไปหันมา
“ออกไปสิ มานั่งอยู่ทำไม” ผมเอ่ยปากไล่
“แต่นี่มันห้องของเรา” หมอนั่นพูดเสียงอ่อย
“อ้าว เอ่อ ก็ได้ ชั้นไปเองก็ได้” ผมเดินไปคว้าผ้ากับหมอนที่เอามาเมื่อคืน ก่อนจะหันหลังไม่ทันระวังหัวไปชนเข้ากับเสาเตียงที่ไว้ผูกมุ้งเสียงดังปัง ล้มแผละลงบนเตียง............อีกครั้ง หมอนั่นรับผมไว้ทัน ผมมองหน้ามัน
“น้องเจน ทำพี่แสบจริงๆ” ผมกัดฟันกรอด ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทืบเท้าเดินออกไปอย่างหัวเสียบวกกับเสียหน้าอย่างมากด้วย
“นายห้ามเอาเรื่องคืนนี้ไปเล่าห้ใครฟังนะเว้ย ไม่งั้น..............ตาย” ผมหยุดหันหลังพูดกับมัน
“อ้อ แล้ว..........................หากเกิดอะไรขึ้นมา ชั้น เอ่อ........” ผมนิ่ง “ชั้นรับผิดชอบเอง”
........
........
........
.......
“รับผิดชอบเอง รับผิดชอบเอง เหี้ยเอ้ย พูดไปได้ยังไง มึงจะบ้าเหรอไอ้ปอ” ผมเขกหัวตัวเอง โกรธที่พูดออกไปไม่คิดแบบนั้น
“พ่ออัช” หมอนั่นเรียกก่อนที่ผมจะเปิดประตูห้องออกไป
“เจ้าเร่งอาบน้ำอาบท่าเข้าเถิด เราจะพาเจ้าไป.............ตลาด”