---- When I Fall In Love (ต่อ) ----
“แป๊บๆ ห้าทุ่มแล้ว คุณเก็บกระเป๋าหรือยังครับ ฆาบี้?”
เจถามคนรักที่ง่วนอยู่กับการอ่านเมล์ในแท็บเล็ต ฆาเบียร์พยักหน้า เขาแทบไม่มีสัมภาระอะไรเพราะเขาทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่ห้องของเจเป็นจำนวนมากพอแล้ว เชียงใหม่ได้กลายเป็นบ้านของเขาพอๆ กับที่ฮ่องกง
“เจจ๊ะ เจมีกระดาษกับหมึกปรินท์พอสำหรับปรินท์เอกสารซักสี่ห้าสิบหน้าไหม? “
ฆาเบียร์เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแท็บเล็ตของเขา เจพยักหน้าและเดินไปเปิดเครื่องปรินเตอร์ของเขาที่อยู่ในห้องนอนเล็กไว้ให้ ฆาเบียร์จัดการสั่งปรินท์ผ่าน wifi ทันที
“เอกสารอะไรเหรอครับ ทำไมถึงเยอะขนาดนั้น?”
เจถามขึ้น
“เอกสารที่ต้องใช้ประชุมพรุ่งนี้น่ะ ฉันยังชอบอ่านและจดโน้ตลงในกระดาษมากกว่าอ่านจากหน้าจอ”
คนตัวโตถอนหายใจเบาๆ เขาบอกเจว่าเดี๋ยวเขาคงต้องใช้เวลาอีกสักหนึ่งถึงสองชั่วโมงอ่านเอกสารเหล่านี้ ส่วนหนึ่งคือข้อเสนอของบริษัทยักษ์ใหญ่ในการซื้อกิจการบริษัท start-up ที่เขาและคริสเคยร่วมลงทุนไว้
“เจจะไปนอนก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันไปนั่งอ่านในครัวก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเอางานมานั่งทำด้วย เมื่อเย็นพี่นพเมล์งานใหม่มาให้แล้ว”
เจนยุทธซึ่งก็ง่วนกับการเตรียมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตนพูดขึ้น เขาของานไว้วันนี้เพราะนึกว่าฆาเบียร์จะกลับแล้ว หากเมื่อคนตัวโตตกเครื่องเขาก็เสียเวลาทำงานไปอีกหนึ่งวัน จากที่สามารถทำชิลๆ ได้เขาก็อาจจะต้องเร่งมือปั่นงานของเขาอีกสักหน่อย พวกเขาทั้งคู่หอบงานออกไปที่เคาเตอร์ครัว เจจัดการเปิดคอมแล้วเดินกลับไปในห้องนอนเล็กเพื่อดูเอกสารที่สั่งปรินท์ไว้ ไม่นานเขาก็กลับออกมาพร้อมเอกสารปึกหนึ่งและกล่องเครื่องใช้ในสำนักงานในมือ
“นี่ครับ เอกสารของคุณ แล้วก็นี่อุปกรณ์”
ฆาเบียร์มองของในมือเจ ในนั้นมีพร้อมทั้งปากกา ดินสอ ยางลบ คลิปหนีบกระดาษ ที่เย็บกระดาษ ปากกามาร์คเกอร์ กระดาษโพสต์อิทและกระดาษแถบสี ฆาเบียร์ยิ้มออกมาอย่างพึงใจในการเตรียมพร้อมของคนรัก
“จริงๆ นะ เจ นายสนใจมาเป็นเลขาฉันไหม? หรือไม่ก็ personal assistant ก็ได้”
คนตัวโตพูดยิ้มๆ หากเจนยุทธทำหน้าบูดแถมแลบลิ้นให้เขา
“ไม่เอาหรอก ทำงานกับคุณผมปวดหัวตาย”
“อะไรกัน เจนยุทธ ฉันออกจะเป็นเจ้านายที่ดี ดูเมลิน่ากับริคกี้สิ สบายจะตาย ไม่เห็นจะมีใครบ่น”
“หึ บ่นไม่ออกสิไม่ว่า ไม่เอาหรอก อีกอย่าง ถ้าทำงานเป็นเลขาคุณ ผมก็ต้องทำงานกับเมลิน่าสิ เจ๊แกโหดจะตาย ผมเห็นตอนเจ๊แกว๊ากใส่ลูกน้องในทีมเลขาแล้วกลัวแทน ไม่เอาอ่ะ”
ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เลขาสาวของเขานั้นเฮี้ยบกับลูกน้องในแผนกและคอยรักษาผลประโยชน์ให้เขาเป็นเลิศ
“อืมม์ จะว่าไป ให้นายมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวนี่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนักหรอกนะ...”
คนตัวโตพูดยิ้มๆ พร้อมกับรวบเอวของคนรักและดึงมาแนบตัว
“...เพราะฉันคงไม่เป็นอันทำงานทำการกันพอดี”
เจอุทานและพยายามดันตัวหนีฆาเบียร์ที่ทำท่าจะปล้ำจูบเขา
“ไม่เอาๆ แยกย้ายๆ ครับ ทำงานทำการกันได้แล้ว เดี๋ยวผมจะชงกาแฟมาให้”
เจนยุทธโคลงหัว ฆาเบียร์ปล่อยคนรักให้เป็นอิสระและหันมาสนใจกับเอกสารเบื้องหน้า เจนยุทธดึงที่ชงกาแฟแบบ French press สเตนเลสขนาดใหญ่และเครื่องบดเม็ดกาแฟออกมาจากตู้และจัดการชงกาแฟมากาใหญ่
“หอมจังเลยเจ”
ฆาเบียร์ทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นกาแฟสด เจเดินกลับมาหาคนรักพร้อมแก้วกาแฟสองใบและกระบอกโลหะเก็บอุณหภูมิ
“จะรับกาแฟเลยไหมครับ? หรือว่ารอก่อน?”
ฆาเบียร์บอกว่าเขาขอกาแฟเลย เจเทกาแฟใส่แก้วให้คนรักซึ่งรับมาดื่มโดยไม่เติมนมและน้ำตาล เจเองก็ดื่มกาแฟดำเช่นกัน เขาเริ่มติดนิสัยนี้มาจากฆาเบียร์แล้ว
“ยังเหลือกาแฟพออีกซักสองแก้วนะครับ เผื่อคุณอยากดื่มอีก แต่ถ้ายังไม่ดื่ม ผมก็จะเก็บไว้ทำกาแฟเย็นพรุ่งนี้”
ฆาเบียร์พยักหน้าและก้มหน้าลงอ่านเอกสารของเขาต่อ เจลอบมองใบหน้าเคร่งเครียดภายใต้แว่นสายตากรอบดำ คนรักของเขากำลังเข้าโหมดผู้บริหารธุรกิจใหญ่ระดับโลก มันทำให้เจรู้สึกเหมือนพวกเขาอยู่คนละชั้นกันทุกครั้งที่ได้เห็น คนตัวเล็กลอบถอนหายใจและสลัดหัวเพื่อลบความคิดนั้นออกไป เขาหยิบหูฟังขึ้นสวมและให้ความสนใจกับงานของตน
“ดึกแล้ว เจจะไปนอนก่อนก็ได้นะ”
ฆาเบียร์พูดทั้งๆ ที่ก้มหน้าอ่านเอกสารของเขาอยู่ เขาเหลือบดูนาฬิกาแล้วพบว่ามันผ่านไปกว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว และเขายังเหลือเอกสารที่ต้องอ่านอีกจำนวนหนึ่ง เขาหันหน้าขึ้นมามองคนรักเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดกันแทบเป็นปมของคนตัวเล็ก เจจ้องหน้าจอเขม็งพร้อมกับทำปากขมุบขมิบอ่านบทแปลของเขาเพื่อนับตัวอักษรให้ตรงกับบทเดิม ฆาเบียร์กลั้นหัวเราะเมื่อเห็นเจเกาหัวด้วยท่าทีขัดใจแล้วกดปุ่มดีลีทแล้วลงมือพิมพ์ใหม่ เขาตัดสินใจไม่กวนคนรักและก้มหน้าลงอ่านเอกสารของตนต่อ
“เจ เจจ๊ะ”
เจนยุทธสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงฆาเบียร์ดังอยู่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดซอกคอ เขากดหยุดวีดีโอ ดึงหูฟังออก และหันไปหาคนตัวโต
“คุณอ่านงานเสร็จแล้วเหรอครับ?”
เจนยุทธถาม คนตัวโตพยักหน้า เขามองสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของเจแล้วก็ขมวดคิ้ว
“เจ ฉันว่านี่มันคุ้นๆ นะ มันเป็นซีรีส์นี่ ฉันนึกว่านายแปลแต่สารคดี”
เจส่ายหน้าและบอกว่าเขารับงานทุกประเภท แต่จะชอบงานพวกสารคดีมากกว่าเพราะได้ความรู้
“พวกซีรีส์นี่จะว่าง่ายก็ง่าย ยากก็ยากครับ ที่ง่ายก็เพราะไม่ต้องหาข้อมูลอ่านประกอบมากนัก บทมักจะสั้นๆ ไม่ได้บรรยายยาวยืดแบบสารคดี แต่ไอ้ที่ยากน่ะเพราะคำสแลงกับสำนวนเยอะ แต่ละประเทศแต่ละท้องถิ่นบางทีก็ไม่เหมือนกัน บางทีก็ต้องมาหาให้เจอว่านี่มันคือสำนวนหรือการพูดตรงๆ “
เจบอกว่าเขาต้องมาดูเนื้อหาของเรื่องประกอบด้วย บางครั้งสิ่งที่เขานึกว่าเป็นสำนวนก็อาจจะมีความหมายตรงตามตัวอักษรก็ได้ ถ้าเป็นสารคดี บางครั้งเขาจะแปลจากในบทอย่างเดียวโดยไม่ดูหนังประกอบ จากนั้นค่อยมานั่งเปิดหนังดูทีเดียวตอนจบเพราะมันทำให้งานลื่นไหลกว่า แต่สำหรับซีรี่ส์ เขาทำแบบนี้ไม่ได้และต้องดูหนังไปแปลไปเพื่อดูอารมณ์ของผู้พูดและสถานการณ์ ณ ขณะนั้น
“อีกอย่างที่ยากคือความที่มีหลายตอนต่อกันนี่แหละครับ บางครัั้งงานที่ผมได้มาอาจจะเป็นตอนที่สี่ที่ห้าของเรื่องแล้ว หรืออาจเป็นซีซันส์สองสามแล้วและเราไม่ได้รู้เรื่องราวของตอนก่อนๆ มาก่อน บางทีก็ต้องมาหาในเน็ตดูก่อนว่าตัวละครตัวนั้นตัวนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด”
เจบอกว่าข้อผิดพลาดหนึ่งที่เห็นบ่อยที่สุดในการแปลซีรีส์คือการลำดับความสัมพันธ์ของตัวละครผิด อย่างเช่นจากแปล “พี่ชายของฉัน” ในตอนหนึ่งกลายเป็น ”น้องชายของฉัน” ในอีกตอนหนึ่ง
“ภาษาอังกฤษมันใช้เป็น my brother ไปเลยใช่ไหมล่ะ แต่ในภาษาไทยคุณต้องบอกให้ได้ว่าเป็นพี่ชายหรือน้องชาย บางครั้งมันจะพูดถึงไว้ในตอนก่อนหน้า แต่ถ้าคุณไม่เคยดูมาก่อนก็อาจจะแปลผิดได้ อีกจุดที่ผิดบ่อยคือการใช้สรรพนามของตัวละครครับ”
เจบอกว่าในภาษาไทยมีการใช้สรรพนามที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ I กับ You
“ผมเคยเจอข้อผิดพลาดแบบที่ว่า เอ่อ let’s say นางเอกคุยกับผู้ชายคนนึงที่จริงๆ แล้วเป็นพ่อที่ห่างเหินกันไป ซึ่งโดยปกติในสคริปต์ที่ได้มามันจะเขียนเป็นชื่อคน สมมติว่าจิมมี่กับเคทแล้วกันนะ ในสคริปต์เขาจะไม่บอกหรอกว่าสองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน เขาจะเขียนแบบ จิมมี่พูดว่า เคทพูดว่า ไม่ได้บอกว่าพ่อเคทพูดว่า ถ้าไม่ได้เคยแปลตอนที่มันแสดงให้เห็นชัดว่าเป็นพ่อลูกกันมาก่อนก็จะไม่รู้ บางทีคนแปลก็ต้องไปหาอ่านเอาเองว่าไอ้ผู้ชายคนนี้เป็นใคร”
ที่เจเคยเห็น หลายครั้งที่คนแปลผิดให้พ่อลูกหรือพี่น้องคุยกันโดยใช้คำว่า “ฉัน” กับ “คุณ” หรือ “เธอ” เหมือนเป็นชายหญิงทั่วไปคุยกัน
“มันเป็นความผิดพลาดที่ผมพยายามจะไม่ให้เกิด บางทีก็ต้องยอมเสียเวลาค้นดูหน่อย สมัยนี้ดีที่อะไรๆ ก็หาได้จากในเน็ตครับ”
"อีกอย่างที่ผมเกลียดที่สุดในการแปลซีรีส์คือมันพูดเร็ว และผมต้องมาคอยปรับที่แปลให้เข้ากับปากตัวละคร แล้วไหนจะแย่งกันพูดไปมาอีก โดยเฉพาะอิเจ้าเตเลโนเบล่าของละตินอเมริกาแบบเรื่องนี้นี่ โอ๊ย ไม่รู้จะพูดเร็วไปไหน บางทีถึงขั้นต้องตัดความบ้าง ไม่งั้นคำแปลมันจะเกินไปมากเลยครับ"
เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเคยแปลละครแบบนี้มาหลายตอนแล้ว
"ปัญหาอีกอย่างก็เรื่องบทครับ อย่างเรื่องนี้ บทมันมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ในละครพูดภาษาสเปน ผมงี้มึนตึ้บ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าบทมันมาถูกหรือเปล่า แล้วจังหวะที่แปลนี่ มันใช่ที่ตัวละครกำลังพูดอยู่ไหม? ยังดีที่ผมเรียนมานิดหน่อยแล้ว บางคำก็พอฟังรู้เรื่อง เอามาอ้างอิงได้ แต่อย่างคราวที่แล้วเจอละครภาษาตุรกี ผมงี้ไปไม่เป็นเลย"
เจหัวเราะหึๆ เขาบอกว่าเขายังเคยแปลสารคดีวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กภาษาฝรั่งเศสที่มีบทเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยความที่มีพื้นภาษาฝรั่งเศสอยู่บ้าง มันทำให้เขารู้ว่าบทภาษาอังกฤษบางจุดนั้นมั่ว บางจุดก็แปลตก แต่เมื่อปรึกษากับเจ้าของงานแล้ว สุดท้ายก็ต้องอิงตามบทเดิมไป เพราะเขาเองก็ไม่สามารถแปลส่วนภาษาฝรั่งเศสให้ทั้งหมดได้
"อย่างนี้นี่เอง ก็ลำบากเหมือนกันนะ..."
ฆาเบียร์รำพึงออกมาและพยักหน้าหงึกหงักเมื่อได้ฟังสิ่งที่เจอธิบาย เขาเหลือบมองซีรีส์ที่เจเปิดค้างไว้บนหน้าจอ
"แต่เรื่องนี้ไม่น่ายากนะเจ เนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก เป็นเรื่องผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งที่จำต้องร้ายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ก็น่าสงสารนะ ชีวิตเธอโดนมาเยอะ โดนข่มขืนตอนสาวๆ พ่อแม่ถูกฆ่าตาย ท้องเกิดลูกมาก็เอาไปยกให้คนอื่น มาเจออีกทีตอนโตก็โดนลูกแย่งแฟนไปอีก แถมชีวิตก็ตกต่ำเพราะทำแต่เรื่องผิดกฎหมายซ้ำๆ "
เจนยุทธทำตาปริบๆ เมื่อได้ยินฆาเบียร์เล่าออกมาเป็นฉากๆ
"เฮ้ยๆ นี่คุณดูละครน้ำเน่าแบบนี้ด้วยเหรอ?"
คนตัวเล็กถามลั่น ฆาเบียร์ที่หลุดปากพูดออกไปโดยไม่รู้ตัวก็ยิ้มเขินๆ เขาเคยติดละครน้ำเน่าเรื่อง La Doña หรือ Lady Altagracia นี้งอมแงม
"เอ่อ ก็มีดูบ้างน่ะเจ เวลาเครียดๆ ละครพวกนี้มันก็ทำให้ไม่ต้องคิดอะไรมากดี"
เจส่ายหัว พ่อเจ้าประคุณของเขามีอะไรให้เขาได้ประหลาดใจเสมอ
"แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบละครน้ำเน่าพวกที่ตบตีแย่งแฟนกันแบบละคร Telenovela ยุคเก่าที่ต้องจิกตาใส่กัน กรี๊ดดังๆ อะไรแบบนั้นนะ น่ารำคาญเกินไป"
ฆาเบียร์บอกเจว่าผู้จัดละครยุคใหม่ก็คงเห็นเช่นเดียวกับเขา ละครแถบละตินอเมริกายุคใหม่จึงเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนขึ้น เล่นประเด็นทางสังคมมากขึ้น เช่นเรื่องธุรกิจสีเทา การชิงดีชิงเด่นในวงการธุรกิจ การค้ายาเสพติด แต่ยังมีสอดแทรกเรื่องราวความรักน้ำเน่าที่เป็นเอกลักษณ์ของละคร Telenovela ไว้ด้วย
"โหย นี่ถ้าคุณได้ดูพวกละครเกาหลีนี่คงติดหนึบแน่ๆ ปกติผมก็ไม่ค่อยดูหรอกนะ แต่ก็เคยติดมากเรื่องนึง เรื่อง Queen of Ambition นางเอกก็ทะเยอทะยานแล้วก็ไม่ใช่คนดีเหมือนเรื่องนี้เลย ออกแนวเลวจนไม่อยากเรียกว่านางเอกด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้ดูแล้วเครียดครับ ไม่ได้ออกแนวน้ำเน่าแบบเรื่องนี้"
"เหรอ มีแบบที่มีบทแปลภาษาอังกฤษหรือเปล่าเจ ฉันอยากดูเหมือนกัน"
"เดี๋ยวครับ เดี๋ยว อย่าพึ่งคิดดูตอนนี้ เพราะถ้าลองคุณได้เปิดดูแล้วรับรองว่าไม่ได้นอนแน่ๆ ไว้คราวหน้าถ้าคุณมาเชียงใหม่แล้วมีเวลา เราค่อยมาดูกันนะ"
เจนยุทธรีบยกมือห้ามไว้ ตอนนี้เป็นเวลาตีสองแล้ว ถ้าพ่อเจ้าประคุณของเขาเกิดดูซีรีส์ขึ้นมา พวกเขาคงไม่ได้นอนแน่ๆ เจกดเซฟงานของเขาและปิดคอมพิวเตอร์
"เรานอนกันดีกว่าครับ ฆาบี้ พรุ่งนี้คุณต้องตื่นกี่โมงนะ? เจ็ดโมงทันไหม?"
"ได้อยู่จ้ะ ฉันจำเวลาสลับกันนิดหน่อย จริงๆ ตอนเช้าน่ะเป็นประชุมกับทางสหรัฐฯ และประชุมกับทางฮ่องกงช่วงบ่ายๆ แต่ฉันเพิ่งส่งข้อความไปบอกกับเมลิน่าว่าให้ทางฮ่องกงสแตนด์บายไว้ ฉันอาจจะคุยต่อจากคุยกับทางสหรัฐฯ เลย เราจะได้มีเวลาช่วงบ่ายด้วยกันมากหน่อย"
ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักและดึงเข้ามาแนบตัว เขาหอมแก้มแดงระเรื่อของเจเบาๆ
"อืมม์ พรุ่งนี้ผมกะออกบ้านตั้งแต่บ่ายสามเลยจะได้ชัวร์ว่าไม่ตกเครื่องอีก งั้น เราเข้านอนกันดีกว่านะครับ พรุ่งนี้จะได้รีบตื่น"
ฆาเบียร์รับคำ แต่ก่อนกลับเข้าห้องนอน ฆาเบียร์หยิบโน้ตบุ้คของตนออกมาจัดเตรียมไว้ที่เคาเตอร์ครัวพร้อมกับเอกสารที่เขาอ่านและเขียนโน้ตแนบไว้ จากนั้นทั้งสองจึงกลับขึ้นเตียง
"ราตรีสวัสดิ์จ้ะ ที่รักของฉัน"
คนตัวโตจูบหน้าผากคนรักแผ่วๆ
"Good night, sleep tight ครับ mi alma"
เจนยุทธจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากของฆาบี้ ก่อนจะดึงแขนของคนรักมาโอบรอบกายเขา ฆาเบียร์กระชับวงแขนให้โอบรัดร่างของคนที่เขารักสุดหัวใจไว้แน่น ไม่นานพวกเขาก็ผลอยหลับไปอย่างง่ายดายเหมือนกับทุกครั้งที่มีคนรักอยู่ในอ้อมแขน
“ฆาบี้ครับ หกโมงกว่าแล้ว ตื่นเถอะ”
เจปลุกคนรักที่ใช้เขาเป็นหมอนข้างอย่างสบายใจ คนตัวโตทำท่าอิดออดก่อนจะลุกขึ้นหาวหวอดๆ เขาได้นอนเพียงสี่ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น เจลุกขึ้นแล้วพยายามฉุดร่างใหญ่ให้ลุกจากเตียงแต่ก็ถูกดึงจนล้มเข้าไปในอ้อมแขนที่รอรับเขาอยู่
“ขอมอร์นิ่งคิสก่อนสิจ๊ะ”
ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจโคลงหัวและจุ๊บแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของคนตัวโตหากพ่อเจ้าประคุณของเขายังไม่สมใจ ฆาเบียร์ดันร่างเพรียวลงกับเตียงและป้อนจูบอันดูดดื่มให้
“คุณครับ นี่มันไม่ใช่มอร์นิ่งคิสแล้ว พอเลย ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวก็ไม่ทันแปดโมงหรอก!”
คนตัวเล็กประท้วงขึ้นและดันร่างคนที่เริ่มมือซุกซนออก ฆาบี้ดูนาฬิกาแล้วก็รีบเผ่นพรวดเข้าห้องน้ำไป ถึงเขาจะอยากนัวเนียกับเจต่อแค่ไหน เขาก็ต้องจัดการงานให้เรียบร้อยก่อน
“ผมเตรียมชุดให้คุณแล้วนะครับ จะใส่เต็มยศไหม? หรือแค่เชิร์ตกับไทพอ?”
เจหยิบชุดสูทสีน้ำตาลที่เขาวางพาดไว้บนเตียงส่งให้ฆาเบียร์ หาเจ้าตัวบอกว่าเขาต้องการแค่เสื้อนอกเท่านั้น เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นคนรักใส่เสื้อเชิร์ต ผูกไทพร้อมกับเสื้อนอกอย่างหรูแต่ท่อนล่างกลับใส่กางเกงสะดอที่มักใส่อยู่บ้าน ฆาเบียร์จัดการรวบผมของเขาขึ้นเนื่องจากไม่มีเวลาเซ็ต
“แหม โกนหนวดซะเนี้ยบเลยนะคุณ”
เจกระเซ้าเมื่อเห็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาของคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มเมื่อเจจุ๊บที่แก้มไร้หนวดเคราของเขา เขารู้ดีว่าเจนยุทธชอบเขาแบบหน้าเกลี้ยงๆ มากกว่า ฆาเบียร์เช็คความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้งแล้วจึงเปิดประตูห้องนอนออกไป เขายิ้มเมื่อได้ยินเสียงเจตะโกนไล่หลังมาบอกให้เขากินมูสลี่กับโยเกิร์ตที่เจ้าตัวเตรียมไว้ให้ด้วย ถึงเขาจะพูดเล่นที่บอกว่าอยากให้คนตัวเล็กมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว แต่เขาก็หวังอย่างจริงจังว่าสักวันเขาจะได้มีเจนยุทธมาคอยอยู่ข้างกายเพื่อดูแลเขาแบบนี้ตลอดไป
“ไง เมลิน่า ฉันพร้อมแล้ว ทางนู้นพร้อมกันหรือยัง?”
ฆาเบียร์ถามเลขาของเขา เมลิน่าซึ่งอยู่ที่ฮ่องกงจะเป็นผู้ประสานงานการประชุมออนไลน์ครั้งนี้ เมลิน่าตอบรับและจัดการเริ่มการประชุม ฆาเบียร์ค้อมหัวให้อาปาของเขาที่มานั่งเป็นประธานของการประชุม เขาทักทายทีมที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษาทางกฏหมายของบริษัท เนื่องจากครั้งนี้ยังเป็นการประชุมนอกรอบเพื่อพิจารณาข้อเสนอที่ทางบริษัทยักษ์ใหญ่เสนอมาก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัท Start-up ที่พวกเขาไปลงทุน ฆาเบียร์จึงยังไม่ต้องบินกลับไปประชุมถึงที่ แต่หลังจากเคลียร์งานที่ฮ่องกงเสร็จแล้ว ฆาเบียร์ก็ต้องบินกลับสหรัฐฯ ภายในสองสัปดาห์เพื่อเสนอข้อเสนอนี้ต่อคณะกรรมการฯ และทำการตัดสินใจเรื่องการขายบริษัทที่พวกเขาไปลงทุนไว้นั้น ถึงตัวเขาและอาปาจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทดาวรุ่งที่ไปเตะตาบริษัทยักษ์ใหญ่เข้านั้น พวกเขาก็ยังต้องเคารพการตัดสินใจของกรรมการบริหารคนอื่นด้วย ฆาเบียร์เปิดปึกเอกสารที่เต็มไปด้วยการขีดไฮไลท์ กระดาษโน้ตและแถบกระดาษ เขาก้มหน้าอ่านครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้นพูดกับคนที่อยู่อีกซีกโลก
“โอเคครับ ผมคิดว่าตอนนี้ทุกคนคงได้อ่านข้อเสนอของทางฝ่ายนั้นมาแล้ว ผมอยากรู้ว่าพวกคุณมีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะยังไง เรามาเริ่มดูกันตั้งแต่แรกเลยนะครับ…”
“ผมว่าตัวเลขมันยังไม่น่าพอใจเท่าไหร่ เขากดราคาเราเกินไป…”
ฆาเบียร์พูดพร้อมกับเหลือบมองเจนยุทธที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ประตูห้องนอน เจยกโทรศัพท์ขึ้นส่งข้อความซึ่งเด้งขึ้นในไลน์บนหน้าจอคอมพ์ของฆาเบียร์
‘เปียโนจะมาส่งตอน 10 โมงครับ โอเคไหม? ถ้าไม่ผมจะโทรไปเลื่อน'
ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ และยกนิ้วทำสัญลักษณ์โอเคให้เจและหันไปสนใจกับการประชุมต่อ เจมองใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของคนรัก น้ำเสียงและภาษากายที่เขาใช้ในการทำงานทำให้เขาดูต่างไปจากตาลุงจอมหื่นของเขามากนัก เจยืนแอบมองคนตัวโตทำงานอยู่อีกครู่หนึ่งจึงได้เข้าไปจัดการอาบน้ำแต่งตัว
"เข้ามาเลยครับ เงียบๆ นิดนึงนะ แฟนผมเขาทำงานอยู่"
เจเปิดประตูให้พนักงานจากร้านเครื่องดนตรีเข้ามาในห้องพร้อมกระซิบบอก เขาแอบหน้าแดงน้อยๆ เมื่อตัวเองเรียกฆาเบียร์ว่าแฟนออกมาเต็มปากเต็มคำต่อหน้าคนแปลกหน้า เขาพาพนักงานซึ่งขายเปียโนให้เขาและช่างอีกคนหนึ่งเข้าไปในห้องนอนเล็ก โดยพยายามเลี่ยงไม่ให้ไปกวนคนรัก ฆาเบียร์เหลือบมองพวกเขาแว่บหนึ่งแล้วหันกลับไปสนใจที่หน้าจอต่อ เจแอบยิ้มเมื่อเห็นพนักงานหนุ่มซึ่งขายเปียโนให้เขามองดูคนรักของเขาด้วยท่าทางงุนงง ฆาเบียร์ในคราบนักธุรกิจวันนี้ช่างดูต่างจากตอนที่เขาอยู่ในคราบฝรั่งขี้นกเมื่อวานนัก
"ให้ตายสิ ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง! ผมบอกให้พวกคุณไปหาข้อมูลตรงนี้มาแล้ว ทำไมถึงยังให้คำตอบผมไม่ได้?"
เจรีบเผ่นพรวดออกจากห้องมาดูเมื่อได้ยินเสียงคนรักเอ็ดลั่น เขาเห็นฆาเบียร์ใช้นิ้วจิ้มย้ำๆ ลงไปบนเอกสารที่อยู่ตรงหน้า คนตัวโตเหลือบมองเจนยุทธแว่บหนึ่งแล้วลดเสียงลง เจรีบเดินอ้อมหลังเคาเตอร์ไปรินน้ำเย็นๆ ใส่แก้วและนำมาวางให้คนรัก เขายื่นมือไปกุมมือของคนรักและบีบเบาๆ ฆาเบียร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้อารมณ์เย็นลง และหันไปขอโทษอาปาของเขาเบาๆ ก่อนที่จะทำการประชุมต่อไป
"คุณนี่ดุชะมัดเลยฆาบี้ พวกที่ปรึกษาแต่ละคนนี่หน้าซีดกลัวคุณหัวหดหมดแล้ว"
เจนยุทธบ่นคนรักที่นอนหนุนตักเขาอยู่บนโซฟาเบาๆ ฆาเบียร์ประชุมเสร็จเมื่อประมาณเกือบสิบเอ็ดโมง ก่อนจบการสนทนาเขาได้เรียกเจนยุทธมาเพื่อแนะนำตัวกับบรรดาที่ปรึกษาในฐานะอนาคตผู้ถือหุ้นของบริษัท เขายังได้ทักทายคริสซึ่งทำท่าดีใจมากที่ได้เจอกับ "ลูกชายคนโปรด" คนใหม่ของเขา
"ฉันก็ไม่ได้ดุอะไรสักหน่อยน่า แต่ก็ควรโดนไหมล่ะ ฉันบอกไปแล้วว่าให้เตรียมข้อมูลวิเคราะห์เรื่องทิศทางการพัฒนา แนวโน้มของตลาดไอทีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนี้ และเรื่องที่ว่าบริษัทนี้มันจะมีโอกาสเติบโตไปได้แค่ไหนในอนาคต เพื่อที่จะได้พิจารณาว่าเราควรจะรอมันโตกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยขาย หรือควรจะขายตอนนี้โดยพิจารณาว่าข้อเสนอของเขามันสมน้ำสมเนื้อแล้วหรือยัง ก็เตรียมมาแบบ...เอาเป็นว่า ฉันยังไม่พอใจน่ะ"
ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากับคริสและที่ประชุมก็ยังสรุปกันไม่ได้อยู่ดีถึงเรื่องนี้ และคงต้องประชุมกันอีกหลายรอบเมื่อเขากลับไปถึงฮ่องกง เขาหลับตาพริ้มเมื่อเจใช้นิ้วกดคลึงบริเวณขมับและต้นคอให้
"แล้วเรื่องเปียโนของเจนี่เรียบร้อยแล้วเหรอ?"
คนตัวโตถามทั้งที่หลับตา พวกช่างกลับออกไปพร้อมเปียโนตัวเก่าของเจราวๆ สิบเอ็ดโมง
"ครับ คุณอยากลองเล่นดูเลยไหม?"
"ยังดีกว่าจ้ะ ฉันกะว่าจะงีบซักหน่อย เดี๋ยวฉันนัดทางฮ่องกงประชุมต่อตอนบ่ายโมงที่นู่น ก็ เอ่อ เที่ยงที่นี่แหละ เดี๋ยวซักใกล้ๆ เที่ยงเจปลุกฉันหน่อยนะ"
ฆาเบียร์อ้าปากหาวออกมา เมื่อคืนที่ผ่านมาเขานอนไม่พอจริงๆ เจนยุทธผงกหัว เขาดึงหมอนอิงมาให้คนรักหนุน ถึงเขาอยากจะนั่งเป็นหมอนให้คนตัวโต แต่เขาก็รู้ว่าตักแข็งๆ ของเขามันนอนไม่สบายเท่ากับหนุนหมอน เจจุมพิตเร็วๆ ที่หน้าผากของฆาเบียร์แล้วหลบไปนั่งทำงานของเขาที่เคาเตอร์ครัว
(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)