@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 117581 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- ...Another Day ----




“ใครโทรมาแต่เช้าวะ?”

เจหลับตาบ่นออกมาดังๆ อย่างไม่สบอารมณ์ เขาควานหาโทรศัพท์ของเขาที่ดังไม่หยุดในห้องที่มืดมิด สุดท้ายเขาก็เจอมันตกอยู่ที่ใต้เตียง เจรีบสไลด์รับสาย เขารีบยั้งคำบ่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงของญาติผู้พี่ของเขาดังออกมาจากลำโพง

“เจ เราออกจากสนามบินแล้วหรือยัง?”

น้ำเสียงของบูมเต็มไปด้วยความกังวล

“…พวกพี่มาถึงสนามบินแล้วนะ มาถึงเลทไปหน่อยก็เลยเข้ามาที่เกทกันเลยเพราะคิดว่าคุณมาร์ติเนซเขาคงไม่ได้รอพวกพี่ที่โถงด้านล่างแล้ว แต่ตอนนี้พี่หาคุณฆาเบียร์ที่หน้าเกทเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เจมาส่งคุณเขานานหรือยัง นี่ใกล้เวลาบอร์ดแล้วนะ พี่ยังหาคุณเค้าไม่เจอเลย ไม่รู้ว่ายังยืนรอพวกพี่ที่ด้านล่างไหม พี่ไม่มีเบอร์ติดต่อเขาด้วย เจติดต่อให้หน่อยได้ไหม?”

เจนยุทธที่ยังคงงัวเงียสะดุ้งเฮือกหลังจากสมองประมวลคำพูดของพี่ชายเรียบร้อย

“ชิบแล้ว!”

เขาสบถออกมาดังลั่นเมื่อยกนาฬิกาขึ้นดูและเห็นเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาสองโมงนิดๆ

“ตายห่านๆๆ! ฆาบี้ ตื่นเร็ว! พี่บูม เดี๋ยวผมโทรกลับนะ”

ญาติผู้พี่ของเจที่ปลายสายตอบรับอย่างงงๆ และวางสายไป เจรีบเปิดไฟห้องและเขย่าปลุกคนขี้เซาที่ดึงผ้าห่มมาคลุมหัวไว้แน่นจนเหมือนดักแด้

“ฆาบี้ คุณ ตื่นได้แล้ว เร็ว จะตกเครื่องแล้วนะเฟ้ย!”

เจว้ากลั่นใส่พ่อเจ้าประคุณที่ยังนอนขดอยู่บนเตียงแม้เจจะกระชากผ้าห่มออกไปแล้ว เจปลุกจนในที่สุดเขาก็สามารถลากฆาเบียร์ให้ลุกขึ้นนั่งจนได้ คนตัวโตหรี่ตาสู้แสงแดดจ้าที่สาดส่องเข้ามาเมื่อเจเปิดผ้าม่านหนาทึบออก เขาหันไปยิ้มละไมให้เจนยุทธและดึงมาจุ๊บเบาๆ

"อรุณสวัสดิ์จ้ะ ที่รัก ขอนอนต่ออีกห้านาทีนะ"

ฆาเบียร์หาวหวอดๆ และทำท่าจะกลับลงไปนอนใหม่

"ฆาบี้ ไม่ได้ ห้ามนอน ลุกเลย จะสองโมงครึ่งแล้ว!"

เจนยุทธตะโกนกรอกหูคนตัวโตที่นั่งทำตาปรือหัวหูยุ่งเหยิง ฆาเบียร์กะพริบตาปริบๆ และพยายามประมวลผลคำพูดของเจนยุทธ เขาสบถออกมาดังลั่นเป็นภาษาแม่และทำท่าจะลุกพรวดขึ้นเมื่อเริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้ว



"โอ๊ย!"

คนตัวโตร้องออกมาเบาๆ แล้วก็นั่งแปะกลับลงบนเตียง เจถลาเข้าไปดูอาการของคนรักอย่างเป็นห่วง

"ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไร ฉันแค่เหยียบใส่ไอ้นี่"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหยิบเซ็กส์ทอยอีกชิ้นขึ้นมาจากพื้น เขาหันไปดูพวกสารพัดของเล่น หลอดเจลที่ใช้จนหมด รวมทั้งถุงยางใช้แล้วและซองฟอยล์อีกสองสามชิ้นที่ตกเกลื่อนอยู่บนและรอบๆ เตียงแล้วก็ต้องส่ายหัว เขายกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหลือเวลาก่อนเครื่องออกอีกเพียงชั่วโมงเดียว เขานั่งคิดสะระตะดู ต่อให้เขาออกจากห้องทันทีในตอนนี้ก็อาจจะยังไปไม่ทันเวลาปิดเกท แล้วไหนเขายังจะต้องอาบน้ำ เก็บกระเป๋า และเผื่อเวลาไว้สำหรับผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองอีก

"เจจ๊ะ ต่อสายฉันให้คุยกับบูมหน่อยสิ"

เจนยุทธจัดการทำตามที่คนตัวโตขอ เมื่อบูมรับสาย ฆาเบียร์ขอคุยต่อกับอลัน พวกเขาคุยกันครู่หนึ่งเป็นภาษากวางตุ้ง เจอดเขินไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ของอลันที่ดังลอดออกมา หลังจากนั้นก็เหมือนอลันเอาโทรศัพท์ไปให้พนักงานสายการบินที่หน้าเกทคุยกับฆาเบียร์

"ครับ ใช่ครับ M A R T I N E Z ครับ ผมเช็คอินออนไลน์ไปแล้วแต่คงไปไม่ทัน ครับ..."

ฆาเบียร์คุยกับพนักงานภาคพื้นดินอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่งโทรศัพท์คืนให้เจ เจส่งโทรศัพท์ของฆาเบียร์ให้เจ้าตัว

"เมลิน่าอยู่ในสายครับ ผมโทรไลน์หาให้แล้ว คุณคุยกับเขาต่อเลยแล้วกันนะ"

คนตัวโตรับโทรศัพท์ของเขามาและคุยกับเลขาฯ สาวของเขาที่ฮ่องกง ส่วนเจโทรกลับหาบูมและกล่าวล่ำลากันจนเรียบร้อยแล้วจึงวางสายและมานั่งฟังคนรักคุยกับเมลิน่า

"อืมม์ นั่นแหละ ฝากจัดการให้ด้วยแล้วกัน ลองดูว่าเปลี่ยนตั๋วทันไหม แต่ถ้าต้องซื้อใหม่ก็ซื้อเถอะ...เอ ฮ่องกงเอ็กซเพรสเย็นนี้เหรอ?"

ฆาเบียร์เหลือบมองคนรักของเขาแว่บหนึ่งเมื่อเมลิน่าบอกว่าไฟลท์เร็วที่สุดสำหรับวันนี้คือของสายการบินฮ่องกงเอ็กซเพรสเวลาทุ่มกว่าๆ

"ไม่ดีกว่า ไม่เอาแอร์เอเชียพรุ่งนี้เช้าด้วย กลับของคาเธ่ย์ดราก้อนนี่แหละ ได้ หกโมงเย็นก็ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ไม่มีไฟลท์ที่ทันแล้ว ฉันก็อยู่ต่ออีกวันเลยแล้วกัน"

เจนยุทธสบตาฆาเบียร์แล้วยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ฆาเบียร์ยิ้มละไมกลับให้คนรักของเขา รอยยิ้มอันสดใสแบบนี้ของเจมันช่างคุ้มค่ากับการที่ต้องอยู่ต่ออีกคืนเสียจริงๆ



"เดี๋ยวให้เมลิน่าไปจัดการเรื่องตั๋วให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที"

ฆาเบียร์ตอบเมื่อเจถามเขาอย่างเป็นห่วงเรื่องตารางงานที่รัดตัวของเขา คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอนกายลงนอนบนเตียงอีกครั้ง เจปิดผ้าม่านโดยปล่อยให้แสงเข้ามาเพียงเล็กน้อยและลงนอนซบอกคนรัก

"เห้อ ลืมตื่นกันเฉยเลยอ่ะ"

เจบ่นเบาๆ เขาบ่นตัวเองที่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกไว้เสียสนิท ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วลูบผมดำขลับของคนรัก

"ก็ใครกันที่บอกว่าจะแค่ quick one แต่ไม่ยอมหยุดเสียที หือ?"

เจหัวเราะแหะๆ ถึงปากจะบอกว่าเขาจะมีแค่เซ็กส์เร็วๆ กับฆาเบียร์เท่านั้น แต่สุดท้ายพวกเขาก็ร่วมรักกันอย่างอ้อยอิ่งและเนิ่นนานเพื่อตักตวงและให้ความสุขกับอีกฝ่ายให้สมกับที่จะต้องห่างกันไกลอีกครั้ง

"ก็ผมจะเสร็จๆ หลายรอบแล้ว ใครกันที่เบรคไว้แล้วบอกผมว่ายังไม่ยอมให้ผมจบล่ะ หือ?"

เจใช้นิ้วเขี่ยไล้แก้มของคนรักเล่น คนตัวโตหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงท่าทีของตนในคืนที่ผ่านมา เขาเรียกร้องขอความรักของเจอย่างไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งพวกเขาทั้งสองหมดแรงจนเผลอหลับไปในตอนรุ่งสาง เจนยุทธโคลงหัว

"แล้วใครกันที่ทำเก่งบอกว่าทำอะไรเรียบร้อยแล้วจะลุกไปอาบน้ำแล้วก็เก็บกระเป๋า สุดท้ายก็ไม่ได้ทำสักอย่างเลยอ่ะ"

เจทำหน้าบูดใส่เมียตัวโตของเขา แทนที่จะได้เตรียมตัวจัดข้าวของอย่างที่คุยกันไว้ ฆาเบียร์กลับลุกไม่ขึ้นและแทบจะสลบไปทั้งๆ ที่บางส่วนของเจยังคาอยู่ในกาย ส่วนคนตัวเล็กก็ฟุบหน้าไปบนหลังของคนรักอย่างหมดแรง เขากอดร่างใหญ่กำยำที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อไว้แน่นแล้วผลอยหลับไปแทบจะทันทีที่เสร็จกิจ พวกเขานอนหลับเป็นตายกันจนกระทั่งบูมโทรมาปลุกเจเมื่อครู่นี้ พวกเขาทั้งสองมองหน้ากันแล้วอดหัวเราะให้กันไม่ได้



"พวกเรานี่มันไม่ไหวกันเลยนะ"

ฆาเบียร์จูบหนักๆ ที่แก้มแดงระเรื่อของเจนยุทธ เจจูบแผ่วๆ ที่อกซ้ายของคนรัก เขาอดจ้องมองยอดอกสีแทนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ตอนนี้มันบวมแดงน้อยๆ เพราะถูกเขาทั้งดูดทั้งใช้นิ้วบดบี้ตลอดทั้งคืน

"เจ อย่าสิ"

คนตัวโตสะดุ้งโหยง เมื่อเจนยุทธใช้ปลายลิ้นเขี่ยดุนตุ่มไตที่ไวต่อสัมผัสของเขา เจหัวเราะแหะๆ เขาเผลอตัวตอบสนองต่อส่วนที่แสนเย้ายวนที่อยู่ตรงหน้าไปเสียได้

"แหะๆ ผมเผลอไปหน่อย ขอโทษครับ"

เจรีบขยับกายจะผละออกจากร่างกำยำ หากฆาเบียร์ดึงรั้งไว้และมอบจุมพิตอันอ่อนโยนให้คนรักของเขา เจจูบตอบแผ่วๆ

"อืมม์ ผมว่าพวกเราไปอาบน้ำดีกว่า"

เจเปรยออกมาเมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่าพวกเขานั้นเหม็นเหงื่อกันแค่ไหน ฆาเบียร์เองก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงความเหนอะหนะที่ใต้ตัว เขาไปนอนทับใส่ถุงยางใช้แล้วที่เจเอาใส่ให้เขาในช่วงท้ายๆ เพื่อที่จะไม่ให้เตียงต้องเปรอะไปมากกว่านี้ หากเมื่อพวกเขาผลอยหลับไป มันก็เลื่อนหลุดลงมากองกับเตียงจนได้

"เราคงต้องเก็บของกันก่อนนะ เลอะเทอะเละเทะมากเลย"

คนตัวโตถอนหายใจเบาๆ เขาค่อยๆ ยันร่างขึ้นนั่งอีกครั้ง คราวนี้ความปวดเมื่อยและความร้าวระบมเริ่มเข้ามาเยือนเขา ฆาเบียร์นิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความเสียวแปลบที่ช่องทางของตน เขาคงฝืนสังขารตัวเองไปแล้วจริงๆ เจมองคนรักของเขาอย่างเป็นห่วงแต่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรออกไปให้กระทบใจตาลุงสุดแซ่บของเขา



"ไหวไหมครับ?"

เจถามเมียตัวโตของเขาอย่างเป็นห่วง ถึงช่วงท้ายๆ เขาจะร่วมรักกับฆาเบียร์ด้วยความเนิบนาบและนุ่มนวลกว่าเมื่อตอนเริ่มต้น แต่มันก็คงส่งผลกับฆาเบียร์อยู่บ้าง เขาช่วยฉุดดึงคนตัวโตให้ลุกขึ้นนั่ง ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นไปเก็บสารพัดของใช้และอุปกรณ์ใส่ถุงเหมือนเดิม เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหยิบเอาหลอดเจลเปล่าขึ้นมาดู เจบ่นอุบอิบกับตัวเอง เขาสั่งตัวช่วยเหล่านี้มาจากเว็บไซต์ต่างประเทศ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะผลาญของเหล่านี้เร็วกว่าที่ควร

“คราวหน้าใช้น้อยหน่อยก็ได้นี่จ๊ะ”

ฆาเบียร์กอดเอวและเอาคางเกยบ่าคนรักดูหลอดเจลที่เป็นแบบซิลิโคนเบสในมือของเจ

“ไม่ได้ๆ ผมไม่อยากให้คุณเจ็บตัวอ่ะ ผมซื้อไหวน่า ไม่ได้แพงอะไรนักหนา”

เจพูดยิ้มๆ เขาเลือกซื้อเจลที่ผลิตมาเพื่อเซ็กส์ของชายกับชายโดยเฉพาะซึ่งหาซื้อยากกว่าเจลหล่อลื่นแบบทั่วๆ ไป และ​แม้คำว่าไม่แพงของเจจะหมายถึงหลักร้อยตอนปลายจนถึงพันต้นๆ แต่มันก็เพื่อสวัสดิภาพของเมียตัวโตของเขาและของตัวเขาเองในบางครั้งด้วยเช่นกัน

“งั้นไว้เรามานั่งดูในเว็บแล้วเลือกด้วยกันแล้วกันนะ ฉันจะได้แนะนำให้ด้วยว่าแบบไหนดี แล้วก็จะได้ดูของอย่างอื่นมาด้วย ดีไหมจ๊ะ?”

คนที่มีประสบการณ์มากกว่ายิ้มอย่างมีเลศนัย เขาจูบแก้มเจนยุทธหนักๆ และทำท่าจะไม่หยุดแค่นั้น เจรีบผละกายออกทันที

“ไม่ได้ๆ ฆาบี้ เราสองคนต้องเพลาๆ กันได้แล้ว นี่ผมปวดขาปวดเอวไปหมดแล้วอ่ะ กล้ามท้องก็ปวด”

เจนยุทธโอดครวญ ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ ตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน ที่เพิ่มมาก็คือความเจ็บแปลบปลาบที่ช่องทางด้านหลัง พวกเขาทั้งคู่ค่อยๆ ประคองกันเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย



“ฆาบี้ คุณดึงผ้าให้มันตึงๆ หน่อยสิ”

เจดุคนตัวโตที่จับชายผ้าปูเตียงยัดส่งๆ ไปใต้ที่นอน ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เจหัวเราะคิกออกมาเมื่อเห็นใบหน้าที่เหยเกเล็กๆ ยามที่พ่อเจ้าประคุณของเขาพยายามก้มหลังลง

“โธ่ คุณ ปวดเอวจนก้มไม่ไหวก็บอกผมมาสิครับ มะ ผมจัดการเอง ไปนั่งพักเลยครับ เมีย”

“บอกไว้ก่อนนะว่าที่ฉันปวดหลังนี่เป็นเพราะนายทำรุนแรงกับฉันนะ ไม่เกี่ยวกับอายุ”

คนตัวโตบ่นอุบอิบ

“ค้าบๆ รู้ครับว่าคุณยังแข็งแรงฟิตปั๋งครับ tio mio”

เจเดินมาใช้ตัวดันตาลุงของเขาออกและจัดการปูเตียงใหม่อย่างแคล่วคล่อง ปากเขาเล่าเรื่องตอนที่เขาต้องเรียนปูเตียงตอนเป็นนักศึกษาการโรงแรมให้ฆาบี้ฟัง

“…ปูเสร็จอาจารย์เขาก็จะเอาเหรียญสิบโยนลงไปกลางเตียง ถ้ามันไม่เด้งขึ้นก็ต้องปูใหม่ โคตรเฮี้ยบเลยคุณ”

เจพูดพร้อมทำหน้าเบ้ ถึงจะยุ่งยาก แต่มันก็ทำให้เขาติดนิสัยเนี้ยบแบบนั้นมาด้วยแม้ที่ห้องของเขาจะปูที่นอนด้วย topper หรือแผ่นปูรองนอนอีกชั้นที่ทำให้ต่อให้ดึงผ้าปูเตียงตึงแค่ไหนเหรียญก็ไม่เด้งก็ตาม เขาบอกว่าอีกสิ่งหนึ่งที่เขาจำได้แม่นคือพวกเขาต้องเรียนกระทั่งการล้างส้วม โดยอาจารย์ให้พวกเขาต้องล้วงลงไปล้างในรูส้วมทุกครั้งที่ทำการล้าง สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ในตอนเป็นนักศึกษาทำให้เจเข้าใจความลำบากของการทำงานของแผนกแม่บ้านเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่เข้าพักโรงแรม เขาจึงพยายามรักษาสภาพห้องให้ใกล้เคียงกับตอนที่แรกเข้าพักมากที่สุด อาจจะมีแค่เตียงนอนเท่านั้นที่เขาเลี่ยงทำให้ยับย่นและเปรอะเปื้อนไม่ได้



“พวกแผนกแม่บ้านของโรงแรมห้าดาวนี่เนี้ยบกันจริงๆ นะเจนยุทธ ฉันจำไม่ได้ว่าที่ไหน น่าจะอินเตอร์คอนฮ่องกงมั้ง ฉันเคยเดินผ่านห้องนึงที่เค้ากำลังทำห้องอยู่ แล้วมีผู้หญิงคนนึง น่าจะเป็นผู้จัดการแผนกไม่ก็พวกระดับซุเปอร์ไวเซอร์ เธอเดินเข้าไปในห้องโดยมีเช็คลิสต์ในมือ พอเข้าห้องปุ๊บ อย่างแรกที่เธอทำคือเอานิ้วรูดไปที่ผนังห้อง แล้วเธอก็หันไปบอกพนักงานที่กำลังทำอยู่ว่ามีฝุ่นจับอยู่ ให้ทำใหม่…”

ฆาเบียร์หัวเราะร่วนเมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนคนกินของขมของเจนยุทธ

“หูย ถ้าตอนผมฝึกงานแล้วเจอแบบป้านี่ผมคงไม่ผ่านแน่ๆ เลยอ่ะ”

เจบอกว่าเขาเลือกฝึกงานกับโรงแรมสี่ดาวกลางเมืองเชียงใหม่ เขาต้องลองทำงานของทุกแผนก ตั้งแต่ฟรอนท์ยันแผนกแม่บ้าน แต่ที่เขาเบื่อที่สุดคือตอนที่ต้องเฝ้าสเตชั่นทอดไข่ในบุฟเฟต์มื้อเช้า

“ผมยืนทอดไข่จนเบื่อเลยอ่ะ แขกก็สั่งกันจัง แต่ละคนเอาไม่เหมือนกัน คนนั้นจะเอาสุกสนิท คนนี้จะเอา sunny side up อีกคนก็จะเอา over easy คนนู้นจะเอาแบบขอบกรอบๆ แล้วก็มีแบบคุณที่จะกินออมเล็ตไข่ขาวอย่างเดียว มันยุ่งยากรู้ไหม?”

เจบ่นพร้อมจาระไนสารพัดชนิดของไข่ออกมา​

"ไอ้ทอดสุกเลยอ่ะ ผมไม่ค่อยมีปัญหาหรอก แต่ผมมีปัญหากับไอ้ไข่ดาวยางมะตูมนี่แหละ ทอดแบบ sunny side up เนี่ย ยังพอได้ ก็ทอดแค่ด้านเดียว พอไข่เซ็ตเริ่มเป็นยางมะตูมก็ตักเสิร์ฟ แต่ไอ้เจ้าแบบ over easy ที่พอไข่เริ่มเซ็ตตัวก็ต้องพลิกเอาอีกด้านนาบกะทะแป๊บนึงให้สุกนอกแต่ไข่แดงด้านในยังเยิ้มเนี่ย ผมไม่ถนัดจริงๆ ถ้าไม่ทอดสุกไป ก็ทำไข่แดงแตกต้องทำใหม่ ช่วงนั้นผมเลิกกินไข่ดาวไปเป็นเดือนๆ เลยนะ คุณรู้ไหม? แค่ได้กลิ่นก็จะอ้วกแล้ว"

เจทำหน้าเหม็นเบื่อจนฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถ้าถึงขั้นทำให้เจบ่นไม่อยากกินได้แสดงว่ามันคงหนักหนาสาหัสจริงๆ



“ว่าแต่พอพูดถึงไข่ดาวขึ้นมาตอนนี้ผมก็ชักหิวแฮะ”

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ ท้องน้อยๆ ของเขามันเริ่มประท้วงขึ้นมาแล้ว

"นั่นสิ ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน เราออกไปหาอะไรกินดีกว่า"

คนตัวโตที่ก็ต้องการเติมพลังเช่นกันพูดขึ้น เจคิดอยู่ครู่หนึ่ง

"จริงๆ ผมอยากพาคุณไปกินอาหารญี่ปุ่นร้านโกโร่นะ ที่ผมเคยพูดถึงว่าเป็นร้านใหม่มาแรงในเชียงใหม่ คุณจำได้ไหม?"

เจนยุทธพูดถึงเมื่อห้าวันก่อนตอนเขากลับมาจากฮ่องกง ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ

"แต่ร้านนั้นน่ะ เป็นร้านที่ไม่เหมาะกับไปกินตอนกลางวัน ถึงมันจะเปิดขายทั้งวันก็เหอะ สาเหตุเพราะครัวที่ร้านเขาเป็นแบบเปิดแต่ระบบระบายอากาศในร้านเขาไม่ดี ถ้าไปกินแล้วต้องกลับมาบ้านสถานเดียวเพราะกลิ่นอาหารจะติดเต็มตัวไปหมด ผมก็เลยว่าจะชวนคุณกินตอนมื้อเย็น..."

"ก็ได้นี่จ๊ะ งั้นตอนนี้เราไปหาอะไรกินง่ายๆ แถวนี้หรือว่าในห้างฯ ก็ได้ จะว่าไปฉันก็อยากจะไปเดินเล่นเหมือนกัน"

"แล้วคุณเดินไหวแล้วเหรอ ฆาบี้?"

เจแซวคนรัก คนตัวโตได้แต่โคลงหัว เขาลุกขึ้นเดินโชว์คนรักอย่างแคล่วคล่อง ถึงจะยังรู้สึกปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและรู้สึกเหมือนมีส่วนหนึ่งของร่างกายเจคาอยู่ในช่องทางด้านหลัง เขาก็พยายามกัดฟันทำท่าทางเป็นปกติเพื่อลบคำสบประมาทของคนตัวเล็ก

"โอเคๆ ไหวก็ไหว ว่าแต่ก่อนออกไปนี่ คุณควรโทรหาเมลิน่าก่อนนะ หายไปนานแล้วไม่รู้หาตั๋วให้คุณได้ไหม?"

"เออ นั่นสินะ ขอบใจจ้ะที่เตือน งั้นขอเวลาฉันแป๊บนึงนะ"

คนตัวโตจัดการติดต่อกับเลขาสาวของเขาซึ่งยังไม่กล้าโทรมารบกวนนายของเธอ



"โอเค ได้ เธอส่งเอกสารมาให้ฉันทางเมล์แล้วกัน พรุ่งนี้ก็ประชุมกันตามเวลาเดิมนั่นแหละ แล้วอย่าลืมให้รถมารับฉันที่สนามบินด้วย ได้ อาฮะ พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ตกเครื่องอีกรอบแน่นอน แค่นี้นะ"

ฆาเบียร์ส่ายหัวดิกพร้อมกับกดวางโทรศัพท์ในมือ เมื่อหันกลับมาเขาก็เห็นเจนยุทธนั่งยิ้มเผล่ให้

"โดนเมลิน่าแซวอะไรเข้าอีกล่ะคุณ?"

เจยิ้มกริ่ม เท่าที่ได้ยินแว่วๆ เลขาสาวของฆาเบียร์คงถามว่าฆาเบียร์จะไม่ตกเครื่องอีกรอบใช่หรือไม่ คนตัวโตบ่นพึมพำเรื่องสิ่งที่เลขาของเขาแซว

"แหม ไฟลท์มันตั้งหกโมงยี่สิบ จะตกอีกรอบก็ให้มันรู้ไปสิ"

"คราวนี้ผมไม่พลาดแล้วคุณ ผมตั้งปลุกไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย"

เจชูมือถือของเขาให้คนรักดูว่าเขาได้ทำการตั้งปลุกไว้ตั้งแต่บ่ายโมงแล้ว

"งั้น ไป อาบน้ำกันครับ เหนียวเนื้อเหนียวตัวเหลือเกิน"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์เองก็หน้าแดงซ่าน เขาเองก็เหนียวไปหมดทั้งตัวแล้วเช่นกัน แถมเมื่อยืนนานๆ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างของเจที่เริ่มเคลื่อนไหวในช่องทางของเขา เจหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นคนรักของเขาค่อยๆ เดินเพื่อไม่ให้ "ความรัก" ของเจที่ประเคนให้เขาอย่างมากมายเมื่อคืนมันไหลเยิ้มออกมา



"แล้วเรื่องงานล่ะครับ พรุ่งนี้เปิดทำงานวันแรก คุณมีนั่นนี่ต้องทำเยอะป่าว?"

ฆาเบียร์ซึ่งยืนจัดแต่งทรงผมอยู่ที่หน้ากระจกส่งยิ้มให้คนตัวเล็กที่ทำท่าทางเป็นห่วงพร้อมกับบอกว่าตารางของเขาในวันรุ่งขึ้นยังไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่

"มีประชุมกับฝ่ายทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์นิดหน่อยในช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายๆ มีคุยกับทีมที่ปรึกษาที่สหรัฐฯ เรื่องการขายบริษัทที่อาปาซื้อมาปั้นไว้ ก็หลักๆ มีแค่นี้"

เมียตัวโตของเจสาธยายตารางงานของเขาให้เจนยุทธฟัง เขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเจยกโทรศัพท์ี่มีปากกาน้อยๆ เสียบติดอยู่ขึ้นมาจดตาม

"จดใหญ่เลยนะ ขยันแบบนี้ป๋าชอบ หนูสนใจมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของป๋าไหมจ๊ะ?"

ฆาเบียร์เดินกลับมานั่งที่เตียงเคียงข้างคนรัก เขายกมือลูบแขนลูบหลังเจนยุทธเบาๆ ด้วยท่าทีแบบหมาหยอกไก่ เจทำตาปริบๆ ดูคนตัวโตทำท่ากรุ้มกริ่มเหมือนตาเฒ่าหัวงูขึ้นมาอีกครั้ง ฆาเบียร์ดึงร่างเพรียวขึ้นมานั่งตัก เจใช้มือโอบรอบคอคนรักไว้และทำท่าออเซาะบ้าง

"จะดีเหรอครับป๋า ผมความรู้น้อย กลัวจะทำงานได้ไม่ดี"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วจูบแก้ม "หนู" ของเขาเขาฟอดใหญ่

"ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ หน้าที่หนูไม่ต้องทำอะไรเยอะเลย แค่คอยอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลเรื่องส่วนตัวให้ป๋า ได้ไหมจ๊ะ? โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง รับรองว่าป๋าจะเลี้ยงดูหนูอย่างดี"

ฆาเบียร์ทำตาเยิ้มใส่คนรัก เจยิ้มหวานให้เมียตัวโตของเขา แต่ฆาเบียร์สะดุดใจเมื่อเห็นแววขุ่นเล็กๆ ในตาของเจ

"เหรอครับป๋า อืมม์ แบบนี้ผมก็เหมือนเป็นเด็กเลี้ยงของป๋ามากกว่าผู้ช่วยส่วนตัวสิครับ..."

คนตัวโตใจหายวาบ เขาเผลอแตะประเด็นที่กระทบจิตใจเจนยุทธไปอีกแล้ว หากเจก็หยุดคำพูดส่อเสียดของเขาไว้แค่นั้น แม้คำพูดของฆาเบียร์จะกระทบใจเขาในทีแรก แต่เมื่อดูเจตนาแล้ว เมียตัวโตของเขาคงไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าพูดเล่นหรือต่อให้มันจะออกมาจากจิตใต้สำนึกของฆาเบียร์ เขาก็ตัดสินใจปล่อยผ่านมันไปและไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่

"เจ เอ่อ ฉัน ฉันขอโทษนะ"

เจโอบร่างกำยำของคนตัวโตที่ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าพูดผิดหูคนรักไป เขาลูบแผ่นหลังกว้างเบาๆ ก่อนจะดันกายออก

"ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าคุณพูดเล่น หรือต่อให้คุณคิดแบบนั้น ผมก็รู้ว่าคุณก็คงไม่ทำสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าผมไม่ชอบ ใช่ไหมครับ คุณมาร์ติเนซ"

ฆาเบียร์กระเดือกน้ำลายฝืดๆ ลงคอเมื่อได้ยินคำเรียกชื่อที่ห่างเหินและสายตาดุๆ ที่ตวัดมา แต่เขาก็โล่งใจเมื่อมันตามมาด้วยเสียงหัวเราะสดใสและจูบแผ่วๆ ที่แก้ม

"โอเค ไปกับเถอะ เข้าห้างกันก่อนรถติด ผมหิวไส้จะขาดแล้วอ่ะ"

เจลุกขึ้นยืนและส่งมือให้คนรัก เขาประคองฆาเบียร์ที่ยังเดินขัดๆ ออกจากห้องไป



"เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วเราไปเดินเล่นกันสักหน่อยแล้วกันนะ ฉันมีของที่อยากดูนิดหน่อย"

ฆาเบียร์พูดพลางคีบเส้นเย็นตาโฟตรงหน้าขึ้นกิน เจพยักหน้ารับ พวกเขามานั่งกินข้าวกันในฟู้ดคอร์ทที่ชั้น 4 ของห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล ฆาเบียร์สั่งมาเพียงเย็นตาโฟและเกาเหลาอีกถ้วย หากเจนยุทธนั้นจัดเต็ม นอกเหนือจากข้าวราดไข่เยี่ยวม้ากะเพรากรอบของโปรดเขาแล้ว เจยังสั่งแกงส้มมาอีกถ้วยแถมด้วยยำวุ้นเส้นอีกจาน

“ไม่ได้นะ ฆาบี้ ห้ามชิม”

เจตีมือคนรักที่เอื้อมมาเพื่อตักแกงส้มผักรวมของเขาชิม

“อะไรกัน เจนยุทธ นายมีของกินตั้งหลายอย่าง ขอฉันชิมนิดนึงน่า”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ หากเจนยุทธขมวดคิ้วก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้วพูดเบาๆ

“ไม่ได้นะคุณ มันเผ็ด ผมกลัวคุณ เอ่อ กลัวคุณลำบากอ่ะ”

ฆาเบียร์หน้าแดงซ่านเมื่อนึกได้ถึงความหักโหมของพวกเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา

“นิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอกเจ ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่หรือเจ็บอะไรขนาดนั้นด้วย…”

“หึ ใช่สิ ผมมันไม่ใช่พ่อพันธุ์ฟาร์มม้าเหมือนคุณนี่”

เจนยุทธกระแทกเสียงหนักๆ ด้วยความเจ็บใจ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- ...Another Day (ต่อ) ----




“เอ้า กินเข้าไป แล้วอย่ามาบ่นทีหลังล่ะ”

เขาแลบลิ้นให้คนตัวโตแล้วดันถ้วยแกงส้มไปให้ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วตักผักในแกงส้มกินอย่างเอร็ดอร่อย เขายกมือขึ้นลูบแก้มคนรักที่ยังทำหน้าตูมด้วยความเจ็บใจ

“อย่าน้อยใจสิจ๊ะ mi amor ทุกวันนี้นายก็ทำให้ฉันสุขจนไม่รู้จะสุขยังไงแล้วนะ”

ฆาเบียร์กระซิบเบาๆ กับคนรักของเขา

“แล้วที่ฉันบอกว่าไม่ได้เจ็บ ก็เพราะนายทะนุถนอมฉันอย่างดีไงล่ะ”

“แต่คุณก็ยังเจ็บตัวอยู่ดี”

เจพูดเสียงแผ่วเบา เมื่อตอนเปลี่ยนผ้าปูเตียง เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้เมื่อเห็นคราบเลือดจางๆ บนเตียงหลังจากไม่ได้เห็นมานาน ฆาเบียร์เอื้อมมือไปกุมมือที่กำแน่นของคนรัก

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก เจนยุทธ ฉันเสียอีกที่ทำนายเจ็บตัวแทบทุกครั้ง ถ้านายบอกว่านั่นคือไม่เป็นไร ฉันก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน แค่นี้ยังไกลหัวใจ…”

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและชะโงกหน้าไปกระซิบเบาๆ กับคนรัก

“อีกอย่าง มันเสียวมากกว่าเจ็บเยอะนะเจ แต่ถ้านายกลัวฉันเจ็บแล้วจะปล่อยให้ฉันเป็นฝ่ายทำแทนตลอดก็ได้ ไม่ขัดนะ”

เจอุทานออกมาและผลักหน้าของฆาเบียร์ที่ยื่นเข้ามาใกล้จนแทบจะชิดหน้าเขาแล้วออกไป เขาบ่นพึมพำเป็นภาษาไทยยืดยาวจนคนตัวโตอดขำไม่ได้ทั้งที่ฟังไม่รู้เรื่อง

“กินไปเลยทั้งแกงส้มทั้งยำ เก่งนักก็กินไปเลยคุณอ่ะ”

เจดันจานยำวุ้นเส้นให้คนรักอีก ฆาเบียร์ยิ้มให้คนพาลของเขา เขาตักอาหารในจานทั้งสองกินเพียงอย่างละหน่อยและส่งคืนให้คนตัวเล็ก

 

“เห้อ อิ่มๆๆ แล้วคุณอิ่มไหมฆาบี้ ผมเห็นคุณกินนิดเดียวเอง"

เจตบพุงของเขาอย่างมีความสุข ฆาเบียร์พยักหน้าบอกว่าเขากินแค่ให้พออิ่มและจะรอกินอาหารญี่ปุ่นมื้อเย็น

"งั้น เดี๋ยวคุณจะเดินดูอะไรล่ะ เราไปกันเลยก็ได้"

เจนยุทธทำท่าจะลุกขึ้นหากฆาเบียร์ดึงมือคนรักไว้

"เดี๋ยวก่อนก็ได้จ้ะ ฉันขอนั่งตรงนี้อีกแป๊บนึง นานๆ จะได้ที่นั่งริมหน้าต่างตรงนี้ที ก็นั่งดูนั่นนี่หน่อยแล้วกัน"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ พร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างของศูนย์อาหารซึ่งเป็นผนังกระจกใหญ่ยาวตลอดแนว ศูนย์อาหารบนชั้นสี่ของเซ็นทรัลเฟสติวัลนี้ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยงามจุดหนึ่ง แม้จะไม่ได้หันเข้าดอยสุเทพ แต่ก็ยังสามารถเห็นทิวเขาทางด้านตะวันออกของจังหวัดเชียงใหม่อีกทั้งถนนซุเปอร์ไฮเวย์ที่ทอดยาว

"ผมก็ชอบวิวฟู้ดคอร์ทตรงนี้นะ เสียแค่อิตึกคอนโดใหม่ของเซ็นทรัลมันเริ่มขึ้นบังวิวละ"

เจบ่นเบาๆ และชี้ให้ดูอาคารคอนโดมีเนียมที่กำลังก่อสร้าง

"แถวนี้อีกหน่อยต้องกลายเป็นดงตึกสูงแน่ๆ เลยคุณ เพราะถือว่าพ้นเขตเมืองมาแล้ว ขึ้นแต่ละตึกสูงๆ ทั้งนั้น"

เจชี้ให้คนรักดูตึกคอนโดสูงกว่าสามสิบชั้นสองตึกที่ตั้งขนาบถนนซุเปอร์ไฮเวย์

"ดูดิ ตั้งเป็นหอคอยคู่ประกบเลย คนเข้าเมืองมาก็ต้องมาผ่านอิสองตึกนี่ เป็นเหมือนประตูเข้าเมืองเลย"

เจนยุทธบ่นพึมพำ สำหรับเด็กเชียงใหม่อย่างเขาแล้ว คอนโดสูง 37 ชั้นของศุภาลัยนี้ดูจะเกินความจำเป็นไปบ้างสำหรับเมืองอย่างเชียงใหม่



"คอนโดเราสูงแค่แปดชั้นผมยังกลัวเวลาแผ่นดินไหวเลย สามสิบกว่าชั้นนี่ ไหวทีคงโยกไปทั้งตึก ชอบกันจัง ตึกสูงๆ น่ะ"

เจบ่นพึมพำ คนตัวโตซึ่งอาศัยอยู่บนชั้น 109 ของอาคารไอซีซีที่ฮ่องกงได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ ตัวเขาเองเป็นคนหนึ่งที่ชอบทิวทัศน์จากอาคารสูง คอนโดของเขาทั้งที่ซาน ฟรานซิสโกและที่นิวยอร์คต่างอยู่บนชั้นสูงและมองเห็นทิวทัศน์ที่งดงาม คอนโดสองห้องนอนของเขาที่ซาน ฟรานซิสโกอยู่บนชั้น 36 มันหันหน้าเข้าอ่าวซาน ฟรานซิสโกและเห็นเบย์บริดจ์ได้อย่างชัดเจน ส่วนที่นิวยอร์ค ห้อง suite บนชั้น 65 ในส่วนเรสซิเดนซ์ของโรงแรม Mandarin Oriental ก็มองเห็นสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คและแสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืนจากหมู่อาคารที่เตี้ยกว่า การได้ยืนมองโลกเบื้องล่างจากห้องชุดราคาหลายล้านเหรียญบนจุดสูงสุดจุดหนึ่งของเมืองนั้นทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จของตน

หากความภาคภูมิใจนั้นไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างในใจของฆาเบียร์ได้ สุดท้ายแล้วความสำเร็จนั้นก็ไม่มีความหมายใดเมื่อไม่มีคนมาคอยแบ่งปันความรู้สึกนั้นด้วย ฆาเบียร์มองเจนยุทธที่ทำหน้าเป็นให้เขาพร้อมกับดูดน้ำอัดลมในมือไปด้วยแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ หลังพ่อแม่เสียชีวิต เขาใช้เวลาและเงินทองหาความสุขทางกาย หากมันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอิ่มใจหรือสุขใจได้นานนัก แต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าความสุขของเขาคือการมีคนๆ นี้อยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะกินอาหารในภัตตาคารมีดาวบนตึกระฟ้าหรือนั่งจิ้มยำวุ้นเส้นในฟู้ดคอร์ทแบบนี้ ความสุขของเขาจะติดตามตัวเจไปทุกหนแห่ง​

“ขอบใจนะเจ ที่ทำให้ฉันรู้ว่าบางทีความสุขมันก็ได้มาง่ายๆ แค่มือเอื้อมนี่เอง”

ฆาเบียร์เอื้อมมือไปกุมมือเรียวของคนรักและยกขึ้นจูบเบาๆ

"จะมาทำน้ำเน่าอะไรในฟู้ดคอร์ทแบบนี้ล่ะครับ ที่รัก"

เจบีบมือใหญ่ที่เกาะกุมมือเขาแน่น ถึงจะบ่นแต่เขาก็ปล่อยให้คนตัวโตเกาะกุมมือต่อไป

"ไม่ทำน้ำเน่าแล้วก็ได้จ้ะ ป่ะ เราไปกันเถอะ"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และดึงให้คนรักของเขาลุกขึ้น



"นี่ คุณ วันนี้อารมณ์ไหนถึงได้แต่งตัวแบบนี้ หือ?"

เจนยุทธชำเลืองมองคนรักที่ใช้ไหล่เขาเป็นที่วางแขนอีกครั้ง วันนี้พ่อเจ้าประคุณของเขาใส่กางเกงผ้าบางๆ ลายช้างสีน้ำเงินเข้มซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวตะวันตกและจีน ท่อนบนเขาใส่เสื้อยืดคอวีสีขาว เมื่อประกอบกับรองเท้าแตะหนังรัดส้นสภาพค่อนข้างเก่า ผมยาวปรกคอที่รวบไว้หลวมๆ และหนวดเคราที่ไม่ได้โกนมาสองสามวัน มันทำให้ฆาเบียร์แปลงร่างกลายเป็นหนุ่มฝรั่งแบ็คแพ็คที่พบได้ตามถนนท่าแพ​ เจส่ายหัวให้กับคนที่ปกติแต่งตัวเนี้ยบหรูและดูดี หากเมื่อเริ่มมาเชียงใหม่บ่อยครั้งเข้า ฆาเบียร์ก็เผยด้านสบายๆ ของเขาออกมาให้เห็นบ่อยขึ้นตามไปด้วย​

"คิดยังไงใส่กางเกงนอนมาเดินห้าง แล้วไหนจะไอ้แตะรัดส้นเยินๆ นี่อีก ทิ้งได้แล้วมั้งครับ? อยู่เชียงใหม่นานๆ ไปแล้วเริ่มชิลเหรอครับ?"

เจถามพร้อมรอยยิ้ม หากฆาเบียร์ขมวดคิ้วทันที

"เจจ๊ะ ไอ้เจ้ารองเท้าแตะเยินๆ คู่นี้มันแอร์เมสเชียวนะ ถึงจะเก่าหลายซีซันส์แล้วก็เหอะ"

เจหัวเราะหึๆ ต่อให้พ่อเจ้าประคุณของเขาอยากทำตัวติดดินแค่ไหน เขาก็ยังอดติดหรูไม่ได้อยู่ดี ฆาเบียร์พูดต่อ

"แล้วที่แต่งตัวแบบนี้ออกมา ก็เพราะเจบอกฉันว่าที่ร้านโกโร่มันระบายกลิ่นไม่ดี ทำให้กลิ่นอาหารติดเสื้อผ้า ฉันก็เลยใส่เสื้อผ้าที่ถ้าเหม็นแล้วจะไม่เสียดายไงล่ะ ถ้ามันแย่มากนักก็โยนทิ้งซะ"

"เอ๊า คุณ เหม็นก็ซักสิครับ จะทิ้งทำไม?"

เจนยุทธเกาหัว ฆาเบียร์พึมพำบอกว่าเขาไม่อยากให้เจต้องลำบากเรื่องซักเสื้อซักผ้าของเขา

"คุณครับ ปกติเสื้อผ้าผมก็ส่งซักอยู่แล้วน่า ไม่ต้องกลัวผมลำบากหรอก"

แม้จะมีเครื่องซักผ้าไว้ที่คอนโด แต่เจมักส่งเสื้อผ้าของเขาไปซักที่ร้านซักอบรีดใกล้ๆ คอนโด เขาจะซักเองแค่พวกชั้นในและเสื้อที่ไม่ต้องรีดกับพวกของชิ้นใหญ่อย่างผ้าเช็ดตัวและเครื่องนอนเท่านั้น เมื่อมีฆาเบียร์มาอยู่ด้วย เจก็รับหน้าที่ส่งเสื้อผ้าของคนรักไปซักด้วย หากเป็นสูทสั่งตัดธรรมดาๆ เขาก็จะส่งซักแห้งให้ แต่ถ้าเป็นสูทแบรนด์แพงระยับที่บางครั้งพ่อเจ้าประคุณใส่กลับมาเชียงใหม่ด้วย เขาก็จะขอให้ฆาบี้เอากลับไปซักเองที่ฮ่องกง



"แล้วนี่คุณจะดูอะไร เดินมาจะสุดห้างแล้วนะ"

เจนยุทธโอบมือรอบเอวของร่างกำยำเพื่อช่วยประคองคนที่ยังเดินช้าๆ ด้วยความปวดเมื่อยเนื้อตัว ฆาเบียร์หันมายิ้มให้คนที่ทำหน้าที่เป็นที่วางแขนของเขาโดยไม่ปริปากบ่น

"เดี๋ยวก็ถึงแล้วจ้ะ เอ้า นี่ไง เข้าไปดูกันหน่อยนะ"

ฆาเบียร์หยุดที่หน้าร้านขายเครื่องดนตรีแห่งหนึ่ง

"เจบอกว่าเปียโนไฟฟ้าตัวเก่าที่ห้องมันพังแล้ว เราก็มาหาตัวใหม่กันเถอะ ฉันจะได้เล่นให้เจฟังได้ไง"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เมื่อวานเจพาเขาไปดูเปียโนไฟฟ้าตัวเก่าที่คลุมผ้าทิ้งไว้ในห้องและเปรยๆ ว่าอาจจะเอามันไปซ่อมไม่งั้นก็ซื้อใหม่

"ก็ดีเหมือนกันครับ ไม่งั้นผมก็ไม่ได้เข้ามาดูสักที ป่ะ ลองดูกัน"


"คุณครับ ขอเป็นเปียโนไฟฟ้านะ เปียโนอัพไรท์แท้ๆ คงเล่นในคอนโดไม่ได้ เสียงมันดังไป"

เจขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนรักลูบๆ คลำ เปียโนไม้แบบอัพไรท์หลังงามของยามาฮ่าที่ตั้งโชว์อยู่ในร้าน คนตัวโตทำตาละห้อย เขากดลิ่มคีย์เพื่อลองฟังเสียงของมัน ส่วนเจนั้นเดินไปดูเปียโนไฟฟ้าที่มีหลากหลายราคาให้เลือก เขาได้ขอพนักงานลองเล่นเพื่อเทียบระหว่างหลายๆ รุ่นดู เจลองเล่นเพลงง่ายๆ ดูก่อนจะเลือกเปียโนไฟฟ้ารุ่นกลางๆ รุ่นหนึ่งและกวักมือเรียกฆาเบียร์ให้เข้ามานั่งกับเขา

"ฆาบี้ ลองเล่นดูซิว่าคุณโอเคกับมันไหม เอาเพลงยากๆ นะ"

เจกระซิบประโยคสุดท้ายเบาๆ ที่ข้างหูคนรักเมื่อเขาเห็นแววตาแคลงใจของพนักงาน ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มก่อนจะเริ่มพรมนิ้วของเขาลงบนคีย์เปียโน

"เฮ้ เพลงนี้ผมรู้จักนี่ L'Isle Joyeuse ของ Debussy ใช่ไหม?"

เจอุทานออกมาเบาๆ ถึงจะไม่ได้ฟังเพลงคลาสสิคมากนัก เขาก็รู้จักเพลงอันแสนสดใสที่เกิดจากการพร่างพรมนิ้วรัวๆ ลงบนคีย์เปียโนเพลงนี้จากซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง Nodame Cantabile พี่สาวของเขาเคยติดซีรีส์เรื่องนี้มากเมื่อกว่าสิบปีที่แล้วและพลอยทำให้เจดูตามไปด้วย ฆาเบียร์หันมาพยักหน้าให้เจและเล่นต่อไปอีกครู่หนึ่ง แม้จะเล่นไม่จบช่วงและมีผิดบ้างเพราะเล่นจากความทรงจำเพียงอย่างเดียว แต่ฆาเบียร์ก็เรียกเสียงปรบมือได้จากคนที่เข้ามายืนดูการแสดงเล็กๆ ของเขา


Claude Debussy’s L’Isle Joyeuse

https://youtu.be/FKP192qX7GY



คุณลูกค้าฝีมือดีแบบนี้ ผมว่าเลือกเปียโนอัพไรท์ไปเลยดีกว่าไหมครับ?

พนักงานขายพูดกับเจและพยายามเชียร์เปียโนอัพไรท์หลังงามที่ตั้งอยู่กลางร้าน เจส่ายหัวและหันไปแปลให้พ่อเจ้าประคุณของเขาซึ่งยืนทำหน้าอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างหลัง

"ผมก็อยากได้นะ เปียโนอัพไรท์ แต่คงไม่ได้หรอกครับเพราะว่าพวกเราอยู่คอนโด เสียงมันจะดังรบกวนห้องอื่น"

ฆาเบียร์พูดช้าๆ เพื่อให้พนักงานขายเข้าใจด้วย

"อ๋อ ไม่มีปัญหาเลยครับ ทางร้านเรามีเปียโนอัพไรท์ที่เป็น silent piano ด้วย..."

พนักงานตอบกลับเป็นภาษาไทยและขอให้เจแปลต่อให้ คนตัวโตหูผึ่งเมื่อได้ยินคำว่า silent piano เขาเคยผ่านตาเจ้าเปียโนที่สามารถเล่นได้ทั้งแบบอะคูสติกซึ่งคือสร้างเสียงโดยการเคาะสายเปียโนแบบเปียโนทั่วไป และเล่นแบบไร้เสียงซึ่งเกิดจากการเคาะเซ็นเซอร์และจำลองเสียงของเปียโนออกมาทางหูฟัง เขาหันขวับไปหาเจและบอกว่าเขาอยากลองเล่นเจ้าเปียโนไร้เสียงนี้ดู เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่และบอกคนขายให้พาฆาเบียร์ไปลองเล่นดู

"เสียงโอเคเลยนะเจ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเสียงสังเคราะห์เท่าไหร่ แต่ที่เยี่ยมคือ touching แบบนี้มันค่อยได้ฟีลของเปียโนแท้ๆ หน่อย"

คนตัวโตยิ้มแป้น เขาลองทั้งแบบธรรมดาและเสียบหูฟังลองเล่นเพลงในโหมด silent ดู เสียงมันเป็นแบบเดียวกับเสียงที่ได้จากเปียโนไฟฟ้าก็จริง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเมื่อเขาลองดีดเปียโนไฟฟ้าเมื่อครู่ แม้จะเป็นรุ่นที่ค่อนข้างดีแล้ว แต่คีย์ของมันยังให้ทัชชิ่งที่เบาเกินไปและไม่แน่นเหมือนเปียโนอะคูสติก แต่กับเปียโนแบบ silent นี้เขาไม่ต้องห่วงเรื่องเสียงที่ดังรบกวนห้องอื่นแถมยังได้ความรู้สึกแบบเปียโนธรรมดาด้วย

"ลองดีดดูสิ เจ ฉันว่าฉันชอบนะ"

ฆาเบียร์หันหน้าไปขอหูฟังอีกคู่หนึ่งมาจากคนขาย เปียโนหลังนี้ก็มีช่องเสียบหูฟังให้สองช่องเหมือนเปียโนไฟฟ้า แถมยังสามารถบันทึกเพลงที่เล่นลงใน thumb drive ได้อีกด้วย



เจนยุทธลงนั่งเคียงข้างคนรักของเขาและลองดีดเพลงที่เขาพอจำได้อย่าง Fur Elise ของบีโธเฟ่น เขาอดยิ้มออกมาอย่างพอใจไม่ได้ ทัชชิ่งของมันดีกว่าเปียโนไฟฟ้าที่เขาลองดีดๆ ดูเมื่อกี้มากนัก แต่เขายังคงลังเลที่จะซื้อมัน เจแอบเหลือบดูป้ายราคาแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ค่าตัวของเจ้าเปียโนหลังงามนี้สูงถึงเกือบสองแสนบาท คราวนี้เขาคงต้องทำให้เมียตัวโตของเขาผิดหวังแล้ว

"ฆาบี้ครับ ผมว่าเราเอาเปียโนไฟฟ้าเหมือนเดิมดีกว่า"

เจบอกขอบคุณพนักงานและดึงคนรักของเขาให้ลุกขึ้นและพาเดินกลับไปที่มุมเปียโนไฟฟ้าเหมือนเดิม

"อ้าว ทำไมล่ะเจ? นายชอบมันไม่ใช่เหรอ?"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขาสังเกตได้ว่าคนรักของเขามีท่าทางพึงใจเจ้าเปียโนไร้เสียงมาก เจอ้ำๆ อึ้งๆ

"เฮ้อ ฆาบี้ ไอ้ชอบน่ะก็ชอบอยู่หรอก แต่มันเกินงบผมไปเยอะเลยครับ"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าเป็นใจเขาเอง เขาคงซื้อแค่เปียโนไฟฟ้าแบบถูกสุดคือสองหมื่นกว่าบาท แต่เพื่อทำให้ฆาเบียร์พอใจเขากะว่าเขาจะทุ่มกับเปียโนได้เต็มที่ถึงห้าหมื่นบาท

"โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่ปัญหาหรอกเจ ฉันซื้อให้เลยก็ได้ มะ บอกคนขายให้คิดตังค์มาเลย"

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ พร้อมกับหยิบบัตรเครดิตของเขาออกมาจากกระเป๋าเงิน หากเขาชะงักกึกเมื่อเห็นเจนยุทธเม้มปากแน่น

"ผมว่า ไว้เรามาดูวันหลังแล้วกันครับ ฆาบี้ วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี เรากลับกันเถอะ"

เจหันหลังให้คนรักและเดินออกจากร้านไป ฆาเบียร์รีบสาวเท้าเดินตามออกไปทันที



"เจ เดี๋ยว นายเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?"

ฆาเบียร์รีบคว้าแขนคนตัวเล็กที่ทำท่าจะเดินออกไปยังลานจอดรถและลากไปยังมุมปลอดคนที่หน้าลิฟท์  เขาดึงเจให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาและจับไหล่ทั้งสองข้างของคนรักไว้แน่น เจเบือนหน้าหนีและไม่ยอมสบตากับเมียตัวโตของเขา

"เจนยุทธ มองฉันสิ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน"

ฆาเบียร์ตวาดเบาๆ ด้วยความขัดใจ แต่มันกลับทำให้เจสะดุ้งเฮือกและยิ่งก้มหน้าหนี คนตัวโตปล่อยมือออกเมื่อได้ยินเสียงลิฟท์เปิด เขาปล่อยให้คนเดินผ่านไปแล้วจึงหันกลับมาหาเจนยุทธ เขาเชยคางคนที่พยายามก้มหน้าหนีให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ฆาเบียร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตากลมโตคู่นั้น

"เจ โธ่..."

คนตัวโตดึงร่างคนรักเข้ามาแนบอก เขาพอจะรู้แล้วว่าเจเดินหนีออกมาเพราะเหตุใด เจสะอื้นไห้ออกมาทันทีที่ได้รับความอบอุ่นจากอกของคนรัก

"ผมนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ ของที่คุณอยากได้ผมยังไม่มีปัญญาซื้อหาให้เลย"

"เจ นายไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไปหรอก โอเคไหม? ฉันไม่เอาไอ้เจ้า silent piano ก็ได้ นายซื้อแบบที่ตั้งใจจะมาซื้อเถอะเจนยุทธ หรือจะไม่ต้องซื้อก็ได้ นึกๆ ดูฉันก็คงจะได้เล่นมันไม่บ่อยนักหรอก นายไม่ต้องตามใจฉันก็ได้ โอเคนะ? "

ฆาเบียร์ลูบหลังคนตัวเล็กเบาๆ เจดันร่างคนรักออกและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฆาเบียร์

"ผมก็อยากให้คุณได้เล่นเปียโนเวลาอยู่ที่บ้าน ที่ร้านเมื่อกี้ผมเห็นคุณมีความสุขมากเลยที่ได้ดีดเปียโน แล้วไอ้เจ้า silent piano นั่นมันก็ดีกว่าที่ผมตั้งใจจะมาซื้อมาก แต่...แต่มันเกินงบผมไปเยอะมากจริงๆ "

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงเขาจะมีเงินนอนในบัญชีอีกหลายล้าน แต่การเอาเงินเกือบสองแสนออกมาเพื่อซื้อเปียโนที่ทั้งเขาและฆาเบียร์คงแทบไม่ค่อยได้ดีดเท่าไหร่ก็ออกจะเป็นการสิ้นเปลืองไปมากเหลือเกิน



"ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เจ เดี๋ยวฉัน..."

ฆาเบียร์ยั้งคำพูดไว้เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาของเจ เขาลอบถอนหายใจและเปลี่ยนคำพูดของตัวเอง เขารู้ดีว่าเจไม่ต้องการให้เขามาคอยซื้อนั่นนี่ให้

"...ฉันเล่นเปียโนไฟฟ้าก็ได้ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ของเดี๋ยวนี้เขาทำออกมาได้ดีมากแล้ว โอเคนะ?

ฆาบี้ใช้นิ้วปาดคราบน้ำตาที่หางตาของเจและยิ้มให้คนรัก หากเจยังขมวดคิ้วแน่น

"คุณครับ มันโอเคจริงๆ เหรอ? ขนาดผมเล่นเปียโนแบบขอไปทียังรู้สึกได้ถึงความแตกต่างเลย แล้วยิ่งคุณเล่นเก่งซะขนาดนั้น ผมยิ่งเสียดายที่จะไม่ได้ฟังคุณเล่นเปียโนดีๆ "

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักและยกมือขึ้นขยี้ผมนิ่มของเจอย่างเอ็นดู

"ถ้าอยากฟังแบบนั้น ไว้นายไปฮ่องกงเมื่อไหร่ ฉันจะจัด recital ให้นายฟังคนเดียวเต็มๆ เลยดีไหม? จะชั่วโมงหรือสองชั่วโมงก็ขอมาเลย ใช้แกรนด์เปียโนของอาปานั่นแหละ ถึงจะเก่าแต่ก็รับรองว่าเสียงดีกว่าไอ้เจ้าอัพไรท์ตัวนั้นแน่ๆ "

เจย่นจมูกให้คนรัก เขาจำได้ว่าแกรนด์เปียโนหลังงามยี่ห้อ Bösendorfer​ ของอาปานั้นเสียงไพเราะแค่ไหน ถึงมันจะมีอายุอานามเก่าแก่เกือบศตวรรษ แต่การบำรุงรักษาอย่างดีและสม่ำเสมอทำให้เสียงของเปียโนไม้มะฮอกกานีหลังนี้ยังคงกังวานสดใสเหมือนใหม่

"ถ้าคุณจะว่าแบบนั้นก็ตามนั้น แต่บอกไว้ก่อนว่าผมจะไม่แตะเปียโนอาปาตัวนั้นอีกแล้ว"

เจพูดอย่างหวาดๆ ฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้เพราะรู้ว่าเจกลัวเจ้าสิ่งที่มองไม่เห็นที่อาจติดมากับเปียโนหลังงามนั้นนั่นเอง

"ไม่ต้องกลัวน่า เปียโนหลังนั้นมีคนเล่นแค่สามคน คือแม่ของอาปา อาปา แล้วก็ฉัน แค่นั้นเอง อ้อ แล้วก็นายอีกคนนะเจนยุทธ"

เจส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตายและบอกว่าอย่างน้อยคนหนึ่งในสามคนที่ว่านั้นก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว เขาจึงไม่ขอแตะเปียโนตัวนั้นอีก ฆาเบียร์ยิ่งหัวเราะจนตัวงอเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของเจ



"แล้วนี่อารมณ์ดีหรือยัง หืมม์? นายนี่มันขี้แยจริงๆ นะเจนยุทธ ติดนิสัยฉันมาแล้วเหรอ? เอ้า ไหน ยิ้มให้ฉันดูหน่อยซิ"

ฆาเบียร์กระเซ้าคนรักของเขา เขาใช้นิ้วชี้ทั้งสองยกมุมปากของเจขี้น คนตัวเล็กไล่งับปลายนิ้วทั้งสองนั้นจนฆาเบียร์ดึงหลบแทบไม่ทัน เขาโอบไหล่เจและพาเดินกลับไปที่ร้านเปียโน

"เราไปเลือกดูเปียโนกันอีกทีนะ ทีนี้ เอาเปียโนไฟฟ้าตามใจเจเลย ไม่ต้องตามใจฉัน นายตั้งงบไว้เท่าไหร่ก็แค่นั้น จะซื้อเปียโนซ้อมรุ่นถูกสุดก็ได้ ไม่ว่ากัน เอาที่นายพอใจที่สุดก็พอ”

เจหันไปยิ้มหวานให้คนรัก

“งั้นเราซ่อมตัวเก่าเอาแล้วกันเนาะ ไม่ต้องซื้อใหม่แล้ว”

คนตัวเล็กหัวเราะคิกออกมาเมื่อเห็นเมียตัวโตของเขาหน้าเจื่อนไปแว่บหนึ่ง

“ล้อเล่นน่า คุณ ผมรู้ว่าคุณคันไม้คันมืออยากเล่นเต็มทนแล้ว มะ มาเลือกกันอีกที ถ้าเป็นไปได้ ให้เขาขนไปส่งพรุ่งนี้เลย ดีไหม?”

ฆาเบียร์พยักหน้า พวกเขาเดินกลับเข้าไปยังร้านขายเครื่องดนตรี หลังจากเลือกและลองอยู่อีกพักใหญ่เจนยุทธก็เลือกเปียโนไฟฟ้ารุ่นกลางๆ ที่ฆาเบียร์ลองเล่นดูในครั้งแรก แม้ราคามันจะเกินงบเขามาประมาณหมื่นห้าและฆาเบียร์จะแย้งว่ามันแพงเกินไป แต่เจก็ควักกระเป๋าซื้อมันอย่างไม่ลังเล

“ถ้าเป็นไปได้ ขอส่งภายในบ่ายพรุ่งนี้นะครับ แล้วขอช่วยขนตัวเก่ามาเช็คดูหน่อยว่าเสียตรงไหน”

เจเซ็นสลิปบัตรเครดิตและใบจองสินค้าเสร็จแล้วหันไปบอกพนักงานขาย เมื่อนัดแนะอะไรกันเสร็จหมดแล้ว เจนยุทธก็เดินยิ้มออกจากร้านมาโดยมีเมียตัวโตของเขาเดินทำหน้าเคร่งเครียดตามมา



“เป็นอะไรครับ คนดี? ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใหญ่เลย”

เจซึ่งนั่งประจำตำแหน่งคนขับเรียบร้อยหันไปถามฆาเบียร์ คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ไอ้เจ้าเปียโนนั่นมันก็เกินงบเจไปอยู่ดีนะ นายไม่เห็นต้องซื้อตัวแพงขนาดนั้นเลย ที่ราคาสามหมื่นกว่าอีกตัวก็ใช้ได้แล้วนี่…”

เจนยุทธทำหูทวนลมและไม่ตอบอะไร เขาขับรถออกจากลานจอดของห้างเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร

“เอางี้ไหม เจ ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมาจากงบที่ตั้งไว้ ฉันจะเป็นคนจ่ายเอง นายจ่ายแค่ห้าหมื่นพอแล้ว”

ฆาเบียร์ยังอดบ่นต่อไม่ได้

“ไม่ได้ครับ!”

เจนยุทธปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมหันมาทำหน้ายักษ์ใส่คนรัก

“แต่ถ้าคุณคิดว่าจะช่วยจ่ายจริงๆ ผมจะเอากระปุกออมสินวางไว้แถวนั้น คุณเล่นทีก็เอาตังค์มาหยอดที แต่ห้ามเกินครั้งละ 100 สกุลเงินเป็นเงินบาทนะ ห้ามเอาร้อยดอลลาร์หรือยูโรมาหยอด เข้าใจไหม?”

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและคิดแผนการไว้ในหัว ถ้าเจยอมให้เขาจ่ายค่าเล่นต่อครั้ง เขาก็จะเล่นๆ หยุดๆ โดยเว้นช่วงบ้างเพื่อที่จะหยอดได้หลายครั้ง

“...แล้วถ้ากระปุกเต็ม เราก็เอามาเป็นงบเที่ยวครั้งหน้า โอเคไหมครับ?”

เจนยุทธพูดต่อแล้วหันมาถามความเห็นคนตัวโต ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำและยกมือขึ้นกุมมือคนรักของเขา เจยกมือใหญ่นั้นขึ้นจูบก่อนที่จะปล่อยและขับรถต่อไปยังร้านโกโร่




--------------------------------------------

ตัดตอนตรงนี้ก่อนนะคะ จริงๆ เขียนตั้งใจว่าจะเขียนต่อเรื่องราวที่ร้านอาหาร แต่ว่ามันล้นมาเยอะมากแล้ว ยกยอดไปตอนถัดไปแล้วกันค่ะ ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามาก ปล่อยตาลุงฆาเบียร์แกเอนจอยกับชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่เชียงใหม่ต่ออีกซักหน่อยแล้วกันเนาะ แล้วค่อยส่งแกกลับไปไถนาต่อตอนหน้า

ลิงค์เพลงด้านบนเล่นโดยอาจารย์ Atsuko Seta อาจารย์ชาวญี่ปุ่นจากวิทยาลัยดุริยศิลป์ของมหาวิทยาลัยพายัพค่ะ อาจารย์ยังเป็นนักเปียโนดังที่มีผลงานระดับนานาชาติด้วยค่ะ ถ้าสนใจฟังผลงานอื่นๆ ของอาจารย์อัทสึโกะก็เชิญที่ลิงค์นี้เลยค่ะ  http://bit.ly/2Bnq97Y


ส่วน silent piano ที่พูดถึงในเรื่องคือรุ่น JU109PE ของยามาฮ่าค่ะ เป็นเปียโนขนาดเล็กสำหรับผู้เริ่มต้น เท่าที่อ่านรีวิวดูคนเล่นเปียโนจะบอกว่าคุณภาพมันจะด้อยกว่ารุ่นอื่นๆ หน่อยเพราะว่าทำในอินโดนีเซีย แต่ก็เหมาะสำหรับ beginner ค่ะ คนเขียนนั้นพยายามหัดเล่นเปียโนมาหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เปียโนไฟฟ้าที่เคยซื้อไว้ก็กลายเป็นโต๊ะวางของไปเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่จากที่เคยลองเล่นทั้งเปียโนไม้แท้และเปียโนไฟฟ้า ทัชชิ่งหรือความรู้สึกตอนกดแป้นมันต่างกันจริงๆ ค่ะ ถ้าทำได้ก็อยากซื้อเปียโนไม้สักหลังและหัดเล่นดูอีกสักครั้ง ฮ่าๆๆ

ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง Silent piano by Yamaha https://yamaha.io/2OHCzt9



ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ greenoak004

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ครีม ----




“ข้ามถนนระวังๆ หน่อยนะครับ รถมันเยอะ”

เจเตือนคนรักก่อนที่จะแตะล็อคที่ประตูรถ เขาจอดรถไว้ฝั่งตรงข้ามร้าน แม้จะเป็นเวลาหลังหกโมงเย็นแล้ว การจราจรบนถนนอัษฎาธรก็ยังคงพลุกพล่าน เขาแตะที่หลังมือคนรักเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าให้ข้ามได้ เจพยายามจะไม่จูงมืออีกฝ่ายเวลาข้ามถนนเพราะเขามองว่าจะยิ่งทำให้อันตราย ตัวฆาเบียร์เองก็เริ่มจะคุ้นชินกับการจราจรในเชียงใหม่พอที่จะข้ามถนนเองได้อย่างปลอดภัย

“รถเยอะเหมือนกันนะ”

คนตัวโตบ่นเบาๆ เจพยายามจอดรถที่หน้าร้าน แต่หาที่จอดไม่ได้ เขาจึงต้องไปวนรถกลับมาเพื่อจอดฝั่งตรงกันข้ามแทน

“แถวนี้ร้านอาหารเยอะครับ นี่ยังดีนะเรามาหกโมงกว่า ถ้ามาสักทุ่มกว่า ฟากที่เราจอดก็จะมีรถจอดเต็มเพราะร้านหมูกะทะ”

เยื้องๆ กับร้านโกโร่นั้นคือเนื้อกะทะร้านแรกของจังหวัดเชียงใหม่อย่างเนื้อกะทะชุมแพซึ่งเปิดให้บริการมาร่วมยี่สิบปี ร้านย้ายจากที่เดิมแถวๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏมาอยู่บนถนนเส้นนี้ได้หลายปีแล้วและเป็นที่นิยมในหมู่คนเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติ



"ดีนะ ได้โต๊ะสุดท้ายพอดี ร้านนี้คนเยอะจังเลยนะเจ"

ฆาเบียร์หันไปดูรอบๆ ร้านขนาดตึกแถวสองคูหานี้มีประมาณ 40 ที่นั่งและในคืนนี้มันเต็มทุกโต๊ะ

"ใช่ครับ ร้านนี้เป็นที่นิยมในทั้งกลุ่มคนไทยแล้วก็ญี่ปุ่น ดูโต๊ะนั้นนะ น่าจะเป็นพวกคนญี่ปุ่นที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน พวกนี้พอเย็นๆ มาก็หาเหล้ากินละ มีรถมารับส่งด้วยนะ"

เจพูดยิ้มๆ และแอบชี้ให้ดูคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งที่เข้าร้านมาหลังเขาครู่หนึ่ง คนกลุ่มนี้ใส่เสื้อช็อปเหมือนพนักงานโรงงาน พอลงนั่งปุ๊บ สิ่งแรกที่พวกเขาสั่งก็คือเบียร์สดและเหล้าไฮบอลหรือวิสกี้ผสมโซดานั่นเอง เครื่องดื่มที่เคยเป็นที่นิยมช่วงปี 1950 ชนิดนี้ถูกปลุกกระแสจนกลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นโดยบริษัท Suntory ผู้ผลิตวิสกี้ชื่อดังของญี่ปุ่นในช่วงปี 2009 เพื่อทดแทนตลาดเบียร์สดที่เริ่มอิ่มตัว ในปัจจุบัน ไฮบอลกลายเป็นเครื่องดื่มคู่วงเหล้าชาวญี่ปุ่นเคียงข้างเบียร์สดและชูไฮซึ่งก็คือเหล้าโชจูรสผลไม้ผสมโซดานัั่นเอง

"เบียร์สดแก้วนึงครับ…แล้วคุณล่ะครับ ฆาบี้? ไฮบอลไหม? หรือจะเอาไวน์?"

เจหันไปสั่งเบียร์และหันกลับมาถามคนรัก ฆาเบียร์บอกว่าเขาสนใจเหล้าบ๊วยหรืออุเมะชูมากกว่า เจหันไปสั่งตามนั้นและขอดูเมนูต่อ



"ทำไงดีคุณ ผมอยากกินทุกอย่างเลยอ่ะ คุณจะเน้นกินข้าวหรือกินของกินเล่นดี?"

ฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วให้คำตอบ

"อืมม์ ฉันว่าเราสั่งพวกของกินเล่นเล็กๆ น้อยๆ มาก่อนก็ได้ ฉันอยากลองชิมรสชาติของเขาดูก่อน เจมีอะไรแนะนำไหม?"

"ที่ผมสั่งทุกครั้งเวลามากินกับพี่นพก็มีพวกของกินเล่นอย่าง หูหมูคลุกซอสเปรี้ยว ลิ้นย่างซอสมิโสะ พวกของทอดอย่างหอยนางรมชุบแป้งทอด ปลาอาจิทอด โคร็อกเกะ อะไรพวกนี้ครับ แล้วก็อาจจะมีข้าวหน้าเนื้อย่าง แล้วก็พวกหม้อไฟ พี่นพแกจะชอบสั่งพวกของเสียบไม้ย่าง แต่ผมยังไม่โดนเท่าไหร่"

"งั้นนายสั่งมาเลย ฉันจะรอชิม แต่ทีละหน่อยก่อนนะ อย่าลืมว่าฉันไม่ใช่นพ ไม่ได้กินโหดขนาดนั้น"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ

"ไม่ต้องเลย หลังๆ คุณนี่ก็ใช่ย่อยเถอะ แย่งผมกินตลอด"

เจกระเซ้าคนรักกลับ เขายกมือเรียกพนักงานและสั่งอาหารประเภทกินเล่นมาหลายอย่าง

"ฆาบี้ คุณจะเอาพวกหม้อไฟด้วยไหม? ที่ผมเคยกินก็สุกี้เนื้อกับหม้อไฟไก่ซุปกระดูกหมู แล้วก็นี่เห็นเขามีของใหม่ เป็นหม้อไฟหอยนางรม สนใจไหมครับ? ถ้าสั่งหม้อไฟที่ไม่ใช่สุกี้ ผมจะสั่งข้าวมาทำเป็นข้าวต้มด้วยนะ"

"เอ แต่ถ้าเจคิดว่าเจจะสั่งข้าวอย่างอื่นอยู่แล้ว เรากินสุกี้ก็ได้จ้ะ"

เจนยุทธพยักหน้า เขาสั่งสุกี้เนื้อเพิ่มอีกหม้อหนึ่งโดยเลือกชุดเนื้อไทย 200 กรัม พวกเขานั่งดื่มเครื่องดื่มรอไม่นานอาหารที่สั่งก็มา



"ว้าว ดูดีนี่ เจนยุทธ ไข่ม้วนเหรอ?"

ฆาเบียร์คีบไข่หวานญี่ปุ่นชิ้นสวยขึ้นมาดู

"เอ๊ะ มีไส้ด้วยนี่ ปลาไหลใช่ไหม?"

"ครับ เมนูนี้ผมยังไม่เคยสั่ง ก็เลยว่าจะลองดู"

เจคีบไข่ม้วนขึ้นกัดแล้วก็ต้องชมเปาะออกมา นอกจากจะได้รสของปลาไหลย่างด้านในแล้ว รสของน้ำซุปปลาโอแห้งที่ผสมลงไปในเนื้อไข่ยังเด่นชัดและได้รสหวานน้อยๆ ของเหล้ามิรินอีกด้วย

"เมนูนี้ผ่านฉลุยเลยครับ นี่ขึ้นแท่นจานโปรดผมเลยนะเนี่ย อร่อยจริงๆ "

เจคีบต่ออย่างติดใจ เขากินไข่หวานไปอีกชิ้นก่อนจะหันไปคีบของโปรดของเขาอย่างหูหมูซอสเปรี้ยว ฆาเบียร์เมียงๆ มองๆ หูหมูที่ปกติเขาไม่ค่อยชอบกินนัก แต่เจ้าหูหมูฝานบางๆ ที่แช่มาในน้ำซอสพร้อมหัวไชเท้าขูดถ้วยนี้ดูน่ากินยิ่งนัก เขาคีบมาลองกินชิ้นหนึ่งแล้วก็ต้องติดใจในเนื้อสัมผัสของหูหมูที่กรุบกรับเคี้ยวเพลิน เขาพยายามคิดว่ามันยังอุดมไปด้วยคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวดีอีกด้วย ส่วนซอสพอนสึหรือซอสเปรี้ยวที่ใช้หมักหูหมูนั้นยังให้รสสดชื่นและทำให้ไม่เลี่ยน

"แล้วนี่อะไรจ๊ะ?"

ฆาเบียร์ชี้ไปที่ปอเปี๊ยะแท่งเรียวยาวห้าชิ้นในจาน

"อ๋อ แหะๆ ปอเปี๊ยะไส้ชีสครับ ถ้าคุณไม่อยากกินก็ไม่เป็นไรนะ ผมเหมาหมดเองได้"

เจสั่งมาโดยคิดว่าคนตัวโตที่กลัวอ้วนไม่น่าจะค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ฆาเบียร์ก็คีบมันเข้าปากทันควัน เจได้แต่โคลงหัวและรีบแย่งมาได้สองชิ้น เขาลืมไปว่าคนรักของเขานั้น "แพ้" ชีสแค่ไหน



"เอ้า นี่ หอยนางรมทอดครับ ตัวหอยทอดมันก็อร่อยแหละ แต่ที่ผมชอบที่สุดของร้านนี้คือทาทาร์ซอสที่เสิร์ฟมากับของทอด มันอร่อยจริงๆ นะ ใส่ไข่ต้มด้วยอ่ะ ผมชอบเหลือไว้แล้วก็เอากะหล่ำปลีหั่นฝอยที่เขาใช้รองซับน้ำมันนี่ไปคลุกต่อ"

เจเลื่อนจานหอยนางรมที่แกะเอาแต่เนื้อไปชุบเกล็ดขนมปังแล้วทอดจนเป็นสีเหลืองทองให้คนรัก ฆาเบียร์คีบขึ้นมาแล้วจิ้มมันลงไปในซอสทาทาร์หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าซอส "ทารุทารุ" รสเลิศที่เจบอก มันมีรสชาติยอดเยี่ยมตามนั้นจริงๆ นอกจากจะได้รสของมายองเนสกับไข่ต้มแล้ว มันยังมีรสเปรี้ยวนิดๆ ของแตงกวาดองและน้ำมะนาวอีกด้วย

จานถัดไปที่เจสั่งมาคือปลาซาบะดองย่างแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยสั่งที่ร้านโทราจิโร่ แต่จานนี้ทั้งเจและฆาเบียร์ลงความเห็นกันว่าพวกเขาชอบของที่ร้านโทราจิโร่มากกว่า

"ลิ้นวัวย่างจิ้มซอสมิโสะค่ะ"

พนักงานสาววางจานลิ้นวัวย่างหั่นเป็นชิ้นพอดีคำลงตรงหน้าทั้งสอง มันเสิร์ฟมาพร้อมกับมิโสะบดที่ปรุงรสมาเรียบร้อยแล้ว ฆาเบียร์ชิมดูแล้วยิ้มอย่างพึงใจ ลิ้นวัวนั้นปรุงรสและย่างได้ดีโดยที่แทบไม่เหนียวเลยแม้แต่น้อย ส่วนซอสมิโสะที่ให้มานั้นก็รสชาติออกเค็มแต่ก็ได้ความหอมของถั่วเหลืองหมักอย่างเต็มที่ เจยิ้มกริ่ม เขาบอกได้จากสีหน้าว่าจานนี้ได้ใจของฆาบี้ไปเต็มที่







"ชอบล่ะสิ"

ฆาเบียร์พยักหน้า

"จ้ะ ฉันชอบทุกอย่างเลย โดยเฉพาะลิ้นย่าง มันอร่อยจริงๆ อาหารทุกอย่างมันเข้ากับเหล้าได้ดี พูดก็พูดเถอะ มันทำให้ฉันชักอยากเบียร์ขึ้นมาเหมือนกัน"

คนตัวโตแอบดึงแก้วเบียร์อาซาฮีเย็นเฉียบที่เจสั่งมาเป็นแก้วที่สองขึ้นจิบ เจใช้นิ้วปาดพรายฟองสีขาวที่ติดด้านบนของปากของฆาเบียร์ออกให้

"จะยั่วกันเหรอ หืมม์?"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจนยุทธรีบชักนิ้วกลับและทำหน้าบูดใส่คนรัก เขาแย่งเบียร์ของเขากลับมาและยกขึ้นจิบอีกอึกใหญ่

"ฮ้า ชื่นใจ ซักแก้วไหมคุณ? 59 บาทเอง ถูกชะมัด"

ฆาเบียร์ส่ายหัวปฏิเสธ เขาบอกว่าเขาจะขอแบ่งดื่มจากเจเท่านั้น

"แต่ฉันสนใจไอ้นี่ มันคืออะไรน่ะ? ฉันเห็นมันมีรูปปลาปักเป้าติดด้วย"

คนตัวโตชี้รูปที่ติดอยู่บนผนังร้าน มันเป็นรูปแก้วสาเกที่มีลายปลาปักเป้าติดอยู่ เจเรียกพนักงานมาถามและได้ความว่ามันเป็นสาเกร้อนที่นำเอาครีบปลาปักเป้าย่างไฟใส่ลงไปด้วย

"ว้าว น่าสนใจนะ มันไม่อันตรายใช่ไหม?"

ฆาบี้ถามเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีพิษอันแสนอันตรายของปลาปักเป้าหลงเหลืออยู่ เจหันไปถามพนักงานเสิร์ฟแล้วหันมาบอกฆาเบียร์ว่ามันปลอดภัยแน่นอน

"ผมถามด้วยว่าปกติเขาจะกินส่วนครีบปลาเข้าไปด้วยไหม? น้องเขาบอกว่าไม่กินครับ เขี่ยทิ้งอย่างเดียว"

ฆาเบียร์พยักหน้าและตัดสินใจสั่งมาลองชิมดู



"มาแล้วๆ สุกี้เนื้อ"

เจทำท่าตื่นเต้นเมื่อพนักงานยกเตาแก๊สแบบตั้งโต๊ะและกะทะก้นลึกใบใหญ่มาวางไว้ให้ตรงหน้าพวกเขา ในชุดสุกี้ญี่ปุ่นหรือที่คนไทยเรียกว่าชาบูน้ำดำนี้ประกอบด้วยเนื้อวัวไทยลายหินอ่อนซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ 100 - 300 กรัม และยังสั่งเนื้อเพิ่มอีกได้จานละ 100 กรัม นอกจากนั้นยังมีผักหลากหลายชนิดอย่างผักกาดขาว เห็ดยานางิขาว ต้นหอมยักษ์ และหัวหอม รวมถึงผักหากินได้ยากอย่างใบมิซึนะซึ่งให้รสชาติใกล้เคียงกับผักสลัดร็อคเก็ต สุกี้ญี่ปุ่นของร้านนี้ไม่เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มใด มีให้เพียงไข่ดิบคนละฟองเท่านั้น

เจเริ่มทำสุกี้โดยเริ่มจากการผัดมันเนื้อที่ทางร้านให้มา เมื่อไขมันที่เคลืีอบกะทะบางๆ เริ่มร้อนแล้ว เขาก็นำเนื้อแผ่นสไลซ์บางในจานลงผัดเพียงครึ่งหนึ่ง

“ฆาบี้ เร็ว ใส่ผักเลย เนื้อสุกแล้ว!”

ฆาเบียร์รีบนำผักทั้งหมดวางเรียงในกะทะ จากนั้นเจเทน้ำซุปน้ำดำในเหยือกราดผักจนหมด

“เจ ซุปมันไม่น้อยไปเหรอ? ขอเขาเติมไหม?”

ฆาเบียร์ถามอย่างสงสัย น้ำซุปมันไม่พอท่วมผักด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวน้ำจากผักก็ออกมาเอง

เจปิดฝากะทะก้นลึกไว้และลดไฟเป็นไฟอ่อนพอให้เดือดปุดๆ เขาตีไข่ในถ้วยเล็กจนแตก แค่นี้เขาก็พร้อมกินแล้ว



“นายไม่ใส่เนื้อลงไปหมดเลยล่ะ?”

คนตัวโตถามอย่างสงสัย เขาเคยกินสุกียากี้ในร้านอาหารญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งพนักงานมักจะใส่เนื้อลงไปผัดจนหมดทุกครั้ง

“ผมยังติดนิสัยเอาเนื้อลงไปลวกแบบชาบูชาบูมากกว่าครับ เนื้อมันเยอะๆ แบบนี้ บางทีเอาลงไปผัดไปต้มนานๆ มันหดไม่ก็ขาดเป็นชิ้นๆ หมด แต่ถ้าคุณอยากต้มเลยก็เอาส่วนของคุณลงได้เลยครับ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ กินแบบที่เจว่าก็ได้”

ฆาเบียร์พูด เจเปิดฝาหม้อออก ผักเริ่มสุกแล้วและน้ำจากผักก็ออกมาปนกับน้ำซุปจนท่วมผักหมด ฆาบี้ใช้ช้อนตักน้ำซุปขึ้นชิม

“ว้าว เจ นี่เยี่ยมมากเลยนะ หอมปลาโอมาก รสไม่อ่อนเหมือนชาบูน้ำดำตามร้านชาบูแต่ก็ไม่จัดเกินไป รสชาติใกล้เคียงกับที่ฉันเคยกินที่ญี่ปุ่นเลยนะ”

“อืมม์ ผมก็ชอบ ลองชิมเนื้อดูสิครับ มันเป็นเนื้อไทยก็จริง แต่ก็รสชาติดี คราวที่แล้วผมลองชิมแบบเนื้อวากิว ชุดเนื้อ 100 กรัมเขาขาย 690 บาท ลดราคามาจาก 890 มันก็เริ่ดนะคุณ แต่ผมมันลิ้นจระเข้ ไม่ค่อยรู้สึกถึงความต่างจากเนื้อไทย ก็เลยสั่งเนื้อไทยดีกว่า ถูกกว่าเยอะอ่ะ”

“ชุดเนื้อไทยเขาขายเท่าไหร่เหรอ?”

“ที่เราสั่งคือเนื้อ 200 กรัม ขายอยู่ 590 ครับ ผมก็ว่าไม่เลวนะ”

ฆาเบียร์คีบเนื้อชิ้นงามขึ้นและเอาลงไปแกว่งในน้ำซุปร้อนๆ พอให้สีเปลี่ยน จากนั้นเขาเอาเนื้อร้อนๆ ชิ้นนั้นลงจุ่มในไข่ดิบและส่งเข้าปาก

“โอย แค่นี้ก็อร่อยถมถืดแล้ว เจนยุทธ ฉันชอบนะ”

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ สัมผัสเนียนลื่นของไข่ดิบที่ให้รสหวานน้อยๆ ผสานกับกลิ่นรสหอมๆ ของน้ำซุปและรสชาติอันเข้มข้นของเนื้อทำให้เขาหยุดกินไม่ได้

“อืมม์ อ๋มอ้ออ้าอาอ่อย”

เจพูดตอบรับทั้งที่ยังมีเนื้ออยู่ในปาก ฆาเบียร์หัวเราะออกมาเบาๆ เขาเทสาเกร้อนที่แช่ครีบปลาปักเป้าไว้ลงในจอกเล็กสองจอก เขาส่งจอกหนึ่งให้เจ พวกเขายกแก้วขึ้นชนกันเบาๆ







“แด่ แด่อะไรดี…”

ฆาเบียร์ครุ่นคิดและยิ้มออกมา เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสดใสของคนรัก

“แด่การตกเครื่องอย่างเต็มใจเป็นครั้งแรกของฉัน”

เจนยุทธหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ยิ่งเห็นแววตายั่วเย้าของคนตัวโตที่จ้องมองมามันยิ่งทำให้เขาอดเขินไม่ได้ เจหลบสายตาพราวพรายที่จ้องมองมาและยกแก้วสาเกขึ้นดื่ม ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขารู้ว่าในใจเจคงกำลังนึกถึงความร้อนแรงของพวกเขาในคืนที่ผ่านมา เขายกสาเกขึ้นจิบบ้าง

"อืมม์ แปลกดีนะเจ ไอ้เจ้าครีบปลาปักเป้านี่ทำให้สาเกนี่หอมขึ้นมาทีเดียว"

เจพยักหน้ารับคำ เขาเองก็ได้กลิ่นหอมๆ ของครีบปลาย่างในสาเกจิบนั้น มันมีรสคาวน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นรับไม่ได้ คนตัวโตเทสาเกใส่จอกอีกอย่างถูกใจ เขาดื่มมันหลังจากคีบเนื้อจุ่มไข่เข้าปากและระบายลมหายใจออกมาอย่างพึงใจ พวกเขาทั้งสองกินสุกียากี้หม้อนั้นพร้อมกับจิบสาเกที่ฆาเบียร์สั่งมาเพิ่มอีกแก้วอย่างเอร็ดอร่อยจนกระทั่งไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหม้อนอกจากน้ำซุปที่เริ่มเค็มเกินจะซด



"เฮ้อ เต้าหู้ที่ซึมซับรสน้ำซุปเข้าไปเต็มที่นี่อร่อยจริงๆ เหมาะที่จะกินตบท้ายแท้ๆ "

เจตักเต้าหู้อุ่นๆ ชิ้นสุดท้ายเข้าปากแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาพึงใจกับอาหารในวันนี้มากจริงๆ

"เจกินแต่ของกินเล่นกับสุกี้นี่จะอิ่มเหรอ?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็ก สำหรับเขา อาหารในวันนี้มาในปริมาณที่พอดีแล้ว แต่เขารู้ดีว่ามันคงไม่พอถมกระเพาะของเจนยุทธเป็นแน่แท้ เจยิ้มเขินๆ แล้วบอกว่าเขาได้สั่งอาหารประเภทข้าวไปแล้ว

"อ๊ะ ไม่ทันไร มาแล้วๆ"

เจรับถ้วยข้าวขนาดใหญ่พอประมาณมาพร้อมกับจานใส่ข้าวปั้นลูกโตอีกสองลูก ฆาเบียร์ชะโงกหน้าไปดูอย่างสนใจ

"เอ ผมจะกินอะไรก่อนดีน้า? อ๊ะ ผมขอถ้วยแบ่งด้วยใบนึงครับ"

เจเรียกขอถ้วยจากพนักงาน เมื่อได้มาเขาก็จัดการตักข้าวในถ้วยแบ่งให้ฆาเบียร์

"ข้าวหน้าเนื้อเหรอจ๊ะ?"

"ข้าวหน้าสเต๊กครับ ถ้าข้าวหน้าเนื้อของร้านนี้ก็จะเป็นอีกแบบเนื้อสไลซ์ผัดซอส แต่นี่คือข้าวหน้าสเต๊ก ปกติถ้ามากินแบบง่ายๆ เร็วๆ ผมก็จะสั่งแบบถ้วยใหญ่ที่มีเนื้อ 300 กรัม ราคา 590 บาท แต่ถ้ากินหลายอย่าง ผมก็จะสั่งแบบครึ่งถ้วย คือเนื้อ 150 กรัม 295 บาท วันนี้ผมสั่งแบบถ้วยเล็กมาครับ"

เจพูดไปตักไป เขาบอกว่าดูๆ แล้ว แบบถ้วยเล็กกับถ้วยใหญ่นั้นให้ปริมาณข้าวมากพอๆ กัน ที่ต่างไปคือปริมาณเนื้อ



"เจจ๊ะ ฉันเอาข้าวนิดเดียวพอนะ"

คนกลัวอ้วนท้วงเมื่อเห็นเจตักข้าวใส่ถ้วยให้เขาไม่เลิก เจแลบลิ้นให้คนรักและตักข้าวออกใส่ถ้วยใหญ่เหมือนเดิม เขาคีบเนื้อสเต๊กชิ้นโต 3 ชิ้นจาก 5 ชิ้นที่มีมาใส่ในถ้วยให้ฆาเบียร์

“นี่ๆ เยอะไปแล้ว เอาคืนไปเถอะ เดี๋ยวนายไม่พอกิน”

ฆาเบียร์คีบเนื้อคืนให้เจชิ้นหนึ่ง เจ้าตัวทำท่าอิดออดเล็กน้อยก่อนจะรับมา เขาเอามันใส่จานแล้วตัดแบ่งครึ่ง เจคีบเนื้อจะส่งคืนให้ฆาเบียร์แต่คนตัวโตส่ายหัว เขายิ้มน้อยๆ และชี้ที่ปากตัวเอง เจทำตาปริบๆ เขาตัดเนื้อครึ่งนั้นออกอีกครึ่งหนึ่งและคีบใส่ปากให้คนรักที่อ้าปากรอรับอยู่แล้ว

“อืมม์ เจจ๊ะ เนื้อร้านนี้อร่อยจริงๆ มันสุกนะ แต่ก็ยังนิ่ม ซอสที่ราดนี่ก็รสชาติดี มันติดหวานน้อยๆ ก็จริงแต่ก็ทำให้กลมกล่อมและเข้ากับข้าวมากๆ ฉันชอบนะ”

ฆาเบียร์ตักข้าวที่ชุ่มซอสเข้าปากและชมออกมา เขาหัวเราะเมื่อเห็นว่าเจไม่ได้มีทีท่าจะฟังเขาเลย คนตัวเล็กก้มหน้าก้มตากินด้วยความเร็วสูง







“ข้าวติดปากน่ะ มา เดี๋ยวฉันเอาออกให้”

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นเม็ดข้าวติดอยู่บนริมฝีปากของคนรักจอมตะกละของเขา เขากระดิกนิ้วเรียกให้เจชะโงกหน้าเข้ามา เจทำท่าจะขยับแต่ก็ชะงักเมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินเข้าร้านมา

“อ้าว เจ!”

เสียงหวานสดใสของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังของฆาเบียร์ซึ่งนั่งหันหลังให้ประตู คนตัวโตใจสั่นสะท้านเมื่อเห็นแววตาหวั่นไหวของเจนยุทธที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างของหญิงคนหนึ่งค่อยๆ เดินมาหาพวกเขาที่โต๊ะโดยมีชายอีกคนตามหลังมา เจยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับโบกมือทักทายคนทั้งสอง

“ไง ครีม โห ไม่ได้เจอกันเป็นปีแล้วนะ สบายดีเหรอ? สวัสดีครับพี่กัญจน์ ”

เจหันไปยกมือไหว้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหลังเพื่อนสาวที่เขาไม่คิดอยากเจอคนนี้

“อื้อ สบายดีจ้ะ แต่ช่วงนี้เหนื่อยนิดหน่อย ก็อย่างที่เห็นน่ะ เจสบายดีนะ?”

เสียงหวานสดใสนั้นหัวเราะเบาๆ แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน แต่ฆาเบียร์ก็พอเข้าใจจากคำว่า “sabai dee” ว่าทั้งสองคงกำลังถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอยู่ ฆาเบียร์พยายามก้มหน้าก้มตากินและไม่เหลือบมองเพื่อนสาวคนนั้นของเจนยุทธ หากเขาก็เห็นได้จากหางตาว่าร่างนั้นอยู่ในชุดคลุมท้องและน่าจะท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว เขาลอบมองหน้าคนรักและรอว่าเมื่อไหร่เจจะแนะนำเขากับสาวหน้าตาสะสวยคนนั้น หากเจดูมีท่าทางอึดอัดและลุกลี้ลุกลนซึ่งผิดไปกับทุกครั้งที่พวกเขาเจอเข้ากับเหล่าสาวๆ ของเจ ฆาเบียร์ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นและหันไปยิ้มละไมให้คนแปลกหน้าทั้งสอง



“สวัสดีครับ เพื่อนของเจเหรอครับ? ผม ฆาเบียร์ครับ ผมเป็น…”

ฆาเบียร์รู้สึกร้อนที่หัวตาเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของคนรัก คนตัวเล็กจ้องหน้าเขานิ่งและทำท่าเหมือนจะหยุดหายใจ ฆาเบียร์ตัดสินใจกลืนคำพูดที่ตั้งใจจะพูดลงไป และพูดอย่างอื่นออกมาแทน

“…ผมเป็นเพื่อนร่วมงานของเจครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

เขายื่นมือไปสัมผัสมือกับทั้งสองคนที่ดูจะคุ้นเคยกับธรรมเนียมตะวันตกดี จากนั้นคนตัวโตก็หันไปหาเจนยุทธและพูดด้วยเบาๆ

“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เจคุยกับเพื่อนไปก่อนแล้วกัน”

ฆาเบียร์ลุกพรวดขึ้นโดยไม่รอฟังคำตอบและเดินไปในห้องน้ำชายที่อยู่หลังร้าน เขาเปิดประตูห้องส้วมเข้าไปและทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง สายตาของเจที่เหลือบมองเขาในวันนี้ไม่เหมือนกับสายตาที่เจส่งให้เขาทุกครั้งที่เจอสาวๆ ที่เจเคยมีสัมพันธ์ด้วย มันไม่ใช่สายตาที่แฝงความละอายในความเจ้าชู้ของตนเหมือนทุกครั้ง แต่มันเป็นแววตาที่แฝงความหวาดหวั่นบางอย่าง เขารู้สึกได้ว่าเจไม่อยากให้เขาได้พบเจอกับคนๆ นี้ ฆาเบียร์ยกมือขึ้นเช็ดดวงตาเมื่อรู้สึกถึงน้ำตาที่หยดเผาะลงมา เขาปวดใจเมื่อนึกถึงว่าสาวคนนั้นอาจเป็นคนสำคัญที่เจไม่เคยคิดเล่าให้เขาฟัง เขาซบหน้าลงกับฝ่ามือครู่หนึ่งจนกระทั่งเสียงไลน์ดังขึ้น เขายกโทรศัพท์ขึ้นดูและพบว่าเจส่งข้อความมาหาเขา



‘ฆาบี้ครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?’

'ให้ผมเข้าไปหาไหม? เรากลับกันแล้วก็ได้นะ'


เจยังส่งข้อความรัวๆ มาอีกหลายข้อความ ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาลุกขึ้นและเดินออกไปล้างหน้าล้างตา เขาจ้องมองตัวเองในกระจกและพยายามปั้นยิ้ม จากที่เห็น ไม่ว่าเธอคนนั้นจะเป็นใครในอดีต แต่ในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะมีครอบครัวไปแล้วและมันก็ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะมานั่งคอยกังวลอีก ฆาเบียร์ตัดสินใจที่จะลืมๆ มันไปและกลับออกไปหาคนรักของเขา

"ฆาบี้ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า"

เมื่อออกห้องน้ำมา ฆาเบียร์ก็เจอเข้ากับเจที่มายืนดักรออยู่ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ฆาเบียร์ปลดมือเรียวที่จับแขนเขาแน่นออกและยิ้มให้

"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันแค่รู้สึกเหนื่อยๆ นิดหน่อย แล้วนี่ทิ้งโต๊ะมาได้ไง หืมม์?"

เจหน้าซีดเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูปั้นแต่งของคนรัก เขาเดินตามหลังคนรักกลับมาที่โต๊ะ พวกเขาทั้งสองลงนั่งท่ามกลางความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น ฆาเบียร์นั่งดื่มสาเกของเขาเงียบๆ ส่วนเจก็นั่งแทะข้าวปั้นไส้แซลม่อนและไส้บ๊วยอย่างใจลอย ทั้งคู่แทบไม่รู้รสของสิ่งที่กินเข้าไปด้วยซ้ำ ในที่สุดเจก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบด้วยการเรียกพนักงานมาคิดเงิน เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย เจก็ลุกพรวดขึ้น เขาจับต้นแขนของคนรักและดึงให้ลุกขึ้นตาม



"มากับผมหน่อย ฆาบี้"

เจนยุทธพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ฆาเบียร์ที่ยังคงงุนงงกับท่าทางของคนรักก็รีบลุกขึ้นตาม เจดึงแขนคนตัวโตให้เดินไปที่โต๊ะหลังฉากที่กั้นอีกโซนไว้ ฆาเบียร์ขืนตัวเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนสาวของเจและสามี

"จะกลับแล้วเหรอ เจ?”

สาวคนนั้นทักขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เจไม่ตอบแต่ดึงฆาเบียร์ให้มายืนเคียงข้างเขาและพูดกับเพื่อนสาวของเขาเป็นภาษาอังกฤษเสียงดังฟังชัด

"ครีม เมื่อกี้เรายังไม่ทันได้แนะนำเธอให้รู้จักกับฆาเบียร์อย่างจริงจังเลยนะ"

ครีมตอบรับอย่างงงๆ และคิดในใจว่าเมื่อครู่หนุ่มละตินร่างใหญ่ก็บอกเธอแล้วว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของเจ เจนยุทธเอื้อมมือไปจับกระชับมือใหญ่ของฆาเบียร์ไว้แน่นและหันไปยิ้มละไมให้คนรัก

"ฆาเบียร์ครับ นี่ครีม เพื่อนสมัยเรียนของผมครับ..."

คนตัวโตตอบรับอย่างใจลอย เจยิ้มกริ่มและหันหาเพื่อนสาว

"และครีมจ๊ะ นี่ฆาเบียร์ มาร์ติเนซ แฟนของเจเองนะ"

เพื่อนสาวของเจอุทานออกมาเบาๆ ส่วนฆาเบียร์ก็หันขวับไปมองหน้าคนรักที่ประกาศสถานะของเขาออกมาค่อนข้างดังจนโต๊ะข้างๆ เองก็หันมามอง เจหันมายิ้มให้กับคนรักแล้วก็หันกลับไปตอบคำถามเพื่อนสาวที่ถามอะไรบางอย่างมาเป็นภาษาไทย ทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งโดยตลอดเวลานั้นเจไม่ได้คลายมือที่กุมมือใหญ่นั้นออกเลยแม้แต่น้อย ฆาเบียร์หน้าแดงซ่านเมื่อเห็นสายตาที่แฝงรอยยิ้มของเพื่อนสาวของคนรัก ครีมกวาดตาขึ้นๆ ลงๆ มองเขาเหมือนแม่ที่กำลังพิจารณาเขยที่เพิ่งเจอหน้าเป็นครั้งแรก เธอหันไปหัวร่อต่อกระซิกกับเจและซุบซิบอะไรกันเบาๆ เป็นภาษาไทยโดยที่คนรักของเขาก็หัวเราะออกมาลั่น



"งั้น ทุกวันนี้เจมีความสุขดีแล้วใช่ไหม?"

ครีมถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนรักของเพื่อนเข้าใจ เจพยักหน้าอย่างหนักแน่น เขายกมือของฆาเบียร์ขึ้นมาแนบที่ตำแหน่งของหัวใจ

"ใช่จ้ะ เรามีความสุขมากแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน..."

เจหันไปยิ้มให้ฆาเบียร์ซึ่งยิ้มตอบกลับมาให้เขาแล้วจึงหันไปพูดกับเพื่อนสาวต่อ

"เราคิดว่าตอนนี้เรารู้แล้วว่าในชีวิตเราต้องการใคร เราไม่กลัวที่จะแสดงความรู้สึกของเราออกมาอีกแล้ว และเราพร้อมจะหยุดที่คนๆ นี้ "

เจนยุทธสบตาเพื่อนสาวซึ่งมองเขากลับมาอย่างเข้าใจ ฆาเบียร์ลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าเขาพอจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองแล้ว แต่ในเมื่อเจได้จัดการทำอะไรให้ชัดเจนแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรต้องซักถามคนตัวเล็กอีก

"งั้น เรากลับกันแล้วดีกว่าครับ ที่รัก เดี๋ยวคืนนี้คุณต้องทำนั่นนี่อีกหลายอย่าง"

เพื่อนสาวของเจอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินเพื่อนเรียกคนรักด้วยคำว่า "honey" ฆาเบียร์พยักหน้า เจเอ่ยคำลาเพื่อนพร้อมกับหันไปยกมือไหว้สามีของครีมซึ่งออกไปสูบบุหรี่นอกร้านมา เขากุมมือคนรักและพากันเดินกลับไปที่รถ



"เจจ๊ะ ขอฉันอยู่แบบนี้แป๊บนึงนะ"

ฆาเบียร์กอดร่างคนรักไว้แน่นเมื่อพวกเขาทั้งสองขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว เจโอบรัดร่างคนรักของเขาไว้แน่นเช่นกัน

"คุณจะไม่ถามอะไรผมสักนิดเหรอครับ ฆาบี้?"

เจกระซิบเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูของคนรัก คนตัวโตส่ายหัวแล้วตอบเพียงสั้นๆ

"ถ้าเจไม่อยากเล่า ฉันก็จะไม่ถาม"

ฆาเบียร์ดันร่างเพรียวในอ้อมอกออก เขาถอนหายใจเบาๆ

"งั้น กลับกันแล้วเนาะ ขอบใจนะที่เจพาฉันมากินร้านนี้ อร่อยสมกับที่เป็นร้านยอดนิยมจริงๆ "

ฆาเบียร์เปลี่ยนเรื่องคุย เจนยุทธจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนรัก แม้จะดูเศร้าน้อยๆ แต่เขาเห็นได้ถึงความเข้าใจในดวงตาแพรวพรายคู่นั้น เจกุมมือคนรักขึ้นมาจูบเบาๆ ฆาเบียร์ดึงมือกลับและจุมพิตบนมือเรียวที่เกาะกุมมือเขาอยู่เช่นกัน เจกดปุ่มสตาร์ทรถและขับพาพวกเขาทั้งสองกลับไปยังคอนโด


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ครีม (ต่อ) ----




"ผมกับครีม เราเคยสนิทกันมากครับ"

เจพูดขึ้นลอยๆ พร้อมกับพับผ้าปูเตียงที่เขาตากไว้ ตลอดทางกลับคอนโด พวกเขานั่งเงียบๆ กันในรถ มีเพลงเสียงเพลงแผ่วเบาจากเพลย์ลิสต์เป็นตัวทำลายความเงียบ กระทั่งเมื่อจอดรถและขึ้นลิฟท์ไปที่ห้อง พวกเขาทั้งคู่ก็จมอยู่แต่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งเจพูดประโยคนั้นขึ้น ฆาเบียร์ซึ่งกำลังนั่งอ่านเมล์จากในไอแพดเงยหน้าขึ้นมามองคนรัก

"สนิท...สนิทแบบพลอยหรือรุ่งงั้นเหรอ?"

คนตัวโตถาม เจส่ายหน้า

"ไม่ใช่ครับ ผมกับครีม เราไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายอะไรกันแบบนั้น พวกเราสนิทกันแบบ เอ่อ แบบเหมือนเป็นเพื่อนกัน อยู่ก๊วนเดียวกัน แฮงก์เอาท์กัน อะไรแบบนั้น"

ในช่วงเป็นนักศึกษา ครีมเป็นสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มเพื่อนของเจซึ่งมีปรินซ์ ซันซัน และเพื่อนหนุ่มอีกสองสามคนที่ตอนนี้ไม่ได้ทำงานอยู่ในเชียงใหม่

"กลุ่มของพวกเราสนิทกันมาก เข้านอกออกในบ้านกันได้ แต่ครีมเค้าจะเป็นเด็กดี ไม่ใช่เด็กเที่ยวเหมือนพวกผม พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่กันเวลากลางวัน เรียน เดินห้าง กินข้าว"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาพอจะเดาออกว่าเรื่องนี้มันจะไปในทิศทางไหน



"พวกเราคบหาสนิทกันตลอดทั้งสี่ปีที่เรียนอยู่..."

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขานั่งคิดอยู่นานว่าควรจะเล่าเรื่องนี้ให้ฆาเบียร์ฟังดีไหม สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเล่า

"ในช่วงเวลาที่คบหากันแบบเพื่อนนั้น ผมก็รู้ตัวว่าผมชอบเขาและผมก็รู้ด้วยว่าเขาเองก็ชอบผมเหมือนกัน..."

ฆาเบียร์เม้มปากเบาๆ ถึงมันจะเป็นสิ่งที่เขาเดาได้อยู่แล้ว แต่มันก็ยากที่จะฟังโดยที่ไม่รู้สึกปวดใจ เขาตัดสินใจจะไม่ถามอะไรและปล่อยให้เจเล่าออกมาเอง เจแอบมองหน้าคนรักและเล่าต่อ

"แต่ผมในตอนนั้นก็เละเทะอย่างที่คุณรู้ มีผู้หญิงเยอะ นอนกับเขาไปทั่ว ไหนจะมีพวกที่ผูกปิ่นโตกันอย่างพวกเจ๊ๆ เพื่อนพี่อิ่มอีก ผมเลยตัดสินใจที่จะไม่สานต่อความสัมพันธ์กับครีม ส่วนหนึ่งก็เพราะผมกลัวว่าผมจะไม่สามารถทำให้เขามีความสุขได้เพราะไอ้นิสัยไม่รู้จักพอของผมนี่แหละ และผมก็ไม่อยากที่จะเสียความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนไป คงคล้ายๆ ไอ้ปรินซ์กับซันซันนั่นแหละครับ"

เจหัวเราะหึๆ เขาเล่าต่อว่าพวกเขาทั้งคู่คบกันแบบเพื่อนมาตลอดสี่ปีโดยที่ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าพวกเขาชอบพอกันและกัน หากพวกเขาทั้งคู่ต่างไม่เคยปริปากพูดมันออกมาและไม่เคยมีการแสดงทีท่าอันใดนอกเหนือไปจากความเป็นเพื่อนที่มีต่อกัน



"ครีมในตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นสาวหวานน่ารักแบบที่เราเจอเมื่อกี้หรอกนะ ตอนนั้นเขาออกจะห้าวๆ ลุยๆ พูดจาโผงผาง แต่ไม่ใช่ทอมบอยนะ แค่นิสัยไม่ใช่ girlie girl เลยมาคบกับพวกผมได้ และผมก็ชอบเขาที่เป็นแบบนั้น”

นอกจากเรื่องที่พวกเขาคุยกันถูกคอในหลายเรื่อง เจยังรู้สึกได้ว่าครีมไม่ได้ “น่ารำคาญ” เหมือนสาวๆ หลายๆ คนที่ล้อมรอบตัวเขา แต่เจก็เลือกที่จะหยุดความรู้สึกของตัวเองไว้ด้วยเหตุผลดังที่เขากล่าวไปแล้ว

“ตลอดช่วงสี่ปีนั้น ครีมเขาก็มีคนมาชอบบ้างแหละ ถึงจะเป็นคนห้าวๆ แต่เขาก็หน้าตาน่ารัก นิสัยก็ดี เขาก็มีคนที่กิ๊กๆ กันอยู่ แต่มันก็เป็น just a fling อ่ะครับ ไม่ได้มีคนที่เดทด้วยจริงจัง ผมก็รู้อ่ะว่าลึกๆ แล้วเขารอผมอยู่”

เจนยุทธยิ้มฝืนๆ

"ผมคิดว่าตัวเขาเองก็คงรอให้ผมพูดก่อนหรือแสดงท่าทีออกมาก่อนว่าผมพร้อมจะคบหาเขา ก็ตอนนั้นผมมันก็เป็นซะแบบนั้น ผู้หญิงที่ไหนเขาจะอยากมาฝากอนาคตด้วย แต่ไอ้ตัวผมเองก็ไม่แน่ใจแล้วก็ยังไม่พร้อมที่จะคบหาใครจริงๆ จังๆ อีกอย่างก็กลัวจะทำให้เขาเสียใจด้วย สุดท้ายพอเรียนจบและเริ่มทำงาน ครีมเขาก็มีแฟนที่คบหากันจริงจังไป"

เจนึกถึงชีวิตวัยหนุ่มของเขา ครั้งแรกที่เขารู้ว่าครีมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว เขาถึงกับซึมไปพักใหญ่

“ช่วงนั้นผมออกเที่ยวทุกคืนและคั่วหญิงไม่เลือกหน้าเพื่อให้หายเฮิร์ท แต่ทำยังไงมันก็ยังปวดใจอยู่ดี”

ฆาเบียร์ขบกรามแน่น ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เขาก็อดรู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้นไม่ได้



“แต่ครีมก็ไม่ได้คบแฟนคนแรกนานครับ ผู้ชายคนนั้นมันไม่ใช่คนดีอะไร ที่จริง หึๆ มันคล้ายผมทีเดียวล่ะ ทั้งรูปร่างและบุคลิก ผมรู้สึกได้ว่าที่ครีมคบมันก็เพราะตรงนี้...”

แฟนคนแรกของครีมก็เป็นพ่อปลาไหลเหมือนเจนยุทธ แต่ที่ต่างออกไปคือเขาคบครีมทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองไม่สามารถมีผู้หญิงในชีวิตได้เพียงคนเดียว

“สามเดือนผ่านไป คืนหนึ่งครีมเขาโทรหาผม เสียงเขาเมามาก เขาบอกว่าเขาอยู่ที่ผับ ตอนนั้นผมยังอยู่บ้านอยู่ ผมก็รีบขับรถออกไปหาเขาเลยนะ พอเจอหน้าผม เขาก็ปล่อยโฮออกมาเลย”

เพื่อนสาวของเขาร้องไห้สะอึกสะอื้นและบอกว่าเธอเพิ่งถูกผู้ชายคนนั้นบอกเลิก เธอระแคะระคายว่าแฟนของเธอมีผู้หญิงอื่น เธอจึงแอบตามมาที่ผับและเห็นภาพบาดตา แฟนของเธอกำลังนัวเนียอยู่กับสาวน้อยคนหนึ่ง เมื่อเธอปรี่เข้าไปหาด้วยความโกรธ ผู้ชายคนนั้นที่เธอเคยมองเป็นเทพบุตรกลับสลัดเธอทิ้งอย่างไร้เยื่อใย



“เขาบอกว่าฉันมันไม่ได้เรื่อง ให้ความสุขเขาไม่ได้ ทำไมเหรอเจ? เซ็กส์มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ? การที่ฉันยังไม่พร้อมให้เขาเนี่ย การที่ฉันอยากจะรอให้มั่นใจว่าเขาคือคนที่ใช่จริงๆ มันผิดนักเหรอ?”

เจหวนนึกถึงเสียงคร่ำครวญของเพื่อนสาว

“ผมอึ้งเลยครับ ไม่รู้จะตอบครีมว่ายังไง สำหรับผม ผมไม่เคยคิดว่าแฟนผมจะต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเกิดผมรักใครสักคนขึ้นมาจริงๆ แล้วถ้าเธอยังไม่พร้อมให้ผม ผมก็จะรอและไม่ได้คิดว่าจะต้องมีอะไรกันทันที”

“แล้วเจตอบเขาไปว่าไง?”

ฆาเบียร์ถามคนรักของเขา เขาพยายามทำใจให้เป็นกลางและคิดเสียว่ากำลังฟังเรื่องของคนอื่น เจหัวเราะหึๆ

“ผมไม่ตอบ แต่ฝากครีมไว้กับซันซันที่ตามมาทีหลัง ส่วนผมกับปรินซ์เดินเข้าไปตามหาตัวไอ้ผู้ชายคนนั้น แล้วก็เจอมันจริงๆ มันกำลังนัวอยู่กับสาวเลย”

“อย่าบอกนะว่านายไปชกไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะ”

ฆาเบียร์ถาม เขาอยากรู้ว่าเจจะยอมทำได้แค่ไหนเพื่อเพื่อนสาวคนนั้นของเขา

“หึๆ ตอนแรกผมก็กะทำแบบนั้นครับ แต่พอดีผมจำได้ว่าสาวคนที่มันกำลังคั่วอยู่เคยเป็นเด็กเก่าของทั้งผมกับไอ้ปรินซ์ พวกผมก็เลยเดินเข้าไปหาดื้อๆ เลย”

ทั้งเขาและปรินซ์เข้าไปทักทายสาวน้อยคนนั้นอย่างสนิทสนม เธอผละออกจากหนุ่มคนนัั้นแทบจะทันทีที่เห็นพวกเขา พวกเจซื้อเหล้าเลี้ยงและอาศัยความเป็นวัวเคยค้าม้าเคยขี่ฉกสาวคนนั้นไปจากชายคนนั้นต่อหน้าต่อตา

“พอมันทำท่าจะหาเรื่อง ผมก็พูดใส่หน้ามันไปเลยว่าผมเป็นเพื่อนของครีมและให้มันจำใส่กะโหลกไว้ซะว่าวันนี้มันทำพลาดไปแล้วที่เลือกเด็กนั่นมากกว่าครีม เหอะๆๆ มีเพชรอยู่ในมือแท้ๆ เสือกดันปล่อยไปคว้ากรวด ก็ต้องเจอแบบนี้”

พอได้ยินชื่อครีม ชายคนนั้นก็ไม่กล้าทำอะไร อีกทั้งเจยังมากับปรินซ์ที่ร่างใหญ่กำยำ ทำให้ชายคนนั้นที่รูปร่างใกล้เคียงกับเจต้องล่าถอยไป เมื่อเจหันกลับมาก็เจอเข้ากับครีมและซันซันที่ยืนรออยู่แล้ว ครีมซึ่งยังเมาอยู่มากก็ได้โผเข้ากอดเจและขอให้เจพาเธอออกไปจากที่นี่



“แล้วเจทำยังไง”

ฆาเบียร์ถามด้วยเสียงแหบแห้ง เขาไม่อยากได้ยินสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเลย เจมองหน้าคนรักของเขาอย่างรู้ทัน

“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดครับ ฆาบี้”

เจนยุทธเล่าต่อ

“พอขึ้นรถ ครีมก็เข้ามากอดผมทั้งที่ยังน้ำตาเปรอะเต็มหน้านั่นแหละ ไม่กอดเปล่า เขายังพยายามจะหอมจะจูบผม ผมก็อึ้งไปสิ ทำอะไรไม่ถูก”

ครีมสะอึกสะอื้นบอกว่าถ้ายังเป็นเด็กดี เป็นสาวบริสุทธิ์อยู่แล้วให้ความสุขแฟนไม่ได้ ทำให้แฟนอัดอั้นตันใจต้องไปมีคนอื่น เธอก็จะยอมเสียตัว

“เธอบอกว่าเธอตัดสินใจแล้ว เธอจะให้ผมเป็นคนแรกของเธอ เธอขอให้ผมพาเธอไปไหนก็ได้ จะม่านรูด หรือจะในรถก็ได้ แค่ขอให้เธอได้พ้นสภาพสาวบริสุทธิ์ซักที”



“แล้วตกลง พวกนาย...”

ฆาเบียร์ถามเสียงแผ่วเบา ถึงเจบอกเขาไว้ว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่เคยมีอะไรกัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่คิดเลยว่าเจได้พูดความจริงกับเขา เจนยุทธหัวเราะเบาๆ เขาขยับกายไปนั่งอิงแอบร่างคนรัก

“ตอนนั้นในหัวผมขาวโพลนไปหมด ถึงจะเรียนจบและแยกกันไปเกือบปีแล้ว ผมยอมรับเลยว่าผมยังลืมครีมไม่ได้ แล้วตอนนี้โอกาสที่ผมจะได้ตัวคนที่ผมชอบก็มาวางอยู่ตรงหน้า คุณคิดว่าผมจะทำไงล่ะ?”

ฆาเบียร์ขบกรามแน่นจนเขาเองรู้สึกเจ็บ หากเมื่อเขามองเข้าไปในตาของคนรัก เขากลับเห็นแววตายั่วเย้า

“เจนยุทธ ตอบมาดีๆ ไม่งั้นฉันจะไม่ฟังแล้ว”

คนตัวโตคำรามเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าเขากำลังถูกเจปั่นหัวเล่น เจหัวเราะเบาๆ

“จ้าๆ ไม่แกล้งก็ได้ เมียผมนี่ดุจริงๆ “

เจหอมแก้มที่หนวดเคราเริ่มขึ้นครึ้มของคนรักฟอดใหญ่แล้วจึงเริ่มเล่าต่อ

“ผมรีบขับรถพาครีมออกจากที่นั่นอย่างเร็ว แต่ไม่ได้พาไปโรงแรมหรือไปไหน ผมพาเขาตรงกลับไปส่งบ้านทันที...”

เมื่อถึงบ้านของครีม เจใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่จะพาเพื่อนสาวที่นอนคอพับคออ่อนที่เบาะหน้ารถลงไปส่งให้ถึงมือแม่ของเธอ

“ผมบอกที่บ้านของครีมไปตามตรงว่าครีมเมาเพราะอกหัก แต่ก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังนะ”

ฆาเบียร์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ นี่แหละคือเจนยุทธของเขา ถึงจะปวดใจในเรื่องที่ได้ฟัง แต่เขาก็อดภูมิใจในคนรักของเขาคนนี้ไม่ได้



“วันถัดมา ครีมโทรมาหาผมและขอบคุณที่ผมไม่ฉวยโอกาสทำอะไรเธอ ผมก็อบรมเธอไปชุดใหญ่ ผมบอกเธอว่าเซ็กส์ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาตัดสินว่าคนๆ นั้นรักเธอหรือไม่ ถ้าแฟนเธอรักเธอจริง เขาต้องรอเธอได้ แต่ในอีกทางหนึ่ง ถ้าวันหนึ่งเธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์แล้ว เมื่อเธอไปพบรักใหม่ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ควรเห็นว่าเธอด้อยค่าเพียงเพราะเธอเคยผ่านใครมาแล้ว”

เจบอกเพื่อนสาวของเขาไปว่ามันไม่ผิดที่จะมีเซ็กส์กับใครสักคน แต่เขาอยากให้เธอพิจารณาและตัดสินใจดีๆ ว่าที่เธอกำลังจะทำลงไปนั้น เพราะเธออยากทำจริงๆ หรือเพราะทนแรงตื๊อไม่ไหว และถ้าเธอยังไม่พร้อม เธอมีสิทธิ์ปฏิเสธได้ตลอดเวลา

“ผมบอกเธอว่าร่างกายเธอเป็นของเธอ เธออยากจะมีหรือไม่อยากมี มันคือสิ่งที่เธอต้องตัดสินใจเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนั้น แต่เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็ต้องรับผลของมันด้วย”

หากสิ่งที่เพื่อนสาวของเขาตอบกลับมามันทำให้เจพูดไม่ออก

“ครีมตอบว่าผมเมื่อคืนนี้ มันคือการตัดสินใจของเขาจริงๆ ไม่ใช่เพราะเหล้า และมันคือสิ่งที่เขาตั้งใจมานานแล้ว ในตอนนั้นผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังจะพูดออกมาว่าเขาชอบผม ผมก็เลยรีบตัดบทไปคุยเรื่องอื่น…”

เจนยุทธถอนหายเฮือกใหญ่ ฆาเบียร์ยกมือขึ้นโอบไหล่คนรักที่เอนกายมาซบร่างเขา

“ทำไมล่ะ เจ คนที่นายชอบกำลังจะสารภาพความในใจกับนาย ทำไมนายต้องห้ามไว้?”

“ก็เพราะผมกลัว ฆาบี้ กลัวใจตัวเอง กลัวว่าผมไม่อาจจะหนักแน่นพอหลังจากตัดสินใจคบเขาไปแล้ว แล้วถ้าสักวันผมเกิดพลั้งเผลอออกนอกลู่นอกทางไป ผมก็คงทำให้เขาเสียใจไม่ต่างจากไอ้บ้านั่น แล้วผมมันก็ไม่ใช่คนดีอะไรนะครับ ถ้าครีมเขาต้องมาเจอพวกอดีตสาวๆ ของผม เขาจะรับได้เหรอ แล้วอย่างเขาควรได้เจอคนดีๆ ที่พร้อมจะสร้างครอบครัวด้วย ไม่ใช่คนที่ลอยไปลอยมาวันๆ แบบผม”



“นายคงรักเขามากสินะ ถึงยอมถอยห่างออกมา..."

ฆาเบียร์พยายามข่มความรู้สึกริษยาที่เอ่อท้นขึ้นมา เขาลุกพรวดขึ้นโดยอ้างว่าจะไปชงกาแฟ หากเจคว้าข้อมือของคนรักไว้

"เดี๋ยวครับ ฆาเบียร์ ผมไม่เคยพูดนะว่าผมรักเขา..."

คนตัวโตหันขวับมามองหน้าคนรัก เจยิ้มให้คนตัวโตซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง

"ผมชอบครีมครับ ชอบมาก มากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในชีวิตผมในตอนนั้น แต่จะบอกว่าผมรักเขาไหม? ยังครับ ยังไม่ถึงขั้นรักเขา พวกเรายังไม่ได้มีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงขั้นนั้น"

เจดึงคนรักให้กลับลงนั่งบนโซฟาโดยมีตัวเขาขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักและซบหน้าลงไปบนอกกว้าง

"ผมเคยคิดว่าที่ผมรู้สึกกับเขามันคือความรัก แต่คุณรู้อะไรไหม? ผมเพิ่งมารู้ว่ามันไม่ใช่เมื่อไม่นานมานี้เอง"

เจนยุทธจุมพิตเบาๆ ที่แก้มของคนรักที่นั่งงงอยู่

"ความรู้สึกเศร้า ความเสียใจที่ได้รู้ว่าผู้หญิงที่ผมชอบมาเกือบสี่ปีมีแฟนแล้ว มันเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกที่ผมมีให้คนแปลกหน้าคนนึงที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ห้องผมแค่เดือนเดียว"

เจพูดยิ้มๆ เขาแนบแก้มของตัวเองไปกับแก้มของคนรักและรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น

"ตอนที่คุณหายเงียบไปในตอนนั้น ตอนที่ผมนึกว่าเราสองคนคงจบกันแค่นี้ ใจผมพังยิ่งกว่าตอนที่ครีมมีแฟนอีกนะคุณ นั่นขนาดว่าในตอนนั้นเรารู้จักกันได้แค่เดือนเดียว แล้วตอนที่สมุย ตอนที่ผมเข้าใจผิดเรื่องพี่นพ นั่นมันยิ่งเจ็บกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า"



"เจ..."

เจนยุทธหยุดคำพูดของคนรักด้วยริมฝีปากนิ่มของตัวเอง เขาป้อนจูบให้เมียตัวโตของเขาเพื่อแสดงความรู้สึกของตัวเองให้ฝ่ายได้รู้แน่ชัด พวกเขาจุมพิตกันอ้อยอิ่งเนิ่นนานก่อนที่เจจะดันตัวออก เขามองลึกเข้าไปในดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มของฆาเบียร์

"ผมรู้ว่าคุณอาจสงสัยในตัวผม สงสัยว่าคนที่ไม่ใช่เกย์อย่างผมจะสามารถรักคุณได้จริงๆ ไหม..."

ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำเพราะรสจูบของคนรักและเพราะคำพูดของเจนยุทธซึ่งตรงกับสิ่งที่เขาคิดไว้ในใจ เจไม่ใช่ชายแท้คนแรกที่เขามีสัมพันธ์ด้วย ที่ผ่านมาเสน่ห์ของเขาเคยดึงดูดใจชายที่ไม่ใช่เกย์หลายต่อหลายคน หากเขารู้ดีว่าแม้ว่าชายเหล่านั้นจะเป็นฝ่ายอยู่ใต้ร่างเขาและไม่ว่าจะเคยมีความสุขด้วยกันมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นก็มักกลับไปหาเพศตรงข้ามอยู่ดี เขายังเคยเห็นเพื่อนเกย์ของเขาหลายคนต้องทุกข์ตรมเพราะไปหลงรักชายแท้ แม้ใจฆาเบียร์จะเชื่อมั่นในตัวคนรักเต็มร้อยว่าเจจะไม่มีวันทำให้เขาต้องเสียใจ แต่ความมั่นใจนั้นก็ได้หดหายไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้น

"ฆาเบียร์ครับ..."

เจถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าลังเลของคนตัวโต

"ผมรักคุณและคำว่ารักของผมมันไม่ใช่แค่คำพูดพล่อยๆ ที่ออกจากปากไปวันๆ คุณก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ ฆาบี้?"

ฆาเบียร์หลบสายตาที่จ้องมองมาของเจนยุทธ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"รู้สิ เจทำไมฉันจะไม่รู้ แต่ฉันก็อดหวั่นไหวไม่ได้ ที่ผ่านมานายไม่เคยแสดงทีท่าว่าผูกพันกับใครทางใจแบบนี้มาก่อน แล้วตอนอยู่ที่ร้าน นายก็ทำท่าตกใจและดูเหมือนไม่อยากให้ฉันได้เจอกับครีม แล้วจะให้ฉันคิดยังไง?"

คำพูดที่เกิดจากความอัดอั้นตันใจพร่างพรูออกมาจากปากของฆาเบียร์



“โธ่ ฆาบี้ นั่นก็เพราะผมรู้ว่าคุณเซนส์ดีแถมยังขี้น้อยใจแบบนี้น่ะสิครับ”

เจหัวเราะออกมาก่อนจะหอมแก้มของคนรักฟอดใหญ่ ฆาเบียร์หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อถูกเจนยุทธยั่วเย้า

“ผมรู้ว่าคุณต้องดูออกว่าครีมเขาไม่เหมือนพวกเจ๊ๆ หรือเด็กๆ ตามที่เที่ยวและผมก็รู้ว่าคุณต้องเก็บเอาไปคิดมากแน่ๆ น่ะสิ ผมไม่อยากให้คุณต้องมาเครียดอะไรเพราะเรื่องนี้ ผมเลยกะว่าจะรีบๆ คุย รีบๆ ทักทายให้จบ ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดแล้วก็จะได้รีบแยก ทางใครทางมัน แต่ก็ไม่นึกนะว่าจะมีคนแก่ขี้ใจน้อยชิงแนะนำตัวไปซะเรียบร้อย”

เจหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงท่าทางของคนรัก ฆาเบียร์เองก็หน้าแดงซ่าน เขาก็ไม่เคยนึกว่าจะมีวันที่คนอย่างเขาต้องทำอะไรแบบนั้นออกไป เจหัวเราะหึๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของเมียขี้หึงของเขา

“…แล้วเพื่อนร่วมงานเนี่ยนะ ฆาบี้? เอางั้นเลยเหรอ? ทำไมคุณไม่พูดออกมาเลยว่าเป็นแฟนผม ต่อให้คุณพูดแบบนั้นผมก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว โอเค ตอนแรกผมนึกว่าคุณอาจจะแค่กลัวผมเขินเพื่อน แต่พอคุณลุกหนีไปนี่ ในหัวผมนี่มึนไปหมดเลย คิดแต่ว่าซวยแล้ว นี่ผมทำให้คุณเสียใจอีกแล้วใช่ไหม?”

เจพูดเสียงอ่อยๆ ตอนแรกเจคิดว่าฆาเบียร์ที่หึงเขาจนต้องเป็นฝ่ายยอมเอ่ยปากทักทายเพื่อนสาวของเขาก่อนนั้นช่างน่ารักเหลือเกินจนเขาอดจ้องมองด้วยความหลงใหลไม่ได้ แต่ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนเป็นความร้อนใจเมื่อคนตัวโตลุกพรวดและเดินหนีหายเข้าห้องน้ำไป เขากลัวว่าอาการแพนิคของฆาเบียร์อาจจะกลับมาอีก เขาเลยรีบตัดบทสนทนากับครีมและลุกตามไปรอที่หน้าห้องน้ำ

“แปลว่าที่นายไม่อยากให้ฉันเจอครีมเพราะนายกลัวฉันคิดมาก กลัวฉันเสียใจ? ไม่ใช่ว่ากลัวเขารู้ว่านายมีแฟนแล้ว แถมเป็นผู้ชายอีกต่างหาก? ฉันเข้าใจแบบนี้ถูกไหม เจนยุทธ?”

เจพยักหน้าตอบรับ

“ครับฆาบี้ ผมกับครีมเราเคลียร์กันนานแล้ว เขาเองก็แต่งงานแต่งการไปแล้ว ลูกคนที่สองก็กำลังจะคลอดอยู่มะรอมมะร่อ พี่กัญจน์สามีครีมคนนี้ผมก็รู้จัก ที่จริงผมกับพี่นพเป็นคนแนะนำพี่เขาให้ครีมรู้จักด้วยซ้ำ พี่เขาเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของพี่นพครับ”



“งั้น นี่ฉันเข้าใจผิดไปเองทั้งหมดเลยเหรอ เจ? แล้วทำไมนายต้องทำท่าไม่อยากแนะนำฉันให้เขารู้จักด้วยล่ะ?”

ฆาเบียร์ยังไม่อยากเชื่อคนรักสนิทใจ เขาอดจี้ถามต่อไม่ได้ เจทำท่าอึกอักและสุดท้ายก็โพล่งออกมา

“ก็ไอ้ครีมมันชอบแซวผมอ่ะ ผมบอกแล้วว่านิสัยมันจะห้าวๆ โผงผาง มันยังขี้แซวแถมยังทะลึ่งเป็นที่หนึ่ง ถึงตอนนี้มันจะเป็นแม่คนแล้วแถมยังชอบแอ๊บทำตัวเรียบร้อยต่อหน้าผัว แต่ถ้าไปเผลอเปิดช่องให้มัน มันก็ใส่ผมเละอ่ะ อย่างเมื่อกี้ตอนผมพาคุณไปแนะนำที่โต๊ะก็โดนไปหลายดอกแล้ว”

เจบ่นอุบอิบ ครีมทั้งแหย่ทั้งแซวเขาที่เปลี่ยนจากเพลย์บอยไปมีแฟนหนุ่ม เจนยุทธทำหน้าเซ็งแต่ก็อดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าเจื่อนจ๋อยของคนรัก

“ฉันก็นึกว่าเพราะนายยังรู้สึกอะไรกับเขาอยู่”

คนตัวโตพึมพำออกมาเบาๆ

“อืมม์...ทุกวันนี้ผมก็ยังชอบเขาอยู่นะ...”

เจพูดออกมาหน้าตาเฉย ฆาเบียร์จ้องหน้าคนรักนิ่ง เจพยายามทำหน้าเครียดแต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบของฆาเบียร์ เขาโผเข้าหาคนรักและกดให้ลงนอนกับโซฟา

“…แต่ที่ผมรักน่ะ มีแค่เมียของผมคนนี้คนเดียวแค่นั้นนะครับ”

เจกระซิบแผ่วๆ และบรรจงจูบที่หน้าผากของฆาเบียร์ เขาจูบแก้มที่ร้อนผ่าวและจบลงที่ริมฝีปากบางของคนตัวโต ฆาเบียร์พยายามปิดปากแน่นแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ให้กับปลายลิ้นที่เกลี่ยไล้เรียวปากของเขา



“หายงอนหรือยังครับ เมีย? หืมม์? ว่าไง ยิ้มให้ผมสักนิดสิครับ ที่รัก”

เจจุ๊บเบาๆ อีกครั้งที่ริมฝีปากของเมียตัวโตของเขา หากฆาเบียร์ซึ่งนอนหอบหายใจอยู่ใต้ร่างคนรักยังไม่ยอมตอบรับและได้แต่เบือนหน้าหนี เจนยุทธหน้าสลดเมื่อเห็นท่าทีเมินเฉยของคนรัก เขาขยับกายลุกขึ้นจากร่างหนั่นแน่นและพึมพำคำขอโทษออกมาเบาๆ เขาทำท่าจะเดินไปแต่มือใหญ่ของฆาบี้ก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา

"จะไปไหน เจนยุทธ? "

เสียงเรียบๆ ของฆาเบียร์ทำให้เจยิ่งใจแป้ว เขาพูดตะกุกตะกัก

"ก็...ก็คุณยังเคืองผมอยู่ ผมก็เลยว่าจะปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวสักพักก่อน"

"ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าฉันเคืองนายนะ..."

เจนยุทธทำตาปริบๆ แล้วไอ้ที่เมินหน้าหนีและไม่ค่อยตอบสนองต่อสัมผัสเมื่อครู่ของเขานั้นคืออะไร ฆาเบียร์ซ่อนยิ้ม

"...แต่ฉันเหม็นนาย กลิ่นอาหารติดตัวติดหัวนายหึ่งไปหมดแล้วนะเจ ตอนขึ้นรถมาฉันก็รู้สึกว่าเหม็นแล้วแต่ก็ยังพอทนได้ พอฟังนายเล่าเรื่องครีมมันก็พอทำให้ฉันลืมๆ เรื่องกลิ่นไปได้ แต่ตอนนายมานัวเนียใกล้ๆ นี่ ไม่ไหวจริงๆ "

เจอุทานลั่นแล้วทุ่มกายเข้าใส่คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟา

"นี่คุณแกล้งผมเหรอ ฆาบี้ นี่แน่ๆๆ คุณก็เหม็นพอๆ กับผมนั่นแหละน่า"

เจไล่จั๊กจี้คนรักจนตัวงอไปงอมาแล้วยังไม่หนำใจ เขายังถอดเสื้อที่มีกลิ่นอาหารติดเต็มโปะเข้าไปที่ใบหน้าของฆาเบียร์ คนตัวโตร้องลั่นและพยายามเบือนหน้าหนี ทั้งคู่ปลุกปล้ำหยอกล้อกันพักใหญ่และจบลงด้วยการลงไปนอนแผ่หราด้วยกันทั้งคู่บนพื้นพรมที่ปูอยู่หน้าโซฟา



"โอ๊ย เหนื่อย อยากอ้วกด้วยอ่า"

เจบ่นพึมพำ แม้ผ่านไปกว่าชั่วโมงแล้ว เขายังคงรู้สึกอิ่มจัดจากร้านโกโร่ เมื่อได้กลิ่นอาหารที่ติดตัวทั้งเขาและคนรักมากๆ เข้า เขาก็เริ่มรู้สึกอยากอาเจียน

"เจอย่าพูดสิ นี่ฉันเริ่มขมคอขึ้นมาแล้วนะ"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ เขาเองก็กำลังเมากลิ่นอยู่เช่นกัน เจค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปหยิบโค้กไลท์เย็นๆ ในตู้เย็นมาสองกระป๋อง เขาเปิดและส่งกระป๋องหนึ่งให้ฆาเบียร์ซึ่งลุกขึ้นนั่งพิงโซฟา

"เผื่อจะช่วยบ้างครับ"

คนตัวโตรับมาและยกขึ้นจิบ ความซ่าของโซดาช่วยทำให้อาการของเขาดีขึ้น ทั้งสองมองสภาพของอีกฝ่ายและอดหัวเราะออกมาไม่ได้

"ร้านนี้กินแล้วเหม็นอย่างที่เจว่าจริงๆ กินแล้วหมดสิทธิ์ไปไหนต่อ ต้องพุ่งกลับบ้านอย่างเดียว"

"นั่นสิ นี่ผมก็ลืมไป เราขึ้นไปนอนกันบนโซฟาแบบนี้ กลิ่นติดแน่นอน เดี๋ยวผมคงต้องไปเอาสเปรย์มาฉีดซักหน่อย"

เจฉุดมือคนรักให้ลุกขึิ้นยืนแล้วก็เดินไปหยิบสเปรย์ฉีดอากาศแบบที่สามารถใช้กำจัดกลิ่นบนผ้าได้ด้วยมา เจจัดการฉีดมันจนทั่วโซฟา

"คุณครับ งั้นคุณไปเตรียมน้ำอาบเถอะ กลิ่นขนาดนี้ผมว่าเราอาบน้ำอ่างกันเลยดีกว่า แช่น้ำแล้วก็ขัดเอากลิ่นออกให้หมด ใส่ไอ้เจ้า bath salt ด้วยนะจะได้หอมๆ รีบๆ ด่วนๆ ดึกแล้ว เดี๋ยวคุณต้องเตรียมเก็บของอีก"

สั่งการเสร็จ เจก็จัดการให้ฆาเบียร์ถอดเสื้อผ้าที่ใส่ออกแม้กระทั่งชั้นในแล้วก็ไล่ให้ไปเตรียมน้ำ ตัวเขาเองก็ลอกคราบและเอาผ้าใส่เครื่องซักผ้าที่ใต้ซิงค์น้ำแล้วจัดการซักมันทันที




---------------------------------------------

โอย เขียนไปเขียนมา เรื่องงอกอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ ป๋าฆาบี้เลยยังไม่ได้กลับฮ่องกงซักที คนอ่านอย่าพึ่งเบื่อน้า

วันนี้มาแนะนำร้าน Goro ค่ะ ร้านนี้เคยเขียนถึงเมื่อหลายตอนที่แล้ว ตอนนั้นยังไม่ได้เอามาเป็นร้านเด่นเพราะว่าเคยไปแค่ครั้งสองครั้ง แต่ช่วงสามสี่สัปดาห์มานี้ได้เข้าไปอีกสองสามครั้ง ก็กลายเป็นว่าติดใจเสียแล้ว ตอนนี้ขึ้นแท่นเป็นร้านญี่ปุ่นอันดับหนึ่งในดวงใจไปแล้วค่ะ ข้อเสียของร้านนี้ก็มีตามในเรื่องคือกินเมื่อไหร่เหม็นเมื่อนั้น พูดได้เลยว่าเหม็นยันเสื้อในเลยค่ะ อ้อ จากการหาข้อมูล ก็เจอมาว่าจริงๆ แล้วร้านโกโร่ร้านนี้ ถึงจะใหม่ในเชียงใหม่ แต่ที่จริงแล้วเป็นร้านเก่าแก่จากกรุงเทพฯ ซึ่งเปิดมานานกว่า 40 ปี แต่ภายหลังปิดตัวลง ส่วนร้านที่เชียงใหม่นี้ เจ้าของร้านคือลูกชายของเจ้าของร้านดั้งเดิมที่กรุงเทพฯ ค่ะ อาหารแนะนำก็ตามในเรื่อง แล้วก็มีพวกหม้อไฟค่ะ ส่วนพวกปลาดิบ โดยทั่วไปก็มีปลาดิบมาตรฐาน แต่นานๆ ทีเขาจะมีของสดใหม่จากญี่ปุ่นมา อย่างสัปดาห์นี้ก็มีหอยเม่น ปลาไควาริและปลาฮามาจิค่ะ ก็ต้องคอยเช็คในเพจร้านดู


ลิงค์นะคะ

เพจร้านโกโร่ค่ะ https://web.facebook.com/goro.cnx

รีวิวร้านโดยน้าอ้วนชวนหิวค่ะ http://bit.ly/2MKWb2b

สูตรทาทาร์ซอสแบบญี่ปุ่นค่ะ http://bit.ly/2BDH6uY






ตัวอย่างอาหารอื่นๆ จากร้านโกโร่ค่ะ ที่ชอบก็มีหม้อไฟไก่ซุปกระดูกหมูข้นและหม้อไฟหอยนางรมญี่ปุ่น เราสั่งชุดข้าวกับไข่มาทำข้าวต้มต่อได้ค่ะ หอยเชลล์ย่างชีสก็อร่อย เสียแค่ดันใส่พริกหวานมาด้วย ส่วนอีกรูปคือข้าวหน้าเนื้อยากินิขุ บอกได้ว่าเลิศเลอมากค่ะ



อีกเรื่องคือเรื่องเครื่องสำอางผู้ชายที่เมื่อไม่กี่ตอนก่อนเคยพูดถึงไป เมื่อไม่กี่วันมานี้ได้อ่านเจอข่าวที่บอกว่าตอนนี้ Chanel กำลังจะออกไลน์เครื่องสำอางผู้ชายมาแล้วนะคะ ชื่อว่า boy de Chanel โดยมีรองพื้น ดินสอเขียนคิ้วและลิปบาล์มค่ะ พรีเซนเตอร์ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่คืออปป้าหน้าใสแม้วัยจะใกล้เลขสี่แล้วอย่าง อีดงอุค (Lee Dong-Wook) โดยจะเริ่มวางขายที่เกาหลีเป็นที่แรกในวันที่ 1 กันยายนนี้ ส่วนจะวางขายในบ้านเราเมื่อไหร่นั้นก็ต้องรอดูอีกทีค่ะ เผื่อหนุ่มๆ ที่อ่านเรื่องนี้คนไหนจะสนใจค่ะ :-)

เครื่องสำอาง boy de Chanel http://bit.ly/2OZOnHn




ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- 'When I Fall in Love' ----





"นี่ แล้วตกลงเรื่องครีมเนี่ย เป็นยังไงต่อเหรอ?"

ฆาเบียร์ถามคนรักที่นั่งตาปรือพิงอกเขาในอ่างอาบน้ำ เจหาวหวอดๆ แล้วหันมาหาคนรัก

"นี่ยังไม่หายสงสัยอีกเหรอครับคุณ ผมบอกแล้วไงว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ "

ฆาเบียร์หน้าแดงน้อยๆ และพึมพำบอกว่าถ้าเจไม่อยากเล่าเขาก็ไม่ว่าอะไร เจจุ๊บเบาๆ ที่ปลายคางของเมียขี้หึงของเขา

"เล่าได้ ไม่มีอะไรปิดบังครับ ก็ หลังจากวันนั้น ผมก็เลยหาโอกาสชวนเขามากินข้าวแล้วคุยเปิดอกกันไปเลย..."

เจจับเพื่อนสาวมานั่งคุยกันต่อหน้า เขาบอกเธอว่าเขารู้ว่าเธอชอบเขา ตัวเขาเองก็ชอบเธอมากเช่นกัน แต่เขามองดูแล้วไม่เห็นว่าพวกเขาทั้งสองจะสามารถคบหากันไปยืนยาวได้

"ผมตัดใจบอกเธอไปว่าผมยังไม่คิดที่จะลงหลักปักฐาน อีกทั้งผมก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเจอกับผลที่เกิดจากอดีตของผมและที่สำคัญผมไม่ชอบเด็ก ซึ่งมันต่างกันกับครีม รายนั้นเขารักเด็ก เขาอยากมีลูก แค่ข้อนี้มันก็ทำให้หนทางของเราต่างกันแล้ว การมองอนาคตของเราก็ต่างกัน ครีมเขาอยากทำงานเก็บเงินแล้วก็สร้างครอบครัว แต่ผมนั้นยังอยากสบายๆ ลอยชายไปเรื่อยๆ และหาดูว่าตัวเองอยากทำอะไรจริงๆ แล้วถ้าผมจะให้เธอต้องมารอจนกว่าผมพร้อม ก็คงเป็นไปไม่ได้"

เจเล่าว่าเมื่อฟังสิ่งที่เจพูดจบแล้ว เพื่อนสาวคนสนิทของเจก็ได้แต่นั่งนิ่ง เธอรู้นิสัยเหล่านี้ของเจมานานแล้ว และเธอก็เห็นด้วยในสิ่งที่เจนยุทธกล่าว

"ในตอนนั้นผมบอกเธอว่าผมยังคงชอบเธออยู่ ชอบในแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งชอบผู้หญิงนะครับ แต่ว่าในขณะเดียวกันผมก็ยังเสียดายความเป็นเพื่อนที่พวกเรามีให้กัน และถ้าให้ต้องเลือกระหว่างเป็นแฟนแบบกระท่อนกระแท่นและไม่แน่ใจว่าจะไปกันรอดไหม สุดท้ายก็อาจจะเลิกกันไปแบบมองหน้ากันไม่ติดกับเป็นเพื่อนที่ดีและได้คบหากันไปจนตลอดชีวิต ผมขอเลือกอย่างหลัง แม้มันจะหมายความว่าต้องเห็นเธอไปมีแฟนหรือแต่งงานกับคนอื่นก็ตาม"

การสนทนาในวันนั้นจบลงด้วยน้ำตาของทั้งสองฝ่าย น้ำตาที่หลั่งให้กับความรู้สึกที่ต้องถูกกลบฝังไว้



"พวกเราก็คุยกันว่าต่อไปนี้ต่างฝ่ายก็ต่างเป็นอิสระในการคบหาคนอื่น แต่ถ้าในอนาคต เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเราผ่านโลกมากขึ้น แล้วถ้าผมเกิดรู้สึกพอกับการลอยชายไปมาแล้วต้องการมีความสัมพันธ์ที่มั่นคง แล้วถ้าในตอนนั้นเขาเองก็ยังว่างอยู่ เราก็อาจจะลองมาคบกันดู..."

"แล้วพวกนายเคยมีโอกาสแบบนั้นไหม?"

คนตัวโตกลั้นใจถาม เจนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงอุ้งมือใหญ่ที่กำแขนเขาแน่นอย่างไม่รู้ตัว

"จะไปมีอะไรล่ะคุณ คือช่วงสองสามปีแรกน่ะ ครีมเขาก็มีแฟนคบๆ เลิกๆ อยู่สองสามคน แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เขาก็โทรมาปรึกษาอะไรผมบ่อยนะ สาเหตุที่เลิกกันมันก็หลายอย่าง แต่ชัวร์ๆ นี่ คนนึงที่เลิกไปก็เพราะผมนี่แหละ..."

เจเล่าว่าแฟนครีมคนนั้นเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันแต่คนละสาขาวิชากับพวกเขา ทั้งคู่เจอกันตอนทำงานเพราะผู้ชายคนนั้นเป็น HR ของโรงแรมที่ครีมทำงานอยู่ ฝ่ายชายคงได้ระแคะระคายถึงเรื่องความสนิทสนมของพวกเขาทั้งสองมาจากคนอื่นและแสดงท่าทีหึงหวงอย่างชัดเจน



"ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหมว่าผมเคยทำงานโรงแรมอยู่พักนึงแต่ก็ออกมา โรงแรมที่ผมเข้าทำงานก็เป็นที่เดียวกับครีมนั่นแหละครับ แต่ก็ดันมาเจออิพี่นั่นตามหึงแล้วยื่นคำขาดว่าให้ครีมเลือก สรุปยัยบ้านั่นดันเลือกเลิกกับอิพี่นั่น ผมงี้โดนเอาไปเขียนด่ายับทั้งในเฟซบุ๊คศิษย์เก่าคณะแล้วก็ในบอร์ดของที่ทำงานเลยนะ โดนส่งจดหมายสนเท่ห์ถึงนายด้วย ผมก็เลย อืมม์ ออกดีกว่า"

ฆาเบียร์ตาลุกวาว เขาพูดเสียงแข็งบอกเจนยุทธว่าสิ่งหนึ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือคนทำงานที่ไม่สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันได้

"ไอ้เจ้า HR คนนั้นมันชื่ออะไร? ยังทำงานโรงแรมอยู่หรือเปล่า? โรงแรมไหนเหรอเจ? ถ้าฉันมีคอนเน็คชั่นฉันจะช่วยจัดการให้เจเอง"

เจทำตาปริบๆ มองหน้าคนตัวโตที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและทำท่าเป็นเดือดเป็นแค้นแทนเขา

"เอ่อ ฆาบี้ เรื่องมันนานมากแล้วครับ แล้วไอ้ที่คุณจะทำนี่ไม่ใช่เอาเรื่องส่วนตัวไปปนกับเรื่องงานเหรอ?"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ทำท่านึกได้แล้วก็ต้องหัวเราะออกมา

"บ้าจริง เจนยุทธ เรื่องที่เกี่ยวกับนายนี่ทำให้ฉันน็อตหลุดได้จริงๆ "

เจยิ้มหวานให้คนรักของเขาและเบียดกายเข้ากับอกของคนรัก

"ใจเย็นๆ นะครับคนดี ที่ผมออกมันไม่ใช่เพราะอิพี่นั่นอย่างเดียวหรอก ผมเองก็รู้ตัวว่าไม่ได้ชอบงานสายนี้จริงๆ ตั้งแต่ตอนฝึกงานแล้วด้วยล่ะ เราเลิกคุยเรื่องพี่นี่ดีกว่านะ"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาวักน้ำที่ผสมเกลือหอมรดแขนและตัวให้คนตัวเล็ก เขายังใช้ฟองน้ำขัดตัวที่เจเก็บมาจากโรงแรมโซฟิเทลมาเก๊ามาขัดกายคนรักเบาๆ เจซึ่งนั่งอิงอกคนรักยกมือขึ้นม้วนผมหยักศกที่เปียกหมาดๆ ของฆาเบียร์เล่น



"ไอ้ครีมมันก็มีแฟนคบๆ เลิกๆ อยู่งี้จนเมื่อซักห้า เอ หกปีก่อนมั้ง จำได้ว่าหลังพ่อผมเสีย มันมางานศพพ่อผมก็เลยได้นั่งคุยกัน ช่วงนั้นพวกผมห่างๆ กันไปหน่อยละ เพราะก่อนหน้านั้นมันก็มีแฟนอยู่ ผมเองก็ไม่ค่อยอยากไปยุ่งมากนัก กลัวฝ่ายชายเขาจะคิดมากอีก แต่ตอนนั้นพอได้คุยกันมันก็บอกว่ามันเลิกกับแฟนมาสักพักละ แล้วก็เพิ่งออกจากงานเพราะเริ่มเบื่อที่ทำงานเดิม..."

ในตอนนั้น นพที่นั่งอยู่ในวงสนทนาด้วยก็ได้บอกครีมว่าครอบครัวเพื่อนของเขาซึ่งเป็นสถาปนิกกำลังจะเปิดโรงแรม มันเป็นโรงแรมบูติกขนาดไม่ใหญ่นักแต่เด่นตรงดีไซน์ที่เก๋ไก๋และโลเคชั่นที่อยู่ใจกลางเมือง และเพื่อนเขากำลังหาคนทำงานซึ่งสามารถทำหลายหน้าที่ได้

"...ก็เข้าทางไอ้ครีมมันเลย มันเป็นประเภทลุยๆ อยู่แล้ว ให้มันเป็นฟรอนท์ก็ได้ ไปช่วยที่คอนเสียจหรือเบลก็ยังได้ เผลอๆ ให้มันช่วยเป็นฝ่ายขาย รับจองห้องกับไปล้างส้วมปูเตียงมันก็ทำได้ ทำไม่ได้อย่างเดียวคือลงครัว"

เจหัวเราะคิกเมื่อนึกถึงความลำบากของเพื่อนสาวตอนที่ต้องเรียนวิชาครัว

"แล้วทายซิ ว่าเพื่อนสถาปนิกของพี่นพนั่นคือใคร?"

"คือสามีของครีมในตอนนี้ใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ทายได้ในทันที

"ถูกต้องแล้วคร้าบ พอพี่นพเขาพูดเรื่องงานใหม่ขึ้นมา ครีมก็สนใจเพราะมันเคยแต่ทำงานกับพวกเครือโรงแรมใหญ่ ตอนนี้มันอยากลองเปลี่ยนแนวดูบ้าง พวกผมก็เลยนัดให้มันเข้าไปคุยกับพี่กัญจน์เขาที่โรงแรม ตอนแรกก็เรื่องงานล้วนๆ อ่ะ ไอ้ครีมมันก็เป็นงานอยู่ มันก็ทำตัวเรียบร้อยเอี้ยมเฟี้ยมเป็นมือโปร พี่เขาคุยๆ กับมันแล้วก็ถูกใจเลยรับเข้าทำงาน ก็ทำงานไป จนโรงแรมเปิดได้สักพัก ก็หลายเดือนอยู่ เขาก็มีแกรนด์โอเพนนิ่งอะไรกัน พี่นพก็ชวนผมไปงานด้วย..."



ที่งานพวกเขาก็สังสรรค์เฮฮาตามเรื่องไป จนกระทั่งงานใกล้เลิกและเหลือแขกไม่เยอะ ครีมและสถาปนิกหนุ่มใหญ่เจ้าของสถานที่จึงได้มีโอกาสมานั่งคุยกับเพื่อนฝูง

"พวกเราก็นั่งเม้านั่งคุยกันไป แล้วจู่ๆ พี่กัญจน์แกก็โพล่งถามขึ้นมา..."

เจนยุทธทิ้งช่วงและแอบเหลือบดูหน้าคนรัก ฆาเบียร์มีท่าทางอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

"ถามว่าอะไรเหรอ เจ?"

เจยิ้มกริ่ม ฆาบี้ของเขานี่ก็เป็นขาเผือกไม่ใช่น้อย

"พี่เขาถามว่า ผมกับครีมเป็นแฟนกันใช่ไหม?"

"นั่นเลย ฉันก็คิดว่าเขาน่าจะถามแบบนั้น แล้วเจตอบว่าไง? ปฏิเสธไปเหรอ?"

ฆาเบียร์อุทานออกมาพร้อมกับตบเข่าฉาด เขาเดาว่าเจนยุทธคงตอบปฏิเสธและครีมก็คงรู้สึกเหมือนอกหักอีกครั้งแล้วก็ได้สถาปนิกคนนั้นมาดามใจ เจพ่นลมหายใจพรืด

"หึ...ปฏิส่ง ปฏิเสธอะไรล่ะ ผมยังไม่ทันอ้าปากพูดสักคำเลย ยัยครีมรีบพูดสวนมาเลยว่า ‘ไม่ใช่ค่ะ เราเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ พี่กัญจน์' แบบนี้เลยคุณ ผมกับพี่นพงี้มองบนกันเลยทีเดียว"

คนตัวโตหัวเราะก๊ากออกมาทันทีเมื่อเจทำเสียงเล็กเสียงน้อยพูดเลียนแบบเพื่อนสาวด้วยสีหน้าเอือมระอา

"ผมก็เลยถือโอกาสถามเลยไง ว่าทำไมพี่เขาถึงถามแบบนั้น พี่เขาก็หน้าแดงหูแดงแล้วบอกว่าเขาเห็นผมกับครีมดูสนิทสนมกัน ก็เลยลองถามดูเพราะถ้าครีมมีแฟนแล้วเขาจะได้ตัดใจ"

เจบอกว่าเขาแทบจะร้องไชโยโห่ฮิ้วออกมา เขาแอบมองหน้าเพื่อนสาวแล้วก็ได้เห็นท่าทางเขินอายแบบที่ครีมไม่เคยทำกับใครแม้กระทั่งตัวเขาเอง



"นั่นแหละครับ สองคนนั่นก็เลยเริ่มคบกันแล้วก็แต่งงานกันในที่สุด แล้วคุณรู้อะไรไหม? ถึงจะคบคนนั้นคนนี้มาหลายคน ครีมมันก็ยังเก็บความบริสุทธิ์ของมันไว้จนกระทั่งคืนแต่งงานโดยที่พี่กัญจน์เขาก็เต็มใจที่จะรอ หลังแต่งงาน ครีมมันก็โทรมาหาผมและขอบคุณผมยกใหญ่ที่ผมไม่ได้ทำอะไรมันในคืนนั้น มันบอกว่ามันรู้สึกดีใจเหลือเกินที่ทำตามคำสอนของผมเรื่องให้ฟังเสียงของหัวใจตัวเองอะไรพวกนั้น"

"แล้วเจไม่เศร้าเหรอ ที่คนที่เคยชอบตัวเองมากขนาดนั้นไปรักคนอื่นน่ะ?"

เจครุ่นคิดน้อยๆ ก่อนที่จะส่ายหัว

"ไม่เศร้าครับ ไม่เลย แต่รู้สึกเสียดายไหม? ก็มีน้อยๆ ตามประสามนุษย์ที่เคยเห็นคนที่เคยคิดว่าเป็นของตัวเอง เป็นของตายได้กลายเป็นอื่นไป มันก็ต้องมีเสียดายบ้าง แต่ไม่เศร้าครับ ไม่เสียใจ ผมดีใจกับครีมด้วยซ้ำ เสียงของมันฟังดูมีความสุขมาก"

เจยิ้มบางๆ ใบหน้าของเพื่อนสาวของเขายิ่งดูมีความสุขมากเมื่อเธอตั้งท้องลูกคนแรก เมื่อเจเห็นภาพใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเพื่อนสาวซึ่งอุ้มลูกน้อยแนบอกจากทางเฟซบุ๊ค เขารู้ได้ทันทีว่าตนเองตัดสินใจถูกแล้ว หากเขาเลือกคบกับครีมในฐานะคนรัก เขาคงไม่มีวันทำให้เธอมีสีหน้าแบบนี้ได้แน่นอน



"พอครีมแต่งงานไป ผมก็ติดต่อกับเขาน้อยลง เขายุ่งเรื่องช่วยสามีทำโรงแรม แล้วพอลูกคลอดก็ยุ่งกับเรื่องลูก พวกเราเหลือติดต่อกันแค่ทางเฟซบุ๊คกับไลน์ มีโทรคุยกันบ้างซึ่งก็นานๆ ที ไม่ได้คุยกันตลอดเหมือนเมื่อก่อน คุณถึงไม่เคยได้เจอมันไง"

ฆาเบียร์บอกว่าเขาเข้าใจดี เจบอกว่าเมื่อเรียนจบและเริ่มทำงาน เพื่อนที่เคยสนิทกันหลายคนของเขาก็ห่างหายกันไปด้วยเวลาที่ไม่ตรงกันและภาระหน้าที่ อาจจะทั้งเรื่องงานหรือเรื่องครอบครัว จังหวะชีวิตที่แตกต่างทำให้ทุกวันนี้เขาเหลือเพื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันเพียงแค่ปรินซ์และซันซันซึ่งเป็นหนุ่มโสด ทำงานส่วนตัวและเป็นขาเที่ยวเหมือนกัน กระทั่งนพซึ่งเคยไปไหนมาไหนแบบตัวติดกันตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา หลังๆ มานี้ หลังจากที่พ่อของนพเสียชีวิต เพื่อนรุ่นพี่ของเจคนนี้ก็เริ่มยุ่งกับกิจการครอบครัวจนแทบไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน

“แต่ก็ยังดีที่สมัยนี้มันมีพวกโซเชียลมีเดียที่ทำให้พวกเราติดต่อกันง่ายขึ้นครับ นัดหมายกันง่ายขึ้น หลังๆ มาเพื่อนหลายคนที่ห่างหายไปก็เริ่มกลับมาติดต่อกันใหม่ แต่ตอนนี้พวกเพื่อน มันก็กำลังบ่นผมอ่ะ”

เจนยุทธยิ้มเขินๆ

“บ่นเรื่องอะไรเหรอ เจ?”

“มันบอกว่า เอ่อ…มันว่าผมมีผัวแล้วลืมเพื่อนอ่ะ”

เจหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนๆ ฆาเบียร์หัวเราะออกมาลั่นเมื่อเห็นสีหน้าขัดใจของคนรัก

“ผมก็บอกมันแล้วว่าเมียๆ มันก็ไม่ฟังกัน”

เจนยุทธบ่นอุบอิบ ช่วงที่ผ่านมาพวกเพื่อนๆ ที่ยังทำงานอยู่ในเชียงใหม่ของเขาทั้งจากสมัยมัธยมและสมัยมหาวิทยาลัยมักจะนัดรวมตัวกันเดือนละหลายๆ ครั้ง อาจจะเจอกันแถวสนามบอลหรือไม่ก็ตามร้านอาหารหรือไม่ก็นัดกินเหล้าที่บ้านใครสักคน เจมักไม่พลาดและไปร่วมสังสรรค์กับพวกเขาเสมอ แต่ช่วงหลังมานี้ ตั้งแต่เขาเริ่มคบหากับฆาเบียร์ ถ้าการนัดหมายของเพื่อนๆ ตรงกันกับช่วงที่คนรักของเขากลับมาเชียงใหม่ เจก็เลือกใช้เวลากับเมียตัวโตของเขามากกว่า



"คราวหน้านายก็พาฉันไปเจอพวกเพื่อนๆ ก็ได้นี่ ก็ที่นายว่าจะพาฉันไปสนามบอลอะไรนั่น ฉันไม่ว่าอะไรหรอก หรือว่านายอายที่จะแนะนำฉันกับเพื่อนๆ "

คนตัวโตซ่อนยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า เจรีบหันร่างมาหาคนรักของเขาทันทีและกอดร่างใหญ่กำยำเอาไว้แน่น

"บ้าเหรอคุณ ผมไม่เคยอายที่จะแนะนำคุณให้กับใคร โอเค เว้นครีมมันไว้คน เพราะมันชอบแซว แต่คนอื่นน่ะ ผมไม่สนหรอกว่าเขาจะมองยังไง แต่ที่ผมเลือกไม่พาคุณไปเพราะผมอยากใช้เวลากับคุณสองต่อสองมากกว่า คุณมาทีก็มาแป๊บเดียว ผมอยากใช้ quality time ของพวกเราให้คุ้มค่าที่สุดนะครับ"

เจแนบหน้าผากของเขากับหน้าผากของคนรัก ฆาเบียร์โอบรัดร่างเปลือยของคนรักไว้แน่นเช่นกัน

"ฉันเข้าใจจ้ะ แต่ฉันก็อยากทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ของนายไว้ด้วยนะ และฉันก็ไม่อยากให้นายต้องละเลยคนอื่นไปเพราะฉัน ฉะนั้นคราวหน้าถ้าพวกเพื่อนๆ เขานัดกันตอนที่ฉันมา เจก็พาฉันไปด้วยไอ้ โอเคไหม?"

เจนยุทธพยักหน้าแล้วบอกว่ามันก็ต้องขึ้นอยู่กับฆาเบียร์ด้วย

"ถ้าคุณมาแป๊บเดียวแล้วทำงานเหนื่อยๆ มา ผมก็ไม่พาไปนะ ผมอยากการมาเชียงใหม่ของคุณเป็นการมาเพื่อพักผ่อน เพื่อชาร์จแบต โอเคไหมครับ?"

ฆาเบียร์ยิ้มพราย เขาใช้นิ้วไล้กรอบหน้าของคนรักและปัดผมที่ปรกหน้าผากออก เขาจูบหน้าผากคนรักแผ่วๆ

"เจจ๊ะ ถ้าจะบอกว่ามาชาร์จแบตนั่นก็โอเค แต่ถ้าบอกว่ามาพักผ่อนนี่ฉันคงต้องขอเถียง..."

คนตัวโตจุ๊บริมฝีปากคนรัก

"...ฉันมาเชียงใหม่ทีไร ฉันต้องเหนื่อยกลับไปทุกทีเลยนะ"

ฆาเบียร์ทำตากรุ้มกริ่มใส่คนรัก เจอุทานออกมาเมื่อรู้สึกถึงมือใหญ่ที่เริ่มรุกรานส่วนสงวนของเขา



"เจจ๊ะ...ฉันอยากเหนื่อยแล้ว นายช่วยฉันทีสิ"

คนตัวโตกระซิบด้วยเสียงแหบพร่า สัมผัสอุ่นๆ ของร่างที่อยู่ในอ้อมอกทำให้เขาบางส่วนของเขาเริ่มร้อนฉ่าขึ้นมา เจกัดริมฝีปากน้อยๆ เมื่อฆาเบียร์ดึงมือเขาไปสัมผัสกับแก่นกายที่แข็งเกร็งเต็มที่ของตน คนตัวโตสูดปากเบาๆ เมื่อมือที่อุ่นและนิ่มของเจนยุทธค่อยๆ สาวรูดไล้ส่วนแข็งเกร็งของเขา

"แค่มือนะครับ ฆาบี้ คืนนี้เวลาเราน้อย"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาบดจูบลงไปบนริมฝีปากคู่งามของเจ เจนยุทธจูบตอบอย่างหนักหน่วง เขาบดเบียดอกเข้ากับแผงอกแน่นและรู้สึกได้ถึงยอดอกที่ชูชันของฆาเบียร์ เจถอนริมฝีปากออกจากปากของคนรักและค่อยๆ พรมจูบลงตามลาดไหล่ เขารู้สึกถึงรสเค็มน้อยๆ ของเกลืออาบน้ำและความลื่นของสบู่ แต่อารมณ์ที่เตลิดของเขาทำให้เขาไม่ใส่ใจรสพิลึกพวกนั้น ฆาเบียร์ซี้ดปากและแอ่นอกของตนขึ้นเมื่อถูกเจนยุทธดูดเบาๆ ที่ยอดอก เจขยับตัวขึ้นคร่อมร่างของคนรักที่เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงขอบอ่าง พวกเขาจัดการปล่อยน้ำออกไปเกือบหมดเพื่อที่จะพลอดรักกันได้ถนัดขึ้น

"เจจ๋า จะไม่ทำจริงๆ เหรอ?"

คนตัวโตออดอ้อนคนรักของเขาพร้อมกับพยายามใช้นิ้วรุกล้ำช่องทางด้านหลังของคนรัก เจปัดป้องและย่นจมูกใส่ฆาเบียร์

"ไม่ทำครับ เจลหมดแล้ว เหลือแต่แบบซองนิดหน่อย ไม่พอใช้หรอก แล้วถ้าขืนคุณลองฝืนทำผมจะร้องให้ลั่นห้องเลย หรือคุณอยากจะเป็นฝ่ายโดนผมทำทั้งๆ ที่ไม่มีเจลก็ได้นะ เดี๋ยวผมจัดให้"

เจนยุทธยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมทั้งขยับนำแก่นกายตนไปกดจ่อไว้ที่ช่องทางของคนรัก ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกและรีบขยับหนี ถึงเขาจะผ่านศึกหนักมาเมื่อคืนและช่องทางของเขายังพร้อมสำหรับคนรัก แต่เขาก็ยังอยากได้ตัวช่วยอยู่ดี เจหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของฆาเบียร์ เขาจูบหนักๆ ที่แก้มของเมียรัก

"แต่ถ้าทำแค่ข้างนอก ผมอาจจะยอมนะ"

เจพูดยิ้มๆ เขายังไม่อยากใจร้ายกับฆาเบียร์นัก คนตัวโตยิ้มกว้าง เจขยับขึ้นนั่งคุกเข่าและเกาะขอบอ่างข้างหนึ่งไว้ เขาหันหน้ามาหาคนรักและตบก้นหนั่นแน่นของตัวเองเบาๆ

"มาสิครับ คนดี จะรออะไรอยู่ล่ะ"

"ยั่วกันนักนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์คำรามออกมาเบาๆ เขาจับเอวของเจไว้และดึงเข้ามาหาร่างของเขา เจสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงแก่นกายแข็งเกร็งที่สัมผัสปากทางสีชมพูของเขา หากฆาเบียร์ก็ไม่ได้ฝืนใจคนรัก เขาเสือกแก่นกายของตนที่ใช้ครีมอาบน้ำลื่นๆ ชะโลมไว้เข้าที่หว่างขาของเจนยุทธ เจหุบขาของเขาแน่นและซี้ดปากออกมาเมื่อรู้สึกถึงถุงเนื้อของฆาเบียร์ที่กระทบกับของเขา คนตัวโตหลับตาพริ้มแล้วดันสะโพกไปข้างหน้าทันที

"อืมม์ ฆาบี้ครับ ดีครับ"

เจครางกระเส่า เขาใช้มือเหนี่ยวคอคนรักที่คุกเข่าประกบอยู่ด้านหลังเพื่อทรงตัว กายเขาสะท้านเมื่อฆาเบียร์ดูดต้นคอเขาแรงๆ ด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน มือใหญ่ของคนตัวโตง่วนอยู่กับยอดอกแดงก่ำของเจนยุทธ เจซี้ดปากเมื่อมือใหญ่เลื่อนลงไปเกาะกุมแก่นกายเขาและรูดไล้ไปพร้อมๆ กับที่เสือกแก่นกายเข้าที่หว่างขาที่หุบแน่นของเจถี่ยิบ



"เจจ๊ะ ฉันจวนแล้วนะ"

คนตัวโตกระซิบเสียงแหบพร่า เขาเร่งขยับกาย เจเองก็ส่งเสียงครางด้วยความเสียวซ่านอยู่ในลำคอ เขาดันสะโพกกลับไปด้านหลังตามจังหวะของคนรัก มือเขากุมแน่นบนข้อมือใหญ่ที่กำรอบแก่นกายของตนไว้ ไม่นานนักเจก็แผดเสียงออกมา ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขาดันกายเจนยุทธให้พาดไปกับขอบอ่างและใช้น้ำขุ่นข้นของเจที่เปรอะมือของเขาชะโลมที่ปากทางแคบเล็กของเจ คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกแล้วหันมาทำตาแดงๆ ให้เขา

"เจจ๊ะ แค่ส่วนปลายก็ได้ ฉันขอล่ะ ฉันแทบจะขาดใจอยู่แล้ว"

ฆาเบียร์ก้มลงกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูของคนที่นอนพังพาบอยู่ใต้ร่างเขา เขางับเบาๆ ที่ใบหูของคนรักเพื่อกระตุ้นอารมณ์ เจส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ผมก็อยากให้คุณนะฆาบี้ แต่คืนนี้ผมไม่ได้เตรียมทางนั้นไว้ครับ”

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แต่ก็ไม่ได้รุกเร้าเพิ่มอีก คนตัวเล็กที่สบายตัวไปแล้วหันกายกลับมาแล้วดันคนรักให้ขยับไปข้างหลัง เขาก้มลงจรดริมผีปากลงที่แก่นกายที่ยังผงาดง้ำของฆาเบียร์ คนตัวโตยิ้มกริ่ม คนรักของเขาใจดีเสมอ



“อืมม์ เจ ดีมากจ้ะ อูย”

ฆาเบียร์จับหัวของคนรักไว้และเด้งเอวส่งแท่งลำของเขาเข้าปากน้อยๆ ของเจนยุทธ เจดูดหนักๆ ตามจังหวะพร้อมกับพยายามให้ลิ้นของเขาพันพัวกับแก่นกายของคนรักไว้ ถึงเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์เป็นผู้ปฏิบัติกับใครอื่น แต่สาวๆ ของเขาและฆาเบียร์ก็ทำให้เขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรจึงจะให้ความหฤหรรษ์สูงสุด ฆาเบียร์ครางกระเส่าและขยุ้มผมดำขลับของคนรักอย่างลืมตัว ก่อนจะซี้ดปากลั่นและกระแทกสะโพกหนักๆ เป็นครั้งสุดท้าย

“ตายล่ะ เจ ฉันขอโทษ เป็นอะไรไหม? สำลักหรือเปล่า?”

คนตัวโตที่ยังหอบหายใจหนักๆ รีบขอโทษขอโพยคนรักที่ทำหน้าเหยเก เจรีบโบกไม้โบกมือบอกว่าเขาไม่ได้สำลัก

“น้ำคุณออกมานิดเดียวเองฆาบี้ คงหมดไปหมดตั้งแต่เมื่อคืนแล้วมั้ง”

เจแซวคนรักหลังจากบ้วนปากเอาคราบคาวออก เขาล้างหน้าแล้วก็ต้องซี้ดปากออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกแสบน้อยๆ ที่มุมปาก ฆาเบียร์รีบมาดูอย่างเป็นห่วง เขาหน้าซีดเมื่อเห็นรอยแดงจางๆ ที่มุมปากรูปกระจับคู่น้อย

“เจ…”

คนตัวโตพูดไม่ออก เจรีบตบหลังคนรักที่ทำท่าจะร้องไห้ออกมามะรอมมะร่อ

“ฮึ่ยๆ คุณ ไม่เป็นไรๆ ผมทำผิดท่าไปหน่อยน่า คุณไม่ได้เป็นคนทำ โอเค๊?”

เจนยุทธปดไป ที่จริงแล้วอารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำให้ฆาเบียร์ทำรุนแรงกว่าปกติ เขากดหัวเจนยุทธเข้าไปลึกจนถึงส่วนที่ใหญ่คับจนทำให้มุมปากน้อยๆ ของเจปรินิดๆ คนตัวโตบ่นตัวเองพึมพำ

“เอาน่า ไม่เป็นไรจริงๆ อย่างอแงสิครับ ฆาบี้ มะ ล้างตัวกันเถอะ ผมชักหนาวแล้ว”

เจเปลี่ยนเรื่องและดึงคนตัวโตให้ยืนขึ้น เขาใช้ฝักบัวที่ติดอ่างชำระล้างร่างกายของตัวเองและเมียตัวโตของเขาด้วยน้ำอุ่น เจใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พันรอบกายเขาทั้งคู่ ฆาเบียร์หอมเรือนผมดำขลับของคนที่เตี้ยกว่า

“อืมม์ หายเหม็นแล้ว ดีจัง”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจจูบเบาๆ ที่ซอกคอของคนรักและกอดร่างใหญ่ที่แสนอบอุ่นไว้ ฆาเบียร์ก็โอบรัดร่างเพรียวที่เขาแสนจะรักไว้แนบกาย  ความเงียบปกคลุมห้องน้ำเล็กๆ นั้น



“ผมไม่อยู่ด้วยแล้วคุณอย่างอแงนะ”

เจพูดทำลายความเงียบขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเครือน้อยๆ ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ เขากำลังพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมา

“อย่าลืมกินยาให้ครบด้วย แล้วถ้ากลับไปสหรัฐฯ คุณก็ขอยาไปให้พอด้วย ไม่งั้นก็ต้องให้หมอทางฮ่องกงประสานงานกับหมอที่บ้านของคุณด้วย เข้าใจไหม? อย่าปล่อยให้อาการมันได้กำเริบขึ้นมาอีก ผมห่วงคุณจริงๆ นะ ฆาบี้”

เจบ่นเบาๆ เมื่อเข้าโหมดทำงานหนัก คนรักของเขามักลืมที่จะดูแลตัวเองไป

“เรื่องอาหารการกินอีก กินข้าวให้ครบทุกมื้อนะฆาบี้ อย่าให้ผมต้องโทรจิกทุกมื้อ นอนหลับพักผ่อนให้พอด้วย อย่าโหมงานมากเกินไป”

ฆาเบียร์ยกผ้าเช็ดตัวขึ้นเช็ดร่างของเขาทั้งสองจนแห้ง หูก็ฟังคนรักอบรมเขาไปด้วย เจซบหน้าลงกับบ่าของคนรักแล้วจูบเบาๆ

“ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ เพื่อผม เพื่ออาปา”

คนตัวโตจูบเรือนผมของเจเพื่อเป็นการตอบรับคำขอของเจนยุทธ เจดันกายออกจากอ้อมอกของคนรักและยิ้มกว้างให้ ฆาเบียร์ส่งยิ้มตอบ เขาส่งผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้เจพันกายส่วนเขาใช้ผืนที่เปียกชื้น จากนั้นพากันเดินกลับไปยังห้องนอน


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- When I Fall In Love (ต่อ) ----




“แป๊บๆ ห้าทุ่มแล้ว คุณเก็บกระเป๋าหรือยังครับ ฆาบี้?”

เจถามคนรักที่ง่วนอยู่กับการอ่านเมล์ในแท็บเล็ต ฆาเบียร์พยักหน้า เขาแทบไม่มีสัมภาระอะไรเพราะเขาทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่ห้องของเจเป็นจำนวนมากพอแล้ว เชียงใหม่ได้กลายเป็นบ้านของเขาพอๆ กับที่ฮ่องกง

“เจจ๊ะ เจมีกระดาษกับหมึกปรินท์พอสำหรับปรินท์เอกสารซักสี่ห้าสิบหน้าไหม? “

ฆาเบียร์เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอแท็บเล็ตของเขา เจพยักหน้าและเดินไปเปิดเครื่องปรินเตอร์ของเขาที่อยู่ในห้องนอนเล็กไว้ให้ ฆาเบียร์จัดการสั่งปรินท์ผ่าน wifi ทันที

“เอกสารอะไรเหรอครับ ทำไมถึงเยอะขนาดนั้น?”

เจถามขึ้น

“เอกสารที่ต้องใช้ประชุมพรุ่งนี้น่ะ ฉันยังชอบอ่านและจดโน้ตลงในกระดาษมากกว่าอ่านจากหน้าจอ”

คนตัวโตถอนหายใจเบาๆ เขาบอกเจว่าเดี๋ยวเขาคงต้องใช้เวลาอีกสักหนึ่งถึงสองชั่วโมงอ่านเอกสารเหล่านี้ ส่วนหนึ่งคือข้อเสนอของบริษัทยักษ์ใหญ่ในการซื้อกิจการบริษัท start-up ที่เขาและคริสเคยร่วมลงทุนไว้

“เจจะไปนอนก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันไปนั่งอ่านในครัวก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเอางานมานั่งทำด้วย เมื่อเย็นพี่นพเมล์งานใหม่มาให้แล้ว”

เจนยุทธซึ่งก็ง่วนกับการเตรียมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตนพูดขึ้น เขาของานไว้วันนี้เพราะนึกว่าฆาเบียร์จะกลับแล้ว หากเมื่อคนตัวโตตกเครื่องเขาก็เสียเวลาทำงานไปอีกหนึ่งวัน จากที่สามารถทำชิลๆ ได้เขาก็อาจจะต้องเร่งมือปั่นงานของเขาอีกสักหน่อย พวกเขาทั้งคู่หอบงานออกไปที่เคาเตอร์ครัว เจจัดการเปิดคอมแล้วเดินกลับไปในห้องนอนเล็กเพื่อดูเอกสารที่สั่งปรินท์ไว้ ไม่นานเขาก็กลับออกมาพร้อมเอกสารปึกหนึ่งและกล่องเครื่องใช้ในสำนักงานในมือ



“นี่ครับ เอกสารของคุณ แล้วก็นี่อุปกรณ์”

ฆาเบียร์มองของในมือเจ ในนั้นมีพร้อมทั้งปากกา ดินสอ ยางลบ คลิปหนีบกระดาษ ที่เย็บกระดาษ ปากกามาร์คเกอร์ กระดาษโพสต์อิทและกระดาษแถบสี ฆาเบียร์ยิ้มออกมาอย่างพึงใจในการเตรียมพร้อมของคนรัก

“จริงๆ นะ เจ นายสนใจมาเป็นเลขาฉันไหม? หรือไม่ก็ personal assistant ก็ได้”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ หากเจนยุทธทำหน้าบูดแถมแลบลิ้นให้เขา

“ไม่เอาหรอก ทำงานกับคุณผมปวดหัวตาย”

“อะไรกัน เจนยุทธ ฉันออกจะเป็นเจ้านายที่ดี ดูเมลิน่ากับริคกี้สิ สบายจะตาย ไม่เห็นจะมีใครบ่น”

“หึ บ่นไม่ออกสิไม่ว่า ไม่เอาหรอก อีกอย่าง ถ้าทำงานเป็นเลขาคุณ ผมก็ต้องทำงานกับเมลิน่าสิ เจ๊แกโหดจะตาย ผมเห็นตอนเจ๊แกว๊ากใส่ลูกน้องในทีมเลขาแล้วกลัวแทน ไม่เอาอ่ะ”

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เลขาสาวของเขานั้นเฮี้ยบกับลูกน้องในแผนกและคอยรักษาผลประโยชน์ให้เขาเป็นเลิศ

“อืมม์ จะว่าไป ให้นายมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวนี่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนักหรอกนะ...”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ พร้อมกับรวบเอวของคนรักและดึงมาแนบตัว

“...เพราะฉันคงไม่เป็นอันทำงานทำการกันพอดี”

เจอุทานและพยายามดันตัวหนีฆาเบียร์ที่ทำท่าจะปล้ำจูบเขา

“ไม่เอาๆ แยกย้ายๆ ครับ ทำงานทำการกันได้แล้ว เดี๋ยวผมจะชงกาแฟมาให้”

เจนยุทธโคลงหัว ฆาเบียร์ปล่อยคนรักให้เป็นอิสระและหันมาสนใจกับเอกสารเบื้องหน้า เจนยุทธดึงที่ชงกาแฟแบบ French press สเตนเลสขนาดใหญ่และเครื่องบดเม็ดกาแฟออกมาจากตู้และจัดการชงกาแฟมากาใหญ่



“หอมจังเลยเจ”

ฆาเบียร์ทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นกาแฟสด เจเดินกลับมาหาคนรักพร้อมแก้วกาแฟสองใบและกระบอกโลหะเก็บอุณหภูมิ

“จะรับกาแฟเลยไหมครับ? หรือว่ารอก่อน?”

ฆาเบียร์บอกว่าเขาขอกาแฟเลย เจเทกาแฟใส่แก้วให้คนรักซึ่งรับมาดื่มโดยไม่เติมนมและน้ำตาล เจเองก็ดื่มกาแฟดำเช่นกัน เขาเริ่มติดนิสัยนี้มาจากฆาเบียร์แล้ว

“ยังเหลือกาแฟพออีกซักสองแก้วนะครับ เผื่อคุณอยากดื่มอีก แต่ถ้ายังไม่ดื่ม ผมก็จะเก็บไว้ทำกาแฟเย็นพรุ่งนี้”

ฆาเบียร์พยักหน้าและก้มหน้าลงอ่านเอกสารของเขาต่อ เจลอบมองใบหน้าเคร่งเครียดภายใต้แว่นสายตากรอบดำ คนรักของเขากำลังเข้าโหมดผู้บริหารธุรกิจใหญ่ระดับโลก มันทำให้เจรู้สึกเหมือนพวกเขาอยู่คนละชั้นกันทุกครั้งที่ได้เห็น คนตัวเล็กลอบถอนหายใจและสลัดหัวเพื่อลบความคิดนั้นออกไป เขาหยิบหูฟังขึ้นสวมและให้ความสนใจกับงานของตน



“ดึกแล้ว เจจะไปนอนก่อนก็ได้นะ”

ฆาเบียร์พูดทั้งๆ ที่ก้มหน้าอ่านเอกสารของเขาอยู่ เขาเหลือบดูนาฬิกาแล้วพบว่ามันผ่านไปกว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว และเขายังเหลือเอกสารที่ต้องอ่านอีกจำนวนหนึ่ง เขาหันหน้าขึ้นมามองคนรักเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดกันแทบเป็นปมของคนตัวเล็ก เจจ้องหน้าจอเขม็งพร้อมกับทำปากขมุบขมิบอ่านบทแปลของเขาเพื่อนับตัวอักษรให้ตรงกับบทเดิม ฆาเบียร์กลั้นหัวเราะเมื่อเห็นเจเกาหัวด้วยท่าทีขัดใจแล้วกดปุ่มดีลีทแล้วลงมือพิมพ์ใหม่ เขาตัดสินใจไม่กวนคนรักและก้มหน้าลงอ่านเอกสารของตนต่อ



“เจ เจจ๊ะ”

เจนยุทธสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงฆาเบียร์ดังอยู่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดซอกคอ เขากดหยุดวีดีโอ ดึงหูฟังออก และหันไปหาคนตัวโต

“คุณอ่านงานเสร็จแล้วเหรอครับ?”

เจนยุทธถาม คนตัวโตพยักหน้า เขามองสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของเจแล้วก็ขมวดคิ้ว

“เจ ฉันว่านี่มันคุ้นๆ นะ มันเป็นซีรีส์นี่ ฉันนึกว่านายแปลแต่สารคดี”

เจส่ายหน้าและบอกว่าเขารับงานทุกประเภท แต่จะชอบงานพวกสารคดีมากกว่าเพราะได้ความรู้

“พวกซีรีส์นี่จะว่าง่ายก็ง่าย ยากก็ยากครับ ที่ง่ายก็เพราะไม่ต้องหาข้อมูลอ่านประกอบมากนัก บทมักจะสั้นๆ ไม่ได้บรรยายยาวยืดแบบสารคดี แต่ไอ้ที่ยากน่ะเพราะคำสแลงกับสำนวนเยอะ แต่ละประเทศแต่ละท้องถิ่นบางทีก็ไม่เหมือนกัน บางทีก็ต้องมาหาให้เจอว่านี่มันคือสำนวนหรือการพูดตรงๆ “

เจบอกว่าเขาต้องมาดูเนื้อหาของเรื่องประกอบด้วย บางครั้งสิ่งที่เขานึกว่าเป็นสำนวนก็อาจจะมีความหมายตรงตามตัวอักษรก็ได้ ถ้าเป็นสารคดี บางครั้งเขาจะแปลจากในบทอย่างเดียวโดยไม่ดูหนังประกอบ จากนั้นค่อยมานั่งเปิดหนังดูทีเดียวตอนจบเพราะมันทำให้งานลื่นไหลกว่า แต่สำหรับซีรี่ส์ เขาทำแบบนี้ไม่ได้และต้องดูหนังไปแปลไปเพื่อดูอารมณ์ของผู้พูดและสถานการณ์ ณ ขณะนั้น



“อีกอย่างที่ยากคือความที่มีหลายตอนต่อกันนี่แหละครับ บางครัั้งงานที่ผมได้มาอาจจะเป็นตอนที่สี่ที่ห้าของเรื่องแล้ว หรืออาจเป็นซีซันส์สองสามแล้วและเราไม่ได้รู้เรื่องราวของตอนก่อนๆ มาก่อน บางทีก็ต้องมาหาในเน็ตดูก่อนว่าตัวละครตัวนั้นตัวนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด”

เจบอกว่าข้อผิดพลาดหนึ่งที่เห็นบ่อยที่สุดในการแปลซีรีส์คือการลำดับความสัมพันธ์ของตัวละครผิด อย่างเช่นจากแปล “พี่ชายของฉัน” ในตอนหนึ่งกลายเป็น ”น้องชายของฉัน” ในอีกตอนหนึ่ง

“ภาษาอังกฤษมันใช้เป็น my brother ไปเลยใช่ไหมล่ะ แต่ในภาษาไทยคุณต้องบอกให้ได้ว่าเป็นพี่ชายหรือน้องชาย บางครั้งมันจะพูดถึงไว้ในตอนก่อนหน้า แต่ถ้าคุณไม่เคยดูมาก่อนก็อาจจะแปลผิดได้ อีกจุดที่ผิดบ่อยคือการใช้สรรพนามของตัวละครครับ”

เจบอกว่าในภาษาไทยมีการใช้สรรพนามที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ I กับ You

“ผมเคยเจอข้อผิดพลาดแบบที่ว่า เอ่อ let’s say นางเอกคุยกับผู้ชายคนนึงที่จริงๆ แล้วเป็นพ่อที่ห่างเหินกันไป ซึ่งโดยปกติในสคริปต์ที่ได้มามันจะเขียนเป็นชื่อคน สมมติว่าจิมมี่กับเคทแล้วกันนะ ในสคริปต์เขาจะไม่บอกหรอกว่าสองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน เขาจะเขียนแบบ จิมมี่พูดว่า เคทพูดว่า ไม่ได้บอกว่าพ่อเคทพูดว่า ถ้าไม่ได้เคยแปลตอนที่มันแสดงให้เห็นชัดว่าเป็นพ่อลูกกันมาก่อนก็จะไม่รู้ บางทีคนแปลก็ต้องไปหาอ่านเอาเองว่าไอ้ผู้ชายคนนี้เป็นใคร”

ที่เจเคยเห็น หลายครั้งที่คนแปลผิดให้พ่อลูกหรือพี่น้องคุยกันโดยใช้คำว่า “ฉัน” กับ “คุณ” หรือ “เธอ” เหมือนเป็นชายหญิงทั่วไปคุยกัน

“มันเป็นความผิดพลาดที่ผมพยายามจะไม่ให้เกิด บางทีก็ต้องยอมเสียเวลาค้นดูหน่อย สมัยนี้ดีที่อะไรๆ ก็หาได้จากในเน็ตครับ”



"อีกอย่างที่ผมเกลียดที่สุดในการแปลซีรีส์คือมันพูดเร็ว และผมต้องมาคอยปรับที่แปลให้เข้ากับปากตัวละคร แล้วไหนจะแย่งกันพูดไปมาอีก โดยเฉพาะอิเจ้าเตเลโนเบล่าของละตินอเมริกาแบบเรื่องนี้นี่ โอ๊ย ไม่รู้จะพูดเร็วไปไหน บางทีถึงขั้นต้องตัดความบ้าง ไม่งั้นคำแปลมันจะเกินไปมากเลยครับ"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเคยแปลละครแบบนี้มาหลายตอนแล้ว

"ปัญหาอีกอย่างก็เรื่องบทครับ อย่างเรื่องนี้ บทมันมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ในละครพูดภาษาสเปน ผมงี้มึนตึ้บ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าบทมันมาถูกหรือเปล่า แล้วจังหวะที่แปลนี่ มันใช่ที่ตัวละครกำลังพูดอยู่ไหม? ยังดีที่ผมเรียนมานิดหน่อยแล้ว บางคำก็พอฟังรู้เรื่อง เอามาอ้างอิงได้ แต่อย่างคราวที่แล้วเจอละครภาษาตุรกี ผมงี้ไปไม่เป็นเลย"

เจหัวเราะหึๆ เขาบอกว่าเขายังเคยแปลสารคดีวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กภาษาฝรั่งเศสที่มีบทเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยความที่มีพื้นภาษาฝรั่งเศสอยู่บ้าง มันทำให้เขารู้ว่าบทภาษาอังกฤษบางจุดนั้นมั่ว บางจุดก็แปลตก แต่เมื่อปรึกษากับเจ้าของงานแล้ว สุดท้ายก็ต้องอิงตามบทเดิมไป เพราะเขาเองก็ไม่สามารถแปลส่วนภาษาฝรั่งเศสให้ทั้งหมดได้



"อย่างนี้นี่เอง ก็ลำบากเหมือนกันนะ..."

ฆาเบียร์รำพึงออกมาและพยักหน้าหงึกหงักเมื่อได้ฟังสิ่งที่เจอธิบาย เขาเหลือบมองซีรีส์ที่เจเปิดค้างไว้บนหน้าจอ

"แต่เรื่องนี้ไม่น่ายากนะเจ เนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก เป็นเรื่องผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งที่จำต้องร้ายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ก็น่าสงสารนะ ชีวิตเธอโดนมาเยอะ โดนข่มขืนตอนสาวๆ พ่อแม่ถูกฆ่าตาย ท้องเกิดลูกมาก็เอาไปยกให้คนอื่น มาเจออีกทีตอนโตก็โดนลูกแย่งแฟนไปอีก แถมชีวิตก็ตกต่ำเพราะทำแต่เรื่องผิดกฎหมายซ้ำๆ "

เจนยุทธทำตาปริบๆ เมื่อได้ยินฆาเบียร์เล่าออกมาเป็นฉากๆ

"เฮ้ยๆ นี่คุณดูละครน้ำเน่าแบบนี้ด้วยเหรอ?"

คนตัวเล็กถามลั่น ฆาเบียร์ที่หลุดปากพูดออกไปโดยไม่รู้ตัวก็ยิ้มเขินๆ เขาเคยติดละครน้ำเน่าเรื่อง La Doña หรือ Lady Altagracia นี้งอมแงม

"เอ่อ ก็มีดูบ้างน่ะเจ เวลาเครียดๆ ละครพวกนี้มันก็ทำให้ไม่ต้องคิดอะไรมากดี"

เจส่ายหัว พ่อเจ้าประคุณของเขามีอะไรให้เขาได้ประหลาดใจเสมอ



"แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบละครน้ำเน่าพวกที่ตบตีแย่งแฟนกันแบบละคร Telenovela ยุคเก่าที่ต้องจิกตาใส่กัน กรี๊ดดังๆ อะไรแบบนั้นนะ น่ารำคาญเกินไป"

ฆาเบียร์บอกเจว่าผู้จัดละครยุคใหม่ก็คงเห็นเช่นเดียวกับเขา ละครแถบละตินอเมริกายุคใหม่จึงเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนขึ้น เล่นประเด็นทางสังคมมากขึ้น เช่นเรื่องธุรกิจสีเทา การชิงดีชิงเด่นในวงการธุรกิจ การค้ายาเสพติด แต่ยังมีสอดแทรกเรื่องราวความรักน้ำเน่าที่เป็นเอกลักษณ์ของละคร Telenovela ไว้ด้วย

"โหย นี่ถ้าคุณได้ดูพวกละครเกาหลีนี่คงติดหนึบแน่ๆ ปกติผมก็ไม่ค่อยดูหรอกนะ แต่ก็เคยติดมากเรื่องนึง เรื่อง Queen of Ambition นางเอกก็ทะเยอทะยานแล้วก็ไม่ใช่คนดีเหมือนเรื่องนี้เลย ออกแนวเลวจนไม่อยากเรียกว่านางเอกด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้ดูแล้วเครียดครับ ไม่ได้ออกแนวน้ำเน่าแบบเรื่องนี้"

"เหรอ มีแบบที่มีบทแปลภาษาอังกฤษหรือเปล่าเจ ฉันอยากดูเหมือนกัน"

"เดี๋ยวครับ เดี๋ยว อย่าพึ่งคิดดูตอนนี้ เพราะถ้าลองคุณได้เปิดดูแล้วรับรองว่าไม่ได้นอนแน่ๆ ไว้คราวหน้าถ้าคุณมาเชียงใหม่แล้วมีเวลา เราค่อยมาดูกันนะ"

เจนยุทธรีบยกมือห้ามไว้ ตอนนี้เป็นเวลาตีสองแล้ว ถ้าพ่อเจ้าประคุณของเขาเกิดดูซีรีส์ขึ้นมา พวกเขาคงไม่ได้นอนแน่ๆ เจกดเซฟงานของเขาและปิดคอมพิวเตอร์



"เรานอนกันดีกว่าครับ ฆาบี้ พรุ่งนี้คุณต้องตื่นกี่โมงนะ? เจ็ดโมงทันไหม?"

"ได้อยู่จ้ะ ฉันจำเวลาสลับกันนิดหน่อย จริงๆ ตอนเช้าน่ะเป็นประชุมกับทางสหรัฐฯ และประชุมกับทางฮ่องกงช่วงบ่ายๆ แต่ฉันเพิ่งส่งข้อความไปบอกกับเมลิน่าว่าให้ทางฮ่องกงสแตนด์บายไว้ ฉันอาจจะคุยต่อจากคุยกับทางสหรัฐฯ เลย เราจะได้มีเวลาช่วงบ่ายด้วยกันมากหน่อย"

ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักและดึงเข้ามาแนบตัว เขาหอมแก้มแดงระเรื่อของเจเบาๆ

"อืมม์ พรุ่งนี้ผมกะออกบ้านตั้งแต่บ่ายสามเลยจะได้ชัวร์ว่าไม่ตกเครื่องอีก งั้น เราเข้านอนกันดีกว่านะครับ พรุ่งนี้จะได้รีบตื่น"

ฆาเบียร์รับคำ แต่ก่อนกลับเข้าห้องนอน ฆาเบียร์หยิบโน้ตบุ้คของตนออกมาจัดเตรียมไว้ที่เคาเตอร์ครัวพร้อมกับเอกสารที่เขาอ่านและเขียนโน้ตแนบไว้ จากนั้นทั้งสองจึงกลับขึ้นเตียง

"ราตรีสวัสดิ์จ้ะ ที่รักของฉัน"

คนตัวโตจูบหน้าผากคนรักแผ่วๆ

"Good night, sleep tight ครับ mi alma"

เจนยุทธจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากของฆาบี้ ก่อนจะดึงแขนของคนรักมาโอบรอบกายเขา ฆาเบียร์กระชับวงแขนให้โอบรัดร่างของคนที่เขารักสุดหัวใจไว้แน่น ไม่นานพวกเขาก็ผลอยหลับไปอย่างง่ายดายเหมือนกับทุกครั้งที่มีคนรักอยู่ในอ้อมแขน



“ฆาบี้ครับ หกโมงกว่าแล้ว ตื่นเถอะ”

เจปลุกคนรักที่ใช้เขาเป็นหมอนข้างอย่างสบายใจ คนตัวโตทำท่าอิดออดก่อนจะลุกขึ้นหาวหวอดๆ เขาได้นอนเพียงสี่ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น เจลุกขึ้นแล้วพยายามฉุดร่างใหญ่ให้ลุกจากเตียงแต่ก็ถูกดึงจนล้มเข้าไปในอ้อมแขนที่รอรับเขาอยู่

“ขอมอร์นิ่งคิสก่อนสิจ๊ะ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจโคลงหัวและจุ๊บแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของคนตัวโตหากพ่อเจ้าประคุณของเขายังไม่สมใจ ฆาเบียร์ดันร่างเพรียวลงกับเตียงและป้อนจูบอันดูดดื่มให้

“คุณครับ นี่มันไม่ใช่มอร์นิ่งคิสแล้ว พอเลย ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวก็ไม่ทันแปดโมงหรอก!”

คนตัวเล็กประท้วงขึ้นและดันร่างคนที่เริ่มมือซุกซนออก ฆาบี้ดูนาฬิกาแล้วก็รีบเผ่นพรวดเข้าห้องน้ำไป ถึงเขาจะอยากนัวเนียกับเจต่อแค่ไหน เขาก็ต้องจัดการงานให้เรียบร้อยก่อน



“ผมเตรียมชุดให้คุณแล้วนะครับ จะใส่เต็มยศไหม? หรือแค่เชิร์ตกับไทพอ?”

เจหยิบชุดสูทสีน้ำตาลที่เขาวางพาดไว้บนเตียงส่งให้ฆาเบียร์ หาเจ้าตัวบอกว่าเขาต้องการแค่เสื้อนอกเท่านั้น เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นคนรักใส่เสื้อเชิร์ต ผูกไทพร้อมกับเสื้อนอกอย่างหรูแต่ท่อนล่างกลับใส่กางเกงสะดอที่มักใส่อยู่บ้าน ฆาเบียร์จัดการรวบผมของเขาขึ้นเนื่องจากไม่มีเวลาเซ็ต

“แหม โกนหนวดซะเนี้ยบเลยนะคุณ”

เจกระเซ้าเมื่อเห็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาของคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มเมื่อเจจุ๊บที่แก้มไร้หนวดเคราของเขา เขารู้ดีว่าเจนยุทธชอบเขาแบบหน้าเกลี้ยงๆ มากกว่า ฆาเบียร์เช็คความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้งแล้วจึงเปิดประตูห้องนอนออกไป เขายิ้มเมื่อได้ยินเสียงเจตะโกนไล่หลังมาบอกให้เขากินมูสลี่กับโยเกิร์ตที่เจ้าตัวเตรียมไว้ให้ด้วย ถึงเขาจะพูดเล่นที่บอกว่าอยากให้คนตัวเล็กมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว แต่เขาก็หวังอย่างจริงจังว่าสักวันเขาจะได้มีเจนยุทธมาคอยอยู่ข้างกายเพื่อดูแลเขาแบบนี้ตลอดไป



“ไง เมลิน่า ฉันพร้อมแล้ว ทางนู้นพร้อมกันหรือยัง?”

ฆาเบียร์ถามเลขาของเขา เมลิน่าซึ่งอยู่ที่ฮ่องกงจะเป็นผู้ประสานงานการประชุมออนไลน์ครั้งนี้ เมลิน่าตอบรับและจัดการเริ่มการประชุม ฆาเบียร์ค้อมหัวให้อาปาของเขาที่มานั่งเป็นประธานของการประชุม เขาทักทายทีมที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษาทางกฏหมายของบริษัท เนื่องจากครั้งนี้ยังเป็นการประชุมนอกรอบเพื่อพิจารณาข้อเสนอที่ทางบริษัทยักษ์ใหญ่เสนอมาก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัท Start-up ที่พวกเขาไปลงทุน ฆาเบียร์จึงยังไม่ต้องบินกลับไปประชุมถึงที่ แต่หลังจากเคลียร์งานที่ฮ่องกงเสร็จแล้ว ฆาเบียร์ก็ต้องบินกลับสหรัฐฯ ภายในสองสัปดาห์เพื่อเสนอข้อเสนอนี้ต่อคณะกรรมการฯ และทำการตัดสินใจเรื่องการขายบริษัทที่พวกเขาไปลงทุนไว้นั้น ถึงตัวเขาและอาปาจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทดาวรุ่งที่ไปเตะตาบริษัทยักษ์ใหญ่เข้านั้น พวกเขาก็ยังต้องเคารพการตัดสินใจของกรรมการบริหารคนอื่นด้วย ฆาเบียร์เปิดปึกเอกสารที่เต็มไปด้วยการขีดไฮไลท์ กระดาษโน้ตและแถบกระดาษ เขาก้มหน้าอ่านครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้นพูดกับคนที่อยู่อีกซีกโลก

“โอเคครับ ผมคิดว่าตอนนี้ทุกคนคงได้อ่านข้อเสนอของทางฝ่ายนั้นมาแล้ว ผมอยากรู้ว่าพวกคุณมีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะยังไง เรามาเริ่มดูกันตั้งแต่แรกเลยนะครับ…”



“ผมว่าตัวเลขมันยังไม่น่าพอใจเท่าไหร่ เขากดราคาเราเกินไป…”

ฆาเบียร์พูดพร้อมกับเหลือบมองเจนยุทธที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ประตูห้องนอน เจยกโทรศัพท์ขึ้นส่งข้อความซึ่งเด้งขึ้นในไลน์บนหน้าจอคอมพ์ของฆาเบียร์

‘เปียโนจะมาส่งตอน 10 โมงครับ โอเคไหม? ถ้าไม่ผมจะโทรไปเลื่อน'

ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ และยกนิ้วทำสัญลักษณ์โอเคให้เจและหันไปสนใจกับการประชุมต่อ เจมองใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของคนรัก น้ำเสียงและภาษากายที่เขาใช้ในการทำงานทำให้เขาดูต่างไปจากตาลุงจอมหื่นของเขามากนัก เจยืนแอบมองคนตัวโตทำงานอยู่อีกครู่หนึ่งจึงได้เข้าไปจัดการอาบน้ำแต่งตัว



"เข้ามาเลยครับ เงียบๆ นิดนึงนะ แฟนผมเขาทำงานอยู่"

เจเปิดประตูให้พนักงานจากร้านเครื่องดนตรีเข้ามาในห้องพร้อมกระซิบบอก เขาแอบหน้าแดงน้อยๆ เมื่อตัวเองเรียกฆาเบียร์ว่าแฟนออกมาเต็มปากเต็มคำต่อหน้าคนแปลกหน้า เขาพาพนักงานซึ่งขายเปียโนให้เขาและช่างอีกคนหนึ่งเข้าไปในห้องนอนเล็ก โดยพยายามเลี่ยงไม่ให้ไปกวนคนรัก ฆาเบียร์เหลือบมองพวกเขาแว่บหนึ่งแล้วหันกลับไปสนใจที่หน้าจอต่อ เจแอบยิ้มเมื่อเห็นพนักงานหนุ่มซึ่งขายเปียโนให้เขามองดูคนรักของเขาด้วยท่าทางงุนงง ฆาเบียร์ในคราบนักธุรกิจวันนี้ช่างดูต่างจากตอนที่เขาอยู่ในคราบฝรั่งขี้นกเมื่อวานนัก

"ให้ตายสิ ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง! ผมบอกให้พวกคุณไปหาข้อมูลตรงนี้มาแล้ว ทำไมถึงยังให้คำตอบผมไม่ได้?"

เจรีบเผ่นพรวดออกจากห้องมาดูเมื่อได้ยินเสียงคนรักเอ็ดลั่น เขาเห็นฆาเบียร์ใช้นิ้วจิ้มย้ำๆ ลงไปบนเอกสารที่อยู่ตรงหน้า คนตัวโตเหลือบมองเจนยุทธแว่บหนึ่งแล้วลดเสียงลง เจรีบเดินอ้อมหลังเคาเตอร์ไปรินน้ำเย็นๆ ใส่แก้วและนำมาวางให้คนรัก เขายื่นมือไปกุมมือของคนรักและบีบเบาๆ ฆาเบียร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้อารมณ์เย็นลง และหันไปขอโทษอาปาของเขาเบาๆ ก่อนที่จะทำการประชุมต่อไป



"คุณนี่ดุชะมัดเลยฆาบี้ พวกที่ปรึกษาแต่ละคนนี่หน้าซีดกลัวคุณหัวหดหมดแล้ว"

เจนยุทธบ่นคนรักที่นอนหนุนตักเขาอยู่บนโซฟาเบาๆ ฆาเบียร์ประชุมเสร็จเมื่อประมาณเกือบสิบเอ็ดโมง ก่อนจบการสนทนาเขาได้เรียกเจนยุทธมาเพื่อแนะนำตัวกับบรรดาที่ปรึกษาในฐานะอนาคตผู้ถือหุ้นของบริษัท เขายังได้ทักทายคริสซึ่งทำท่าดีใจมากที่ได้เจอกับ "ลูกชายคนโปรด" คนใหม่ของเขา

"ฉันก็ไม่ได้ดุอะไรสักหน่อยน่า แต่ก็ควรโดนไหมล่ะ ฉันบอกไปแล้วว่าให้เตรียมข้อมูลวิเคราะห์เรื่องทิศทางการพัฒนา แนวโน้มของตลาดไอทีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนี้ และเรื่องที่ว่าบริษัทนี้มันจะมีโอกาสเติบโตไปได้แค่ไหนในอนาคต เพื่อที่จะได้พิจารณาว่าเราควรจะรอมันโตกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยขาย หรือควรจะขายตอนนี้โดยพิจารณาว่าข้อเสนอของเขามันสมน้ำสมเนื้อแล้วหรือยัง ก็เตรียมมาแบบ...เอาเป็นว่า ฉันยังไม่พอใจน่ะ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากับคริสและที่ประชุมก็ยังสรุปกันไม่ได้อยู่ดีถึงเรื่องนี้ และคงต้องประชุมกันอีกหลายรอบเมื่อเขากลับไปถึงฮ่องกง เขาหลับตาพริ้มเมื่อเจใช้นิ้วกดคลึงบริเวณขมับและต้นคอให้

"แล้วเรื่องเปียโนของเจนี่เรียบร้อยแล้วเหรอ?"

คนตัวโตถามทั้งที่หลับตา พวกช่างกลับออกไปพร้อมเปียโนตัวเก่าของเจราวๆ สิบเอ็ดโมง

"ครับ คุณอยากลองเล่นดูเลยไหม?"

"ยังดีกว่าจ้ะ ฉันกะว่าจะงีบซักหน่อย เดี๋ยวฉันนัดทางฮ่องกงประชุมต่อตอนบ่ายโมงที่นู่น ก็ เอ่อ เที่ยงที่นี่แหละ เดี๋ยวซักใกล้ๆ เที่ยงเจปลุกฉันหน่อยนะ"

ฆาเบียร์อ้าปากหาวออกมา เมื่อคืนที่ผ่านมาเขานอนไม่พอจริงๆ เจนยุทธผงกหัว เขาดึงหมอนอิงมาให้คนรักหนุน ถึงเขาอยากจะนั่งเป็นหมอนให้คนตัวโต แต่เขาก็รู้ว่าตักแข็งๆ ของเขามันนอนไม่สบายเท่ากับหนุนหมอน เจจุมพิตเร็วๆ ที่หน้าผากของฆาเบียร์แล้วหลบไปนั่งทำงานของเขาที่เคาเตอร์ครัว



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- 'When I Fall In Love' (ต่อ) ----




"ฆาบี้ครับ เกือบเที่ยงแล้ว ตื่นเถอะ"

เจนยุทธเขย่าปลุกคนรักให้ตื่นและรุนหลังคนตัวโตให้ไปล้างหน้าล้างตา

"เดี๋ยวผมออกไปซื้อข้าวให้นะ กินอะไรดี? ก๋วยเตี๋ยวไหม? หรือเอาเบอเกอร์?"

เจถามฆาเบียร์ซึ่งกำลังอ่านเอกสารข้อมูลการประชุมอีกครั้ง

"อืมม์ เบอเกอร์ก็ได้จ้ะ กินง่ายแล้วก็อยู่ท้องดี"

"งั้น เอาของ Beast Burger หรือ Rock Me ดีครับ?"

เจนยุทธให้ฆาเบียร์เลือกจากเบอเกอร์สองร้านดังบนถนนนิมมานเหมินท์ ฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วจึงตอบ

"บีสต์ เบอเกอร์ก็ได้ ชิ้นมันเล็กกว่า ฉันขอแค่ The Beast ก็พอ..."

ฆาเบียร์พูดถึงแฮมเบอเกอร์ที่เป็น signature ของร้านซึ่งมีเนื้อบดแผ่นเดียว เชดดาร์ชีส เบค่อน หอมผัดและผักอย่างผักกาดแก้วและมะเขือเทศ ราดด้วยซอสสูตรต้นตำรับของทางร้าน เขาถามต่ออย่างสงสัย

"ว่าแต่เจจ๊ะ แถวนี้มีร้าน Rock Me Burger ด้วยเหรอ? นพเคยพาฉันไปแค่สาขาในเมือง ที่ถนนอะไรนะ? ที่มีพวกบาร์ฝรั่งเยอะๆ น่ะ?"

"อ๋อ ถนนลอยเคราะห์ครับคุณ ร้านนั้นเป็นสาขาใหญ่ มีอาหารเยอะกว่า มีพวกสเต๊ก ไก่ทอดอะไรงี้ด้วย ส่วนร้านที่นิมมานฯ น่ะ เพิ่งเปิดเอาเมื่อตอนต้นเดือนธันวามั้ง คุณคงยังไม่เคยเห็นเพราะผมเองก็เพิ่งมาเจอเอาตอนหลังปีใหม่นี้เอง เปิดที่ซอย 15 ครับ อาหารมีแต่พวกเบอเกอร์ตัวที่เด่นๆ แล้วก็พวกค้อกเทล พวกมิลค์เชค ของกินเล่นบางอย่าง อะไรงี้ ไว้คราวหน้าถ้าคุณมา เราไปกินด้วยกันนะ"

คนตัวโตพยักหน้า

"ได้จ้ะ แต่ตอนนี้ขอบีสต์เบอเกอร์ก่อนนะ เดี๋ยวเจไปซื้อตอนใกล้ๆ บ่ายโมงก็ได้ ฉันคงประชุมกับทางฮ่องกงแค่สั้นๆ น่ะ ไม่น่าเกินชั่วโมง"

เจนยุทธรับคำ เขาเข้าไปทำนั่นนี่ในห้องนอนเล็กครู่หนึ่ง แล้วจึงออกไปซื้ออาหารโดยขี่เวสป้าคันเก่งของเขาไป



เจค่อยๆ เปิดประตูเข้าห้องมา เขาหันไปมองที่เคาเตอร์ ฆาเบียร์ยังคงง่วนอยู่กับการประชุม หากเขาดูผ่อนคลายมากกว่าการประชุมครั้งแรกมาก คนตัวโตเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้คนรักเมื่อเขาได้ยินเสียงปิดประตู เจเดินผ่านหลังเคาเตอร์ไปที่ครัวและวางกระเป๋าเก็บอุณหภูมิที่หิ้วออกไปด้วยไว้ที่ข้างซิงค์น้ำ จากนั้นเขาหันไปจัดการกับมิลค์เชคแก้วโตในมือ เจจัดการเทมันใส่แก้วเก็บอุณหภูมิและยกไปวางให้ฆาเบียร์ คนตัวโตมองเครื่องดื่มที่ดูยังไงก็กินแล้วอ้วนแน่ๆ แก้วนั้นอย่างจนใจ ด้านบนของมันโปะมาด้วยวิปครีมกองโต เพรสเซลกรอบห้าชิ้นและมาราสชิโน่เชอรี่หนึ่งลูก เขายกแก้วขึ้นแล้วดูดชิมไปคำหนึี่ง เขาพยายามข่มอาการแต่ก็อดทำตาโตกับรสชาติของมันไม่ได้ เขาโคลงหัวน้อยๆ เมื่อเหลือบตามองไปเห็นเจนยุทธที่ยืนทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ที่ครัว

คนตัวโตหันกลับไปสนใจกับการประชุมอีกครั้ง เขาใช้เวลาประชุมต่ออีกไม่นานนักและจบการสนทนาลงก่อนบ่ายโมงครึ่ง



"เจ ไอ้นี่มันอร่อยสุดๆ เลย เนยถั่วกับช็อคโกแลตใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ยกแก้วที่เหลือเครื่องดื่มติดก้นแก้วเพียงเล็กน้อยให้เจนยุทธดู เจพยักหน้าแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นคนรักพยายามดูดเครื่องดื่มที่เหลือจนหมด

"ผมแวะซื้อที่ร้าน Rock Me ซอย 15 ครับ เป็น Peanut Butter Shake ก็ใส่เนยถั่วกับไอศกรีมช็อคโกแลต กินทีนี่อิ่มแทนข้าวเลยนะ"

คนตัวโตหัวเราะหึๆ เขาไม่อยากคิดว่าทั้งแก้วนี้จะกี่กิโลแคลอรี่ เขาเดาเอาว่าน่าจะต้องทะลุหลักพันแน่นอน เจบอกว่าเครื่องดื่มปั่นแคลอรี่สูงปรี๊ดรสชาติล้ำเลิศแก้วนี้เป็น signature ของสาขานิมมานเหมินท์

"แล้วเจไม่กินเหรอ?"

คนตัวโตถามเมื่อนึกได้ว่าเขาเห็นเจถือเครื่องดื่มนั้นเข้ามาเพียงแก้วเดียว

"ผมกินตั้งแต่ที่ร้านแล้วครับ แก้วไม่ได้ใหญ่อะไร ดูดแป๊บๆ ก็หมดแล้ว"

ฆาเบียร์โคลงหัว คำว่าแก้วไม่ได้ใหญ่อะไรของเจนั้นทำเอาเขาจุกไปเลยทีเดียว

"ตั้งแต่ร้านเขาเปิดที่นิมมานฯ นายกินไปกี่สิบแก้วแล้วล่ะ เจนยุทธ?"

คนตัวโตถามยิ้มๆ เขาง่วนกับการเก็บโน้ตบุ้คและเอกสารการประชุม แต่ก็อดแซวคนรักไม่ได้

"แหม ไม่ได้เยอะขนาดนั้นสักหน่อย"

เจบ่นอุบอิบ จริงอยู่ว่าเขาแวะเวียนไปสั่งเจ้าเครื่องดื่มนี้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับ "หลายสิบแก้ว" อย่างที่ถูกคนตัวโตกล่าวหา



"เบอเกอร์ของคุณครับ"

เจวางจานใส่เบอเกอร์เนื้อขนาดไม่ใหญ่นักไว้ตรงหน้าฆาเบียร์พร้อมมีดและส้อม เขานั่งลงตรงข้ามและลงมือกินเบอเกอร์ในจานของตัวเอง

"นายสั่งตัวไหนมากินล่ะ? บลูชีสเหรอ?"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ เจส่ายหัวแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร คนตัวโตอดหัวเราะภาพที่เห็นไม่ได้ คนตัวเล็กกำลังปลุกปล้ำเอาเบอเกอร์ชิ้นใหญ่เข้าปาก แทนที่เจนยุทธจะใช้มีดส้อม เขากลับยกเบอเกอร์ชิ้นไม่เล็กนั้นขึ้นกัด ถึงแฮมเบอเกอร์ของที่นี่จะไม่ได้ใหญ่โตจนยกกัดไม่ได้อย่างของร้านร็อคมี มันก็ทำความลำบากให้เขาอยู่บ้าง

"โอย กว่าจะกัดได้..."

เจบ่นเบาๆ และตอบว่าเขาสั่งเบอเกอร์ไซส์ใหญ่อย่าง Double Double ที่มีเนื้อสองแผ่น ชีสเชดดาร์ เบค่อน หอมผัดและซอสสูตรลับของทางร้าน ขนมปังของทางร้านเป็นขนมปังโฮมเม้ดจึงไม่ได้กดแล้วยุบยวบบี้แบนลงไปเหมือนร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังทั้งหลาย เนื้อที่ใช้ก็ชุ่มฉ่ำและปรุงรสไว้อย่างดี แม้จะแผ่นบางกว่าของร้านคู่แข่งอย่างร็อคมี แต่ก็ถือว่าพอเหมาะกับขนาดของเบอเกอร์แล้ว

"ชิมไหมครับ?"

เจทำท่าจะตัดเบอเกอร์ของเขาส่งให้คนรัก แต่ฆาเบียร์ยกมือห้ามไว้ เจโคลงหัวเบาๆ และส่งมันทั้งชิ้นให้ถึงปากของคนรักที่อ้ารออยู่

"ชิ กัดไปเยอะเลย"

เจบ่นอุบอิบให้กับคนที่กัดกินไปเสียคำใหญ่ คนตัวโตยักคิ้วให้คนรักพร้อมกับเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างถูกใจ ถึงมันจะไม่ได้มีวัตถุดิบหวือหวาอย่างพวก gourmet burger ของร้านอื่นๆ แต่รสชาติเรียบง่ายของขนมปังโฮมเม้ด เนื้อที่ชุ่มฉ่ำโปะชีสของร้านนี้ก็เป็นหัวใจหลักของแฮมเบอเกอร์ที่ดีสำหรับเขา หอมผัดและเบค่อนหนาๆ ที่ใส่มาด้วยก็ยิ่งช่วยชูรส มันทำให้เขานึกถึงรสชาติของแฮมเบอเกอร์จากร้านไดเนอร์ที่อยู่ใกล้ๆ บ้านเดิมของพ่อแม่เขา เจเอื้อมมือมาหยิบเฟรนช์ฟรายส์อ้วนๆ ไปจากจานของฆาเบียร์หลายชิ้นและส่งมันฝรั่งทอดรูปทรงเหมือนวาฟเฟิลราดชีสคืนมาให้ชิ้นหนึ่ง ฆาเบียร์หยิบมาชิมแล้วก็ต้องยิ้มออกมา ชีสซอสของร้านนี้รสชาติเข้มข้นดีเหลือเกิน ถึงมันทอดจะอร่อยน้อยลงไปบ้างเพราะไม่ได้กินร้อนๆ ทันที แต่ก็ถือว่ารสชาติใช้ได้







"กินอิ่มแล้ว พอมีเวลานิดหน่อย ไปลองเปียโนกันไหมครับ ฆาบี้?"

เจนยุทธซึ่งนั่งเท้าคางทำตาแป๋วอยู่ที่เคาเตอร์บาร์ถามคนรักซึ่งยืนล้างจานอยู่ ฆาเบียร์วางจานใบสุดท้ายลงบนที่คว่ำจาน แล้วหันกลับไปหาเจ

"อืมม์ ก็ดีนะ กว่าจะได้เล่นอีกทีก็ตั้งเดือนกว่า ไปลองกันก่อนก็ได้"

เจโดดลงจากเก้าอี้บาร์แล้วเดินนำฆาเบียร์เข้าไปในห้องนอนเล็กซึ่งเขาเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องสันทนาการและยิมย่อมๆ เขาตั้งเปียโนไฟฟ้าไว้ที่มุมด้านในสุดของห้อง เจเลือกเก้าอี้เปียโนตัวยาวแบบที่นั่งได้สองคนมาเพื่อที่เขาและฆาเบียร์จะได้นั่งเคียงข้างกันได้ เจเปิดสวิตช์แล้วปล่อยให้คนรักลองเปียโนตามใจชอบ ฆาเบียร์ไล่นิ้วลงไปตามคีย์เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงมันออกดีครบทั้งหมด เขาดีดเล่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันหน้ามาหาเจนยุทธ

"เจจ๊ะ เพลงนี้สำหรับนายนะ"

ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรักที่ยิ้มกว้างกลับมาหาเขาและหันกลับมาให้ความสนใจกับคีย์เปียโน เขาเริ่มดีดจากนั้นร้องเพลงคลอตาม


https://www.youtube.com/watch?v=bpl67o8YqSM


When I fall in love

It will be forever

Or I'll never fall in love

In a restless world Like this is

Love is ended before it's begun

And too many moonlight kisses

Seem to cool in the warmth of the sun



ฆาเบียร์เหลือบมองหน้าที่แดงระเรื่อของคนที่เป็นศูนย์รวมความรักของเขา เจส่งยิ้มให้เขาและเอนกายเข้าอิงแอบ คนตัวเล็กขยับปากร้องตามคนรักเบาๆ ฆาบี้ยิ้มตอบและร้องต่อ



When I give my heart

It will be completely

Or I'll never give my heart

And the moment I can feel that

You feel that way too

Is when I'll fall in love with you



https://www.youtube.com/watch?v=xvPESp5WoM0



เพลงจบลงด้วยจุมพิตจากเจนยุทธที่ริมฝีปากบางของคนรัก ฆาเบียร์เอียงกายรับจูบจากเจ มันเป็นจูบอันละเมียดละไมและเปี่ยมด้วยความรัก

"อ้ายฮักเจนะ"

คนตัวโตกระซิบแผ่วๆ ด้วยภาษาแม่ของคนรัก

"y yo tambien te quiero siempre"

เจตอบด้วยภาษาแม่ของฆาเบียร์ว่าเขาเองก็จะรักอีกฝ่ายตลอดไป พวกเขาโอบกอดกันไว้และไม่อยากปล่อยอีกฝ่ายให้ออกจากอ้อมอกไป ทั้งคู่พร่ำบอกคำรักและป้อนจูบให้กันอีกครู่หนึ่ง



"ฆาเบียร์ครับ..."

เจถอนหายใจและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เขายันกายออกจากอ้อมอกอันแสนอบอุ่นของคนรัก

"บ่ายสองแล้วครับ คุณไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ"

ถึงเขาจะไม่อยากให้ฆาเบียร์จากไปไหนอีก แต่เขาก็รู้ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้ และตอนนี้คนตัวโตควรต้องไปเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางแล้ว เจใจสั่นเมื่อเห็นหยาดน้ำตาที่เกาะพราวบนขนตายาวของคนรัก เขาจูบซับมันเบาๆ

"อย่าร้องไห้สิครับ ที่รัก เดือนครึ่งมันแป๊บเดียวเอง ยิ่งงานคุณเยอะแบบนี้นะ แป๊บๆ ก็หมดเวลาแล้ว ถึงตอนนั้นคุณขี้คร้านจะบ่นว่าไม่มีเวลาพอทำงาน"

เจพยายามฝืนทำตัวร่าเริง เขายิ้มกว้างให้คนรักและใช้นิ้วยกริมฝีปากของฆาเบียร์ให้ยิ้มตาม คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ออกมาทั้งน้ำตา เขาจูบแก้มใสๆ ของเจนยุทธหนักๆ อีกครั้งแล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้เปียโน เจลุกขึ้นตาม เขาจับมือใหญ่อันแสนอบอุ่นและดึงให้เดินตามเขาเข้าไปในห้องนอน



"ที่รักครับ คุณลงนั่งตรงนี้หน่อย"

เจเรียกคนรักที่เพิ่งออกจากห้องน้ำมาให้ลงนั่งที่ปลายเตียง เขานั่งลงบนพื้นตรงหน้าและจับเท้าคนตัวโตขึ้นพาดตัก เจจัดการใช้กรรไกรตัดเล็บตัดเล็บเท้าให้คนตัวโตซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำให้ฆาเบียร์เป็นประจำ

"คราวนี้คุณไปนาน ผมตัดไว้ให้ก่อนแล้วกันนะ"

ฆาเบียร์นั่งมองคนรักที่ก้มหน้าก้มตาตัดเล็บเท้าให้เขาด้วยความรู้สึกตื้อในอก หลังๆ มา ก่อนต้องจากกัน เจมักจะดูแลเขาแบบนี้ทุกครั้ง มันทำให้เขาอดรู้สึกใจหายไม่ได้

"เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมไปล้างมือก่อน เดี๋ยวมานะ"

เจเงยหน้าแล้วยิ้มให้คนรัก เขาเก็บเศษเล็บที่ตัดไว้ไปทิ้งและเข้าไปล้างมือ เมื่อกลับออกมา ฆาเบียร์ก็ใส่กางเกงยีนส์ที่เขาเตรียมไว้ให้เรียบร้อยและยืนรอเขาอยู่ที่ปลายเตียง เจหยิบเสื้อเชิร์ตและเสื้อเบลเซอร์ลำลองสีครีมที่เขาเตรียมไว้มา เขาใส่เสื้อเชิร์ตเนื้อดีสีขาวสะอาดให้คนรัก ฆาเบียร์หันกลับมาให้เจนยุทธติดกระดุมให้ เจปล่อยกระดุมสองเม็ดบนไว้ หากคนตัวโตทำท่าจะปลดออกอีกเม็ดหนึ่ง

"สองเม็ดพอครับ ฆาบี้!"

เจนยุทธเอ็ดเบาๆ พร้อมส่งสายตาดุๆ ให้คนรัก คนตัวโตหัวเราะร่วนและปล่อยมือจากกระดุมเม็ดที่สามนั้น เขาตั้งใจทำแบบนี้เพื่อทำลายบรรยากาศหนักอึ้งที่เริ่มก่อตัวในห้องนอน ฆาเบียร์ยัดชายเสื้อเข้าในกางเกงและคาดทับด้วยเข็มขัดยี่ห้อดัง เจถือเสื้อเบลเซอร์แบรนด์ดังไว้และให้คนตัวโตสอดแขนเข้าทีละข้าง เขาลูบมือตามหลังและไหล่ของคนรักเพื่อจัดความเรียบร้อยให้



"ผมไม่อยากให้คุณไปเลย"

ในที่สุดเจก็ทนสะกดกลั้นความรู้สึกของตนไม่ไหว เขาโอบเอวคนรักและแนบหน้าลงไปบนแผ่นหลังกว้าง ฆาเบียร์กลั้นสะอื้นเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนแผ่นหลัง เขาหันกลับมาโอบรัดร่างเพรียวไว้แน่น

"ฉันก็ไม่อยากไปเลยเจนยุทธ"

ฆาเบียร์จูบเรือนผมดำขลับและลูบแผ่นหลังที่สั่นสะท้าน การจากกันของพวกเขามันยากขึ้นทุกวัน ใจเขาแทบสลายทุกครั้งที่ต้องเดินจากเจนยุทธมาและเขาเองก็รู้ว่าเจก็รู้สึกแบบเดียวกัน พวกเขากอดกันนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่เจนยุทธจะปาดน้ำตาและดันร่างฆาเบียร์ออก

"เรา เอ่อ เราไปกันแล้วดีกว่าครับ ฆาบี้"

เจก้มหน้าพูดเสียงแผ่วเบา ฆาเบียร์ระบายลมหายใจออกจากปากเบาๆ จากนั้นบรรจงจูบหน้าผากของคนรักและขยับกายออกห่าง เขาเดินไปหยิบกล่องต่างหูของแม่มาแล้วหยิบต่างหูเพชรสีน้ำเงินออกมาใส่ให้เจ ส่วนเจก็หยิบอีกข้างหนึ่งมาใส่ให้ที่หูขวาของฆาเบียร์เช่นกัน เขาทั้งสองส่งยิ้มให้กันและพากันเดินออกห้องนอน



"อย่าลืมนะ ฆาบี้ ถ้าไปถึงสหรัฐฯ แล้ว ติดต่อผมกลับมาด้วย พยายามหาเวลาว่างคุยกันสักนิด ต่อให้คุณว่างตอนที่ไทยดึกดื่นแค่ไหนก็ติดต่อมา ผมพร้อมคุยกับคุณเสมอ ถ้าอาการไม่ดีก็ให้รีบบอกอาปา อย่าทิ้งไว้ให้เป็นหนักเหมือนคราวนู้น แล้วรักษาสุขภาพด้วย กินอาหารให้ครบมื้อ นอนให้พอ ผมล่ะเป็นห่วงคุณจริงๆ เลย อืมม์..."

เจนยุทธร่ายยาวก่อนที่จะถูกคนรักทำให้เงียบเสียงด้วยริมฝีปากของเขา เจจุมพิตตอบเบาๆ เขาลืมไปแล้วว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าห้องพักผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศของสนามบินเชียงใหม่

"ฆาบี้ คุณนี่ทำรุ่มร่ามตลอดเลยนะ"

เจหน้าแดงก่ำเมื่อนึกได้ว่าพวกเขาอยู่ในที่สาธารณะ คนตัวโตยิ้มกริ่มและก้มลงหอมเรือนผมของคนรักอีกครั้งหนึ่ง

"ถ้างั้น ฉันไปก่อนแล้วนะ คนดีของฉัน แล้วฉันจะรีบกลับมาหานายนะ รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะเจ"

เจนยุทธพยักหน้ารับคำ เขาจับมือของคนรักมาทาบที่ตำแหน่งของหัวใจ ส่วนตัวเขาก็ทำเช่นเดียวกัน ฆาเบียร์ดึงร่างเจมากอดอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโบกมืออำลาและหันหลังเดินเข้าประตูไป เจยืนส่งคนรักจนเห็นแน่ชัดแล้วว่าเขาผ่านตม. เข้าไปแล้วจึงเดินกลับออกมาด้วยหัวใจที่หมองหม่น เขาได้แต่หวังว่าเวลาเดือนครึ่งนี้จะผ่านพ้นไปอย่างเร็ววัน



----------------------------------------

ตอนนี้ยาวเฟื้อยหน่อยนะคะ อยากจบช่วงนี้ให้ลงภายในตอนนี้ ได้เวลาปล่อยฆาเบียร์กลับไปทำงานแล้ว คนเขียนก็อาจจะขอพักแปร๊บๆ แล้วจะมาต่อตอนพิเศษเรื่องของปรินซ์กับซันซัน ลองดูก่อนว่าจะเขียนออกมาได้ไหม แล้วค่อยกลับมาเรื่องของคู่หลักต่อค่ะ

อีกอย่างหนึ่งที่จะแจ้งคือ...มีเพจเฟซบุ้คแล้วนะคะ เขียนจนจะจบเรื่องแล้วเพิ่งจะมาคิดทำเพจ แหะๆๆ กะเอาไว้ว่าจะเอาไว้โพสต์เรื่องร้านอาหารต่างๆ และข้อมูลต่างๆ ที่เคยลงไว้ในเรื่อง ตามไปดูได้นะคะ แต่ ณ ตอนนี้ยังเป็นหน้าว่างๆ โล่งๆ อยู่ค่ะ เดี๋ยวถ้าว่างๆ จะตามมาใส่ข้อมูลเพิ่ม มีอะไรติชมก็แวะมาคุยกันได้ เปิด twitter ไว้เหมือนกันแต่ว่าเล่นไม่เป็น ก็คงจะทิ้งมันไว้แบบนั้น มาเล่นในเฟซจะถนัดกว่า

เพจค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

ในตอนนี้ก็ไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมากค่ะ มีแค่แนะนำร้านเบอเกอร์อร่อยๆ ย่านนิมมานเหมินท์อย่าง Beast Burger ร้านนี้เดิมทีเปิดเป็น food truck แต่ตอนนี้ได้ที่ตั้งเป็นหลักแหล่งแล้ว เบอเกอร์อร่อยค่ะ ราคาก็ยังถูกกว่าเบอเกอร์คิงอีกด้วยซ้ำ

โฮมเพจของร้านค่ะ http://bit.ly/2N0yxia

ในเรื่องพูดถึงอีกร้านดังอย่าง Rock Me Burger&Bar แต่ขอเก็บไว้ก่อน คนเขียนจะพาไปรีวิวร้านใหญ่ที่ลอยเคราะห์ในโอกาสถัดไปค่ะ

ส่วนเพลง When I Fall in Love ที่ยกมาให้ฟัง ขอเป็นเวอร์ชั่นของ Andrea Bocelli แทนเวอร์ชั่นดั้งเดิมของ Nat King Cole แล้วกันนะคะ

ลืมเรื่องละครน้ำเน่าไป เรื่องที่เขียนถึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Lady Altagracia ค่ะ คนเขียนเปิดดูแค่ตอนแรกก็ติดแล้ว แต่!! มันมีให้ดูเต็มๆ ตอนแค่ตอนแรกค่ะ ตอนอื่นๆ มีให้ดูแค่ตอนละสิบกว่านาที มากกว่านั้นต้องไปดูในเว็บของ Telemundo ซึ่งก็ดูบ้านเราไม่ได้ ไว้ค่อยหาทางดู เพราะน่าจะแซ่บ ส่วนละครเกาหลีเรื่อง Queen of Ambition หรือ Yawang นี่ขอแนะนำค่ะ ถึงจะหลายปีแล้ว แต่ดูกี่ทีก็สนุกเข้มข้น ลองหาดูในเน็ตได้ค่ะ


Lady Altagracia

https://www.youtube.com/watch?v=Fm4s-i-E4fQ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2018 08:24:27 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.1 ----




“ไงครับ คุณ ไหงวันนี้โทรมาแต่หัววันเลยล่ะครับ? แล้วนี่หายเจ็ตแล็กหรือยัง?”

เจยิ้มแป้นทักทายฆาเบียร์ซึ่งเพิ่งเดินทางไปถึงสหรัฐฯ เมื่อสองวันที่แล้ว ขณะนี้ที่ไทยเป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว แต่ที่แคลิฟอร์เนียยังเป็นเวลาประมาณสิบโมงกว่าๆ

"ยังมีมึนๆ บ้างจ้ะ แต่ก็พอไหว แล้วตอนนี้ฉันว่าง เพิ่งประชุมรอบเช้าเสร็จ นึกได้ว่าคืนนี้เจน่าจะนอนดึกก็เลยโทรมาหาก่อน แล้วว่าไง ทีมเจน่ะ คืนนี้ไหวไหม?"

คนตัวโตซึ่งนั่งอยู่ในห้องทำงานยิ้มตอบ เขาจำได้ว่าคืนนี้มีบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกรอบสิบหกทีมสุดท้ายนัดที่สองระหว่างปารีส แซงต์ แฌคแมงและเรอัล มาดริด และเจนยุทธต้องไม่พลาดรอเชียร์ทีมโปรดของเขาอย่างทีมราชันย์ชุดขาวแน่นอน

"ชิๆ ถามมาได้ว่าไหวไหม ทีมผมน่ะเข้ารอบใสๆ อยู่แล้ว นัดที่แล้วชนะมาตั้ง 3-1 ถึงจะเสียประตูในบ้านแต่คืนนี้ก็ไม่น่าพลาด ทีมคุณเหอะ นัดที่แล้วเสมอเชลซี 1-1 สัปดาห์หน้าแข่งบ้านตัวเองก็อย่าให้เค้ายิงได้แล้วกัน"

เจแลบลิ้นให้คนรักซึ่งเชียร์ทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่างบาร์เซโลน่า ฆาเบียร์ทำหน้าเซ็ง พวกเขาคุยทับถมกันไปมาเรื่องฟุตบอลอีกครู่หนึ่งก่อนที่ฆาบี้จะเปลี่ยนเรื่องคุย



"เออ แล้วปรินซ์กับซันซันไปไหนล่ะ? ตอนแรกฉันนึกว่าพวกนั้นจะมาดูบอลที่ห้องเจซะอีก"

"อ๋อ สองคนนั้นไม่ได้มาครับ เมื่อวานซืนไอ้ซันมันตกบันได กระดูกแขนร้าว ที่บ้านเลยจับมันไปนอนโรงพยาบาล เช็คสมงสมองอะไรด้วย"

คนตัวโตทำท่าตกใจ เขาถามถึงอาการของซันซันทันที แต่เจก็บอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วง ที่บ้านของซันแค่ให้อยู่โรงพยาบาลเพื่อให้สบายใจไว้ก่อนเท่านั้น

"คืนนี้ปรินซ์มันเลยรับอาสาที่บ้านไอ้ซันมันไปนอนเฝ้าให้ ผมว่ามันก็คงไปแอบดูบอลด้วยกันนั่นแหละ"

เจพูดกลั้วหัวเราะ ทั้งสองคนเป็นแฟนทีมเรอัล มาดริดเหมือนกันกับเขาและคงไม่พลาดบอลนัดนี้แน่นอน

"ทั้งสองคนนี่สนิทกันจริงๆ นะ ดูเข้านอกออกในบ้านกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเลย"

เจพยักหน้ารับคำ

"ครับ สองคนนี้สนิทกันมานานแล้ว ส่วนผมน่ะเพิ่งมารู้จักและสนิทกันตอนอยู่มหา'ลัย..."

เจเล่าให้คนรักที่ทำท่าอยากรู้อยากเห็นฟัง

"ไหนๆ คุณก็ถามขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวผมเล่าเรื่องไอ้สองคนนี้ให้ฟังเลยแล้วกัน คือไอ้เจ้าสองคนนี้บ้านอยู่ติดกัน เรียกได้ว่าสนิทกันตั้งแต่เกิดเลยมั้ง..."




เดี๋ยวครับ! เดี๋ยวก่อน คุณคนอ่านที่รัก อย่าพึ่งไปฟังไอ้เจมันมาก มันรู้เรื่องจริงๆ ของพวกผมได้ไม่ถึงครึ่งหรอก ​ถ้าอยากฟังเรื่องของผมกับซันซัน เดี๋ยวผมจะเป็นคนเล่าให้พวกคุณฟังเอง



เอ่อ ก่อนอื่น ขอผมแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อปรินซ์ ปริญญา ลิ้มสวัสดิกุล ฟังจากนามสกุลก็คงรู้ว่าบ้านผมน่ะมีเชื้อจีนแน่ๆ ครอบครัวผมเป็นคนจีนซึ่งอพยพขึ้นมาจากเยาวราชเมื่อประมาณหกสิบปีที่แล้ว ตอนนั้นพ่อผมยังไม่เกิดเลยครับ อากงของผมตัดสินใจย้ายครอบครัวขึ้นมาเพื่อหาลู่ทางทำกินที่เชียงใหม่ โดยมาพร้อมกับเพื่อนรักซึ่งก็คืออากงของไอ้ซันมันนั่นแหละ ตอนอยู่เยาวราช ทั้งคู่ทำงานเป็นช่างทองในห้างทองแถวนั้น พอขึ้นมาเชียงใหม่ แรกเริ่มก็มารับจ้างเป็นช่างตามร้านทองแถวๆ นั้นและเก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเปิดร้านทองเองได้ทั้งคู่ในกาดหลวง ในตอนแรกเปิดเป็นตู้ขายทองเล็กๆ และไม่มีหน้าร้านอะไร


ตอนหลังมา เกิดไฟไหม้ใหญ่ที่กาดหลวง ตอนนั้นป๊าผมอายุยังไม่ถึงสิบขวบเลยมั้ง กิจการของอากงผมไม่ได้รับความเสียหายอะไรเพราะรีบกวาดทองจากในตู้ใส่กระเป๋าและเอาไปฝากไว้ที่สถานีตำรวจ ที่เสียหายก็คงเป็นพวกตู้ทองเท่านั้น ในตอนนั้นครอบครัวพวกอากงไม่ได้อาศัยอยู่ในตลาดแต่ว่าเช่าบ้านอยู่ย่านวัดเกต หลังจากไฟไหม้ พวกอากงก็เปิดตู้ขายที่ตลาดอื่นไปพลางๆ ก่อน ภายหลังทางตลาดวโรรสได้สร้างตึกแถวขนาดใหญ่ขึ้นมาในย่านตลาดเดิมเพื่อหาทุนสร้างตัวตลาดใหม่ หลังจากปรึกษากันพักใหญ่ พวกอากงผมก็ตัดสินใจกู้เงินเพื่อซื้อตึกแถวห้องที่อยู่ติดกันไว้สองห้องแล้วเปิดเป็นร้านทองคู่กันและภายหลังก็ขยับขยายเป็นร้านใหญ่สองคูหากันทั้งสองร้าน เรียกได้ว่าพวกผมอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่รุ่นปู่เลยครับ



พอมารุ่นป๊าของพวกผม อากงผมมีลูกคนเดียวคือป๊าผมซึ่งอายุมากกว่าพ่อไอ้ซันสองปี อากงของผมเป็นพ่อม่าย อาม่าของผมเสียชีวิตไปตั้งแต่ป๊าผมยังเป็นเด็ก ป๊าผมก็ได้บ้านซันซันช่วยเลี้ยง​มา เรียกได้ว่าลูกชายของสองบ้านนี้เล่นด้วยกัน เป็นเพื่อนกันมาตลอด พอเข้าเรียนป๊าผมกับพ่อมันก็เข้าเรียนที่เดียวกันซึ่งก็คือโรงเรียนเอกชนชายอีกฝั่งของแม่น้ำปิงที่เดียวกับที่พวกผมเรียนจบมานั่นแหละครับ ที่จริงแล้วบ้านพวกผมกะจะดองกันโดยกะให้ป๊าของผมแต่งงานกับป้าของซันซันที่เกิดปีเดียวกัน แต่ว่าคุณป้าของซันคนนี้เป็นเด็กเรียนเก่งและในที่สุดก็ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณป้าของซันไม่ยอมโดนคลุมถุงชน จึงปฏิเสธเรื่องนี้ ตอนหลังมาคุณป้าเขาก็พบรักกับหนุ่มฝรั่งแล้วก็แต่งงานแต่งการอยู่เมืองนอกไป เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงป้าของซันต่อทีหลังนะครับ

ส่วนป๊าของผมตอนหลังก็แต่งงานกับม่ะม้าซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษาที่ม.เชิงดอย ส่วนพ่อของซันก็ได้แฟนเป็นลูกร้านพลอยจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตอนแรกอากงไอ้ซันมันค้านหัวชนฝาเลยครับเพราะว่าพ่อของแม่ของซันซันเป็นคนจีนฮ่อจากทางยูนนานไม่ใช่คนจีนแต้จิ๋วเหมือนกับครอบครัวของอากง แถมยังมีแม่เป็นคนไทยที่มีเชื้อสายชาวไตจากรัฐฉานของพม่าอีก แต่สุดท้ายพ่อมันก็ดื้อแต่งงานด้วยจนได้ พอเห็นหน้าหลานชายปุ๊บ อากงมันก็เปลี่ยนใจปั๊บครับ ตอนหลังมาก็ถึงขั้นยอมให้ลูกสะใภ้เปลี่ยนร้านจากขายทองอย่างเดียวมาขายเพชรพลอยด้วย จนตอนนี้แทบจะขายเพชรพลอยอย่างเดียวแล้วครับ



พอมาถึงรุ่นผม คนที่ช่วยป๊าดูแลร้านทองก็คือพี่คิง พี่ชายของผมที่อายุมากกว่าผมสี่ปี ผมก็เลยยังลอยชายไปมาได้อย่างสบายอารมณ์ ตอนกลางวันก็ไปช่วยเฝ้าร้านบ้างตามเรื่องไป ส่วนบ้านไอ้ซัน คนที่มีอำนาจเต็มในร้านก็คือแม่ของมัน เขาว่ากันว่าแม่ของซันเป็นคนที่เก่งเรื่องดูเพชรมากและซันเองก็ได้รับวิชาจากแม่มาเต็มที่ พวกคุณก็คงเห็นได้ตอนที่มันมองออกว่าต่างหูของป๋าฆาเบียร์เป็นเพชร ไม่ใช่พลอย แต่ถึงจะสายตาเฉียบคม ซันมันก็ไม่อยากทำงานร้านของที่บ้านครับ มันอยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า ซึ่งผมจะเล่าให้พวกคุณฟังทีหลัง ตอนนี้คนที่ช่วยงานที่บ้านเต็มตัวก็คือน้องสาวของมันครับ เอ้า...ผมจะปล่อยให้เจมันเล่าต่ออีกหน่อย



"ไอ้ปรินซ์กับซันซันมันโตมาด้วยกันเลยครับ ทั้งคู่เกิดปีเดียวกัน ไอ้ซันมันแก่กว่าซักเดือนนึงเองมั้ง..."

เจนยุทธเล่าให้คนรักที่นั่งฟังอย่างสนใจ เขาเล่าว่าตี๋หนุ่มลูกร้านทองและร้านเพชรคู่นี้อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีเศษ

"อืมม์...งั้นพวกนั้นก็อายุซัก เท่าไหร่นะ? 28 เหรอ? ว้าว ก็นับว่ารู้จักกันมา 28 ปีเลยสินะ"




อืมม์ เกือบถูกครับป๋า แต่ที่จริงต้องบอกว่าพวกผม "เห็น" กันมาร่วม 29 ปีแล้วครับ เห็นผ่านตาของแม่พวกผม แม่ๆ ของพวกผมก็สนิทกันตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง ช่วงที่ท้องอยู่ พวกแม่ๆ ผมเขาก็ไปทำนั่นทำนี่ด้วยกัน ไปซื้อของเตรียมนั่นนี่ ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นมีการอัลตราซาวด์ดูเพศลูกแล้วหรือยัง แต่รู้แค่ว่าพวกผู้ใหญ่เขาก็ยังไม่เลิกความคิดที่จะดองกัน มีคุยกันไว้ว่าถ้าลูกทั้งสองบ้านเกิดมาเป็นชายคน หญิงคน ก็จะจับคู่ให้กัน แต่พอดีว่าพวกผมออกมาเป็นผู้ชายทั้งคู่ โครงการนี้ก็เลยพับไป

พวกผมทั้งสองคนโตมาโดยอยู่เคียงข้างกันมาตลอด ตอนเรายังแบเบาะ พวกแม่ๆ ก็เลี้ยงเราด้วยกัน ผลัดกันอุ้มไปนอนไม่ที่ร้านผมก็ร้านซันซัน เวลาบ้านไหนไม่ว่างต้องไปธุระก็จะเอาลูกมาฝากไว้กับอีกบ้านหนึ่ง มันคือเพื่อนคนแรกของผม และผมก็เป็นเพื่อนคนแรกของมัน เราเล่นด้วยกันตั้งแต่ยังเดินไม่คล่องจนกระทั่งวิ่งได้ เป็นอันรู้กันว่าถ้าเจอมันก็ต้องเจอผมด้วย เราแยกกันแค่เวลาเข้าส้วมกับนอนเท่านั้น

เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียน เราเข้าอนุบาลเดียวกันและเช่นเดียวกับโรงเรียนประถม เพื่อนของเราเริ่มมีมากขึ้น แต่ผมกับซันก็ไม่ได้สนิทกันน้อยลง มันกลับยิ่งคอยดูแลผมที่ตัวเล็กกว่า หืมม์? อะไรนะครับ? อ๋อ ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิด ถึงในตอนนี้ผมจะสูง 183 และเล่นกล้ามจนตัวใหญ่หนาแล้ว แต่ตอนช่วงอนุบาลจนถึงประถม ผมเป็นเด็กแถวหน้าคือตัวเตี้ยและเล็กแกร็นกว่าเพื่อนๆ ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติผมก็มักอยู่หัวแถวเสมอ ส่วนซันซันนั้นกลับถือว่าสูงใหญ่สำหรับเด็กวัยเดียวกันอีกทั้งยังเริ่มอวบเพราะอาม่ามันตามใจให้มันกินขนมทุกครั้งที่ขอ มันที่เกิดก่อนผมสองเดือนมักทำตัวเป็นพี่ใหญ่คอยปกป้องผมซึ่งโดนเพื่อนๆ แกล้งบ้าง คราวนี้ก็เช่นกัน



"เฮ้ย ปล่อยไอ้ปรินซ์นะ! ไม่งั้นกูไปฟ้องครูแน่!"

เสียงไอ้ซันดังขึ้น ทำให้มือที่กระชากคอเสื้อผมอยู่คลายออกทันที รุ่นพี่ป. 6 สองสามคน นำทีมโดยไอ้พี่อ้น อันธพาลประจำโรงเรียนที่กำลังรุมเด็กป. 4 อย่างผมที่ริมสนามบอลก็หันขวับไปหาเจ้าเพื่อนสนิทของผมทันที ถึงซันซันจะจัดว่าตัวใหญ่สำหรับเด็กป. 4 แต่มันก็ยังสู้รุ่นพี่ไม่ได้อยู่ดี ไม่นานมันก็ถูกอันธพาลพวกนั้นชกคว่ำลงไปกับพื้น

"ว๊ากกกกกกก"

ก่อนที่พวกรุ่นพี่พวกนั้นจะทันทำอะไรไอ้ซันอีก ผมก็คว้าก้อนหินแถวนั้นไล่ขว้างใส่เจ้าพวกนั้น จากนั้นหยิบเอากิ่งฉำฉาท่อนใหญ่ที่หักตกอยู่บนพื้นขึ้นมา ผมหลับหูหลับตาไล่ฟาดรุ่นพี่พวกนั้นอุดตลุด ถ้าจำไม่ผิดมีคนหนึ่งที่ถึงกับหัวแตกเลือดอาบไป แต่ก่อนที่จะมีอะไรร้ายแรงกว่านั้นเกิดขึ้น พวกเพื่อนๆ ผมคนอื่นที่เผ่นแน่บไปตั้งแต่ตอนเริ่มมีเรื่องกันก็วิ่งกลับมาพร้อมกับครูอีกสองสามคน ผมรีบทิ้งไม้และโผเข้าไปหาไอ้ซันที่ยังนอนกองอยู่บนพื้น

"ไอ้ซัน มึงอย่าเป็นอะไรไปนะ"

ในตอนนั้นผมถึงกับร้องไห้โฮออกมา สภาพมันยับเยินเอาเรื่องครับ ทั้งปากเจ่อ หน้าบวม ตาปิดไปข้างนึง ตามตัวมีรอยถลอกปอกเปิก เสื้อขาดและเปื้อนฝุ่นดินเต็มไปหมด

"เฮ้ยๆ กูไม่เป็นไร อย่าร้องไห้ดิ ไอ้ปรินซ์"

ซันซันค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่ง มันตบหัวผมที่เข้าไปกอดมันแน่น มันเข้ามาช่วยผมที่มักโดนแกล้งแบบนี้หลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่มันบอบช้ำที่สุด แต่ก่อนที่ผมจะทันพูดอะไรกับมัน พวกผมก็ถูกครูพาไปห้องพยาบาลและหลังจากนั้นก็ไปต่อที่ห้องฝ่ายปกครอง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะมีคนเลือดตกยางออก แต่เนื่องจากมีพวกเพื่อนผมกับคนอื่นๆ ที่สนามบอลเป็นพยานให้ว่าผมเป็นฝ่ายโดนพวกรุ่นพี่พวกนั้นเล่นงานก่อน เรื่องจึงจบลงแค่เรียกผู้ปกครองมาตักเตือนและทำทัณฑ์บนไว้



"อูย เจ็บก้นชิบ อาม่ากูนี่ทั้งแก่ทั้งผอมแบบนี้ แต่มือหนักโคตร"

ไอ้ซันโอดครวญพร้อมกับค่อยๆ นั่งลงบนเตียงของผม ผมเองก็ค่อยๆ ลงนั่งด้วยความระบมเช่นกัน ถึงผมจะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มทะเลาะก่อน แต่ผู้ใหญ่ของเราทั้งสองคนก็ตัดสินใจทำโทษพวกเราเพื่อให้หลาบจำ คนที่ตัดสินใจและทำหน้าที่เป็นมือฟาดก็คือผู้มีอำนาจปกครองสูงสุดอย่างอาม่าของซันซัน พวกผมทั้งสองคนพยายามส่งสายตาปิ๊งๆ ขอความเมตตาให้ทั้งพ่อแม่และกระทั่งเหล่ากงของพวกเรา แต่ก็ไม่มีใครยอมสบตาพวกผมเลย สุดท้ายพวกผมก็ต้องรับไม้เรียวคนละ 10 ไม้ตามระเบียบ

"มึงเป็นอะไรมากไหม ซันซัน เจ็บมากไหม?"

ผมแตะริมฝีปากที่เริ่มบวมช้ำของมัน ไอ้เพื่อนตัวโตของผมผงะออกด้วยความเจ็บ มันยิ่งทำให้ผมใจเสีย

"เห้ยๆ กูไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกน่า เดี๋ยวก็หาย"

ไอ้ซันมันคงสังเกตได้จากสีหน้าที่จวนจะร้องไห้อยู่มะรอมมะร่อของผม มันจึงหัวเราะและทำท่าเหมือนไม่ได้เจ็บปวดอะไร



"ว่าแต่มึงเถอะ ไอ้เตี้ย ทำไมไปมีเรื่องกับพวกไอ้พี่อ้นได้วะ?"

ซันซันมักเรียกผมว่าไอ้เตี้ยตามรูปร่างของผม เช่นเดียวกับที่ผมเรียกมันว่าไอ้อ้วน มันเป็นฉายาที่พวกผมเรียกกันมาแต่เล็ก แต่จะรู้สึกฉุนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคนอื่นเรียกอีกฝ่ายแบบนั้น

"ก็พวกกูกำลังเตะบอลกันที่สนาม อยู่ๆ ไอ้พวกพี่อ้นก็มาไล่ที่ ไอ้พวกเพื่อนเวรก็วิ่งหนีกันไปหมด..."

ผมอดบ่นออกมาไม่ได้ ตอนอยู่ป. 4 ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองถนัดเล่นฟุตบอล ถึงจะมีรูปร่างเล็ก แต่ผมก็สามารถหาทางหลบหลีกฝ่ายตรงข้ามเข้าไปยิงประตูได้ ช่วงพักเที่ยงและหลังเลิกเรียนผมมักปลีกตัวไปเล่นบอลโกลหนูกับพวกเพื่อนๆ ที่เตะบอลเหมือนกันโดยมีไอ้ซันตามไปนั่งดูด้วยบ้าง มันไม่ค่อยชอบเล่นกีฬาเท่าไหร่ครับจึงไม่ค่อยมาลงเล่นกับพวกผม อย่างในวันนั้นมันก็ไปหาขนมกินตอนที่เกิดเรื่องขึ้น

"อ้าว แล้วทำไมมึงไม่หนีกับเขาวะ? ตัวเตี้ยตะแมะแคะเป็นลูกหมาก็ยังอุตส่าห์ไปมีเรื่องกับพวกพี่มันได้ หรือมึงขาสั้นวิ่งหนีไม่ทัน?"

ไอ้อ้วนซันมันแขวะผมตามประสาเด็กปากร้าย มันค่อยๆ เอนตัวลงนอนพร้อมกับส่งเสียงโอดโอยเบาๆ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลุกไปหยิบกระเป๋าเป้นักเรียนใบใหญ่ของผมมา



"ถ้ามันแค่มาไล่ที่ กูก็คงไม่ไปสู้กับมันหรอก แต่นี่ กูไปเอาไอ้นี่คืน"

ผมเปิดกระเป๋าออกแล้วหยิบลูกฟุตบอลอะดิดาสลูกหนึ่งออกมาโยนตุ้บลงไปบนพุงของเพื่อน​ ซันซันยกมันขึ้นดูแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าผม

"มึงนี่บ้าหรือเปล่าวะ แค่บอลลูกเดียว ก็ปล่อยให้มันยึดไปสิ"

"ก็มึงอุตส่าห์ให้กูวันเกิด จะปล่อยให้โดนยึดไปได้ไงวะ"

ผมพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ซันซันให้บอลลูกนั้นกับผมในวันเกิดครั้งที่ผ่านมา ถึงจะไม่ใช่รุ่นแพงอะไร แต่มันก็เป็นของขวัญที่เพื่อนรักของผมอุตส่าห์เก็บเงินค่าขนมซื้อให้โดยไม่อาศัยเงินจากพ่อแม่ สำหรับผม มันคือของสำคัญที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้ แล้วพวกคุณเชื่อไหมครับ เกือบยี่สิบปีผ่านไป ผมยังเก็บมันไว้จนถึงทุกวันนี้รวมกับของชิ้นอื่นๆ ที่มันเคยให้ผม หากไม่มีชิ้นไหนที่ผมรักเท่าลูกฟุตบอลลูกนี้ ทุกครั้งที่มองมัน ผมก็จะนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เหตุการณ์ที่มันเองอาจจะลืมไปแล้ว แต่สำหรับผม ภาพของซันซันที่โผเข้ามาช่วยในวันนั้นติดตรึงแน่นอยู่ในหัวของผม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบปี ไม่ว่าตอนนี้มันจะเป็นไอ้อ้วนเตี้ยและผมเป็นคนที่สูงใหญ่ล่ำสัน แต่ในใจของผมนั้นมันยังคงเป็นฮีโร่เสมอ

และเหตุการณ์ในวันนั้นเองทำให้ผมรู้ว่าซันซันสำคัญสำหรับผมแค่ไหน หัวใจของผมในวัยสิบขวบแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นมันถูกเด็กโตชกล้มคว่ำ และเมื่อผมเห็นสภาพสะบักสะบอมของมันผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ กลัวว่าผมจะต้องเสียมันไป และเมื่อมันลุกขึ้นนั่งได้และตบหัวผมเพื่อปลอบโยน ผมก็รู้สึกสุขใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จนผมลืมสิ่งต่างๆ ที่เกิดรอบตัวผมไป ผมไม่ใส่ใจว่าครูจะดุด่าพวกเราแค่ไหน ผมไม่ใส่ใจว่าพ่อแม่และอาม่าของซันจะทำโทษเราหนักแค่ไหน สายตาผมจับจ้องอยู่แต่กับเพื่อนรักคนสำคัญคนนี้ของผมเท่านั้น



วันถัดมาซันซันขาดเรียนและเช่นเดียวกับอีกสามวันถัดไปเพราะอาการไข้ ผมแวะเวียนไปหามันที่ห้องทุกวัน แม้จะยังมีอาการอ่อนเพลียจากไข้ ไอ้อ้วนของผมก็ส่งยิ้มให้พร้อมกับลูบหัวผมที่นั่งทำหน้าจ๋อยอยู่ข้างเตียง

“กูไม่เป็นอะไรน่า มึงไม่ต้องห่วงหรอก นี่กูหาทางอู้เรียนต่างหาก”

มันพยายามพูดติดตลก แต่ก็ไอค่อกแค่กออกมาจนหน้าแดงก่ำ ผมรีบหาน้ำให้มันดื่มและรอดูจนมันหลับไป ในวันนั้น ผมได้ปฏิญาณกับตัวเองว่าผมจะต้องเข้มแข็งขึ้นและไม่ให้มันต้องมาเจ็บตัวเพราะผมแบบนี้อีก

สิ่งแรกที่ผมทำคือผมพยายามหาทางเปลี่ยนตัวเอง ตราบใดที่ผมยังเป็นไอ้เด็กแคระแบบนี้ ผมคงไม่มีวันได้เป็นฝ่ายปกป้องมันแน่ๆ ผมตั้งหน้าตั้งตาดื่มนม เริ่มออกกำลังกายและอื่นๆ และทุกอย่างก็มาเห็นผลเอาตอนที่พวกผมเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ผมสูงพรวดพราดขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจนสูงเท่ากับซันซันซึ่งความสูงของมันหยุดลงที่ 160 เซ็นต์เศษๆ

"อะไรวะ นี่มึงสูงขึ้นอีกแล้วเหรอ ไอ้ปรินซ์"

ไอ้ซันมันบ่นผมเมื่อพวกเรายืนเข้าแถวหน้าเสาธงในวันเปิดภาคเรียนที่ 2  ปีนี้พวกผมขึ้นม. 1 แล้วครับ เทอมที่แล้ว ผมยืนเข้าแถวอยู่ข้างหน้ามันไปประมาณสามคน หากในเทอมนี้ ผมมายืนแทนที่มันตรงท้ายแถวแล้ว

"อืมม์ สูงขึ้นอีกห้าเซ็นต์จากเทอมที่แล้วว่ะ กูเพิ่งวัดเมื่อเช้าที่ห้องพยาบาล"

ผมตอบมันด้วยเสียงที่เริ่มแหบน้อยๆ ส่วนซันซันเสียงมันเริ่มแตกหนุ่มเต็มที่มาตั้งแต่เริ่มเข้าม.หนึ่งแล้ว แต่ส่วนสูงของมันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น หากแต่เริ่มขยายออกข้างเรื่อยๆ อีกสิ่งหนึ่งคือมันเริ่มใส่แว่นสายตา ทำให้บุคลิกของมันดูเปลี่ยนไปจากตอนประถมโดยสิ้นเชิง



ในช่วงชีวิตนักเรียนมัธยม ผมกับซันก็ยังคงสนิทกันเหมือนเดิม แม้เราจะไม่ได้ตัวติดกันเหมือนสมัยก่อนเนื่องจากสารพัดกิจกรรมที่พวกเราทำ ผมเข้าทีมฟุตบอลโรงเรียนและเริ่มซ้อมทุกเย็น แต่ซันซันก็ยังคงรอผมเพื่อที่จะกลับบ้านด้วยกันทุกเย็นเหมือนที่เคยทำมาตั้งแต่เล็ก

"เฮ้ โทษที วันนี้กูช้าไปหน่อย มึงมารอนานหรือยัง?"

ผมรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหาไอ้ซันที่นั่งรอผมอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนหน้าตึกเพชรรัตน ซันซันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่และแย้มยิ้มให้ผม

"ไม่นานๆ กูเองก็เพิ่งเรียนเสร็จ..."

ระหว่างที่ผมซ้อมบอล ซันซันก็ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่สถาบันใกล้ๆ กับโรงเรียนของพวกผม ถึงจะยังอยู่ม.ต้น แต่ที่บ้านมันก็อยากให้มันได้ภาษาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมันก็ส่งผลจนถึงปัจจุบันจริงๆ ถ้าเทียบแล้วในบรรดาพวกผมสามคน ซันซันเป็นคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีที่สุด แม้ตอนนี้จะโดนไอ้เจที่มีแฟนฝรั่งแซงหน้าไปแล้วก็ตาม



"งั้น เราจะกลับกันเลยไหม? หรือว่าจะแวะร้านเกมก่อน?"

ไอ้ซันลุกขึ้นยืนแล้วถามผม

"แวะอะไรล่ะ โดนอาม่าแหกอกมาคราวที่แล้วมึงยังไม่เข็ดอีกเหรอวะ? ตรงกลับบ้านเลยดีกว่าว่ะ"

ผมพูดเสียงอ่อยๆ คราวที่แล้วพวกผมเถลไถลแวะร้านเกมและเผลอเล่นนานไปจนถึงดึกดื่น ผลก็คือถูกไม้เรียวเพชรฆาตของอาม่าไอ้ซันไปคนละหลายไม้แถมด้วยการกักบริเวณ โดยต้องตรงกลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียนอีกนับสัปดาห์ ไอ้ซันทำหน้าเบ้เมื่อผมบอกมันไปแบบนั้น

"แต่ถ้ามึงอยากเล่นเกม เดี๋ยวเสาร์นี้มึงไปกับกูสิ ไอ้โต้งมันชวนกูไปเล่นวินนิ่งที่บ้านพี่มัน..."

ผมพูดยิ้มๆ โต้งเป็นเพื่อนในทีมฟุตบอลของผม มันเป็นเด็กลำปางที่เข้ามาเรียนที่เชียงใหม่ มันพักอยู่กับลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นนักศึกษาปี 2 ของม.เชิงดอยที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัย ผมเคยไปบ้านมันมาสองสามครั้งแล้วแต่ซันซันยังไม่เคยไป

"กูก็อยากไปนะ แต่ไม่รู้แม่จะยอมให้ไปไหม"

ซันซันพูดพลางเดินไปตามทาง มันเหลือบมองผมซึ่งใช้ไหล่มันเป็นที่พักแขนอย่างขัดใจ ในวัย 14 ปี ผมสูงขึ้นพรวดพราดขึ้นไปเป็น 170 เซ็นติเมตร ในขณะที่ซันซันหยุดอยู่ที่ 165 เซ็นติเมตร ผมหัวเราะเบาๆ

"เอาน่า เดี๋ยวกูไปขอแม่มึงให้ด้วย อีกอย่างไอ้โต้งมันบอกว่าเสาร์นี้อาจจะมีของดีด้วยนะเว้ย"

ซันซันทำตาลุกวาวเลยครับ มันคงเคยได้ยินถึงกิติศัพท์ของโต้งมาก่อน เพื่อนผมคนนี้ออกจะแก่แดดกว่าพวกผมไปบ้างด้วยความที่เขาเป็นเด็กโข่งอายุมากกว่าพวกผมปีหนึ่งและเป็นหนุ่มค่อนข้างเร็ว ประกอบกับการที่มาอยู่ไกลหูไกลตาพ่อแม่ ทำให้โต้งใช้ชีวิตค่อนข้างอิสระ อะไรหลายๆ อย่างที่พวกเราทำไม่ได้ที่บ้าน ก็มักจะไปแอบทำที่บ้านพี่ชายของโต้ง ซึ่งก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจที่จะขัดคอหรือขัดใจน้องของตัวเองมากนัก ส่วนของดีที่ผมพูดถึงนั้น ไว้ค่อยไปลุ้นกันกับพวกผมแล้วกันครับว่ามันคืออะไร ตอนนี้พวกผมขอขึ้นรถแดงกลับบ้านก่อนล่ะ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.1 (ต่อ) ----




แล้ววันเสาร์ก็มาถึง ป๊าผมขับรถพาผมกับซันซันไปหย่อนที่บ้านเช่าของโต้งตอนช่วงบ่าย ผมและเพื่อนๆ อีกสี่ห้าคนสุมหัวกันเล่นวินนิ่ง เกมยอดฮิตสำหรับเด็กวัยผมอย่างสนุกสนานจนถึงเย็นย่ำ

"เออ แล้วพวกเรามาเล่นเกมเสียงดังกันแบบนี้ พี่มึงไม่ว่าเหรอวะ ไอ้โต้ง?"

ไอ้ซันซึ่งนั่งเคี้ยวพิซซ่าที่สั่งมากินกันถามขึ้น ญาติผู้พี่ของโต้งยังนอนอยู่ในห้องทั้งๆ ที่มีเสียงพวกเขาเอะอะอึกทึกอยู่ด้านนอก

"โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก พี่พลเขาบอกว่าให้พวกเราตามสบาย แล้วอีกเดี๋ยวแกก็จะออกไปข้างนอกด้วย"

ไม่ทันขาดคำ พี่ชายของโต้งก็เปิดประตูห้องนอนออกมา พวกผมรีบยกมือสวัสดีกัน

"โต้ง เดี๋ยวกูจะออกไปข้างนอกนะ ไว้ถ้าเพื่อนๆ กลับกันแล้ว ฝากล็อคบ้านให้เรียบร้อยด้วย คืนนี้กูไปหาสาวแล้วอาจจะไม่กลับมานอนบ้าน เอ้า แล้วนี่ ตามสัญญา"

ลูกพี่ลูกน้องของโต้งโยนกระเป๋าใส่ซีดีให้ไอ้โต้งซึ่งรับมาอย่างหน้าชื่นตาบาน พวกผมต่างยืดคอดูอย่างสงสัย

"อะไรอ่ะ?"

พวกผมแย่งกันขอดูของในกระเป๋าซีดีหลังจากที่พี่ชายของโต้งออกบ้านไปแล้ว ตอนแรกผมเดาว่ามันคงเป็นแผ่นเกมใหม่ หากเพื่อนของผมยิ้มกริ่ง

"ก็ของดีที่กูบอกพวกมึงไว้ไง มะ ดูกันเลยแล้วกัน"

ไอ้โต้งรีบปิดเกมและดึงเครื่องเล่นซีดีออกมา มันเลือกๆ ซีดีมาแผ่นหนึ่งจากหลายๆ แผ่นในกระเป๋าและเปิดเล่นทันที พวกผมสะดุ้งเมื่อเห็นภาพในนั้น



"เห้ยๆ นั่นมัน เอ่อ หนังอย่างว่าใช่ไหมวะ?"

ไอ้ซันถามขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นภาพสาวญี่ปุ่นที่นั่งบิดไปบิดมาบนโซฟา โต้งมันพยักหน้าตอบพร้อมยกรีโมทขึ้นเร่งความเร็ว พวกผมหน้าแดงเหมือนลูกตำลึงสุกเมื่อได้ยินเสียงครางดังลั่นออกมาจากในทีวี หญิงสาวในทีวีตอนนี้แทบไม่เหลือเสื้อผ้าแล้วและกำลังกดหัวชายหนุ่มลงที่กลางลำตัว ร่างกายผมก็อดมีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ได้ ส่วนสำคัญของผมมันแข็งเกร็งจนเริ่มปวดแล้ว ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยหนุ่มมา ผมเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง นอกเหนือจากการเจริญเติบโตของร่างกายโดยรวมแล้ว ส่วนนั้นของผมก็เริ่มขยายและตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างง่ายดาย ผมคิดว่าพวกเพื่อนผมคนอื่นๆ ก็คงเป็นเช่นกัน

เสียงครางกระเส่าจากในทีวียังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่พวกผมกลับเงียบเสียงลง ตาทุกคู่จ้องเป๋งไปยังคู่ชายหญิงในทีวีที่กำลังปฏิบัติกามกิจกันอย่างเผ็ดร้อน ลมหายใจของพวกเราหอบกระชั้นด้วยความตื่นเต้น ผมแอบเหลือบมองหน้าเพื่อนรัก ใบหน้ากลมๆ ของมันแดงก่ำ มือของมันดึงชายเสื้อยืดลงมาปิดกลางลำตัว แต่มันไม่สามารถพรางรอยนูนน้อยๆ ได้



“เวร ไอ้โต้ง มึงจะทำตรงนี้เลยเหรอวะ?”

เสียงเพื่อนผมคนนึงประท้วงขึ้นมาเบาๆ เมื่อไอ้โต้งดึงกางเกงวอร์มของมันลงแล้วเริ่มบีบนวดลูกชายของตัวเอง ไอ้ตัวดีซึ่งห่ามที่สุดในกลุ่มหันมายักคิ้วให้พวกผม

“ก็ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น อายทำไมวะ พวกมึงก็ทำเป็นไม่เคยไปได้”

จริงตามที่มันพูด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกผมมาทำอะไรแบบนี้ที่บ้านมัน แต่ทุกครั้งพวกเราเคยแค่ดูคาราโอเกะวับๆ แวมๆ ไม่ก็หนังสือโป๊ หลังจากดูไปสักพัก พวกเราก็มักผลัดกันเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง แต่ในวันนี้ไอ้เพื่อนของผมมันคงอยากทำพร้อมๆ กับดูหนังไปด้วย

“อูย เสียวชิบ มะๆ พวกมึง จะรอช้าอะไร มาว่าวเป็นเพื่อนกูหน่อย”

ไอ้โต้งหลับตาและสูดปากลั่น พวกเพื่อนๆ คนอื่นมองหน้ากันแล้วก็ค่อยๆ จัดการปลดปล่อยสิ่งที่เขม็งเกร็งออกมา ผมเองก็อดรนทนไม่ไหว ต้องรูดซิปกางเกงปลดปล่อยไอ้ลูกชายออกมาและจัดการค่อยๆ ใช้มือโลมไล้มันจนชูคอเต็มที่

“มึงก็จะทำเหรอวะไอ้ปรินซ์ มึงทำเป็นด้วยเหรอ?”

ซันซันกระซิบกับผมเบาๆ มันยังคงเอาชายเสื้อปิดบังกลางกายไว้ ผมหันไปมองหน้ามัน

“ทำเป็นสิ พี่คิงเคยสอนกู…”

ผมตอบแล้วก็อดหน้าแดงไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของซันซัน

“กู…กูทำไม่เป็น”

ซันซันก้มหน้าพึมพำออกมา คราวนี้คนที่ต้องแปลกใจกลับกลายเป็นผม ไอ้อ้วนของผมมันแตกหนุ่มก่อนผมนับปี แต่มันกลับไม่รู้จักวิธีจัดการกับตัวเอง

“แล้ว เอ่อ เวลามึงอยาก เวลามันตั้ง มึงทำไงวะ?”

“ก็ เอ่อ ปล่อยมันไป หาอย่างอื่นทำ ไม่ก็นอน”

ซันซันกระซิบตอบมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ในตอนนั้นผมได้แต่อ้าปากหวอด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อมานึกๆ ดูในตอนนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ซันซันไม่มีพี่น้องผู้ชาย พ่อแม่ของมันก็ค่อนข้างหัวเก่าแถมเลี้ยงมันมาแบบไข่ในหินโดยมองมันเป็นเด็กน้อยตลอดเวลา ฉะนั้นต่อให้ร่างกายมันโตขึ้น แต่มันก็ไม่เคยรู้ว่าต้องจัดการกับเรื่องแบบนี้อย่างไร



“อะไรวะ ซันซัน อายุปูนนี้มึงยังไม่เคยทำอีกเหรอวะ มะ มานี่ เดี๋ยวกูสอนให้ มึงรูดซิปซิ”

เสียงห้าวๆ ของไอ้โต้งดังขึ้นด้านหลังพวกผม มันจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วและมานั่งฟังพวกผมคุยกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันทำท่าจะเอื้อมมือมาปลดซิปของซันซันลง

เพี๊ยะ!

ผมเอื้อมมือไปปัดมือมันอย่างแรงออกโดยไม่รู้ตัว โต้งมองหน้าผมอย่างงๆ เช่นเดียวกันกับซันซัน

“เป็นเห้อะไรของมึงวะไอ้ปรินซ์ กูจะสอนไอ้ซันมันให้ หรือว่ามึงอยากจะสอนเอง?”

โต้งถามยิ้มๆ ผมหน้าร้อนวาบ ผมแค่รู้สึกว่าไม่อยากให้ไอ้โต้งมันมาแตะเนื้อต้องตัวเพื่อนรักของผมเท่านั้น

“ปรินซ์ กูว่ากูกลับบ้านก่อนดีกว่าว่ะ ค่ำแล้ว”

ไอ้ซันรีบลุกพรวดพราดขึ้น ผมเองก็รีบลุกขึ้นตามโดยไม่ลืมรูดซิปกางเกงตัวเอง ผมบอกลาโต้งและเพื่อนคนอื่นๆ ที่ยังมีทีท่างงๆ และรีบเดินตามไอ้ซันออกไป



“เดี๋ยวกูไปห้องมึงได้ไหม?…”

สุดท้ายพวกผมก็โบกรถแดงกลับบ้าน หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ซันซันก็เปิดปากพูดกับผมด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“…มันยังไม่ยอมหลับเลย กู กูไม่อยากให้ที่บ้านเห็น”

ไอ้อ้วนยกกระเป๋าที่วางพาดตักขึ้นให้ผมดูกลางกายมันที่ยังพองตัวน้อยๆ ใต้กางเกง มันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากถามผม

“ปรินซ์ เดี๋ยวมึงช่วยสอนกูหน่อยสิว่าต้องทำยังไงให้มัน เอ่อ…”

ไอ้อ้วนของผมหน้าแดงก่ำ ส่วนผมพยักหน้ารับคำอย่างใจลอย ผมไม่นึกเลยว่าผมจะต้องมาสอนมันทำอะไรแบบนี้ เมื่อถึงที่ร้าน ซันซันทักป๊ากับม๊าผมเร็วๆ และรีบเดินตามผมขึ้นไปบนชั้นสามซึ่งเป็นห้องของผม ผมจัดการล็อคห้องเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาและหันกลับไปหามัน

“มึงจะให้กูสอนให้จริงๆ เหรอวะ?”

ซันซันพยักหน้า

“ก็นอกจากมึง กูก็ไม่รู้จะไปถามใครแล้วอ่ะ กูเองก็อยากลองมั่ง”

มันพูดเสียงอ่อยๆ และยังสารภาพว่ามันเคยลองลูบๆ ตัวเองดูแต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

“เอางี้ งั้นมึงทำให้กูดูหน่อย ว่าที่มึงบอกว่าทำแล้วไม่รู้สึกน่ะ มึงทำยังไง”

ผมเกาหัวและบอกมันออกไป มันทำท่าอิดออดจนผมอดรำคาญไม่ได้



"เห้ย มึงจะอายอะไรวะ ตอนเด็กๆ อาบน้ำก็อาบด้วยกัน กูเห็นของมึงจนถึงไหนๆ ละ"

ผมเอ็ดเบาๆ แล้วดันมันให้นั่งลงบนเตียงของผม ซันซันค่อยๆ ปลดซิปกางเกงยีนส์แล้วถอดมันออก ผมลงนั่งเคียงข้างและมองมันจัดการตัวเองในแบบของมัน

"ปกติกูก็ทำแบบนี้ แต่ไม่เห็นมันจะรู้สึกอะไรเลย มันก็เพลินดี แต่ก็ไม่เห็นจะเสร็จอะไรอย่างที่คนอื่นเขาว่ากัน"

ซันซันค่อยใช้มือลูบแก่นกายของมันเบาๆ ผมถอนหายใจ ที่มันทำก็แค่ใช้มือบีบๆ และลูบภายนอกเหมือนกับลูบหัวหมาน้อย ก็ไม่แปลกที่มันจะไม่รู้สึกอะไร ผมบอกให้มันรูดหนังลงด้วยแต่มันก็ยังดูเงอะงะทำไม่เป็น แถมยังทำท่าจะร้องไห้

“นี่มึงไม่เคยดูหนังโป๊หรืออะไรเหรอวะ ที่ผู้หญิงทำให้ผู้ชายอะไรพวกนี้?”

ซันซันส่ายหัวดิก มันบอกว่ามันไม่กล้าดูหรือมีพวกหนังสืออะไรเรื่องเพศเก็บไว้ที่บ้านเพราะกลัวแม่มาเจอ และนึกไม่ออกว่าต้องทำยังไง

"เฟ้ย งั้นนี่ เดี๋ยวกูทำให้ดูก่อน"

ผมถอนหายใจเฮืออกใหญ่แล้วดึงกางเกงตัวเองลง



"ซัน มึงก้มไปหยิบกล่องใต้เตียงกูมาหน่อย"

ผมสั่งเพื่อนพลางค่อยๆ ใช้มือนวดคลึงส่วนสงวนของตัวเอง ซันซันดึงกล่องเก็บของที่ผมเก็บไว้ใต้เตียงออกมา มันหน้าแดงเมื่อเปิดออกแล้วเห็นหนังสือประเภทปลุกใจเสือป่าสองสามเล่มในนั้น

"พี่คิงให้กูไว้"

ผมตอบเมื่อมันถามว่าได้มาจากไหน สำหรับเด็กๆ ในสมัยนี้ อาจหาดูคลิปโป๊ ภาพโป๊หรืองานเขียนเชิงอีโรติกได้ตามสื่อออนไลน์ แต่สำหรับเด็กอายุ 14 เมื่อประมาณเกือบ 15 ปีก่อนที่บ้านยังมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวและอยู่ในห้องของพี่ชายนั้น สื่อลามกที่พวกผมหาได้ก็อยู่ในรูปของสิ่งพิมพ์แบบนี้

“อื้อหือ มึงคงใช้มันบ่อยสินะ”

ซันซันใช้นิ้วคีบขุมทรัพย์ของผมเล่มหนึ่งออกมาจากกล่อง สภาพของมันค่อนข้างเยินและมีร่องรอยของบางสิ่งติดอยู่บ้าง

“เห้ย กูรับของเก่าพี่คิงมาอีกทีเฟ้ย มึงจะให้กูสอนอยู่ไหม?”

ผมเอ็ดมันเบาๆ ซันซันหัวเราะเสียงสดใสและเปิดดูหนังสือโป๊สัญชาติไทยที่มีทั้งภาพหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย บ้างก็เปลือยอก มันยังมีเรื่องเล่าแนว 18+ อีกด้วย ไอ้อ้วนของผมพลิกดูอย่างสนใจ ผมเองก็ดูด้วย ลมหายใจของพวกเราเริ่มกระชั้นขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้อ่านเรื่องเสียวๆ ในนั้น



“มึงจับของมึงไปด้วยสิ ไอ้ซัน”

ผมเริ่มสอนมันพร้อมกับเริ่มรูดไล้แก่นกายของตนเอง ในวัย 14 ปี ส่วนนั้นของผมถือว่าเจริญเติบโตมากแล้ว ซันซันชำเลืองมองและพยายามทำตามผม

“มึงเคยรูดหนังลงให้หัวมันออกมาแล้วใช่ไหม?”

ซันพยักหน้า มันบอกว่ามันทำแบบนั้นตอนอาบน้ำเพื่อทำความสะอาด

“นั่นแหละ ทำแบบนั้น แต่รูดขึ้นลง กูก็อธิบายไม่ถูก มึงดูแล้วกัน”

ผมเอนกายไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อให้ได้มุมถนัดและจัดการส่วนสงวนของตัวเอง ผมสูดปากเบาๆ ด้วยความเสียวและเร่งจังหวะขึ้นพร้อมกับหลับตาพริ้ม

"เฮ้ย มึงไม่ต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้"

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อลืมตาขึ้นแล้วเจอไอ้ซันนั่งจ้องผมเป๋งโดยหน้ามันอยู่ห่างจากลูกชายผมแค่สองคืบ

"ก็กูอยากเห็นชัดๆ อ่ะ มันต้องทำแรงขนาดนี้เลยเหรอวะ แล้วมันจะไม่เจ็บเหรอ?"

ผมจนปัญญาที่จะตอบมันจริงๆ ครับ แต่ก่อนที่ผมจะทันตอบอะไร ไอ้ลูกชายของผมที่ยังโดนผมเร่งรูดเร้าก็เริ่มกระตุกหงึกๆ

"ซัน หลบ!"

ผมร้องลั่นแล้ว ซันซันรีบเบี่ยงตัวออกทันที ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงคำราม ผลิตผลของผมทะลักทลายออกมาเต็มมือ บางส่วนก็พุ่งขึ้นไปบนหน้าท้อง ซันซันรีบส่งทิชชู่ข้างเตียงให้ทันที

"ทำไมเร็วจังวะ ปรินซ์ ปกติมันจะใช้เวลาประมาณนี้เหรอ?"

ไอ้อ้วนของผมถามอย่างสงสัย ผมหน้าแดงก่ำ ปกติผมไม่ได้นกกระจอกไม่ทันกินน้ำแบบนี้ครับ แต่วันนั้นผมคิดว่าคงเป็นเพราะผมได้เริ่มทำมาบ้างแล้วที่บ้านไอ้โต้ง แต่พอมาในตอนนี้ ผมมานึกๆ ดูแล้ว มันอาจเป็นเพราะจิตใต้สำนึกผมตื่นเต้นที่มีซันซันมานั่งดูผมช่วยตัวเองก็เป็นได้



"โอเค กูทำให้ดูแล้ว ทีนี้ ตามึงลองมั่งละ ไอ้ซัน ไหน? ลองซิ"

ซันซันที่ยังดูเขินๆ ค่อยๆ ประคองแก่นกายที่เริ่มหดเหี่ยวลงและค่อยๆ บีบคลึงจนผงาดง้ำขึ้น

"นั่นแหละ มึง แบบนั้นแหละ"

ผมคอยเชียร์เพื่อนรัก มันค่อยๆ ทำตามคำของผม หน้ากลมๆ ของมันเริ่มแดงก่ำ ตาที่หรี่ปรือของมันบอกได้ว่ามันกำลังรู้สึกดี

"อูย มึง มันเพลินจริงๆ ด้วยว่ะ แม่มเสียวชิบ"

"เฮ้ยๆ เบาๆ หน่อย ไอ้ซัน เดี๋ยวมีคนได้ยิน"

ผมรีบตะครุบปากมันเมื่อมันทำท่าจะส่งเสียงครางออกมาดังเกินไป

"มึง แล้วต้องทำยังไงให้มันเสร็จอ่ะ? กูกะจังหวะมันไม่ได้"

ไอ้อ้วนของผมพูดเสียงอ่อยๆ ตอนนี้มันยังขยับอยู่จังหวะเดียว ผมถอนหายใจเฮือก ผมก็คงต้องช่วยสอนมันอีกตามเคย ผมขยับเข้าไปนั่งซ้อนด้านหลังของมันและเอื้อมมือมากุมทับมือของมัน

"นี่ ขยับตามจังหวะมือกูนะ แต่ถ้ายังไม่รู้สึกอะไรก็บอก"

ผมช่วยขยับนำทางให้มัน ซันซันเริ่มตาลอยอีกครั้ง มันเอนตัวมาซบอกผมโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจที่หอบกระชั้นและเสียงสูดปากน้อยๆ พร้อมคำพร่ำบ่นด้วยความเสียวซ่านของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ หากผมในวัยที่ยังไม่เดียงสานั้นก็คิดไปเพียงว่ามันคงเป็นเพราะความตื่นเต้นที่ได้แอบทำอะไรลับๆ กับเพื่อนรัก

"ปรินซ์ กู กูรู้สึกแปลกๆ ว่ะ เหมือนปวดฉี่ แต่ก็เสียวว่ะ"

ซันซันใช้มือข้างที่ว่างกำแขนผมแน่น ผมปล่อยมือออกจากมือมันและปล่อยให้มันชักต่อ ครู่เดียวเท่านั้นเพื่อนรักของผมก็ปล่อยน้ำขุ่นข้นครั้งแรกในชีวิตออกมา

"ดีไหมมึง?"

ผมถามยิ้มๆ ซันซันที่เอนกายพิงอกผมพยักหน้าเบาๆ ผมรู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นของมันและมันทำให้ใจของผมเต้นอย่างประหลาด ผมรีบดันร่างมันออกและจัดการแต่งตัว

"เดี๋ยวกูไปห้องน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวมานะ"

ผมรีบเปิดประตูออกไปที่ห้องน้ำด้านนอกด้วยใจที่เต้นระรัว ผมใช้เวลาในห้องน้ำครู่หนึ่งกว่าหัวใจของผมจะสงบลงและเช่นเดียวกับกลางกายผมที่มันตื่นขึ้นมาอีกอย่างคุมไม่ได้ ในตอนนั้นผมนึกกลัวไปว่าผมอาจจะช่วยตัวเองมากไปจนหัวใจรับไม่ไหว เมื่อผมโตขึ้นจึงได้เข้าใจว่ามันเป็นเพราะเสียงครางแผ่วๆ และร่างอุ่นๆ ที่เบียดอยู่ในอ้อมอกของผมนั่นเอง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.1 (ต่อ) ----




เมื่อผมกลับเข้าห้องไป ไอ้อ้วนของผมก็นอนกรนคร่อกอยู่บนเตียงทั้งๆ ที่ท่อนล่างยังเปลือยโล่งโจ้ง ผมได้แต่โคลงหัวและปลุกมันขึ้นมา มันทำท่างัวเงียตอนที่ผมโยนผ้าเช็ดตัวให้และรุนหลังมันเข้าห้องน้ำไป

"มึงอาบน้ำซะ เดี๋ยวกูจะไปบอกบ้านมึงว่ามึงจะค้างนี่"

ซันซันผงกหัวพร้อมกับหาวหวอดๆ ผมเดินลงจากตึกไปยังร้านข้างๆ และจัดการขออนุญาตที่บ้านมันให้เสร็จสรรพจากนั้นก็กลับเข้ามา ผมบอกราตรีสวัสดิ์พ่อแม่แล้วกลับขึ้นห้องตัวเอง ไอ้ซันนอนแผ่หรากลางเตียงผมอย่างหมดแรง มันถอดเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ผึ่งไว้และใส่แต่กางเกงในตัวเดียวนอนเหมือนเคย ผมได้แต่โคลงหัวและค่อยๆ ขยับร่างอวบๆ ของมันเข้าไปด้านในของเตียง ในตอนนั้นเตียงของผมในห้องเล็กๆ นี้ยังเป็นเตียงเดี่ยวขนาด 3.5 ฟุต มันเริ่มคับแคบไปแล้วสำหรับเด็กม. 2 ที่กำลังโตสองคน ผมลงนอนเคียงข้างเพื่อนรักและพยายามข่มตานอน หากในหัวผมอดคิดถึงภาพซันซันที่กำลังช่วยตัวเองไม่ได้ ทั้งเสียงครางแผ่วๆ และการขยับของมือมันที่ีมีมือของผมคอยเกาะกุมอยู่

ในคืนนั้น ผมนอนไม่หลับเลยแม้แต่งีบเดียว



ม.ต้นของพวกผมและซันซันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเรายังคงเป็นเพื่อนสนิทกัน ผมกับไอ้อ้วนของผม เราหัวเราะด้วยกัน เครียดเรื่องเรียนไปด้วยกัน สนุกด้วยกัน และเศร้าไปด้วยกันเมื่ออากงของมันเสียชีวิต ผมคอยอยู่เคียงข้างมันเหมือนกับที่มันคอยอยู่เคียงข้างผม แม้กลุ่มเพื่อนของเราจะเปลี่ยนไปบ้าง ผมไปอยู่กับพวกก๊วนนักบอลบ่อยขึ้นในช่วงเที่ยงและหลังเลิกเรียน และมันไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนใหม่ๆ ของมัน แต่เราก็มาโรงเรียนและกลับบ้านพร้อมกันไม่เคยขาด

และแล้วพวกเราก็ขึ้นม.ปลาย วัยแห่งฮอร์โมน ความรัก การเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยและการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย พวกผมเองก็ไม่ต่างกัน เมื่อขึ้นม. 4 ผมกลายเป็นหนึ่งในคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในรุ่น ด้วยความสูงเกือบ 180 เซ็นติเมตร รูปร่างแบบนักกีฬาและหน้าตาเกลี้ยงเกลาแบบคนจีน อีกทั้งดีกรีนักฟุตบอลตัวโรงเรียนและตัวจังหวัดทำให้ผมกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมคนหนึ่งในรุ่นแม้กระทั่งกับเพื่อนๆ สาวๆ ที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถม อ้อ ผมลืมบอกไป โรงเรียนของผมที่เคยเป็นโรงเรียนแบบตะวันตกสำหรับนักเรียนชายแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่กลายเป็นโรงเรียนสหศึกษาไปแล้วครับ โดยได้ทำการรับนักเรียนหญิงเข้าชั้นอนุบาลสามเป็นครั้งแรกในปี 2536 ก่อนผมเข้าเรียนสองรุ่น ฉะนั้นผมจึงโตมากับพวกเพื่อนๆ ผู้หญิงโดยมีนักเรียนหญิงอีกส่วนหนึ่งที่มาสอบเข้าเอาตอนม. 4

เอ้า เล่าต่อ เมื่อขึ้นม. ปลาย เพื่อนๆ สาวๆ ที่เคยไล่เตะก้นกันมาตั้งแต่ประถมบางส่วนก็เริ่มมีทีท่าแปลกๆ กับผม เริ่มทำตัวห่างไปบ้าง มีทีท่าเขินอายเมื่อได้คุยกันบ้าง มันคือสิ่งที่ซันซันนำมาแซวผมอยู่ตลอดเวลา ตัวผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะผมก็มองสาวๆ พวกนั้นเป็นลิงเป็นค่างเหมือนเดิม หากคนที่แปลกออกไปก็คือซันซัน

ม.ปลายของซันซันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากม.ต้นมากครับ รูปร่างของมันแทบจะอยู่ตัวแล้ว มันกลายเป็นตี๋อ้วนใส่แว่นซึ่งสูง 165 เซ็นติเมตร รูปร่างกลมๆ ป้อมๆ ของมันทำให้มันถูกเพื่อนๆ แกล้งบ่อยๆ แต่เป็นแกล้งด้วยความรักใคร่เช่นจับเหนียงที่คางหรือจับพุงเล่น ช่วงฤดูหนาวมันก็มักจะกลายเป็นกระเป๋าน้ำร้อนให้พวกหนุ่มๆ ก๊วนของมันกอดเล่น แต่พูดจริงๆ นะครับ ถ้าผมเห็นเมื่อไหร่ ผมก็มักจะไปแกะมันออกมาเสมอ ในตอนนั้นผมก็แค่คิดว่าผมไม่อยากให้ใครมาแกล้งมัน แต่ในตอนนี้พวกคุณก็คงรู้ๆ กันแล้วว่ามันเป็นเพราะอะไร



"เพื่อนปรินซ์ขอรับ เดี๋ยววันนี้กูขอไปนอนบ้านมึงอีกนะ"

ไอ้อ้วนของผมมันทำท่าอ้อน มันกับผมก็ยังคงเข้านอกออกในบ้านกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

"ก็เอาสิ แน่ใจนะว่ามึงจะแค่นอน"

ผมหัวเราะหึๆ แล้วหยิบหมวกกันน็อคสวมฉับเข้าที่หัวของไอ้เพื่อนตี๋อ้วน พอขึ้นม.ปลายและถึงวัยทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ ที่บ้านผมก็ซื้อมอเตอร์ไซค์สุดเท่อย่าง CBR150R ให้ ถึงสาวๆ จะกรี๊ดมันแค่ไหน แต่คนที่ได้ซ้อนท้ายรถคันนี้ของผมทุกวันก็มีแต่ซันซันเท่านั้น ผมทำหน้าที่เป็นสารถีแบกน้ำหนักของมันไปกลับโรงเรียนทุกวัน หรืออย่างช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ผมก็จะขี่รถไปซ้อมฟุตบอล จากนั้นในช่วงเย็น พอเลิกแล้ว ผมก็ขี่รถไปรับไอ้ซันที่บ้านเพื่อไปเรียนกวดวิชาที่สถาบันในเมืองแล้วกลับบ้านด้วยกัน

"แหม เพื่อนปรินซ์ครับ ไปบ้านเพื่อนทั้งทีจะแค่นอนมันก็เสียดายเวลาสิครับ"

ไอ้เพื่อนรักของผมหัวเราะเบาๆ พร้อมกับยันตัวขึ้นซ้อนท้ายรถ ผมได้แต่โคลงหัว

"เออๆ ก็แล้วแต่มึง ว่าแต่เบาๆ หน่อยล่ะ คราวที่แล้วเกือบโดนม๊ากูจับได้แล้วไหมล่ะ"

ผมพูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงครั้งที่แล้วที่มันมานอนค้างที่บ้าน

"เออๆ คราวนี้กูจะไม่เผลอละ มึงก็อย่าลืมล็อคประตูแล้วกัน คราวที่แล้วรอดตัวก็เพราะล็อคห้องไว้นั่นแหละ"

ผมหัวเราะหึๆ วันนั้นม่ะม๊าของผมซึ่งเดินผ่านหน้าห้องถึงกับเคาะประตูห้องและตะโกนถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อได้ยินเสียงซันซันร้องลั่นออกมาอย่างลืมตัว ตอนนั้นพวกผมก็ได้แต่อ้างนั่นนี่กันไปเรื่อยเปื่อยแล้วก็ได้แต่หวังว่าม่ะม๊าของผมจะเชื่อ

"แล้ววันนี้มึงเตรียมนั่นมาไหม?"

ผมถามเพื่อนรักถึงของสำคัญ ซันซันส่ายหัว

"ไม่ได้เตรียมมาว่ะ หมด ช่วงนี้บ่จี๊ด้วย ที่บ้านมึงมีไหม?"

ผมส่ายหัว ผมเองก็ไม่ได้ซื้อไว้เช่นกัน

"งั้นไม่ใช้ก็ไม่เป็นไรอ่ะ แค่เลอะมือหน่อยเท่านั้นเอง ห้องมึงทิชชู่เพียบอยู่แล้วนี่"

ซันซันแซวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มันรีบตบๆ ไหล่ผม

"ไปๆ ไปได้แล้ว รีบๆ กลับบ้านเหอะ เดี๋ยวกูกินข้าวกับอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วจะรีบไปหามึงนะ"

ผมพยักหน้าและสตาร์ทรถเพื่อพาพวกเราทั้งคู่กลับบ้าน ผมส่งร่างอวบๆ มันลงตรงหน้าร้านเพชรของมัน และเข็นมอเตอไซค์กลับเข้าไปหลังร้านทองของผม ผมกินข้าวกับครอบครัวเสร็จแล้วจึงขึ้นไปจัดข้าวของในห้องเพื่อเตรียมรับเพื่อนรักที่จะมาค้างด้วย



"นี่ พวกลูกก็เล่นเกมอะไรกันเบาๆ หน่อยล่ะ เห็นพี่คิงเขาว่าเขาทำรายงานกับเพื่อนอยู่แล้วไม่ให้ม๊าขึ้นไปกวน"

ม่ะม๊าคนซื่อของผมบอกผมกับซันซันด้วยสีหน้าจริงจัง พี่ชายผมลงเรียนซัมเมอร์ที่ม. แล้วพาเพื่อนที่เรียนด้วยกันกลับมาบ้านเพื่อ "ทำรายงาน" พวกผมมองหน้ากันแล้วหัวเราะหึๆ ไอ้คำว่าทำรายงานกับเพื่อนแล้วห้ามขึ้นไปกวนนั้นเป็นข้ออ้างในการพาสาวมานอนที่บ้านของไอ้พี่ชายตัวดีของผมซึ่งเป็นนักศึกษาปี 3 และกำลังจะขึ้นปี 4 ของม. เชิงดอย พวกผมค่อยๆ ย่องกลับเข้าไปในห้องของผม พวกเราพยายามเงียบเสียงที่สุด ผมกับซันซันค่อยๆ แนบหูไปกับผนังห้องด้านที่ติดกับห้องของพี่คิง นั่นปะไร ไอ้พี่ผมมันไม่เคยจำเลยว่าผนังห้องของตึกนี้มันไม่ได้กันเสียงอะไรเท่าไหร่ ผมรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพี่ชายผมกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะอยู่ แม้ทั้งสองคนจะพยายามทำอะไรแบบเงียบๆ แต่พวกผมทั้งสองได้ยินเสียงหอบครางของเพื่อนสาวที่พี่คิงพากลับบ้านมาอย่างชัดเจน

"เชี่ย กูโด่แล้วว่ะ"

ซันซันหันมาพูดแบบไม่มีเสียงกับผม ผมเหลือบดูกลางกายมันที่นูนน้อยๆ แล้วก็ต้องส่ายหัว ไอ้เพื่อนผมคนนี้มันมีอารมณ์ง่ายจริงๆ ในช่วงม. ปลายถึงรูปร่างและนิสัยของซันซันจะยังคงเหมือนเดิมสมัยม.ต้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความคิดเรื่องเพศของมันครับ

"มึงเปิดคอมหน่อยสิ ขอกูหาอะไรอ่านหน่อย"

ผมหัวเราะเบาๆ เสียงของพี่ชายผมที่ข้างห้องเงียบลง ทั้งคู่น่าจะเสร็จกิจและออกจากห้องไปแล้ว ผมเปิดคอมของผมให้มัน ตั้งแต่ผมช่วยให้มันซึ่งยังไร้เดียงสาได้รู้จักถึงความเสียวเป็นครั้งแรก มันเหมือนจะติดใจเอามากๆ ครับ หลายครั้งที่มันหาเรื่องมาที่ห้องผมเพียงเพื่อมาดูหนังสือโป๊และช่วยตัวเอง มันอ้างว่ามันทำที่บ้านไม่สะดวก แล้วยิ่งเมื่อที่บ้านผมตัดสินใจซื้อคอมให้ผมไว้ใช้ในห้องและติดอินเตอร์เน็ตแบบ adsl ซึ่งถือเป็นของใหม่ในช่วงนั้นให้ ซันซันยิ่งเปรมปรีดิ์ ช่วงแรกๆ ที่ผมมีคอมในห้อง มันแวะเวียนมาที่ห้องผมแทบทุกวัน แรกๆ มันก็อ้างว่าอยากมาใช้เน็ตดูนั่นนี่ หาข้อมูลนั่นนี่ แต่หลังๆ มา มันก็เลิกอ้างและเปิดอ่านเว็บโป๊ทุกครั้งที่แวะมาที่ห้องผม ในช่วงนั้นการดูหนังหรือดูภาพนั้นต้องใช้เวลาโหลดนานทำให้เปลืองชั่วโมงเน็ต พวกเราจึงเลือกพวกเว็บเล่าเรื่องแทน เว็บอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวของพวกเราก็ได้แ่ก่เว็บเล่าเรื่องรุ่นเก่าอย่าง ไทย...สตอรี่



"แม่ม อ่านยังไงก็เรื่องแต่ง อ่านไปอ่านมาก็คล้ายๆ กันหมด บางเรื่องก็แค่เปลี่ยนชื่อตัวละคร"

ซันซันบ่นอุบอิบหากมือของมันก็ยังไม่หยุด มันนั่งทำร้ายตัวเองไป บ่นไป ผมซึ่งนั่งอ่านเฉยๆ ได้แต่หัวเราะเบาๆ

"มึงจะบ่นอะไรของมึงนักหนาวะไอ้ซัน รีบๆ ทำให้เสร็จซะทีสิ กูจะได้เปิดดูอย่างอื่น"

ไอ้อ้วนของผมทำหน้ามุ่ยแล้วบอกว่าวันนี้ดูท่าทางจะไม่เสร็จง่ายๆ

"ไม่รู้ทำไมว่ะ หรือว่ากูด้านชาไปแล้ววะ?"

"มึงก็นึกถึงหน้าสาวๆ ไปสิวะ ช่วงนี้มึงปิ๊งใครอยู่นะ? ไอ้แป้งเหรอ? เห็นมึงติดใจนักติดใจหนานี่"

ผมแซวมันทันควัน ซันซันหน้าแดงซ่าน พอเริ่มขึ้นม.ปลาย มันก็เริ่มมองเพื่อนร่วมชั้นด้วยสายตาที่ต่างไป พวกสาวๆ เพื่อนๆ ผมก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จากรูปร่างผอมเพรียวเก้งก้างไม่ต่างจากเด็กผู้ชาย เพื่อนสาวๆ ของพวกผมที่เห็นกันมาตั้งแต่ประถมก็เริ่มมีทรวดทรงโค้งเว้า บางคนมีหน้าอกหน้าใจอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะไอ้แป้งขวัญใจของไอ้ซันซันในตอนนี้



"อูย มึงพูดถึงแล้วกูก็อยากเลย น้องแป้งคัพซีของกู"

ไอ้ซันทำตาลอยแล้วนึกถึงรูปร่างที่อวบอัดของเพื่อนสาว มันเริ่มหอบหายใจหนักขึ้นตามน้ำหนักมือและความเร็วที่เพิ่มขึ้น

"โอย ถ้าเป็นมือไอ้แป้งแทนมือกูนะ กูคงโคตรมีความสุข"

"ใช้มือกูแทนไหมล่ะ"

ผมนึกด่าตัวเองอยู่ในใจเมื่อหลุดปากพูดออกไปแบบนั้น ซันซันหยุดมือและมองหน้าผมนิ่ง ผมหน้าแดงน้อยๆ

"เห้ยๆ กูพูดเล่นนะ ไม่ต้องซีเรียส..."

"ก็เอาสิ กูก็เมื่อยมือแล้วเหมือนกัน..."

ไอ้อ้วนของผมพูดออกมาแทบจะพร้อมๆ กันกับผม ผมมองหน้ามันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง หน้าของมันเองก็แดงน้อยๆ ไม่รู้จะด้วยความเสียวหรือความเขินอาย มันขยับตัวเข้ามานั่งอิงแอบตัวผมที่นั่งตัวแข็งไปแล้วและดึงมือผมไปเกาะกุมกลางกายของมัน ผมเริ่มขยับมือ หากไม่ได้เร่งเร้ามากนัก ซันซันหลับตาพริ้มพร้อมสูดปากเบาๆ

"เชี่ย ดีชิบเลยว่ะ โอย เสียวว้อย มือมึงอุ่นดีจิงๆ ไอ้ปรินซ์"

"ซันซันครับ..."

ผมหันไปพูดกับมันเสียงหวานจ๋อย ได้ยินเสียงมันแบบนี้ ผมเองก็ชักจะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน

"ช่วยกูด้วยได้ไหมครับเพื่อนรัก นะจ๊ะๆ"

ผมทำเสียงออดอ้อน ไอ้ซันหรี่ตาดูกลางกายผมที่ผมใช้มือข้างที่ว่างปลดปล่อยมันออกมาชูคอนอกกางเกงแล้ว แทนคำตอบ มันค่อยๆ เอื้อมมือมาเกาะกุม ผมกลั้นหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถูกผู้ชายคนอื่นจับของสงวนของตัวเอง หากมือของเพื่อนรักก็ทำให้ผมรู้สึกดีได้ไม่ต่างจากมือของสาวๆ พวกเราทั้งสองค่อยๆ ขยับมือเพื่อส่งอีกฝ่ายไปสู่สวรรค์



"ซันซัน เร่งเถอะ กูจวนแล้ว"

ผมหอบหายใจน้อยๆ พร้อมกับเร่งมือขึ้น ซันซันหลับตาพริ้มและเร่งมือเช่นกัน

"อูย กูจะออกแล้ว โอย แป้งจ๋า"

ไอ้อ้วนมันปล่อยน้ำของมันมาจนเต็มมือผม ใจผมอดกระตุกไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อเพื่อนสาวออกจากปากของซันซัน แม้จะเป็นมือผม ไอ้อ้วนมันก็คงใช้มันแทนมือของเพื่อนสาวที่มันจินตนาการภาพไว้ในหัว

"อ้าว มึง หดเฉย"

ซันซันทักเมื่อส่วนนั้นของผมในมือของมันอ่อนปวกเปียกลงไป ผมหัวเราะฝืนๆ และบอกว่าวันนี้ผมคงเหนื่อยเกินไปจากซ้อมบอล แต่ที่จริงผมเกิดหมดอารมณ์ไปเฉยๆ โดยไม่รู้สาเหตุ

"เออๆ ค้างมาก็อย่ามาบ่นกูนะ"

"เออ กูไม่บ่นหรอก"

ผมฝืนหัวเราะและกระเซ้ามันซึ่งสบายตัวไปเรียบร้อยแล้วไปอีกสองสามคำ จากนั้นไล่ให้มันไปทำความสะอาดร่างกาย ส่วนตัวเองก็กลับมานั่งพิงหัวเตียงและพิจารณาสิ่งต่างๆ ในวัย 17 ปี ผมมีประสบการณ์ทางเพศมาบ้างแล้ว ผมขึ้นครูกับนักศึกษาสาวรุ่นพี่ซึ่งเป็นเพื่อนของพี่ชายไอ้โต้ง สถานที่ก็ไม่ใช่ที่ไหน มันก็คือที่บ้านเช่าของพี่ชายไอ้โต้งนั่นเอง นอกเหนือจากนั้น ผมเคยกอดจูบและสัมผัสภายนอกกับพวกเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันที่โรงเรียนและที่โรงเรียนกวดวิชาอยู่บ่อยครั้ง สาวๆ ใจแตกเหล่านั้นพร้อมที่จะนอนทอดกายให้ผม แต่ผมก็ยังไม่เคยคิดที่จะคบใครจริงจังเป็นคนรักและยังไม่เคยคิดพิศวาสใครจนถึงขั้นเพ้อหาหรือตามจีบใคร ชีวิตผมวุ่นอยู่กับกิจกรรม กีฬา เรียนบ้างนิดหน่อยและกับไอ้อ้วนของผม



หากในวันนั้นผมอดถอนหายใจออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจไม่ได้ ในตอนนั้น ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าผมอาจคิดกับซันซันมากกว่าแค่เพื่อน ผมอึดอัดใจทุกครั้งที่ซันพูดถึงสาวๆ ที่มันไปแอบชอบทุกคน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังพยายามทำตัวเป็นเพื่อนที่มันสามารถพึ่งพิงได้และไม่แสดงท่าทีอะไรออกไป เช่นเดียวกับชายหนุ่มวัยมัธยมปลายทุกคน ผมยังแคร์ภาพลักษณ์และสายตาที่คนอื่นๆ จะมองผมอยู่

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมพยายามข่มใจไม่คิดอะไรกับมันในตอนนั้น ก็เพราะในช่วงชีวิตของเด็กผู้ชายม. ปลายนั้น สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือการที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเพศของตนเอง การถูกล้อเลียนว่าเป็นตุ๊ดหรือเป็นโฮโมนั้นเป็นส่ิ่งที่น่าอายที่สุดสำหรับชายหนุ่มในวัยนั้น การที่พูดหรือแสดงออกอะไรเพียงนิดเดียวที่ทำให้เพื่อนเข้าใจว่าผมมีแนวโน้มที่จะชอบผู้ชายก็อาจทำให้ถูกล้อและเรียกไปว่าเป็นกะเทยหรือตุ๊ดที่ต้องมีทีท่ากระตุ้งกระติ้ง คำว่าเกย์ไม่ใช่ศัพท์ที่เด็กม.ปลายสมัยนั้นจะรู้จักและเข้าใจ

หากสำหรับผมแล้ว ผมปฏิเสธกับตัวเองมาโดยตลอดว่าผมไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้คิดอยากเป็นผู้หญิง ผมไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศหรือมองว่าเพื่อนนักบอลที่แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันนั้นเซ็กซี่ ผมยังรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้สัมผัสกายผู้หญิง แต่ในขณะเดียวกัน คนๆ เดียวที่ผมรู้สึกพิเศษด้วย รู้สึกอยากปกป้อง อยากอยู่เคียงข้าง ก็คือไอ้เพื่อนสนิทคนนี้ของผม แล้วในช่วงนี้ ผมก็ดันรู้สึกแปลกๆ กับมันขึ้นมาด้วย จากที่เคยรู้สึกเหมือนจะมีอารมณ์กับมันในช่วงม.ต้น ในตอนนี้มันกลายเป็นว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องทางกายแล้ว ผมรู้สึกหวงมันขึ้นทุกวันๆ และไม่อยากเห็นมันไปเจ๊าะแจ๊ะกับสาวๆ ที่ไหน หรือแม้กระทั่งกับเพื่อนผู้ชายในกลุ่มของมันด้วยก็ตาม



"เป็นอะไรวะ นั่งถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ได้"

ผมสะดุ้งเมื่อซันซันที่เดินเข้าห้องมาเงียบๆ ชะโงกหน้าเข้ามาจ้องหน้าผมใกล้ๆ ผมหลบตาและปฏิเสธว่าไม่มีอะไร

"สบายตัวแล้ว จะนอนเลยหรือยังล่ะ? มึงนอนก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน"

ผมลุกพรวดขึ้นและเดินออกห้องไปเพื่ออาบน้ำ  เมื่อผมกลับเข้ามา ซันซันปิดไฟห้องแล้ว เหลือเพียงโคมไฟที่หัวเตียงซึ่งยังเปิดอยู่ ผมเอื้อมมือไปปิดโคมไฟและลงนอนเคียงข้างมัน เตียงสามฟุตครึ่งของผมทำให้พวกเราต้องนอนเบียดชิดกันจนผมได้ยินเสียงหัวใจมันเต้น

"นี่ มึงคิดว่าแป้งเขาจะชอบกูไหมวะ?"

ซันซันพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ ผมที่เกือบจะเคลิ้มหลับไปแล้วลืมตาโพลง

"เอ่อ กูก็ไม่รู้ ทำไมมึงถึงคิดว่าเขาจะชอบมึงวะ?"

ผมกัดฟันถาม ถึงจะอยู่ห้องเดียวกันและเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถม แป้งก็ไม่ได้อยู่วงเพื่อนๆ ที่สนิทสนมกันกับพวกผมเท่าไหร่ เขาจะอยู่กับกลุ่มพวกผู้หญิงด้วยกันเสียมากกว่า

"ไม่รู้สิ หลังๆ มา กูรู้สึกว่าเขามองมาทางกูบ่อยๆ พอเหลียวไปดูเขาก็หลบตา"

แสงเดือนซีดๆ ส่องให้เห็นใบหน้าที่แช่มชื่นของไอ้อ้วนของผม​ ผมรู้สึกตื้อในอก ผมซึ่งนั่งเรียนข้างมันก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเพื่อนสาวเช่นกัน

"ให้กูไปสืบให้ไหมล่ะ? เดี๋ยวกูฝากไอ้บอลไปแย็ปๆ ถามน้ำหวานให้ก็ได้"

ผมพูดถึงเพื่อนสนิทของแป้งซึ่งเป็นแฟนของเพื่อนนักบอลคนหนึ่งของผม ซันซันหันขวับมาหาผมทันที

"เห้ยๆ ได้เหรอ? เออ กูฝากไปสืบมาให้หน่อยสิ กูชอบเขาจริงๆ นะ ไม่ได้ชอบแค่นมด้วย..."

มันหน้าแดงเมื่อหลุดปากพูดถึงจุดเด่นของสาวร่างเล็กแต่ "ใจ" ใหญ่คนนั้น ผมลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วพยักหน้ารับคำ ซันซันยิ้มกว้าง มันพร่ำเพ้อพรรณนาถึงความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแป้งคนสวยของมันจนหลับไปในที่สุด

"ถ้ามึงมีแฟนไปจริงๆ แล้วกูล่ะ ซันซัน กูจะยังอยู่กับมึงแบบนี้ได้อยู่หรือเปล่า?"

ผมพลิกตัวนอนตะแคงและรำพึงออกมาเบาๆ พลางยกมือลูบผมนิ่มของคนที่นอนอยู่เคียงข้าง กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ทำให้ผมอดใจไม่ไหวต้องหอมเบาๆ บนเรือนผมของมัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมแอบหอมแก้มหรือหอมผมของมันตอนหลับ แต่ผมไม่รู้ว่ามันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า ผมกอดกระชับร่างอุ่นๆ ที่กินพื้นที่ค่อนเตียงเข้ากับอกและหวังว่าผมกับมันจะยังได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน




------------------------------------------

ฮืออออ เรื่องของปรินซ์กับซันซันนี่แต่งยากกว่าเรื่องของเจกับฆาบี้มากเลย คนเขียนนึกภาพนักเรียนชายวัยรุ่นไม่ออกเลยค่ะ ชีวิตวัยรุ่นมันผ่านมานานมว๊ากแล้ว แถมยังเป็นเจเนอเรชั่นที่เด็กกว่าคนเขียนอีก อาศัยถามรุ่นน้องที่วัยใกล้เคียงกับสองคนนี้ หลายๆ อย่างก็ไม่ได้คำตอบ ไม่รู้มันเขินที่จะตอบหรือว่าลืมไปแล้วเช่นกัน ก็หวังว่าจะพออ่านได้ และพอให้เห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ ยังไม่จบตอนนะคะ ยังมีต่ออีก แต่ขอตัดไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ยาวเกินค่ะ ตอนต่อไปก็คงทิ้งช่วงประมาณนี้ พยายามจะไม่ให้เลทมากค่ะ

แล้วก็ขอฝากประชาสัมพันธ์ FB และทวิตเตอร์ของคนเขียนด้วยนะคะ ทวิตเตอร์ยังไม่ค่อยได้ใช้ ก็คงมีไว้แค่แจ้งตอนใหม่เฉยๆ กับพวกนั่นนี่ที่เอาลง fb ส่วน fb จะมีรายละเอียดเยอะกว่า (กำลังค่อยๆ ใส่ไปค่ะ) ตอนนี้อัพเดทเรื่องร้านอาหารที่เคยลงในเรื่อง The Taste of Love ลงไปในเพจ fb ไว้สองร้านแล้วค่ะ แวะเข้าไปดูได้นะคะ

facebook ค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH




ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.2 ----




“ปรินซ์”

เสียงหวานๆ ตะโกนเรียกผมจากขอบสนาม ผมที่กำลังถอดเสื้อที่เปียกออกเพื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อแห้งหันไปตามเสียงเรียกนั้น

“อ้าว แป้ง มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ?”

คนที่ตะโกนเรียกผมไม่ใช่ใคร แต่เป็นแป้ง ขวัญใจไอ้ซันมันครับ เธอพยายามคุยกับผมแต่ว่าผมได้ยินไม่ค่อยชัดนัก

“รอเราแป๊บนึงนะ เดี๋ยวขอทำอะไรให้เรียบร้อยก่อน”

ผมตะโกนบอกแป้งให้รอก่อนจากนั้นจึงไปจัดการเก็บข้าวของใส่กระเป๋าและลาเพื่อนๆ ในทีมก่อนจะเดินไปหาสาวร่างบางที่มีบางส่วนที่เตะตาคนนั้น

“ว่าไง ทำไมวันนี้มาถึงที่นี่ได้ล่ะ? มาหาน้ำหวานเหรอ? ไอ้บอลพากลับไปแล้วล่ะ”

ผมพูดถึงเพื่อนสาวคนสนิทของแป้งซึ่งเป็นแฟนกับเพื่อนร่วมทีมของผมคนหนึ่ง

“เราไม่ได้มาหาน้ำหวานหรอก เรามาหาเธอนี่แหละ”

เพื่อนร่วมชั้นของผมพูดยิ้มๆ ผมทำท่างง ต่อให้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ผมกับเขาก็อยู่คนละวงโคจรกันโดยสิ้นเชิง พวกเราเจอหน้ากันแค่ในห้องเรียน ในช่วงเที่ยงและเย็นผมก็มักหายออกไปกับพวกเพื่อนนักบอล เป็นซันซันมากกว่าที่ใช้เวลาว่างเข้าหาและไปพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะกับกลุ่มสาวๆ พวกนี้

"เราหาที่เงียบๆ กว่านี้คุยกันหน่อยได้ไหม?"

แป้งเอ่ยปาก เมื่อพวกเพื่อนร่วมทีมของผมเริ่มทยอยออกสนามมากัน หลายคนส่งเสียงเป่าปากเป็นเชิงแซวผมที่มีสาวมาหาถึงสนาม ผมพยักหน้าและชวนแป้งเดินไป พวกเรามาหยุดอยู่ที่ข้างอัฒจันทร์ซึ่งไม่มีคนอยู่แล้ว



"แล้วมาหาเรานี่มีธุระอะไรเหรอ?"

ผมหยุดยืนตรงหน้าขวัญใจของไอ้ซัน แป้งอมยิ้มน้อยๆ ด้วยท่าทางน่ารัก ใบหน้าที่ทาแป้งและแต่งแต้มสีน้อยๆ ทำให้ผมอดมองเธอไม่ได้ วันนี้เธออยู่ในชุดนอกเพราะยังเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนอยู่ ถ้าผมจำไม่ผิด เธอแต่งตัวตามสมัยนิยมประมาณวงเกิร์ลลี่ เบอรี่ อะไรอย่างนั้นครับ เสื้อกล้ามเอวลอยที่รัดรึงโชว์หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่เกินตัวกับขาขาวๆ ที่โผล่พ้นกระโปรงยีนส์ที่ชายสูงเหนือเข่าร่วมคืบทำให้ผมอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้

"ปรินซ์ต่างหาก มีธุระอะไรกับเราเหรอ? เห็นน้ำหวานบอกเราว่าปรินซ์มาถามๆ เค้าเกี่ยวกับเรา"

แป้งถามผมด้วยใบหน้าแดงซ่าน ผมได้แต่ทำตาปริบๆ ผมฝากไอ้บอลเพื่อนผมไปสืบเรื่องแป้งจากน้ำหวานแฟนมันจริง แต่เป็นการถามเรื่องทั่วๆ ไป อย่างมีแฟนหรือยัง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ผมว่าผมบอกเพื่อนผมไปชัดเจนแล้วว่าผมถามไปให้ไอ้ซัน แต่สงสัยว่าเพื่อนผมมันจะส่งสารไม่ครบและทำให้สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าผมนี้เข้าใจผิดจนได้

"เอ่อ แป้ง เราว่าเธอคงเข้าใจ..."

"เราชอบปรินซ์นะ"

แป้งพูดโพล่งออกมาขัดสิ่งที่ผมกำลังจะพูดออกไป ผมอ้าปากค้าง ผมไม่ได้หวังอะไรแบบนี้เลยแม้แต่น้อย

"เราชอบเธอมานานแล้ว ชอบมาตั้งแต่ม. ต้น พอเราฟังจากน้ำหวานว่าเธอมาถามเรื่องเกี่ยวกับเรา เราดีใจมากเลยรู้ไหม"

แป้งเอื้อมมือมาจับมือผมที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ ผมนึกสงสารไอ้อ้วนของผมขึ้นมาจับใจ ที่ผ่านมามันเข้าใจผิดไปเองทั้งหมด สายตาร้อนแรงที่มันคิดว่าแป้งมองมาทางมันนั้นที่จริงแล้วมองมาทางผมซึ่งอยู่ข้างมันตลอดเวลาทั้งนั้น



"เฮ้ย!"

ผมร้องออกมาอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ เธอก็เดินพรวดเข้ามาประชิดตัวและเงยหน้าขึ้นสบตาผม

"ตกลงปรินซ์คิดกับเราเหมือนกับที่เราคิดกับปรินซ์ใช่ไหม?"

คุณผู้อ่านครับ จะให้ผมตอบอะไรได้ในเมื่ออกอวบๆ ของแป้งถูไปถูมาอยู่ที่แถวๆ ลำตัวด้านหน้าของผม ผมสาบานเลยว่าแป้งจงใจแน่นอน มันทำให้ผมรู้ว่ากิติศัพท์ของแม่สาวคนนี้ที่ผมเคยได้ยินมาจากพวกเพื่อนๆ ในทีมไม่ใช่เรื่องยกเมฆ หือ? เรื่องอะไรเหรอครับ? ก็ที่ว่าแป้งมันแร่ดหลบในไงครับ ตอนอยู่โรงเรียน พออยู่ต่อหน้าคนอื่น แป้งจะเป็นสาวหวานดูเรียบร้อย แบบที่ซันซันมันติดใจครับ แต่ลับหลัง พออยู่นอกโรงเรียน มันก็จับผู้ชายกินไปหลายคนแล้ว แต่มันพยายามเลือกคนที่ไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน และจะชอบพวกหนุ่มๆ จากโรงเรียนเอกชนชายที่ไอ้เจมันจบมานั่นแหละครับ ที่ผมรู้ ก็รู้มาจากไอ้โต้งที่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโรงเรียนผมที่ได้มีโอกาสชิมน้องแป้งคนงามของไอ้ซัน แต่ผมก็ไม่เคยเล่าให้ซันซันมันฟังครับ เพราะมันก็แค่เรื่องเล่าต่อๆ กันมา และผมก็เคยคิดว่าไอ้โต้งมันอวดอ้างไปเอง แต่ในวันนี้ เหมือนคำกล่าวอ้างนั้นจะเป็นจริงเสียแล้วครับ



"วันนี้บ้านเราไม่มีใครอยู่ ปรินซ์จะแวะไปไหม?"

แป้งถามต่อด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เจอคำถามแบบนี้ ถ้าไม่รับก็เสียเชิงชายสิครับ ไหนๆ ผู้หญิงเขาก็แบท่ามาแบบนี้แล้ว

“เรา เอ่อ เราต้องไปเรียนพิเศษต่อ ถ้าหลังเลิกเรียนก็ว่างอยู่”

ผมพูดเสียงสั่นเพราะแม่เจ้าประคุณเล่นดึงมือผมไปโอบเอว ในหัวผมเริ่มคิดอะไรไม่ค่อยออกเพราะความตื่นเต้น

“เรารอได้ ปรินซ์เรียนที่กลางเวียงใช่ไหม? งั้นเราไปเจอปรินซ์ที่นั่นก็ได้”

ผมพยักหน้าระรัวและขอตัวไปเรียนพิเศษ แต่ก่อนจะไป ผมก็มัดจำเอาไว้ก่อน ผมก้มลงหอมแก้มใสๆ นั้นฟอดใหญ่ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากที่ทาลิปกลอสไว้จนมันวาว จากนั้นอะไรๆ ก็เริ่มเลยเถิด ผมคิดในใจว่าไหนๆ แล้ว ผมอาจจะทำอะไรๆ ที่มันตื่นเต้นกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะไม่ค่อยมีใครเดินผ่านอัฒจันทร์นี้ในช่วงเย็นวันปิดเทอมเท่าไหร่

แต่ผมลืมนึกถึงคนๆ หนึ่งไป คนที่มีเรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่สถาบันใกล้ๆ โรงเรียนและนัดเจอผมไว้ที่โรงรถข้างอัฒจันทร์เพื่อไปเรียนพิเศษต่อด้วยกัน



"ไอ้***ปรินซ์!"

ผมสะดุ้งเฮือกและรีบดึงมือออกจากใต้กระโปรงของแป้งแล้วหันขวับไปตามเสียงเรียก ไอ้อ้วนของผมยืนจังก้าอยู่ห่างไปไม่ถึงสิบเมตร มันคงเห็นทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นจนหมดแล้ว ใบหน้าของมันแดงก่ำและดวงตาของมันก็วาวโรจน์ ถึงไม่เห็นหน้าตัวเองในตอนนั้น แต่ก็เดาได้ว่าตอนนี้ผมคงกำลังหน้าซีดเผือด เหงื่อกาฬเม็ดเป้งๆ ผุดออกมาเต็มหน้าผม ซันซันโผเข้าชกหน้าผมเข้าเต็มรักท่ามกลางเสียงกรี๊ดลั่นของแป้ง ผมเซไป แป้งถลาเข้ามาจะตบไอ้อ้วนของผมแต่ถูกผมจับไว้ ไอ้อ้วนของผมก็ชะงักไป มันกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสาวในดวงใจทำท่าทางปกป้องผม ผมรีบดันหลังแป้งให้ไปห่างๆ

"แป้ง กลับไปก่อนนะ เราขอ เดี๋ยวเราเคลียร์ตรงนี้เอง"

ผมรีบดันหลังแป้งให้กลับไปก่อน เธออิดออดเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนที่จะรีบจากไป ผมว่าเธอเองก็คงไม่อยากจะมามีเรื่องมีราวอะไรนักหรอกครับ ผมหันกลับมาหาซันซันแล้วก็โดนเข้าไปอีกหมัดหนึ่งจนปากแตก แต่พูดตรงๆ นะครับ ในตอนนั้นผมไม่รู้สึกเจ็บอะไรทางกายเลย แต่ที่เจ็บจนทำให้ผมเจียนยืนไม่ไหวนั้นคือที่หัวใจ และยิ่งเจ็บเมื่อได้ยินคำพูดของซันซัน

"มึง กูรู้ว่ามึงมันเล่นไปทั่ว แต่กูก็ไม่เคยยุ่งหรือด่วนตัดสินมึงเพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่ว่ายังไงกูก็ยังมองมึงเป็นเพื่อน แต่ทำไมวะ ไอ้เชี่ยปรินซ์ ทำไมต้องเป็นคนนี้ มึงก็รู้ดีว่ากูชอบเขา!"

ไอ้อ้วนของผมชี้หน้าด่าผมด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธผสมกับความเสียใจ ผมใจแทบขาดเมื่อเห็นน้ำตาที่หยดหยาดลงบนแก้มของมัน ผมเคยปฏิญาณว่าผมจะปกป้องมัน แต่วันนี้ผมกลับทำให้มันเสียใจ

"ซันซัน ฟังกูก่อน กูไม่ได้ตั้งใจ แต่แป้งมันมาอ่อย กูเลยทนไม่ไหว"

ผมเสียงสั่น แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนรักของผมมันจะไม่ฟังอะไรแล้วครับ มันด่าผมลั่น บอกว่าผมเลวที่ปัดความผิดไปให้ผู้หญิง มันคงไม่เชื่อหรอกครับว่านางฟ้าของมันจะเป็นฝ่ายรุกเข้าหาผมก่อน

"กูไม่อยากฟังมึงแก้ตัวแล้วปรินซ์ นับแต่วันนี้ มึงกับกูขาดกัน ไม่ต้องมาเรียกกูว่าเป็นเพื่อนมึงอีก"

ผมตะลึงงัน แทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ตอบโต้อะไร ไอ้ซันก็หันร่างและรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที ผมทรุดฮวบลงกับพื้น ตลอดเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ผมกับมันทะเลาะกันหลายต่อหลายครั้ง ชกกันเลยก็หลายหน แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่มันประกาศตัดขาดกับผมแบบนี้



ผมนั่งนิ่งอยู่กับพื้นอยู่พักใหญ่ เมื่อสติกลับคืนมา ผมก็รีบขึ้นควบรถคู่ใจและขี่กลับบ้านทันที เวลาแบบนี้ ไอ้อ้วนของผมคงตรงดิ่งกลับบ้านแน่ๆ

"สวัสดีครับ ซันซันกลับมาหรือยังครับ อามณี?"

ผมยกมือไหว้แม่ของซันซันซึ่งรับไหว้ด้วยสีหน้างงๆ

"จ้ะ กลับมาแล้ว อยู่บนห้อง แล้วนี่ไปโดนอะไรมา ทำไมปากแตก หน้าช้ำขนาดนั้นล่ะ? ตายล่ะ อย่าบอกนะว่าทะเลาะกันมา"

อามณีแตะๆ แผลของผมด้วยใบหน้าเป็นกังวล ผมไม่ได้ตอบอะไรและขอขึ้นไปคุยกับซันซัน แม่ของซันพยักหน้าและปล่อยให้ผมขึ้นไปหา ผมขึ้นบันไดไปที่ห้องของมันและเคาะเรียก แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ ผมยืนเรียกมันอยู่นับสิบนาทีจนแม่ของมันชะโงกหน้าขึ้นมาดู ผมจึงได้ลดเสียงลง

"ซัน กูขอโทษจริงๆ กูไม่ได้ตั้งใจ..."

ผมแนบหน้าลงกับประตูและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

"ไปซะเถอะว่ะ ปรินซ์ กูยังไม่อยากคุยกับมึงตอนนี้"

เสียงเรียบๆ ของซันซันดังมาจากอีกฝั่งประตู ผมคอตก ผมรู้ดีกว่าถ้ามันพูดด้วยเสียงแบบนี้ แปลว่ามันกำลังโกรธมากและไม่ควรจะไปยุ่งด้วย ที่ผมทำได้ก็คือการถอยไปตั้งหลักก่อน

"งั้น ไว้มึงหายโกรธแล้ว กูค่อยมาหามึงอีกทีนะ กูอยากอธิบายให้มึงฟัง"

"ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว กูขอแค่ต่อไปนี้มึงไม่ต้องมาอยู่ใกล้กูก็พอ"

ผมกัดกรามแน่นและพยายามกลั้นสะอื้น ผมพึมพำบอกลามันและเดินกลับบ้านไปอย่างเซื่องซึม



ซันซันทำตามคำพูดของมัน แม้เวลาผ่านไปจนถึงเปิดเทอมในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดไป มันก็ยังไม่คุยกับผม ในวันเปิดเทอมผมเอารถไปรอมันที่บ้านเพียงเพื่อที่จะพบว่ามันขึ้นรถแดงไปโรงเรียนเองแล้ว พอถึงห้องเรียน ผมก็เห็นว่าซันซันก็ย้ายตัวเองไปนั่งอีกมุมหนึ่งของห้องโดยให้ไอ้บอลแฟนน้ำหวานมานั่งข้างผมแทน



เปิดเทอมใหม่มาได้ไม่ถึงครึ่งวัน ผมก็รู้ถึงปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของผมในวันนั้น

"นี่ๆ ไอ้ปรินซ์ เมียมึงงอนอะไรหรา?"

ไอ้บอลตัวแปลงสารที่ทำให้ชีวิตผมลำบากอยู่ทุกวันนี้กะลิ้มกะเหลี่ยถามตอนที่เรากำลังกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร ผมมองหน้ามันอย่างงงๆ

"เมียเห้อะไรวะ ไอ้บอล? มึงพูดอะไร?"

"อ้าว ก็ไอ้ซันไง ไม่ใช่เมียมึงเหรอ? ก็ไอ้แป้งมันมาเล่าให้น้ำหวานฟังว่าตอนมันกับมึงกำลังจู๋จี๋กันที่อัฒจันทร์ ไอ้ซันมันปรี่เข้ามาต่อยมึงแล้วทำท่าเหมือนหวงที่มึงกับแป้งอะไรๆ กันอยู่ หรือว่ามันแอบชอบมึงวะ อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งนาน กูก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นตุ๊ดนะเนี่ย"

"ไอ้ห่าบอล มึงหุบปากเดี๋ยวนี้เลย!"

ผมหูอื้อตาลายเพราะความโกรธและลุกพรวดขึ้นเอะอะลั่นจนคนรอบข้างหันมามอง

"เฮ้ย โกรธอะไรกูวะ ก็ไอ้แป้งมันบอกแบบนั้น มึงนั่งลงก่อนเถอะ นะๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ดิ พูดกับกูดีๆ ก็ได้"

บอลดึงแขนผมให้นั่งลง ผมพยายามข่มใจที่เต้นระรัวและกระแทกกายลงนั่ง ในหัวผมมันปั่นป่วนไปหมด ถึงตอนอยู่ที่โรงเรียนไอ้ซันกับผมจะคบเพื่อนคนละกลุ่มกัน แต่พวกเพื่อนของพวกเราก็รู้ดีว่าพวกเราสนิทกันเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก พวกมันไม่ควรที่จะเข้าใจผิดไปเพียงเพราะคำพูดของผู้หญิงคนเดียวได้เลย



"ไอ้แป้งมันบอกมึงแบบนั้นจริงเหรอวะ?"

บอลพยักหน้าเบาๆ

"มันก็เล่าไปทั่วอ่ะ ตอนนี้พวกผู้หญิงเค้าก็เม้ากันให้แซ่ดแล้ว มันก็ดูมีมูลด้วย ก็พวกมึงตัวติดกันซะขนาดนี้ แถมไอ้ซันมันก็ไม่เคยมีแฟนอีก แล้วพวกมึงก็ดูรู้ใจกันไปหมด พวกกูก็เลยนึกว่า..."

ผมใจหายวูบ ในช่วงม. ปลายแบบนี้ การถูกลือว่าเป็นโฮโมนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะรับกันได้ง่ายๆ เลยยิ่งคนลือคือพวกก๊วนสาวๆ ขี้เม้าด้วยแล้ว เรื่องในวันนั้นคงถูกแต่งเติมไปอีกไกลแน่ๆ

"เชี่ยเอ๊ย มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ ไอ้บอล ที่ซันซันมันโกรธน่ะก็เพราะมันชอบแป้ง แต่กูดันไปอะไรๆ กับไอ้แป้งให้มันเห็น มึงจำไม่ได้เหรอ กูให้มึงไปถามเรื่องแป้งเมื่อคราวนู้นก็เพราะไอ้ซันมันอยากรู้"

บอลทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้

"เออ ใช่ว่ะ ชิบเป๋ง งั้นก็ลือกันผิดไปใหญ่แล้วสิ มิน่าล่ะ เมื่อเช้ามันถึงชกหน้าไอ้ป้อมเข้าเปรี้ยงนึง โดนอาจารย์ปกครองเรียกทั้งคู่เลยอ่ะ"

บอลพูดเสียงอ่อยๆ หัวใจผมแทบหยุดเต้นและรีบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและได้ความว่า ป้อม เพื่อนปากหมากลุ่มเดียวกับไอ้บอลได้ข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากน้ำหวานเช่นกัน มันไม่พลาดโอกาสและแซวซันซันทันทีที่เจอหน้าในตอนเช้า ผลก็คือไอ้อ้วนของผมโดดเข้าชกมันพัลวันและประกาศลั่นว่าอย่าให้มันได้ยินเรื่องนี้จากปากใครอีก

"มันว่างี้อ่ะ มันว่ามันไม่ใช่ตุ๊ดและชาตินี้ไม่มีวันชอบผู้ชาย ถ้ามีใครสงสัยก็ลองยื่นหน้ามาให้มันต่อยดูได้"

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความเข้าใจผิดนี้อาจยิ่งทำให้ซันซันห่างผมไปเรื่อยๆ ผมบอกบอลให้ไปจัดการแก้ข่าวให้ โดยเริ่มจากที่น้ำหวานแฟนมันก่อน มันก็รับปากว่าจะจัดการให้



ผมกลับไปเรียนคาบบ่ายด้วยใจอันหนักอึ้ง ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรดี ผมคิดหนักอยู่แบบนี้จนกระทั่งถึงเวลาซ้อมฟุตบอลในตอนเย็น

"ปรินซ์ ช่วงนี้มึงเป็นอะไรวะ? ทำไมเล่นไม่ดีเลย ถ้ามึงไม่ตั้งใจแบบนี้แล้วทำผลงานได้ไม่ดี ทุนที่หวังไว้ก็อาจหลุดมือได้นะ"

อาจารย์ผู้คุมทีมตะโกนด่าผมมาจากข้างสนามเมื่อผมใจลอยจนปล่อยให้เพื่อนที่เล่นเป็นอีกฝั่งหนึ่งลากบอลหลบเข้าไปยิงประตูได้อย่างง่ายดาย ผมกล่าวขอโทษและอ้างว่าวันนี้ไม่ค่อยสบายและขอกลับก่อน

"กูไม่รู้นะว่ามึงมีอะไรในใจ แต่รีบเคลียร์ให้ได้ซะ ปีนี้เป็นปีสำคัญ ถ้ามึงหวังได้ทุนฟุตบอลของไม่ม.รังสิตก็ม.ศรีปทุม มึงก็ต้องทำผลงานให้ดีให้สม่ำเสมอ พอร์ทจะได้สวยเวลาเอาไปยื่น ถ้าพลาดไป มึงเคว้งแน่"

อาจารย์อบรมผมใหญ่โต ในตอนนั้นผมไม่ใช่เด็กเรียนดีอะไรนักครับ เกรดเฉลี่ยของผมอยู่ที่สองต้นๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมโดดเด่นคือฟุตบอล ตอนประถมผมซึ่งตัวไม่ใหญ่นักรับหน้าที่เป็นกองหน้า แต่เมื่อขึ้นม. ต้นและผมเริ่มสูงขึ้นพรวดพราด อาจารย์ก็ให้ผมมาเล่นตำแหน่งกองหลัง ผลของมันออกมาเป็นที่หน้าพอใจ ผมเป็นกองหลังที่มีความเร็วและทักษะในการยิงประตูเหมือนกองหน้า ผมติดทีมโรงเรียนทุกปีเช่นเดียวกับทีมจังหวัด เป้าหมายของผมหลังจบมัธยมคือเข้าร่วมทีมกับมหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งเด่นในด้านฟุตบอลอย่างม. รังสิตหรือม. ศรีปทุม การเข้าร่วมกับหนึ่งในสองทีมนี้อาจเป็นใบเบิกทางสำหรับเด็กภูธรอย่างผมสู่ทีมชาติและลีกอาชีพได้ และจริงอย่างที่อาจารย์ว่า ถ้าพลาดจากทุนฟุตบอลแล้ว ผมก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองจะเรียนอะไรได้อีก



คืนนั้นผมนอนไม่หลับอีกครั้ง สมองวัย 17 ปีของผมนั้นปั่นป่วนไปหมด ตอนนี้ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงเรื่องที่มันโกรธผมที่ไปจูบกับไอ้แป้งแล้ว เรื่องนั้นผมเข้าใจมันดีว่ามันคงรู้สึกเหมือนถูกผมทรยศหักหลัง แต่ไอ้ซันมันโกรธง่ายหายเร็วครับ ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์เกือบยี่สิบปีของผมคงไม่พังลงง่ายๆ เพราะเรื่องนี้ ถ้าผมไปง้อมันจริงๆ จังๆ ก็คงจะทำให้มันหายโกรธได้

แต่ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผมคิดไม่ตกนั้นคือไอ้เรื่องข่าวลือบ้าๆ นั่น กลายเป็นว่าการที่ผมตัวติดกับซันซัน การที่เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดจนมันไม่ได้มีเวลาไปมีแฟนกลับทำให้มันโดนมองว่าเป็นพวกรักร่วมเพศไป ส่วนตัวผมมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรครับ ทุกคนไม่มองว่าผมเป็นแบบนั้นอยู่แล้วเพราะประวัติเรื่องสาวๆ ของผม แต่สำหรับไอ้ซัน มันดูจะต่อต้านเรื่องนี้เอามากทีเดียว แล้วพวกคุณก็น่าจะรู้จักสังคมเด็กม. ปลายดี อะไรที่มันเป็นข่าวลือไปแล้วมันแก้ยาก ยิ่งเจ้าตัวแสดงอาการต่อต้านก็ยิ่งโดนล้อ แล้วถ้าผมกับมันคืนดีกันไป มันกลับมาตัวติดกันกับผมอีกครั้ง จากที่ไม่เคยมีใครคิดล้อเลียนอะไร ก็จะกลายเป็นโดนหนักแน่ๆ

จากข้อนั้นมันก็นำไปสู่ปัญหาข้อที่สาม ถ้าพวกผมดีกันแล้วกลับมาอยู่ใกล้กันอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทนไม่แสดงออกด้านความรู้สึกกับมันได้อีกแค่ไหน แล้วถ้าเกิดผมแสดงออกไปว่าผมรู้สึกกับมันมากกว่าเพื่อน แล้วมันทำท่ารังเกียจหรือเกิดต่อต้านขึ้นมาเหมือนกับที่มันชกหน้าเพื่อนไอ้บอล ผมก็คงทนไม่ได้ อีกอย่าง การที่ผมมานั่งกังวลกับเรื่องมันก็ทำให้ผมเสียสมาธิไปจากสิ่งที่ผมควรให้ความสนใจที่สุดในตอนนี้ คือการพยายามคว้าทุนฟุตบอลมาให้ได้ แล้วถ้าเกิดผมต้องไปอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็ต้องห่างกันไปอย่างน้อยสี่ปีหรือมากกว่านั้น ผมก็ควรต้องหัดอยู่โดยไม่มีมันให้ได้



หลังจากที่นอนคิดอยู่ทั้งคืน ในที่สุดผมก็ได้ข้อสรุปให้ตัวเอง ผมจะทำตามคำพูดของซันซัน ผมจะอยู่ห่างจากมันเท่าที่มันต้องการ อย่างน้อยก็จนกว่าจะจบม. ปลายในอีกไม่ถึงปี จากนั้นผมจะรอจนกว่าวันที่มันพร้อมกลับมาคุยกับผมอีกครั้ง แม้ว่าวันนั้นอาจจะมาไม่ถึงอีกเลยก็ตาม แล้วถ้าเกิดเราจะต้องห่างกันไปจริงๆ ผมก็ยอมรับและปล่อยให้โชคชะตานำทางเราไป คุณๆ อาจจะคิดว่ามันเป็นความคิดที่งี่เง่า ผมในตอนนี้ก็ยังคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ไร้สติเลย แต่สำหรับผมในวัย 17 ปีแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าควรทำที่สุด

สิ่งแรกที่ผมทำคือไปขอโทษแป้งและพูดให้เธอเข้าใจว่าที่เกิดเหตุขึ้นวันนั้นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด

"ซันซันเขาชอบแป้งน่ะ เลยโกรธมากที่เห็นเรากับแป้งทำอะไรกันแบบนั้น เราเองก็ไม่อยากหักหลังเพื่อนรักแบบนี้เลย แต่ทำไงได้ ก็เราชอบแป้งเข้าแล้วนี่"

ผมพูดพลางดึงสาวน้อยที่ยืนบิดไปบิดมาอยู่ข้างหน้าเข้ามากอด แป้งกอดผมตอบอย่างยินดี เย็นวันนั้น เรามีอะไรกันครั้งแรกที่ห้องเก็บอุปกรณ์ใต้อัฒจันทร์ ผมกับพวกคนในทีมแอบมาใช้งานห้องนี้บ่อยครับ อย่าไปบอกใครล่ะ

หลังจากวันนั้น ผมก็คบหาแป้งอย่างเปิดเผย แป้งขอแลกที่กับเพื่อนเธออีกคนเพื่อที่จะมานั่งด้านหลังของผม ผมเห็นสายตาเย็นชาของซันซันที่ลอบมองมาหลายครั้ง ถึงมันจะทำให้ใจของผมปวดร้าวเหลือรับ แต่ผมก็ต้องอดทนมันให้ได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ผมวางไว้



หลังคบแป้งได้พักใหญ่ก็เริ่มมีข่าวลือใหม่ในบรรดาพวกผู้หญิง ข่าวลือเรื่องซันซันผู้แสนซื่อซึ่งมีความรักอันบริสุทธิ์ให้กับแป้งที่ซันซันมองว่าเป็นนางฟ้า แต่ซันซันกลับถูกเพื่อนรักอย่างผมหักหลังคว้าสาวในฝันของมันไปกินตับอย่างหน้าชื่นตาบาน และข่าวลือที่ว่าจริงๆ แล้วแป้งเองก็ไม่ใช่สาวใสซื่อเหมือนภาพที่แสดงออก แต่ที่จริงแล้วเป็นสาวล่าแต้มที่มาทำให้มิตรภาพของเพื่อนรักต้องขาดสะบั้นลง ข่าวลือนี้กลบข่าวซันซันเป็นแต๋วและหึงผมไปโดยสิ้นเชิง ซันซันกลายเป็นคนที่เพื่อนๆ เห็นอกเห็นใจและคอยให้กำลังใจ ส่วนผมกับแป้งก็กลายเป็นหมาในสายตาคนอื่นไป แต่ผมไม่แคร์หรอกครับเพราะผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้



"ขอบใจว่ะไอ้โต้ง สาวๆ ของมึงช่วยกระพือข่าวได้ดีมาก"

ผมยกกระป๋องเบียร์ที่ไอ้โต้งจิ๊กมาจากพี่ชายขึ้นชนกับเพื่อนร่วมทีมตัวแสบ วันนี้ผมมาหามันถึงบ้านเพื่อติดตามผลเรื่องที่ผมไหว้วานมันไว้

"เฮ้ย เรื่องเล็กน้อย พวกสาวๆ ของกูเขาหมั่นไส้ไอ้แป้งมานานแล้ว เขาว่าแป้งมันไปแย่งเด็กโรงเรียนคริสตังหล่อ รวย สปอร์ตที่กำลังคั่วกับยัยพวกนั้นสักคนมา เอามาใช้แล้วก็ทิ้งเขา อะไรแบบนั้น แต่ผู้ชายมันก็ติดใจไปแล้วไง มึงก็รู้ว่าไอ้แป้งมันเด็ดแค่ไหน"

ผมพยักหน้า แป้งมันเชี่ยวเรื่องบนเตียงจริงๆ ครับ ผมที่ก็ไม่ได้ผ่านสาวมามากนักก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเติมเต็มเจ้าหล่อนได้อีกนานขนาดไหน แต่ ณ ตอนนี้ เธอยังพอใจในตัวผมอยู่

"มึงก็ระวังๆ หน่อยล่ะ ไอ้ปรินซ์ อย่าให้ความแตกล่ะ พลาดมามันเล่นมึงแน่"

"อ๋อ แบบที่มึงโดนใช่มะ?"

ผมถามยิ้มๆ ไอ้ตัวแสบขมวดคิ้ว

"มึงไม่ต้องพูดเลย ไอ้ปรินซ์ กูยังแค้นไม่หาย แม่ง เอากูไปโพนทะนาหาว่าเล็กแล้วก็นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ เชี่ยเอ๊ย คนมันก็มีวันพลาดมั่งไหมวะ"

โต้งบ่นกะปอดกะแปด ผมอมยิ้ม นั่นมันข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนกกระจอกแต่อีกเรื่องน่ะผมไม่คิดว่ามันเกี่ยวกับการพลาดอะไรนะ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- [SP] P.S. แอบรัก Pt. 2 (ต่อ) ----




"แล้วมึงคิดจะเล่นกับมันอีกนานแค่ไหนวะ?"

โต้งถามผม ผมทำท่าครุ่นคิด

"อืมม์ กูก็ไม่รู้ว่ะ อาจจะเรื่อยๆ จนกูแน่ใจเรื่องทุน แล้วค่อยเลิกกับมันก่อนไปกรุงเทพฯ ระหว่างนี้ก็ใช้มันแก้ขัดไปพลางๆ ก่อน"

ผมยิ้ม ตอนนี้ผมผูกมัดไอ้แป้งไว้ด้วยสถานะแฟนครับ ผมปรนเปรอมันด้วยสิ่งของ พาไปดูหนังฟังเพลง เที่ยวเล่นแบบแฟน ปากผมพร้อมพูดคำหวานว่ารักว่าชอบให้มันฟังเสมอ ผมขอร้องไม่ให้มันไปมีอะไรกับคนอื่นอีก มันก็พยายามทำตามนะครับ สายของผมรายงานมาว่ามันปฏิเสธพวกเด็กเก่าๆ ต่างโรงเรียนของมันที่เรียนกวดวิชาด้วยกัน และมีใจอ่อนไปบ้างแค่ครั้งสองครั้ง ก็นับว่าใช้ได้ครับ ยิ่งมันหลงผมมากเท่าไหร่ยิ่งดี

"มึงนี่รักไอ้ซันซันมันจริงๆ นะ ไอ้ปรินซ์"

ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งเฮือกเมื่อโต้งเปรยขึ้น

"เห้ย มึงพูดอะไรหมาๆ อีกแล้ววะ กูกับมันเป็นผู้ชายเหมือนกัน จะไปรักกันได้ยังไง"

ผมรีบปฏิเสธลั่น โต้งเกาหัวแกร่ก

"เฟ้ย! กูไม่ได้หมายความแบบนั้น กูหมายถึงมึงนี่ก็รักเพื่อนจริงๆ ถึงขั้นยอมทำขนาดนี้เพื่อแก้แค้นให้มัน"

ผมยิ้มน้อยๆ เมื่อเข้าใจถึงความหมายของไอ้เพื่อนตัวแสบ

"กูทำให้มันได้แค่นี้ล่ะว่ะ อย่างน้อยตอนนี้ไอ้เรื่องที่ลือๆ กันก็เงียบไปละ แล้วก็หวังว่ามันจะได้เห็นธาตุแท้ไอ้แป้งด้วย"



"แล้วมึงโอเคเหรอวะ ที่ต้องแลกกับการที่ต้องห่างกับไอ้ซันมันไปน่ะ"

 โต้งถามต่อ ต่อให้มันกับผมอยู่คนละห้องกัน มันก็เห็นถึงความห่างเหินระหว่างพวกผมทั้งสอง ผมอึ้งไปกับคำถามนั้น บอกตรงๆ นะครับ มันไม่เคยโอเคหรอก ไม่เลยสักนิด ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าสามเดือนแล้วที่ผมกับมันตัดขาดกันไป ผมพยายามเลี่ยงไม่เข้าบ้านออกบ้านตรงเวลากับมัน ถ้าวันไหนเกิดเจอกันขึ้นมาแถวๆ หน้าร้านตอนที่มีพวกผู้ใหญ่อยู่ด้วย เราก็จะก้มหน้าทักทายกันเบาๆ เพื่อให้พวกผู้ใหญ่สบายใจว่าเรายังคุยกันอยู่บ้าง ในทีแรกพวกผู้ใหญ่ของเราทั้งสองฝ่ายก็ไม่สบายใจนักที่พวกเราเป็นแบบนี้ แต่ผมอ้างกับพวกผู้ใหญ่ของผมว่าช่วงนี้เวลาของเราไม่ตรงกันเพราะว่าผมต้องซ้อมบอลหนักขึ้น แต่ที่จริงแล้วผมใช้เวลาไปกับไอ้แป้งในช่วงเย็นหลังเลิกซ้อม ส่วนซันซันก็คงอ้างเรื่องเรียนพิเศษกับที่บ้าน เพราะว่ามันก็กำลังเตรียมตัวสอบโควต้าภาคเหนือช่วงเดือนธันวา

"เห้อ อีกไม่นานก็สอบไฟนอลเทอมหนึ่งละ ปิดเทอมเล็ก เทอมสอง แข่งบอลประเพณีเสร็จ ต้นปีหน้าก็คัดตัวเข้ารับทุนแล้วนะ มึงพร้อมหรือยังวะ ไอ้ปรินซ์"

โต้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เตรียมตัวเพื่อคัดทุนฟุตบอลของมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่ง ผมส่ายหัวและทำหน้าเซ็งๆ ผมยังไม่พร้อมอะไรเลยครับ ยิ่งมีเรื่องซันซันเข้ามากวนใจอีก ในตอนนี้ผมควรโฟกัสให้กับเรื่องอนาคตของผมก่อน

"แล้วมึงก็ระวังเรื่องไอ้แป้งด้วยล่ะ อย่าไปโดนมันสูบพลังมากนัก จะจัดการมันก็อย่าไปเผลอโดนมันจัดการเข้าซะเองล่ะ"

ไอ้เพื่อนตัวแสบของผมพูดยิ้มๆ แล้วก็ถูกผมยันโครมเข้าให้ทีหนึ่งโทษฐานที่ทะลึ่ง ผมต้องยอมรับว่าในตอนนั้นผมค่อนข้างติดใจเซ็กส์ที่แป้งมันบริการให้ผมครับ แต่มันก็ไม่ทำให้ผมเปลี่ยนเป้าหมายหรอก ก็มันทำกับไอ้อ้วนของผมขนาดนั้น ยังไงๆ ผมก็ไม่มีวันยกโทษให้กับมัน ผมยังคงตั้งเป้าทำตามแผนเดิมคืออยู่ห่างจากซันซันไปจนจบม. ปลาย ตั้งหน้าตั้งตาเล่นฟุตบอลเพื่อทำผลงานให้ดีและสอบเอาทุนกีฬาของม. เอกชนที่เด่นด้านฟุตบอลให้ได้ จากนั้นบอกเลิกไอ้แป้งทันทีที่ทำได้ตามเป้าหมายแล้ว สุดท้าย เมื่อทุกอย่างสำเร็จลุล่วงตามเป้าแล้ว ผมก็จะกลับไปง้อซันซันก่อนที่ผมจะไปกรุงเทพฯ นี่คือแพลนอันสวยหรูของผม



แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลงในบ่ายวันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน ระหว่างที่ผมกำลังลงแข่งขันในงานฟุตบอลประเพณีกับโรงเรียนชายประจำจังหวัด บรรยากาศในสนามเต็มไปด้วยความสนุกสนานและตื่นเต้น ผมกระโดดขึ้นเพื่อโหม่งเคลียร์ลูกจากหน้าประตู แต่จังหวะนั้นก็มีผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามกระโดดขึ้นแย่งบอล ผมถูกกระแทกกลางอากาศและเสียหลักตอนลงพื้น ผมรู้ทันทีที่ขาผมสัมผัสพื้นว่ามันจบไม่สวยแน่

"ปรินซ์!!"

แม้จะถูกร่างของนักบอลอีกฝ่ายทับไว้ แม้จะเจ็บปวดเจียนตายจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับ ผมได้ยินเสียงร้องเรียกอย่างตกใจของไอ้อ้วนของผมอย่างชัดเจน ผมหันไปเห็นหน้ากลมๆ ของมันที่ข้างสนาม ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความห่วงใย ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนที่สติของผมจะดับวูบไป



ผมตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล สิ่งแรกที่ผมรู้สึกคือความผิดปกติที่ขาซ้ายของผม มันชาไร้ความรู้สึก ผมมองไปที่ปลายเตียงและเห็นขาซ้ายของผมถูกเข้าเฝือกและห้อยยกสูงไว้ น้ำตาผมไหลพรากทันที ความฝันเรื่องทุนฟุตบอลของผมมันจบสิ้นแล้ว

"ปรินซ์ ฟื้นแล้วเหรอลูก?"

ม่ะม๊าของผมที่นั่งเฝ้าอยู่ที่โซฟาข้างหน้าต่างรีบถลาเข้ามาดูอาการเมื่อได้ยินเสียงผมสะอื้น ผมกอดม่ะม๊าไว้แน่นและท่านก็โอบกอดผมไว้อย่างอ่อนโยน

"ม๊า ผมเล่นบอลไม่ได้แล้วใช่ไหม?"

ผมสะอึกสะอื้น ม่ะม๊าของผมไม่ตอบแต่กลับลูบหัวผมเบาๆ

"เรื่องนั้นว่ากันทีหลัง ตอนนี้เราต้องรักษาตัวให้หายก่อน"

ม่ะม๊าปลอบผมและรีบโทรแจ้งข่าวให้ป๊าผมที่เฝ้าร้านอยู่ทราบ ผมซึ่งยังสะลึมสะลืออยู่ก็ผลอยหลับไปทั้งน้ำตา



เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่ามีคนเต็มห้องไปหมด ทั้งครอบครัวผมและครอบครัวของซันซันต่างมากันพร้อมหน้า ผมทักทายทุกคนทั้งที่ยังเบลอๆ เพราะยาแก้ปวดและหันไปยิ้มให้ไอ้อ้วนของผม มันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น

"มึง ฮึก มึงเป็นไงมั่ง เจ็บไหม?"

 ซันซันถลาเข้ามานั่งข้างเตียงทั้งน้ำตา มันจับมือผมไว้แน่น ผมใช้นิ้วปาดหยาดน้ำหยดน้อยที่แก้มของมัน

"มึงจะร้องไห้ทำไมวะ กูยังไม่ตาย..."

ไอ้อ้วนของผมทำหน้าบึ้งทันที มันขยับปากทำท่าจะด่าแต่ก็ยั้งไว้ ผมหัวเราะและลูบหัวมันเบาๆ และเสไปคุยเรื่องอื่น ผมไม่อยากให้มันเป็นกังวลกับอาการของผมนัก ผมคุยกับมันอีกครู่หนึ่งแล้วก็ผลอยหลับไปอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยา ผมสะลึมสะลือหลับๆ ตื่นๆ อีกหลายครั้ง แต่ก็มีสติพอที่จะได้ยินอาการของตนเองจากปากของม่ะม๊าที่เล่าอาการของผมให้บรรดาแขกที่มาเยี่ยมฟัง ไอ้เจมันเคยเล่าให้ป๋าฆาเบียร์กับคุณผู้อ่านฟังว่าผมเลิกเล่นบอลไปเพราะเข่าพังไม่ก็เอ็นฉีกใช่ไหมครับ? มันมั่วอีกแล้วครับ ลองฟังแม่ผมเล่าแล้วกันนะ

"สรุปว่าข้อเท้าพลิกอย่างแรงเนื่องจากลงพื้นผิดท่าค่ะ แถมยังโดนน้ำหนักตัวของอีกคนทับลงมาอีกก็เลยทำให้ข้อเท้าหักและเอ็นบางส่วนฉีก ตอนนี้ก็รอผ่าตัดดามกระดูก จากนั้นก็รอให้แผลหายและกระดูกสมานกันได้ดีแล้วค่อยทำกายภาพบำบัดไปเรื่อยๆ ค่ะ"

ตอนนั้นผมซึ่งแกล้งทำเป็นหลับก็ใจสั่นสะท้านเมื่อได้ยินอาการของตัวเอง น้ำตาของผมเอ่อคลอเบ้าอีกครั้ง แต่ความอบอุ่นจากมือของซันซันที่บีบกระชับมือของผมที่แกล้งหลับอยู่นั้นทำให้ผมอดทนไม่ร้องไห้ดังๆ ออกมา



"ซันซัน..."

ผมซึ่งในที่สุดก็ผลอยหลับไปจริงๆ ลืมตาตื่นขึ้น ผมร้องเรียกชื่อคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาริมหน้าต่าง ไอ้อ้วนของผมรีบลุกเดินมาหาที่ข้างเตียง

"ไง ตื่นแล้วเหรอ? เป็นไงมั่ง หิวน้ำไหม หรือว่าจะกินผลไม้ เดี๋ยวกูปอกให้ เอ่อ ม๊ามึงลงไปกินข้าวน่ะ กูเลยอาสามาอยู่เฝ้าแทน"

มันถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน ผมกลั้นสะอื้น ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมคิดถึงมันแค่ไหน

"กูดีใจมากเลยนะ ซันซัน ที่มึงมาเยี่ยมกู..."

ผมพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ

"...กูนึกว่าชาตินี้มึงจะไม่คุยกับกู ไม่ยกโทษให้กูอีกแล้ว"

ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่และทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง



"โธ่ ไอ้ปรินซ์ มึงเป็นขนาดนี้ จะให้กูโกรธมึงลงอีกเหรอ?"

เพื่อนรักของผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือพอๆ กัน มันถอดแว่นแล้วปาดน้ำตาของตัวเอง

"ตอนเห็นมึงลงไปนอนกองกับพื้น กูแม่มทำอะไรไม่ถูกเลย รู้ไหม"

มันเล่าให้ผมฟังว่ามันซึ่งทำหน้าที่เป็นสตาฟฟ์ประสานงานอยู่ข้างสนามถึงกับเผลอตัวจะวิ่งลงไปหาผมในสนาม แต่ถูกเจ้าหน้าที่คนอื่นคอยกันไว้ มันคงเป็นจังหวะที่ผมได้ยินเสียงมันก่อนที่จะสลบไป

"กูไม่เป็นอะไร ไอ้ซัน ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ"

ผมลูบหัวมันเบาๆ ความรู้สึกของมันคงไม่ต่างกับตอนที่ผมเห็นมันโดนพวกไอ้พี่อ้นซ้อมตอนอยู่ป. 4

"มึงไม่ต้องมาทำเก่ง ไอ้ปรินซ์ ขามึงเป็นแบบนี้แล้ว ยังจะมาบอกกูว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ?"

ผมสะอึก ไอ้เพื่อนรักของผมมันพูดตรงเสมอ

"นี่กูนะ มึงไม่ต้องมาพยายามทำตัวเข้มแข็งต่อหน้ากู มึงไม่สบายใจอะไร กังวลอะไร ก็ระบายมันออกมา"

ซันซันกอดผมที่นั่งกึ่งเอนอยู่บนที่นอนซึ่งปรับให้ตั้งขึ้นเล็กน้อย ผมปล่อยโฮออกมาเมื่อสิ้นเสียงของมัน



"มันจบแล้ว ซัน จบแล้ว กูหมดอนาคตกับฟุตบอลแล้ว"

ผมยันกายขึ้นและซบหน้าลงกับบ่าของซันซัน สิ่งที่ผมกลัวในตอนแรกที่ตื่นขึ้นมาเห็นขาตัวเองเป็นจริงแล้ว ผมรู้ทันทีที่ได้ยินแม่เล่าเรื่องอาการของผมให้คนอื่นๆ ฟัง ผมรู้ได้ว่านอกจากผมจะไปคัดตัวเพื่อรับทุนฟุตบอลในช่วงต้นปีหน้าไม่ทันแล้ว ผมยังอาจเล่นฟุตบอลไม่ได้อีกไปตลอดชีวิต หรือถึงเล่นได้ ก็ไม่สามารถเล่นได้ในระดับเดิมอีก ความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพของผมจบสิ้นลงแล้ว

ซันซันปล่อยให้ผมร้องไห้คร่ำครวญจนพอใจก่อนจะดันผมให้เอนลงบนฟูกเหมือนเดิม

"กูจะไม่พยายามพูดให้มึงสบายใจหรอกนะว่ามึงอาจจะคิดมากไปเอง ทุกอย่างจะโอเค เดี๋ยวมึงจะกลับมาเล่นบอลได้อีก กูคงพูดแบบนั้นไม่ได้..."

ไอ้เพื่อนรักของผมพูดตรงเช่นเคย

"แต่กูอยากให้มึงรู้ว่ามึงยังมีชีวิตด้านอื่นอีกที่ไม่ใช่ฟุตบอล มึงยังมีครอบครัวที่พร้อมจะส่งเสริมมึงด้านการเรียนไม่ว่ามึงจะเรียนอะไร มึงยังมีร้าน และมึงก็ยังมีกู ถ้ามึงยังไม่เบื่อหน้ากูก่อน เฮ้ย..."

ซันซันอุทานเมื่อผมดึงตัวมันเข้ามากอดไว้แน่นจนมันบอกว่ามันหายใจไม่ออก โธ่ ผมจะไปเบื่อหน้ามันได้ยังไงกันครับ ก็ไอ้อ้วนของผมมันน่ารักจริงๆ นี่ครับ ผมอยากจะหอมแก้มมันอีกซักฟอดด้วยซ้ำแต่ก็กลัวมันเคือง ในตอนนี้คงเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ปรับความเข้าใจกับมันแล้ว

"ซันซัน กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ เรื่องไอ้แป้ง ขอโทษที่ทำให้มึงต้องเสียใจ"

ผมพร่ำขอโทษมันทั้งๆ ที่ยังกอดมันแน่น ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วดันตัวผมออก​

"กูเองก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกัน จริงๆ กูไม่มีสิทธิ์ไปโกรธมึงเรื่องไอ้แป้ง กูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้ามันตัดสินใจแล้วว่ามันชอบมึง ก็ตามนั้น จริงๆ กูควรจะยินดีกับมึงด้วยซ้ำที่ในที่สุดมึงก็มีแฟนดีๆ กับเขาซะที"

ผมแอบหลบสายตาจริงจังที่จ้องมองมา ผมจะให้มันรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ผมทำนั้นนั้น เพื่อมัน



"อูย..."

เมื่อผมเริ่มสบายใจ ความเจ็บปวดก็เริ่มเข้ามาเยือน ผมเริ่มรู้สึกถึงการปวดหนึบที่ข้อเท้าซ้าย มันทำให้ผมอดครางออกมาไม่ได้

“เจ็บมากเลยเหรอมึง? เดี๋ยวกูเรียกพยาบาลให้"

แม้กายจะเจ็บแต่ผมอดรู้สึกอบอุ่นในใจไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของซันซัน มันกดกริ่งเรียกพยาบาลเพื่อให้เข้ามาดูอาการของผม

"มึงนอนพักผ่อนเถอะว่ะ ม๊ามึงให้กูมาเฝ้ามึง ไม่ใช่มากวน”

ซันซันพูดยิ้มๆ หลังจากพยาบาลเข้ามาดูอาการผมแล้ว มันปรับเตียงผมให้เอนนอนราบ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวผมให้ แล้วทำท่าจะผละออกไปนั่งที่โซฟา ผมดึงมือมันไว้ มันหันมามองแล้วนั่งกลับลงไปที่เก้าอี้ข้างเตียงโดยที่ผมไม่ต้องบอก

“เออๆ กูไม่ไปไหนหรอก อยู่กับมึงที่นี่แหละ หลับได้แล้ว”

มันใช้มือข้างที่ว่างขยี้ผมของผมจนยุ่งไปหมด ผมพยักหน้าให้มันแล้วหลับตาลง



ผมนอนโรงพยาบาลประมาณสัปดาห์หนึ่ง ระหว่างนั้นก็ได้เข้าผ่าตัดเพื่อดามเหล็กและใส่เฝือกต่อ หมอบอกว่าอาจต้องใช้เวลาถึงสามถึงหกเดือนกว่าจะเริ่มลงน้ำหนักที่ขาได้ ไหนจะเรื่องเอ็นที่ขาดอีก ในตอนนั้นผมทำใจแล้วครับว่าผมชวดทุนฟุตบอลแล้วแน่นอน แถมคงจะไม่ได้มีโอกาสเล่นฟุตบอลหนักๆ แบบนี้อีกแล้ว อนาคตของผมที่เคยฝากไว้กับวงการฟุตบอลพังลงไม่เป็นท่าแล้วครับ

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่อยู่โรงพยาบาล เพื่อนๆ ผมจากที่โรงเรียนก็หมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมผม กลุ่มที่มาบ่อยที่สุดคือเพื่อนๆ กลุ่มนักบอลและอาจารย์ผู้ฝึกสอนที่สับเปลี่ยนมาเยี่ยมผมแทบทุกวัน พวกเขาพยายามพูดถึงเรื่องฟุตบอลให้น้อยที่สุด แต่พยายามหาเรื่องเฮฮามาคุยเล่ากันโดยมีไอ้โต้งเป็นหัวโจก ถึงผมจะดีใจที่ได้เจอพวกนั้น แต่ก็แอบเศร้าไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าผมคงไม่มีโอกาสได้ลงแข่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนๆ พวกนี้อีกแล้วเพราะต่อให้มีปาฏิหาริย์ให้ผมสามารถหายดีและกลับไปเล่นบอลใหม่ได้ แต่มันก็คงไม่ทันเวลาที่พวกเราจะเรียนจบกันไป

นอกเหนือจากกลุ่มนักบอลที่มาทีไรก็ทำเสียงดังจนพยาบาลต้องเข้ามาเตือนทุกครั้ง อีกกลุ่มที่แวะเวียนมาบ้างคือพวกเพื่อนๆ ในห้องเรียนซึ่งมักเอาโน้ตหรือชีทจากวิชาต่างๆ มาฝาก แต่ที่จริงก็ไม่จำเป็นหรอกครับ เพราะไอ้อ้วนของผมคอยจัดการเตรียมมาให้หมดแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีพวกอาจารย์ กระทั่งนักบอลคนที่ชนผมล้มก็ยังมาเยี่ยมผมเลยครับ



แต่คนหนึ่งที่ไม่เคยโผล่หน้ามาเยี่ยมผมเลยตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ "แฟน" ของผมครับ



"วันนี้แป้งมาเยี่ยมมึงไหม?"

ซันซันถามเมื่อมันเข้ามาที่ห้องพักของผม คืนนี้มันรับอาสามานอนเฝ้าผม มันตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาลหลังเรียนกวดวิชาเสร็จและมาอาศัยอาบน้ำที่ห้องผม ผมทำหน้าตึงมองมันที่อยู่ในชุดลำลองเตรียมนอนแล้ว ผมอดขัดใจไม่ได้ที่ได้ยินมันถามหาอดีตขวัญใจของมันคนนี้

"อืมม์ วันนี้ก็ไม่มา ถามนี่อยากเจอเหรอ?"

น้ำเสียงของผมคงเจือความขุ่นเคืองมากไปจนซันซันรู้สึกได้ มันรีบเดินมาข้างเตียงและนั่งแปะลงที่เก้าอี้ด้านข้าง

"เห้ย มึง อย่าโกรธสิ ที่ถามนี่ไม่ได้อยากเจอ กูไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว..."

ซันซันรีบปฏิเสธ มันคงเข้าใจว่าผมหวงแฟน

"...ที่กูถามเพราะสงสัยว่าแป้งมันมัวทำอะไรอยู่ ผัวแม่มเข้าโรงพยาบาลอาการหนักจะตายห่านขนาดนี้ ยังไม่คิดมาดูใจกันเลยสักนิด"

"เห้ยๆ กูยังไม่ใกล้ตายเว้ย ดูจงดูใจอะไรกัน"

ผมทำเป็นบ่น แต่ในใจของผมนั้นพองโตเมื่อเห็นไอ้อ้วนของผมทำท่าขัดใจเรื่องแป้ง ผมคงไม่ต้องห่วงแล้วสินะว่ามันจะยังชอบยัยนั่นอยู่

"...แล้วมึงก็พูดน่าเกลียด ผัวเผออะไร แบบนี้ผู้หญิงเขาเสียหายรู้ไหม"

ผมลองแย็บๆ ดูว่ามันจะพอรู้ข่าวลือเรื่องพฤติกรรมของแป้งบ้างหรือยัง

"เหอะ ขนาดนี้มึงยังกลัวเขาเสียหายอีกเหรอวะ มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอว่ามึงพามันไปไหนต่อไหนกันแทบทุกเย็น..."

ผมใจหายแว้บ ต่อให้ผมอยากให้มันรู้เรื่องพฤติกรรมของแป้ง แต่ก็ไม่ได้อยากให้มันรู้เท่าไหร่หรอกว่าผมกับแป้งฟัดกันบ่อยขนาดไหน ไอ้อ้วนของผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นใบหน้าพิพักพิพ่วนของผม

"กูรู้ว่ามึงติดแฟน ไอ้ปรินซ์ แต่ก็เพลาๆ หน่อย ไงก็ป้องกันทุกครั้งด้วยล่ะ ไม่งั้นมันเกิดป่องขึ้นมาล่ะซวยแน่ อีกอย่างแป้งมันก็ เอ่อ..."

ซันซันทำท่าลังเลว่าควรจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาดีไหม

"แป้งเขาทำไมเหรอ? หืมม์? มีอะไร ได้ยินอะไรมา มึงบอกกูได้"

"เฮ้อ ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องที่คนอื่นพูดๆ กัน จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรที่มึงต้องเก็บมาคิดให้รกสมอง เอาเป็นว่ามึงป้องกันไว้ก่อนแล้วกัน"

ไอ้อ้วนของผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ และพูดปัดไปเรื่องอื่น ผมซ่อนยิ้ม ข่าวลือที่สาวๆ ของไอ้โต้งปล่อยไปคงถึงหูซันซันแล้ว แต่ในที่สุดมันก็ไม่ยอมเอ่ยปากเล่าให้ผมฟัง มันก็คงกลัวผมเสียใจครับ แต่หารู้ไม่ หึๆ ส่วนเรื่องป้องกันนี่ผมระวังสุดฤทธิ์ครับ ถึงเจ้าตัวเขาจะแบะท่าแล้วว่าโอเคถ้าผมอยากจะยสตน. และดูเหมือนจะชอบแบบนั้นด้วย แต่ผมก็ไม่เคยประมาทสักครั้งครับ



ผ่านไปกว่าสัปดาห์ผมก็ออกโรงพยาบาล แทนที่จะให้ผมกลับไปนอนบ้านที่บนร้านทอง ป๊ากับม๊าตัดสินใจให้ผมไปนอนที่บ้านใหม่ของเราที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวถนนวงแหวนรอบสอง ป๊าผมซื้อบ้านหลังนี้ไว้พักหนึ่งแล้วครับเพราะบ้านในเมืองมันเริ่มคับแคบเกินไป แถมย่านกาดหลวงก็เริ่มอึกทึกและมีคนพลุกพล่านมากขึ้นโดยเฉพาะเวลากลางคืน โดยพวกเราคิดกันไว้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่นั่นถาวรหลังผมเรียนจบม.ปลาย มันคือบ้านหลังที่ผมอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี่แหละครับ

สาเหตุที่ผมต้องไปอยู่บ้านใหม่นั้นก็เพราะที่บ้านเขาไม่อยากให้ผมต้องเดินเขยกๆ ขึ้นไปนอนบนชั้นสามของตึกแถว จึงจัดให้ผมมานอนพักฟื้นที่บ้านใหม่โดยให้นอนห้องนอนเล็กชั้นล่างที่เดิมทีจัดไว้ให้อากงของผม ระหว่างนั้นม่ะม๊ากับป๊าก็จะผลัดกันมาเฝ้าผมตอนกลางวัน โดยมีซันซันรับอาสามาคอยอยู่เป็นเพื่อนผมในตอนกลางคืน ตอนแรกที่บ้านผมก็เกรงใจมันครับ แต่มันบอกว่ามันจะได้ถือโอกาสมาอ่านหนังสือเตรียมสอบโควต้าที่บ้านใหม่ผมเลยเพราะที่บ้านในเมืองของมันคนเยอะ บางทีก็อึกทึกเกินไป แต่ผมรู้ครับว่ามันก็อ้างของมันไปงั้น



"ซันซัน..."

ผมเรียกเพื่อนรักซึ่งนอนอยู่เคียงข้าง มันขานรับเบาๆ ด้วยเสียงง่วงงุน

"มีอะไร? ปวดฉี่เหรอมึง? มะ เดี๋ยวกูพามึงไปเข้าห้องน้ำ"

มันทำท่าจะลุกขึ้นแต่ผมยกมือดันอกมันให้กลับลงไปนอนอีกครั้ง

"...กูแค่คิดว่าเราไม่ได้นอนคุยกันแบบนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ"

ผมเปรยออกมาโดยไม่ได้หวังคำตอบอะไร ซันซันตอบกลับมาทันควัน

"หกเดือนกับอีกยี่สิบห้าวัน​"

จำนวนนั้นทำให้ผมอึ้งไป ให้ตายสิ ผมไม่รู้ผมคิดอะไรจริงๆ เรื่องไอ้แป้ง ผมมัวแต่ไปเสียเวลาคิดจะแก้เผ็ดมัน แต่มันกลับทำให้ผมต้องเหินห่างจากเพื่อนรักไปนานถึงขนาดนี้ ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมหันหน้าไปมองไอ้อ้วนของผม มันเบือนหน้าหนี ความเงียบเข้าปกคลุมห้องนอนของผมอีกครั้ง



"กูคิดถึงมึงนะ ไอ้เตี้ย"

เสียงสั่นเครือของซันซันดังขึ้นทำลายความเงียบ มันเรียกฉายาของผมที่มันเรียกจนติดปากตั้งแต่เด็ก แม้หลังๆ มานี้มันจะไม่เรียกผมแบบนั้นแล้วก็ตาม

"กูก็คิดถึงมึงนะ ไอ้อ้วน"

หัวตาของผมร้อนผ่าว ผมอยากดึงมันเข้ามากอดไว้แน่นๆ เหลือเกิน แต่สังขารของผมไม่อำนวยให้ผมขยับเขยื้อนกายมากนัก ซันซันพลิกตัวตะแคงหันหน้ามาหาผม

"สัญญากับกูอย่างหนึ่งได้ไหมปรินซ์..."

ผมเอียงหน้าไปหามันและสบสายตาที่จริงจังคู่นั้นและพยักหน้าเบาๆ

"สัญญากับกูว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าเราจะทะเลาะกันแรงแค่ไหน โกรธกันขนาดไหน แต่เราจะไม่มีวันพูดว่าเราจะตัดขาดกันอีก"

"ได้ กูรับปากมึง ไอ้ซัน แต่..."

ผมตอบรับด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า

"...มึงเหอะ ไอ้อ้วน ทำเป็นให้กูสัญญา ตัวเองก็ทำให้ได้แล้วกัน ลืมไปแล้วเหรอว่าคราวนี้ใครเป็นคนพูด"

"เชี่ยนี่ กูอุตส่าห์จริงจัง ทำเสียเส้นหมด ห่านนี่"

เพื่อนรักของผมด่าลั่น ผมหัวเราะเมื่อเห็นมันแกล้งโมโห มันบ่นโขมงโฉงเฉงอีกพักใหญ่ แต่สุดท้ายก็จบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ห่างหายจากพวกเราไปแสนนาน แล้วรู้อะไรไหมครับ? นับจากคืนนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลาร่วมสิบปีแล้ว ผมกับซันซันยังคงรักษาคำสัญญานั้นไว้มั่น แม้เราจะทะเลาะกันและโกรธเคืองกันหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่ใครสักคนจะหลุดปากพูดตัดรอนอีกฝ่ายออกมาเช่นนั้นอีก



----------------------------------------

ตัดตอนตรงนี้ก่อนนะคะ ยังคงเป็นเรื่องของสองหนุ่มนี่ แต่กะว่าไม่น่าเกินสามสี่ตอนค่ะ ปล่อยเจกับฆาเบียร์พักไปก่อนนะคะ

แวะเม้าหรืออ่านข้อมูลจากเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ที่ ​FB นะคะ

https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.3 ----




เกือบสามสัปดาห์หลังขาหัก ผมก็กลับไปโรงเรียนอีกครั้งหลังจากหมออนุญาต ผมไปโรงเรียนโดยใส่เฝือกพลาสติกและใช้ไม้ค้ำยัน คนที่ไปรับส่งผมที่โรงเรียนก็คือซันซัน ช่วงหกเดือนที่ห่างกันไปนั้น พ่อ ไม่สิ ผมต้องบอกว่าอาม่าของซันซันได้สั่งให้ลูกชายซื้อรถคันใหม่ให้หลานชายเอาไว้ใช้ไปโรงเรียน และตอนนี้ผมกำลังทุลักทุเลกับการพาตัวออกจากรถมินิ คูเปอร์ของซันซัน

"ให้ตายเถอะ ไอ้อ้วน ตัวมึงออกใหญ่ ทำไมเลือกรถคันกะจิ๋วหลิวขนาดนี้วะ?"

ผมบ่นเจ้าของรถที่ยืนหน้าเจื่อนๆ อยู่ข้างประตู ซันซันช่วยประคองผมที่ยืนขาเดียวและส่งไม้ค้ำยันให้ มันปิดประตูตามหลังและค่อยๆ เดินตามผมซึ่งเริ่มใช้ไม้ค้ำคล่องแล้ว

"ก็มันคล่องตัวดี แต่ถ้ามึงนั่งไม่สบาย กูไปเปลี่ยนเอารถอีกคันที่บ้านมาก็ได้นะ"

"เห้ยๆ ไม่ต้องๆ กูก็บ่นไปงั้นแหละ ดันเบาะไปสุดกูก็นั่งได้ละ"

ผมรีบห้ามก่อนที่มันจะคิดเปลี่ยนเอารถสุดหวงของพ่อมันมาให้ผมนั่ง

"อีกอย่าง อีกไม่นานที่บ้านกูเขาก็จะย้ายเข้ามาที่บ้านใหม่แล้ว พอถึงตอนนั้นป๊ากูก็แวะส่งกูตอนมาร้านก็ได้"

ผมกระโดดขาเดียวโดยใช้ไม้ค้ำยันอย่างแคล่วคล่อง

"แล้วบ้านมึงล่ะ ซัน จะย้ายเข้าเมื่อไหร่? ปีหน้าตามกำหนดเดิมหรือเปล่า?"

อ๋อ ใช่ครับ ผมลืมเล่าให้คุณผู้อ่านฟังไป แต่คุณก็อาจจะจำได้จากที่เจมันเคยพูดถึง ทางบ้านของซันซันเองก็คิดจะย้ายที่อยู่อาศัยออกมาจากบนร้านเพชรเช่นกันครับ หลังจากคุยๆ กันแล้ว ทั้งสองครอบครัว คือครอบครัวผมกับครอบครัวมัน ก็ตัดสินใจไปซื้อบ้านในโครงการเดียวกัน แถมอยู่ข้างกันเหมือนเดิมอีกต่างหาก ถึงบอกว่าผมกับมันหนีกันไปไหนไม่พ้นหรอกครับ



“มะ กูช่วย”

ซันซันจับผมนั่งที่ระเบียงหน้าห้องเรียนแล้วทรุดตัวลงถอดรองเท้าให้ผม

“เห้ย กูถอดเองได้ ไม่เป็นไรหรอก”

ผมพยายามดึงเท้าหลบ

“อยู่นิ่งๆ สิวะ แค่นี้เอง กูทำให้ได้ ถ้ากูเจ็บตัว มึงก็ทำให้แบบนี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”

มันก้มหน้าก้มตาถอดรองเท้านักเรียนที่ผมใส่มาข้างเดียวออกให้ ผมพยักหน้ารับคำแม้มันจะไม่เห็นก็ตาม

“มะ เสร็จแล้ว มึงโดดก็ระวังลื่นหน่อยแล้วกัน กูบอกแล้วไม่ต้องใส่ถุงเท้ามา…”

มันบ่นไปตามเรื่องขณะที่ประคองผมให้ลุกขึ้นแล้วค่อยๆ พาเข้าห้องเรียน โชคดีที่ห้องของผมอยู่ชั้นหนึ่ง ผมจึงไม่ต้องลำบากในการมาเรียนนัก



"ยินดีต้อนรับกลับมาจ้า"

ผมถึงขั้นอึ้งเมื่อเขยกๆ เข้าห้องไปเจอเพื่อนๆ ยืนตบมือต้อนรับ บนกระดานก็มีเขียนยินดีต้อนรับอย่างสวยงาม แถมยังมีวาดการ์ตูนประกอบฟรุ้งฟริ้ง ก็คงเป็นฝีมือสาวๆ ในห้องนั่นแหละครับ บนโต๊ะผมก็ยังมีคนเอาชอล์คมาเขียนรูปคนใส่เฝือกเลยครับ แต่ดูจากลายเส้นห่วยๆ แล้วน่าจะเป็นไอ้บอลมากกว่า แต่จะว่าไปผมยังไม่ได้บอกใครเลยนะว่าผมจะกลับมาเรียนวันนี้ ผมเหลือบมองคนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ ก็คงเป็นมันนี่แหละที่มาบอกเพื่อนๆ

ผมลงนั่งที่โต๊ะ ซันซันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วตามลงนั่งเคียงข้างแทนไอ้บอลซึ่งย้ายกลับไปนั่งที่เดิม ผมแอบมองมันอีกครั้งแล้วอดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ไอ้อ้วนของผมกลับมาอยู่ข้างผมจริงๆ แล้วครับ ในตอนนั้น ผมมัวแต่ลิงโลดที่เพื่อนรักกลับมาอยู่ข้างๆ จนลืมสังเกตไปเสียสนิทว่ามีอีกคนหนึ่งที่ย้ายที่นั่งไปเช่นกัน

"ปรินซ์ ทำไมแป้งมันไม่มานั่งกับมึงแล้ววะ"

ในตอนนั้นผมลืม "แฟน" ของผมไปเสียสนิทเลยครับ กลับเป็นซันซันเสียอีกที่สังเกตเห็นว่าแป้งได้แลกที่คืนกับเพื่อนของเธอที่เคยนั่งอยู่ด้านหลังผม ก็ใช่ว่าผมจะใส่ใจอะไรนักครับ แต่ในเมื่อมันถามขึ้นมาผมก็นึกได้ว่าตั้งแต่ผมเข้าห้องมา แป้งมันยังไม่เข้ามาทักทายผมเลยสักคำ

"กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น"

ผมทำหน้าเศร้า แต่ในใจผมไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกครับ แป้งเขาทำท่าไม่สนใจผมไปก็ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนี้ผมจะได้ถือโอกาสค่อยๆ ห่างกับแป้งไปโดยที่ไม่ต้องบอกเลิกเป็นเรื่องเป็นราว



แต่เมื่อกลับเข้าห้องมาหลังจากพักเที่ยง ผมก็เจอจดหมายน้อยจากแป้งวางไว้บนโต๊ะของผม

'เจอกันตอนเย็น ที่เดิม'

มันเขียนไว้แบบนั้นครับ ผมได้แต่เกาหัวแกร่กๆ ถ้ามันอยากคุยทำไมไม่มาคุยกันเสียตั้งแต่ในห้องเรียน ทำไมต้องให้ผมถ่อไปถึงอัฒจันทร์ด้วย มันคงไม่คิดทรมานคนเจ็บด้วยการอยากมีอะไรกับผมตั้งแต่ตอนขายังไม่หายเจ็บดีกระมัง

"ให้กูไปด้วยไหม?"

ผมสะดุ้งเฮือก ซันซันมันมายืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ครับ และมันคงเห็นข้อความในโน้ตนั้นไปเรียบร้อย

"ไม่ต้องก็ได้มึง ไม่น่ามีอะไรมาก มันอาจจะแค่เขิน ไม่อยากมาคุยด้วยตอนอยู่ในห้องก็ได้"

ผมพูดส่งๆ ไป แต่ผมรู้ดีว่าแป้งไม่ใช่คนแบบนั้น ต่อให้มันพยายามทำท่าทางเรียบร้อยในโรงเรียนโดยทำแค่จับมือไม้พูดจาหยอกล้อเล็กๆ น้อยๆ กับผม แต่เมื่ออยู่ข้างนอก คำว่าอายไม่อยู่ในสารบบของเราทั้งสองคน เมื่อเปลี่ยนชุดนักเรียนออก เราเคยกระทั่งนั่งจูบกันหน้าโรงหนังโดยไม่สนใจสายตาใคร ส่วนเรื่องหอมแก้มหรือจับมือกันนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ มันเป็นสิ่งที่พวกเราทำกันเป็นปกติครับ แต่สิ่งที่มันทำในวันนี้ถือว่าผิดวิสัยไปมากครับ



"ไง แป้ง มารอนานหรือยัง?"

ผมซึ่งค่อยๆ โขยกเขยกตามทางเดินโบกมือให้แฟนสาวของผมซึ่งยืนรออยู่ข้างอัฒจันทร์ แป้งโบกมือตอบ ผมดึงร่างเล็กเข้ามาหอมแก้มตามที่ทำทุกครั้ง แต่ก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ โดยปกติแล้ว ถ้าพวกเราไม่ได้ว่างเจอกันนอกห้องเรียนเป็นเวลาหลายๆ วัน แป้งมักตอบรับการทักทายของผมด้วยการจูบอย่างดูดดื่ม แต่วันนี้ มันแค่กอดผมเร็วๆ และผละออก

"ปรินซ์เป็นยังไงมั่ง? หายหรือยัง? นี่ยังเดินไม่ได้อีกเหรอ?"

แป้งถามขึ้นพร้อมกวาดตามองขาของผมขึ้นๆ ลงๆ  ผมอยากจะตอบไปแรงๆ จริงๆ ครับ ว่าผมข้อเท้าหักนะโว้ย ไม่ใช่ขาแพลงที่จะหายได้ภายในสามสัปดาห์

"ยังไม่หายง่ายๆ หรอก แป้ง หมอบอกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงหกเดือน นี่หมายถึงกว่าจะลงน้ำหนักได้นะ"

ผมพยายามอธิบายอาการบาดเจ็บของผมให้แฟนของผมฟัง แป้งดูมีทีท่าไม่สบอารมณ์นัก

"โอ๊ย สามถึงหกเดือนเลยเหรอ? งั้นปรินซ์ก็ไปคัดทุนกีฬาไม่ทันแล้วล่ะสิ"

ผมรู้สึกฉุนกึ้กขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นออกจากปากของแป้ง เธอไม่ถามเลยสักนิดว่าอาการของผมร้ายแรงขนาดไหน ผมเจ็บบ้างไหม มันดูเหมือนว่าเธอสนใจเรื่องทุนกีฬาของผมมากกว่าตัวผมด้วยซ้ำ

"ใช่ แล้วเราก็อาจจะเล่นฟุตบอลได้ไม่เหมือนเดิมอีก แล้วไงเหรอ แป้ง ไอ้การที่เราชวดทุนหรือการที่เล่นบอลไม่ได้มันสำคัญกับแป้งมากนักเหรอ?"

ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน หากผมไม่เคยหวังคำตอบแบบที่หลุดออกจากปากคนที่ผมเรียกว่า "แฟน" มากว่าเจ็ดเดือนคนนี้เลย



"ใช่ มันสำคัญสำหรับเรา ปรินซ์..."

ผมมองหน้าแป้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ต่อให้ผมไม่เคยคิดรักชอบเธอจริงจัง แต่การคบหากันกว่าเจ็ดเดือนนั้นทำให้ผมเริ่มรู้สึกดีๆ กับเธอบ้างแล้ว นั่นทำให้ผมรู้สึกยินดีในทีแรกที่เธอดูเหมือนจะถอยห่างออกไปเองโดยที่ผมไม่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยคำลา หากสิ่งที่เธอกำลังพูดออกมาทำให้ผมหน้าชาไป

"...ที่เราชอบเธอ อยากคบกับเธอ ก็เพราะเธอเป็นนักฟุตบอลโรงเรียน เธอเท่ เธอเก่งและอาจจะได้เล่นบอลอาชีพ แต่ถ้าเธอเล่นไม่ได้แล้ว มันก็หมดกัน"

ผมพยายามข่มความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมา

"งั้นแสดงว่าตลอดเจ็ดเดือนที่คบกันมา แป้งไม่ได้คบเราหรือว่าชอบเราที่นิสัยใจคอหรือที่ตัวเราเลยสักนิดเลยงั้นสิ?"

แป้งหัวเราะเบาๆ

"เอาจริงๆ นะ ปรินซ์ นอกจากเรื่องฟุตบอลแล้ว เธอไม่ได้เด่นเรื่องอื่นเลยนะ โอเค เรายอมรับว่าเราชอบหน้าตาชอบรูปร่างเธอ แต่มันก็มีคนอื่นที่ดีกว่า เรื่องเซ็กส์ของเธอก็...อืมม์ เราไม่พูดดีกว่านะ"

แป้งยิ้มเหยียด ผมแทบอยากคว้าคอเธอมาเขย่าครับ แต่สังขารผมในตอนนี้ไม่เอื้อนัก แม่สาวที่ผมเคยเรียกว่าแฟนพูดต่อ



"อีกอย่าง ตอนนี้เธอก็จะไม่ได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ แล้วใช่ไหมล่ะ? เรากะจะยื่นแอดมิชชั่นที่ม. ในกรุงเทพฯ อย่างเดียวอยู่แล้ว ซึ่งเราว่าไม่น่าพลาดหรอกเพราะเราเตรียมตัวสอบทั้งโอเน็ต เอเน็ตพร้อมอยู่แล้ว คะแนนจีพีเอเราก็ดี ยื่นที่ไหนก็ติด แต่เธอล่ะปรินซ์?..."

ผมอึ้งไป แป้งพูดจี้เข้าจุดที่ผมกำลังกังวลอยู่อย่างจัง ผมชะล่าใจว่าตัวเองน่าจะได้ทุนฟุตบอลของสักมหาวิทยาลัย ถ้าไม่ได้กับสองม. ที่หวังไว้ ผมยังสามารถยื่นเข้ากับม. อื่นที่มีทุนกีฬาได้ มันทำให้ผมไม่ได้ตั้งใจกับการเรียนนักและไม่ได้สมัครสอบโควต้ามช. ไว้เลยด้วยซ้ำ ผมไปเรียนกวดวิชาเพียงเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ได้เรียนมาในห้องมากขึ้นเท่านั้น

"...อีกไม่ถึงสามเดือนจะสอบโอเน็ต เอเน็ตแล้ว เธอคิดว่าเธออ่านหนังสือสอบทันงั้นเหรอ​"

ผมกัดกรามและส่ายหน้า แป้งได้ทีพูดต่อ

"เห็นมะ? แล้วสอบโควต้ามช. เสาร์ อาทิตย์นี้ เธอก็ไม่ได้สมัครไว้ด้วยใช่ไหมล่ะ? อีหรอบนี้ สุดท้ายเธอก็คงเรียนม. เอกชนแถวนี้อยู่ดี ส่วนเราก็จะไปอยู่กรุงเทพฯ ห่างกันแบบนี้ ยังไงมันก็ไปไม่รอดหรอก ว่ามะ?"

ผมจ้องหน้าแป้งเขม็งและถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

"แป้งพูดแบบนี้แปลว่าแป้งอยากเลิกกับเราใช่ไหม?"

"ใช่"

แป้งพูดห้วนๆ ออกมาแค่นั้น ผมกำหมัดแน่น ความรู้สึกของผมในตอนนั้นมันไม่ใช่ความเสียใจที่ถูกแฟนบอกเลิกหรอกครับ แต่มันเป็นความเสียหน้าที่ถูกชิงบอกเลิกก่อนมากกว่า แป้งเดินเข้ามาใกล้และยกมือขึ้นลูบแก้มผมแล้วกระซิบเบาๆ

"น่า มันก็ใช่ว่าเธอจะรักเรามากมายอะไรขนาดนั้น เรารู้ว่าเธอก็แค่อยากสนุกกับเรา ช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมาเราก็มีเวลาดีๆ ด้วยกันมามากแล้ว อย่าให้ต้องจากกันแย่กว่านี้เลย"



ก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร ร่างบางของแป้งก็ถูกกระชากให้ออกห่างจากตัวผมและมีร่างท้วมหนึ่งเข้ามายืนกั้นกลางระหว่างพวกผมทั้งสอง

"ซันซัน"

ผมพูดเสียงแผ่วเบา ไอ้อ้วนของผมกายสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ แววตาของมันวาวโรจน์เหมือนวันที่เห็นผมกับแป้งด้วยกันครั้งแรก แป้งเองก็ดูโมโหไม่แพ้กัน

"เธอทำอะไรของเธอ ซันซัน มันเจ็บนะรู้ไหม?"

แป้งลูบแขนข้างที่ถูกกระชาก

"อย่างเธอโดนแค่นี้ยังน้อยไปนะแป้ง"

ซันซันพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มให้นิ่ง

"ปรินซ์มันยังเจ็บอยู่ เธอไม่เห็นหรือไง ทำไมถึงต้องพูดจาทำร้ายจิตใจกันขนาดนั้นด้วย?"

แป้งทำท่าจะเปิดปากเถียง แต่ซันซันรัวต่อเป็นชุด

"เราทนฟังเธออยู่นานแล้ว เราไม่นึกเลยนะว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้ เสียแรงที่เราอุตส่าห์มองเธอว่าเป็นคนนิสัยดี น่ารักและไม่ฟังคำที่คนอื่นบอกว่าเธอไม่ดีงั้นงี้ แต่เท่าที่เราเห็นวันนี้ ไอ้การกระทำของเธอต่อหน้าทุกคนในห้องมันคงเป็นแค่การแสดงสินะ"

"แล้วเธอมายุ่ง..."

"เรายังพูดไม่จบ..."

ซันซันพูดแทรก

"ที่จริงเราก็ไม่ได้สนหรอกว่าตัวจริงเธอมันจะกร้านโลกหรือจะต่างจากตอนอยู่โรงเรียนแค่ไหน นั่นมันชีวิตเธอ เราไม่ยุ่ง แต่ที่เรารับไม่ได้คือการที่เธอทำกับเพื่อนเราแบบนี้ เธอรู้ไหมว่ามันต้องเศร้าเสียใจแค่ไหนที่มันพลาดทุนแถมยังจะเล่นบอลในระดับเดิมไม่ได้อีก แค่นี้มันก็ทุกข์ใจพอแล้ว แต่เธอก็ยังต้องมาตอกย้ำด้วยการบอกว่าเธอจะเลิกกับมันเพราะมันเล่นบอลเหมือนเดิมไม่ได้แล้วอีกงั้นเหรอ? แม่ง โคตรไม่แฟร์เลยว่ะ แป้ง จริงๆ โคตรไม่แฟร์เลย"



"แล้วเธอจะให้เราทำไง? ให้คบกันหลอกๆ ไปจนเรียนจบแล้วค่อยห่างกันไปเหรอ? "

แป้งเถียงกลับเสียงสั่น ไอ้อ้วนมองหน้าคนที่เคยเป็นขวัญใจของมันด้วยสายตาเย็นเยียบ

"เราก็ไม่ได้คาดหวังให้เธอทำแบบนั้นหรอกแป้ง แต่อย่างน้อย ในช่วงที่มันเจ็บไปช่วงแรกๆ เธอก็ควรจะมาเยี่ยมบ้าง หรืออย่างน้อยมาถามไถ่อาการว่าเป็นยังไง เจ็บตรงไหน นี่คือสิ่งที่คนเป็นแฟนกันควรทำ แต่นี่ไม่มีเลย หรือว่าเธอกลัวมันได้กลิ่นผู้ชายโรงเรียนอื่นที่เธอควงช่วงที่มันเข้าโรงพยาบาลอยู่? "

แป้งชะงักกึก ผมหันขวับไปหาซันซันทันที

"มึงพูดอะไรวะ ไอ้ซัน?"

"กูขอโทษว่ะที่ไม่ได้เล่าให้มึงฟังก่อนหน้านี้ ไอ้ปรินซ์ กูเห็นว่ามึงยังป่วยอยู่เลยไม่อยากให้ต้องมีเรื่องกังวลอีก..."

ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วตวัดสายตามองอดีตขวัญใจของมันที่เริ่มมีทีท่าร้อนรน

"...เมื่อสองสัปดาห์ก่อนกูเห็นไอ้แป้งมันเดินจับมือจับไม้กับเด็กกางเกงน้ำเงินอีกโรงเรียนนึงที่เซ็นทรัลแอร์พอร์ต อีกทีก็เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนกูกำลังจะไปซื้อมาม่าหมอนวดให้มึงที่สันติธรรม กูก็เห็นแป้งนั่งในรถผู้ชายคนเดิมออกมาจากโรงแรมแถวๆ นั้น"

ผมขบกรามแน่น แถวๆ ร้านมาม่าชื่อดังที่เปิดขายตั้งแต่หัวค่ำถึงใกล้รุ่งร้านนั้นเป็นอันรู้กันว่าเป็นดงโรงแรมม่านรูด

"มึงจำคนผิดหรือเปล่า ซันซัน"

ผมหันไปมองหน้าเพื่อนรักสลับกับอดีตแฟนของผม แต่ใจผมรู้ดีว่าซันซันพูดถูก ผมแค่ถามย้ำเพราะอยากเห็นสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น

"ไม่ผิดล่ะ พวกนั้นแวะกินมาม่าหมอนวดเหมือนกัน แต่ก็มัวแต่จู๋จี๋กันจนไม่ทันเห็นกูทั้งๆ ที่กูตัวใหญ่ขนาดนี้ ใช่ไหมแป้ง? วันนั้นเธอใส่สายเดี่ยวสีขาวกับกางเกงยีนส์โคตรสั้น เราจำได้แม่น "

ผมหันขวับไปหา “แฟน” ของผม และถามด้วยน้ำเสียงดุดัน

"จริงเหรอ แป้ง? เราเข้าโรงพยาบาลแค่ไม่เท่าไหร่ก็หาใหม่ได้ทันทีแล้วเหรอ? หรือจริงๆ ที่เธอขอเลิกกับเราก็เพราะว่าอยากมีแฟนใหม่แล้ว?”

โดนผมถามจี้ไปแบบนั้น แป้งมันถึงขั้นพูดไม่ออกเลยครับ มันทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ จนผมรำคาญ ผมเองก็อยากจบเรื่องนี้เต็มทีแล้ว สุดท้ายผมเลยเป็นฝ่ายตัดบทเอง

“ถ้าเป็นแบบนั้น เชิญเลยครับ เชิญมีคนใหม่ได้ตามสบาย แต่ขอล่ะไม่ต้องมาอ้างนู่นอ้างนี่ แค่บอกมาตรงๆ เลยว่าเพราะเธอคันต้องการหาคนมาเกาให้แทนเราที่ขาเจ็บและยังทำให้เธอไม่ได้ ลาทีล่ะ แป้ง"

พูดจบ ผมก็รีบขอซันซันให้ประคองผมออกจากที่นั่นก่อนที่คำผรุสวาทจะหลุดออกมาจากปากของแป้งที่มัวแต่ยืนตะลึงอยู่ ไอ้อ้วนของผมก็พาผมเดินโขยกเขยกมาขึ้นรถของมันที่จอดอยู่ไม่ไกลจากอัฒจันทร์ มันค่อยๆ ช่วยประคองผมขึ้นรถอย่างทะนุถนอมและขับพาผมออกจากที่นั่น



"มึงไม่ต้องคิดมากนะปรินซ์ ผู้หญิงแบบนั้นไม่มีค่าพอให้มึงเสียสมองด้วยหรอก กูแม่งก็โง่ เห็นมันเป็นคนดีจนโกรธกับมึงไปตั้งหลายเดือน"

เมื่อรถติดไฟแดง ซันซันหันมามองหน้าผม มันพยายามพูดปลอบใจผมเบาๆ เมื่อเห็นผมนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างรถ มันจ้องมองดวงตาของผมที่มีน้ำตาเอ่อคลอด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก

"อย่าร้องไห้สิมึง กูเห็นแล้วไม่สบายใจเลย กูไม่เคยเห็นมึงเสียน้ำตาให้ผู้หญิงคนไหนซักที มึงรักมันมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ"

มันบ่นเบาๆ ผมรีบหลบตามันและเบือนหน้าหนี ไม่ใช่เพราะความเศร้าหรืออะไรหรอกครับ แต่เพราะถ้าปล่อยให้มันจ้องตาผม มันก็จะเห็นแววตาลิงโลดของผมสิครับ ส่วนไอ้ที่ผมน้ำตาร่วงนั้นน่ะ มันเป็นน้ำตาของความปิติครับ ผมไม่นึกไม่ฝันเลยว่าไอ้อ้วนของผมมันจะยอมหักหน้าอดีตขวัญใจของมันเพื่อผม นี่แสดงว่าความพยายามของผมตลอดเจ็ดเดือนที่ผ่านมาเป็นผลแล้ว

"ซันซัน กูอยากกลับบ้านแล้ว วันนี้กูเหนื่อยมาก"

ผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ไหนๆ ก็ได้โอกาสแล้ว ผมขออ้อนมันต่ออีกหน่อยแล้วกัน มันตอบรับและรีบขับรถพาผมกลับบ้าน



“เดี๋ยวกูล้างให้เอง มึงไม่ต้องลุกมาหรอก”

ซันซันยกมือห้ามผมที่ทำท่าจะลุกขึ้นช่วยมันเอาจานชามไปล้าง พวกผมกลับมาถึงบ้านแล้วก็อุ่นข้าวที่แม่ผมเตรียมเอาไว้ให้ในตู้เย็น ผมนั่งมองมันล้างจานที่ซิงค์อย่างมีความสุข ช่วงที่มันมาเฝ้าผมที่ยังเจ็บขาอยู่ที่บ้านใหม่นี้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยครับ มันเป็นเวลาที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่กันสองคนอย่างจริงๆ จังๆ เพราะที่บ้านผมกับบ้านมันก็ยุ่งกับการขายของช่วงก่อนปีใหม่ ก็เลยปล่อยเด็กเตรียมสอบอย่างซันซันให้มาอยู่ที่บ้านใหม่กับคนป่วยอย่างผม โดยมีม๊าของผมคอยมาเติมเสบียงให้ในตอนกลางวัน กลางคืนบ้านนี้ก็เป็นของผมกับซันซันสองคน เรากินข้าวด้วยกัน จากนั้นมันก็จะช่วยผมเช็ดเนื้อเช็ดตัวเพราะยังอาบน้ำไม่ได้ บางวันมันก็จะช่วยสระผมให้ จากนั้นผมก็จะทำการบ้านหรือรายงานตามที่ครูสั่ง เสร็จแล้วนั่งดูทีวีบ้าง อ่านการ์ตูนบ้าง เล่นเกมบ้างในขณะที่มันนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ



"ซัน มึงพร้อมสอบโควต้าหรือยังวะ? "

ผมซึ่งนอนยกขาข้างที่เข้าเฝือกพาดหมอนข้างอยู่บนเตียงถามเพื่อนรักที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ

"ก็ พร้อมอยู่หรอก..."

มันปิดหนังสือและหันหน้ามาหาผม

"เหรอ? มึงเลือกคณะอะไรล่ะ? มึงมันเด็กเรียน คงเข้าที่ไหนก็ได้ แต่กูสิ..."

ผมถอนหายใจเบาๆ ไอ้อ้วนของผมมันเรียนดีครับ เกรดมันอยู่ที่สามกว่าๆ ตลอด แต่ผมอยู่ที่สองต้นๆ บ้าง สองปลายๆ บ้าง ส่วนหนึ่งก็เพราะความไม่ใส่ใจเรียนของผม อีกส่วนหนึ่งก็เพราะความดันทุรังเรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองไม่ถนัด ทั้งผมและซันซันต่างเรียนแผนวิทย์-คณิตด้วยกันทั้งคู่ครับ ในตอนม. ต้น ผมพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้เข้าเรียนห้องเดียวกับซันซันในช่วงม. ปลาย ทั้งๆ ที่วิชาในสายวิทยาศาสตร์นั้นเป็นยาขมสำหรับผมมาตลอด คือไม่ถึงกับเรียนไม่รู้เรื่องเลยนะครับ แต่ต้องพยายามหน่อยถึงจะเข้าหัว ในช่วงม.ต้นผมก็พอสู้ไหว แต่พอขึ้นม. ปลาย ผมเริ่มทุ่มเทไปทางฟุตบอลมากขึ้น อีกทั้งวิชาเรียนก็ยากขึ้นและเจาะลึกลงอีกมาก ผลก็คือวิชาทางวิทยาศาสตร์ของผมเกรดจะอยู่ที่ 2 หรือบางทีก็ 1 แต่ผมกลับถนัดด้านคณิตศาสตร์มากกว่าและมักได้เกรด 4 บางครั้งคะแนนสอบของผมในวิชาเลขก็ดีกว่าซันซันอีกนะครับ แต่มันก็เพียงช่วยประคองให้เกรดผมไม่ตกลงไปต่ำกว่า 2.00 แค่นั้นเอง



"กูเลือกวิดวะกับอ.ก.ไว้"

ซันซันพูด ผมลอบถอนหายใจ นั่นปะไร ผมคงได้อยู่ตัวติดกันกับมันถึงแค่ม. ปลายนี่แหละครับ เพราะผมคงไม่มีปัญญาไปสอบเข้าสองคณะที่ไอ้ซันมันพูดชื่อออกมาได้

"งั้น เส้นทางของมึงกับกูก็คงต้องแยกกันตอนเรียนจบม.หกนี่แหละนะ"

ผมหลุดปากพูดออกมาเบาๆ ซันซันลุกจากโต๊ะและขึ้นมานั่งข้างๆ ผมบนเตียง

"อาจจะไม่หรอกมึง..."

ผมหันไปมองหน้ามัน

"สองคณะนั้น กูเลือกตามใจพ่อแต่กูไม่ได้อยากเรียนเลยสักนิด กูก็เลยเลือกคณะที่กูเองอยากเรียนไว้เป็นอันดับหนึ่ง โดยเอาวิดวะกับอ.ก.ไว้ที่สองกับที่สาม"

"เฮ้ย ไอ้ซัน มึงจะไปเรียนการโรงแรมจริงๆ เหรอวะ? พ่อมึงไม่ยอมแน่นะเว้ย"

ผมโวยลั่น ทำไมผมจะไม่รู้ว่าไอ้อ้วนของผมอยากเรียนอะไร มันเปรยกับผมมานานนมแล้วว่ามันอยากเป็นเชฟ ถ้าเป็นไปได้ มันอยากไปเรียนที่สถาบันสอนทำอาหารสักแห่งมากกว่า แต่มันรู้ว่ายังไงๆ ที่บ้านมันก็คงไม่ยอม มันจึงจะเรียนในสาขาวิชาที่มีการสอนเรื่องการครัวควบคู่ไปกับการบริหารอย่างสาขาวิชาการจัดการโรงแรมและท่องเที่ยวของม.เอกชนที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่แทน



"กูเป็นเด็กดีทำตามที่บ้านมาตลอดแล้ว ตอนนี้กูขอทำอะไรตามใจตัวเองมั่งเหอะวะ พ่อจะโกรธกูก็ยอมละ"

ซันซันพูดด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น มันหันมายิ้มกริ่มให้ผม

"อีกอย่าง กูไปปรึกษากับอาม่ามาแล้วด้วย อาม่าบอกว่าโอเค"

ผมหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ผมก็นึกห่วงที่มันจะยอมทะเลาะกับพ่อเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ที่แท้มันก็มีแบ็คแข็งโคตรๆ อย่างอาม่าคอยหนุนหลังอยู่ อีหรอบนี้ผมคงไม่ต้องห่วงแล้วละครับว่าพ่อมันจะไม่ยอมอนุญาตให้มันเรียน

"ฉะนั้น ปรินซ์ ถ้ามึงไม่มีแพลนอื่นไว้ในใจ มึงจะตามกูมาเรียนก็ได้ ที่นี่เขาก็มีรับตรง ไม่เอาอะไรมากด้วย ขอแค่จบม. หก มึงจบแน่ๆ อยู่แล้วนี่?"

 ผมพยักหน้ารับคำด้วยหัวใจที่พองโต ถึงผมจะไม่ได้มาเรียนเสียนาน แต่ทางโรงเรียนก็อนุโลมเรื่องเวลาเรียนให้เพราะผมบาดเจ็บไม่สามารถมาเรียนได้ แถมยังเรียกได้ว่าเป็นการเจ็บในหน้าที่ด้วยซ้ำ ขอแค่ว่าผมทำงานส่งให้ครบทุกชิ้นและสอบให้ผ่านแค่นั้น ในส่วนนี้ซันซันก็ช่วยผมอยู่ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าการที่ผมขาเจ็บในคราวนี้มันก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดเสียทีเดียว อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ได้ไอ้ซันกลับมาครับ แถมยังเป็นเวอร์ชั่นที่เอาใจผมสุดๆ เลยด้วย



"ซันซัน..."

"หืมม์ ว่าไง?"

ไอ้อ้วนของผมที่กำลังจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่แล้วถามกลับมา

"ขอบใจนะ ที่ช่วยกูทุกอย่าง โดยเฉพาะวันนี้ กูขอบใจมึงจริงๆ ที่ช่วยปกป้องกู"

ผมเสียงเครือ ในตอนนั้นผมไม่ได้สำออยหรือแกล้งทำนะครับ ผมตื้นตันใจจริงๆ ผมบอกพวกคุณแล้วนี่ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่ารูปลักษณ์ของผมจะเปลี่ยนไปเพียงไหน ซันซันก็ยังคงเป็นฮีโร่ของผมเสมอ

"โหย ก็มึงโดนซะขนาดนั้น ไม่ต้องกูหรอก ใครได้ยินก็ต้องขึ้น ใครจะไปนึกว่าแป้งจะเป็นคนแบบนั้นไปได้"

มันบ่นกะปอดกะแปดถึงความร้ายกาจของอดีตแฟนของผม นี่ถ้ามันรู้ว่าจริงๆ แล้วผมก็มีแผนจะชิ่งแป้งเหมือนกันมันก็คงด่าผมเช็ด แต่ในตอนนั้นโชคชะตาเข้าข้างให้ผมกลายเป็นคนน่าสงสาร ผมก็ขอใช้โอกาสให้คุ้มแล้วกันครับ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

"กูก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเขาจะสนกูแค่เรื่องฟุตบอล กูเฮิร์ทเรื่องนี้มากกว่าเรื่องเขามีผู้ชายคนอื่นอีกนะ รู้ไหม?"

ในตอนนั้นมันเฮิร์ทจริงๆ นะครับ แต่ที่เฮิร์ทน่ะคืออีโก้ของผม ไม่ใช่ตัวผม ใครจะไปนึกว่ายัยตัวดีชอบผมแค่เพราะผมเป็นนักฟุตบอลที่มีอนาคตไกล ส่วนไอ้เรื่องผู้ชายอื่นน่ะช่างแป้งมันไปเถอะครับ ผมไม่ได้ใส่ใจนักหรอกว่ามันจะไปนอนกับใครที่ไหน เพราะผมก็รู้นิสัยแป้งมันดีว่าคนอย่างมันทนอยู่กับผู้ชายคนเดียวได้ไม่นานหรอกครับ

"ซัน กูว่า เราเลิกพูดถึงผู้หญิงคนนั้นกันดีกว่านะ ในเมื่อแป้งเขาเลือกแล้ว ก็ปล่อยเขาไปตามทางของเขาแล้วกัน"

ในตอนนั้นผมรู้สึกเป็นพระเอกมากเลยครับที่พูดอะไรแบบนี้ออกไป ซันซันพยักหน้า มันตบไหล่ผมเบาๆ และหลับตาลงอีกครั้ง ส่วนผมยังนอนไม่หลับ ส่วนหนึ่งก็เพราะผมยังมีสิ่งที่รอครับ อะไรน่ะเหรอครับ? พวกคุณรออีกนิดนะ เดี๋ยวก็เห็นเอง



นั่นไง เห็นหรือยัง? ก็ตามนั้นแหละครับ ไอ้อ้วนของผมมันนอนดิ้นแถมยังติดหมอนข้างอีกต่างหาก แต่ในเมื่อหมอนข้างใบเดียวที่มีอยู่ถูกผมเอาไปรองขาซ้ายเสียแล้ว มันก็เลยละเมอมากอดผมแทน ผมโดนมันกอดแบบนี้มาแทบทุกครั้งที่มันมานอนค้างบ้านผม แต่พอบอกมันตอนเช้า มันก็มักจะปฏิเสธเสียงแข็งว่าตัวเองไม่ได้ละเมอกอดผม แต่คืนนี้พวกคุณเป็นพยานนะว่ามันกอดผมแน่นแค่ไหน ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือลูบหัวมันและจูบเรือนผมมันเบาๆ ก่อนจะขยับตัวมันให้อยู่ในท่าที่นอนสบายทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็พยายามข่มตาลงนอนโดยมีลมหายใจอุ่นๆ ของซันซันเป่ารดต้นคอเหมือนเช่นที่ผ่านมาทุกคืน



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



 

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.3 (ต่อ) ----




เวลาที่ผมกับซันซันอยู่ด้วยกันสองคนผ่านล่วงเลยไปจนพ้นปีใหม่ ที่บ้านผมก็ตัดสินใจยังไม่ย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่เพราะไม่อยากทิ้งอากงให้นอนที่บ้านเก่าคนเดียว อย่างที่ผมบอก ตามแผนเดิม ห้องที่ผมนอนอยู่ในตอนนี้ต้องเป็นห้องของอากงเพราะว่าอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ไม่ต้องเดินขึ้นบันได แต่ในเมื่อผมมาขาเจ็บแบบนี้ อากงจึงให้ผมใช้ห้อง ส่วนตัวท่านยังคงนอนอยู่ที่ห้องเก่าที่ร้านทอง ป๊ากับม๊าของผมจึงตัดสินใจอยู่เฝ้าอากง โดยส่งพี่คิงมาอยู่ที่บ้านใหม่นี้กับผมก่อน

แต่คุณครับ ทำแบบนี้ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่าชัดๆ ไอ้พี่ชายตัวดีของผมพอเห็นซันซันมาอยู่เฝ้าผมพี่แกก็หายหัวไปอยู่นู่น วอร์มอัพ ไม่ก็มังกี้คลับ ส่วนผับ xxxx ที่พวกผมกับเจมันไปบ่อยๆ ตอนนั้นยังไม่เปิดครับ แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรพี่คิงนะ ผู้ชายด้วยกันเราเข้าใจกันอยู่แล้ว อยู่บ้านกับพ่อกับแม่โอกาสที่จะไปหาสาวหรือเที่ยวมันก็ไม่ค่อยจะมีหรอกครับ ตอนนี้พอจะหาเรื่องแว่บได้แกก็ไป ผมเองก็มีข้ออ้างให้ซันซันมันอยู่ช่วยดูแลผมต่อ ไอ้ซันเองก็แฮ้ปปี้ เพราะอะไรเหรอครับ? ก็เพราะมันจะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวทำอะไรที่ทำที่บ้านไม่ได้ เหมือนแบบนี้ครับ



"ปรินซ์ มึง บ้านนี้ติดเน็ตแล้วใช่ไหม?"

ไอ้อ้วนของผมพูดด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าหลังจากเห็นพี่คิงแต่งตัวหล่อออกจากบ้านไป ผมโคลงหัวเบาๆ ไอ้ซันถามหาเน็ตแบบนี้ มันหวังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

"ติดแล้ว มึงอยากอ่านเว็บ xxxxxx อีกล่ะสิ?"

ไอ้อ้วนของผมพยักหน้าตอบรับ หน้ากลมๆ ของมันแดงระเรื่อ ผมจัดการเปิดโมเด็ม เปิดคอมพ์ และเปิดเว็บเรื่องเสียวๆ ให้มันอ่านให้จุใจ ผมขยับเก้าอี้เข้าใกล้มันและเห็นว่าซันซันได้ปล่อยน้องชายมันให้ออกมาชมโลกเรียบร้อยแล้ว

"มึงนี่ใจร้อนจริง ไอ้ซัน อ่านได้แป๊บเดียวมึงก็จะทำน้องมึงร้องไห้แล้วเหรอวะ?"

ผมพูดกลั้วหัวเราะ ไอ้อ้วนของผมด่าเบาๆ พร้อมกับบ่นอุบอิบว่ามันไม่ได้มีโอกาสทำนั่นนี่เลยตั้งแต่มันเลิกมาห้องผม

"กูงี้โคตรเก็บกดเลย ได้แต่แอบชักออกในห้องน้ำบ้าง แต่มันก็ไม่เหมือนตอนที่มาห้องมึง"

มันพึมพำเบาๆ มือของมันเริ่มบีบคลึงส่วนสงวนของตัวเองไปด้วย ผมพยายามไม่มองแต่ก็อดไม่ได้ แก่นกายของซันซันที่ค่อยๆ พองตัวและตั้งตรงขึ้นซึ่งผมไม่ได้เห็นมานานทำให้ผมหน้าร้อนผ่าวและหัวใจเต้นแรง

"ยืมมือกูอีกไหม?"

ปากผมไวกว่าสติอีกครั้ง ผมเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปอีกจนได้ ซันซันชะงักกึกแล้วหันมามองหน้าผม ผมหลบตา ในใจผมร้อนรน มันต้องคิดว่าผมผิดปกติหรืออะไรแน่ๆ หากเมื่อผมเงยหน้าขึ้นก็เห็นริมฝีปากอิ่มที่เผยอยิ้มให้ ให้ตายสิ ผมอยากจูบมันชะมัด หากผมก็ได้แต่ระงับความคิดนั้นเอาไว้

"เอาสิ เดี๋ยวกูช่วยทำให้มึงด้วย"

มันพูดยิ้มๆ และขยับเก้าอี้เข้ามาจนตัวมันเบียดชิดตัวผม ผมลนลานปลดเข็มขัดออกและรูดซิบลง ผมดึงมือไอ้อ้วนของผมมาเกาะกุมแก่นกายที่เริ่มพองน้อยๆ ผ่านผ้ายืดสีขาว แค่ซันซันบีบคลึงมันเบาๆ ไอ้ลูกชายไม่รักดีของผมก็ชูคอโผล่พ้นขอบกางเกงในออกมา ผมสูดปากเบาๆ เมื่อมืออวบนิ่มของเพื่อนรักค่อยๆ ปลดปล่อยส่วนแข็งเกร็งของผมให้ออกมาพ้นขอบยางยืด มันค่อยๆ ลูบไล้ตามแท่งลำของผม ผมอดครางเบาๆ ออกมาไม่ได้ ซันซันเองก็หลับตาพริ้มรับสัมผัสของผม ลมหายใจของพวกเรากระชั้นขึ้นตามจังหวะการขยับ



"อูย ปรินซ์ มึง มือมึงนี่เยี่ยมจริงๆ"

ซันซันครางกระเส่าก่อนที่จะเรียกหาทิชชู่

"โอ๊ย มึงๆ เบาหน่อยๆ อย่าบีบแรงนัก"

ผมบ่นอุบเมื่อซันซันเผลอบีบส่วนเปราะบางของผมในมือเพราะความเสียว มันหัวเราะแหะๆ ก่อนที่จะตั้งหน้าตั้งตาขยับมือต่อ ผมกุมมืออวบนิ่มของมันไว้เพื่อคุมจังหวะ ไม่นานนักผมก็เสร็จด้วยมือมันเป็นครั้งแรก

"ดีไหมมึง?"

มันถามยิ้มๆ ผมพยักหน้าทั้งที่ยังหอบหายใจถี่ ความรู้สึกมันเยี่ยมจริงๆ ครับ ถึงซันซันจะยังเป็นหนุ่มซิงไม่ประสาเรื่องเซ็กส์ แต่ความที่เป็นผู้ชายเหมือนกันย่อมรู้ดีว่าทำอะไรอีกฝ่ายถึงจะรู้สึกดีที่สุด



"นี่ มึง..."

ซันซันที่อาบน้ำปะแป้งจนหอมฉุยลงนั่งบนเตียงข้างผมที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่ ผมปิดหนังสือและหันไปหามันเมื่อรู้สึกถึงความจริงจังในน้ำเสียง

"มีอะไรวะ เสียงเข้มมาเชียว"

ผมกระเซ้ามัน

"คือ เอ่อ กูอยากถามมึงอ่ะ"

มันทำอ้ำๆ อึ้งๆ

"เอ้า จะถามอะไรก็ถามมาสิวะ"

"คือ เอ่อ เวลาที่มึงจะจูบผู้หญิงอ่ะ มันต้องเริ่มยังไง แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าจูบไปแล้วจะไม่โดนตบ"

"เฮ้ย มึงนี่ สงสัยอะไรแปลกๆ พอถึงเวลามึงก็จะรู้เองแหละโว้ย..."

ผมพูดกลั้วหัวเราะ ไอ้อ้วนของผมทำหน้ามุ่ย

"หวงวิชา"

มันบ่นอุบอิบ

"ไว้กูไปถามไอ้โต้งกับไอ้บอลก็ได้"

ผมโคลงหัว ขืนมันไปถามไอ้สองคนนั่นสงสัยจะโดนพวกมันแกล้งสอนอะไรแปลกๆ ให้แน่ๆ



"เออๆ บอกก็ได้ มึงก็ต้องสังเกตสัญญาณจากผู้หญิงเขาหน่อย ดูบรรยากาศ ดูสถานที่ด้วย..."

ผมสอนสิ่งที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ให้มัน ซันซันนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

"...จูบครั้งแรกมึงก็อย่าไปตะกรุมตะกรามอะไร ไอ้เฟรนช์คิสแบบใช้ลิ้นน่ะ เก็บไว้ก่อน มึงเริ่มแบบนี้ก่อนก็ได้ หลังจากดูรอบข้างแล้ว สถานที่ได้ บรรยากาศได้ อารมณ์ได้ ก่อนจะจูบ ค่อยๆ ใช้นิ้วแตะริมฝีปากเขาเบาๆ แบบนี้"

ผมใช้นิ้วโป้งสัมผัสปากอิ่มนิ่มของมันเบาๆ และรู้สึกได้ว่ากายมันสะท้านน้อยๆ

"อย่าลืมจ้องตาเขาด้วย ถ้าเขาดูไม่หนีหรือไม่รังเกียจ มึงก็ค่อยๆ ขยับหน้าเข้าไปใกล้ๆ หอมแก้มเขาก่อนก็ได้ แล้วก็ค่อยสัมผัสริมฝีปากเขาเบาๆ..."

ผมจ้องตามันและค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้าใกล้ ซันซันตะลึงงัน ใบหน้าของมันเริ่มขึ้นสี ผมมองริมฝีปากอิ่มของมันที่เผยอน้อยๆ โอย คุณผู้อ่านครับ ตอนนั้นผมอยากสาธิตแบบถึงเนื้อถึงตัวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่ก็ต้องข่มใจไว้อีกเช่นกัน ยิ่งเห็นตาตี่ๆ ของมันที่เบิกกว้างขึ้นเมื่อมันนึกภาพตาม ริมฝีปากของมันที่ทำท่าตาม ผมยิ่งอยากจะดิ้นตายลงตรงนั้น แต่ในตอนนั้นผมพยายามคิดว่ามันคือเพื่อนรักและผมจะต้องไม่ทำอะไรให้มันได้หนีหายไปจากผมอีก ผมหัวเราะเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนและขยับกายออกห่าง ซันซันถอนหายใจเฮือก



"เชี่ย มึงนี่โคตรเชี่ยวเลยว่ะ แค่ฟังมึงพูดนี่กูแทบเคลิ้ม มิน่าล่ะพวกสาวๆ ถึงได้ชอบมึงนัก นี่ฟาดไปกี่รายแล้ววะ? "

ซันซันกระเซ้าผม ผมหัวเราะหึๆ แล้วย้อนถามกลับไปบ้าง

"แล้วมึงล่ะ ไอ้ซัน มาถามกูเรื่องจูบเนี่ย มึงมีใครให้จูบด้วยแล้วเหรอวะ?"

ผมถามมันด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม แต่คำตอบที่ได้รับทำให้รอยยิ้มหดหายไปจากใบหน้าผมทันที

"อือ มีแล้ว กูยังไม่ได้เล่าให้มึงฟังเหรอวะ?"

คำพูดถัดไปของมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง

"กูมีแฟนแล้ว คบมาได้สี่ห้าเดือนแล้วล่ะ..."

ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าได้พูดอะไรออกไปบ้าง หน้าผมในตอนนั้นคงตลกมากเพราะไอ้ซันมันหัวเราะผมใหญ่ บอกว่าผมทำท่าตกใจเวอร์ ผมเหมือนจะถามมันว่าทำไมผมถึงไม่เคยเห็นแฟนมัน มันตอบว่าอะไรนะ? อ๋อ มันบอกว่ามันเจอแฟนมันคนนี้ที่โรงเรียนกวดวิชาช่วงที่ผมกับมันห่างกันไปนั่นแหละครับ เธอเป็นเด็กโรงเรียนหญิงล้วน นิสัยเรียบร้อย อะไรประมาณนี้แหละครับ ผมก็จำไม่ได้ละ ผมจำได้แค่ว่าในตอนนั้นผมรู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปบีบคอไอ้ปรินซ์งี่เง่าคนที่หลงผิดไปจูบไอ้แป้งที่อัฒจันทร์เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้วเป็นที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในวันนั้น ซันซันก็คงไม่ว่างได้ไปเจอผู้หญิงที่ไหนแน่ๆ



"แล้วทำไมมึงไม่พาแฟนมึงมาให้กูรู้จักวะ"

ผมถามด้วยน้ำเสียงซังกะตาย ผมกับมันกลับมาคุยกันได้เดือนกว่าแล้ว แต่ผมยังไม่เคยเห็นแฟนสาวคนนั้นของซันซันเลย

"กูยังไม่มีโอกาสน่ะ อย่างที่บอก กูกับเขายังคบกันได้ไม่นาน ช่วงที่แล้วพวกเราก็ยุ่งๆ เรื่องสอบโควต้า ไหนจะติดปิดปีใหม่ กูกับเขาก็ไม่ได้เจอกันเลย ก็ได้แค่โทรคุยกัน แล้วกูก็ต้องมาดูแลมึงด้วยไง ไอ้ตัวยุ่ง"

ซันซันพูดกลั้วหัวเราะและตบไหล่ผมเบาๆ ผมอดเผยอยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำนั้น อย่างน้อยมันก็ยังเห็นผมสำคัญพอที่จะทิ้งโอกาสเจอแฟนสาวเพื่อมาเฝ้าดูแลผม

"ไหนๆ มึงก็รู้แล้ว ไว้สักวันกูพาเขามาให้มึงรู้จักแล้วกัน มึงน่าจะชอบ เขาน่ารัก คุยสนุก แล้วก็ดูเรียบร้อย..."

ผมหุบยิ้มอีกครั้งเมื่อมันเริ่มบรรยายถึงสรรพคุณแฟนสาวของมัน มันบอกว่าชื่ออะไรน้า? ผมก็ขี้เกียจจำครับ สมมติว่าชื่อส้มแล้วกัน

"เรียบร้อยเหมือนแป้งหรือเปล่าวะ? ระวังนะซันซัน คราวที่แล้วมึงก็ดูพลาดมาทีนึงแล้วนะ"

ให้ตายสิ ผมอดแขวะมันไม่ได้จริงๆ มานั่งนึกๆ ดูตอนนี้ ผมนี่ก็ช่างพูดอะไรแย่ๆ แบบนั้นออกไปได้ แต่ไอ้ซันมันก็ไม่ถือสาอะไรครับ ดูจะห่วงความรู้สึกผมเสียด้วยซ้ำเมื่อผมพูดถึงยัยตัวแสบที่ชิงชิ่งผมไปซะก่อนคนนั้น แต่ไอ้ที่ทำผมเฮิร์ทจนทำหน้าซังกะตายอยู่ในตอนนั้นน่ะ ไม่ใช่แป้งหรอกนะครับ แต่เป็นไอ้อ้วนตัวดีของผมนี่แหละ

คืนนั้นผมก็นอนไม่หลับอีกครั้งจนได้ ความรู้สึกในหัวผมมันตีกันไปหมด ในทางหนึ่ง ผมก่นด่าตัวเองที่เสียเวลาไปกับการแก้แค้นโง่ๆ ไปหกเจ็ดเดือนจนไอ้ซันมันได้เจอสาว ความคิดด้านลบของผมกำลังชักจูงให้ผมทำตัวพึ่งพามันให้มากที่สุดเพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องมีเวลาไปเจอกับแฟน แต่ความรู้สึกอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นความรู้สึกของเพื่อนสนิทกลับบอกให้ผมปล่อยวาง และปล่อยซันซันให้ไปตามทางที่มันควรจะเป็น ทายสิครับว่าผมเลือกข้อไหน?



เฮ้ย พวกคุณนี่ ผมก็ต้องเลือกข้อหลังสิครับ โธ่ มองผมเป็นยักษ์เป็นมารไปได้น่า ถึงผมจะหวงมันแค่ไหน สุดท้ายเรามันก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ในตอนนั้นผมคิดว่าผมกับมันคงไม่สามารถเป็นอะไรกันมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เมื่อพิจารณาดูถึงทุกปัจจัย ผมตัดสินใจว่าสุดท้ายแล้วผมพอใจกับตำแหน่งเพื่อนสนิทที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แล้ว และผมยินดีที่จะเห็นมันมีแฟนหรืออะไรก็ตามโดยแลกกับการที่ผมสามารถอยู่เคียงข้างมันแบบนี้ไปตลอดชั่วชีวิต



ในวันถัดมา ผมบอกซันซันว่าผมอยากรู้จักแฟนมัน และบอกมันให้หาเวลาไปเจอแฟนบ้าง

"จริงๆ ตอนเย็นมึงไม่ต้องพากูเข้าบ้านทันทีก็ได้ พวกเราไปนั่งร้านขนมร้านกาแฟบ้าง หรือถ้ามึงจะพาแฟน เอ่อ พาส้มไปดูหนัง มึงก็เอากูไปหย่อนไว้ที่ร้านป๊า แล้วก็ไปเถอะ กูรอกลับกับพี่คิงก็ได้ แล้วมึงค่อยเข้ามาตอนดึกๆ แต่ที่จริงมึงจะไม่ต้องเข้ามาแล้วก็ได้นะ กูจะขอป๊าหรือพี่คิงมานอนเฝ้ากูแทน"

ผมพูดอย่างเกรงใจ ซันซันทำท่าลังเลแต่สุดท้ายก็รับข้อเสนอของผม



ชีวิตม.ปลายเกือบสามเดือนที่เหลือของพวกผมผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผลสอบโควต้าออก ซันซันติดการโรงแรมตามที่มันคาดหวังไว้ พ่อมันโกรธจนหน้าดำหน้าแดงเลยครับและประกาศว่าจะไม่จ่ายค่าเทอมแพงระยับให้มัน แต่คนที่เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ก็คืออาม่าของไอ้ซัน อาม่าบอกว่าอาม่าจะเป็นคนส่งมันเรียนเอง

“ดูอาซันสิ มันตุ้ยนุ้ยแบบนี้จะให้มันไปลำบากตากลมตากแดดคุมงานก่อสร้างหรือไปอยู่โรงงานได้ยังไง ให้มันเรียนการบริหารจัดการไปน่ะดีแล้ว มันอยากเรียนอะไรก็ให้มันเรียนไป ไปบังคับกะเกณฑ์มันเรียนตามใจเราทำไม อนาคตก็อนาคตมัน เราอย่าเอาความฝันของตัวเองมายัดเยียดให้ลูกสิ ว่าแต่อาซัน หลานแน่ใจแล้วนะว่าอยากเรียนสายนี้?”

จากปากคำมันที่เล่าให้ผมฟัง มันบอกอาม่ามันไปว่ามันแน่ใจว่าอยากเรียนสายการครัว แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อยากได้พื้นฐานการบริหารธุรกิจด้วยจึงเลือกเรียนสาขาวิชานี้ หลังจากเจรจากันอยู่พักใหญ่ครอบครัวของซันซันก็ได้ข้อสรุป พ่อของซันซันจะยอมส่งไอ้อ้วนของผมเรียนจนจบ โดยมีข้อแม้ว่าเกรดของมันต้องไม่ต่ำกว่า 3.25 และต้องได้เกียรตินิยม และมันจะต้องกลับมาช่วยงานที่ร้านเพชรจนกว่าน้องสาวของมันที่อายุห่างกันสามปีจะเรียนจบและมารับช่วงงานต่อ แต่เอาเข้าจริงๆ สุดท้ายมันก็ลงเอยต้องมาช่วยที่ร้านอยู่ดีและไม่ได้มีโอกาสได้ใช้วิชาที่เรียนมาครับ ไว้ผมค่อยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทีหลังแล้วกันนะครัับ

ส่วนผมเหรอครับ หลังจากปรึกษาป๊ากับม๊าแล้ว ผมก็ตัดสินใจไม่สอบโอเน็ตเอเน็ตและยื่นใบสมัครเข้าเรียนในคณะบริหารธุรกิจสาขาวิชาการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยวเหมือนกับซันซัน ผมพร้อมใช้ชีวิตนักศึกษาอีกสี่ปีกับเพื่อนรักของผมแล้วครับ



ในช่วงปิดเทอมสุดท้ายก่อนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย หลังจากผมพยายามเลี่ยงมานาน ซันซันก็พาแฟนมาให้ผมรู้จัก แฟนของมัน เอ่อ ที่ผมสมมติว่าชื่อส้มอ่ะนะครับ เป็นเด็กน่ารักจริง น่ารักตามแบบที่ซันซันชอบ คือ เรียบๆ ไม่ได้หน้าตาโดดเด่นเห็นมาได้แต่ไกลแต่นิสัยดี กริยามารยาทเรียบร้อยแบบที่คนที่จีบไปทั่วอย่างผมยังไม่กล้ายุ่งเลยครับ นี่ผมยังสงสัยเลยครับว่าสาวเรียบร้อยแบบนี้จะยอมให้ไอ้ซันมันจูบอย่างที่มันหวังไว้ด้วยเหรอ?

"ปรินซ์ เดี๋ยวกูจะพาส้มไปดูหนัง มึงอยากไปด้วยไหม? เดี๋ยวกูไปรับที่หน้าบ้าน"

ซันซันโทรมาถามผม ผมก็ไม่รู้มันจะต้องโทรมาทำไมในเมื่อตอนนี้มันก็ย้ายมาอยู่ข้างบ้านผมแล้ว เดินมาเรียกซะก็หมดเรื่อง

"ไปๆ แต่แน่ใจนะว่ามึงไม่อยากดูกันแค่สองคน พากูไปนี่เป็นก้างหรือเปล่า?"

"ไม่เป็นไร กูถามแล้วเค้าบอกว่าโอเค อีกอย่าง เป็นหนังผีอะ ไปดูกันหลายๆ คนดีกว่า"

ซันซันพูดเสียงอ่อยๆ ผมหัวเราะหึๆ ไอ้อ้วนของผมมันกลัวผีไม่น้อยไปกว่าไอ้เจครับ ตอนไปเที่ยวไหนสักที่ผมก็จำไม่ได้ เมืองกาญจน์ฯ มั้ง ผมแกล้งเล่าเรื่องผีให้พวกมันฟัง สรุปผมน่ะแทบไม่ได้นอนเพราะทั้งคู่มันขึ้นมายัดนอนเตียงเดียวกันกับผม ในตอนนั้นพักห้องแบบเตียงเดี่ยวสามเตียงนะครับ แล้วผู้ชายสามคนนอนบนเตียงเดียวกันมันนอนสบายซะที่ไหนกัน ตั้งแต่นั้นมาผมเลยเลิกแกล้งพวกมันเรื่องผีๆ เลยครับ



กลับมาเรื่องดูหนังต่อดีกว่า วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมไปดูหนังพร้อมกับแฟนของซันซัน พวกเรามาดูหนังกันที่ห้างแอร์พอร์ท พลาซ่า พูดจริงๆ นะครับ ผมแทบไม่ได้ดูหนังเลยเพราะมัวแต่สังเกตอาการของไอ้อ้วนของผม ไม่สิ ผมควรเลิกเรียกมันแบบนั้นแล้วสินะ ผมเหลือบมองมัน มันพยายามเต็มที่ที่จะไม่หลุดทำท่ากลัวออกมาต่อหน้าแฟน ปกติเวลาดูหนังผีมันจะดูแค่ครึ่งเรื่อง คือครึ่งที่มันมองลอดผ่านนิ้วที่ปิดตาออกมา แต่วันนี้มันไม่ยอมยกมือขึ้นปิดหน้าเลย นู่นครับ มือมันกุมมือแฟนมันแน่น แล้วปกติเวลามีฉากผีโผล่ออกมาให้ตกใจ บางทีมันก็จะสะดุ้งมาเกาะแขนผม แต่วันนี้มันพยายามทำตัวเฉยๆ แถมยังหน้าแดงหูแดงเพราะแฟนมันกรี๊ดแล้วก็มาซบไหล่อีกต่างหาก มันก็คงดูหนังไม่รู้เรื่องพอๆ กันกับผมนี่แหละ



หือ อะไรนะครับ? เห็นแบบนั้นแล้วผมรู้สึกยังไงน่ะเหรอ? คุณอยากให้ผมพูดว่าไงล่ะ? ว่าผมรู้สึกเจ็บแปลบในอกงั้นเหรอ? มันก็ต้องมีอยู่แล้วครับ แต่ผมในตอนนั้นก็ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าผมจะคอยอยู่ข้างๆ มันในฐานะเพื่อนและส่งเสริมมันทุกอย่าง ผมก็ควรจะดีใจกับมัน ซึ่งผมก็ดีใจกับมันจริงๆ นะ สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้อยากเห็นอะไรไปมากกว่าเห็นมันมีความสุข



"งั้น เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ พวกมึงไปกินไอติมกินอะไรกันต่อเถอะ เดี๋ยวกูนั่งรถแดงกลับเองได้"

"เฮ้ย ไหวจริงๆ นะ ไม่ต้องให้กูไปส่งเหรอ?"

ซันซันถามอย่างเป็นห่วง

"เห้ย ไม่เป็นไร ตอนนี้กูเดินคล่องแล้ว ไอ้เฝือกลมนี่มันทำมาให้รับน้ำหนักได้ จริงๆ หมอบอกว่าอีกซักครึ่งเดือนก็ถอดได้แล้ว ไม่ต้องห่วงนะ"

ผมโบกมือลาคนทั้งคู่และเดินเขยกๆ จากมา หลังจากผ่านไปเกือบหกเดือน ขาผมก็เกือบหายแล้วครับ ผมไม่ต้องใช้ไม้ค้ำแล้ว แต่ว่าใส่เฝือกลมซึ่งเป็นเหมือนรองเท้าบู้ทพลาสติกขนาดใหญ่ พวกคุณคงเคยเห็นกันนะครับ มันปรับระดับความแน่นได้และรองรับให้สามารถเดินลงน้ำหนักได้โดยไม่ต้องพึ่งไม้ค้ำ แต่ก็ลำบากนิดนึง หมอบอกว่าจากการตรวจครั้งล่าสุด กระดูกอะไรก็ติดหมดแล้ว พวกเอ็นที่ฉีกแล้วต้องเย็บก็ดูโอเค ผมน่าจะสามารถเดินได้ด้วยขาของตัวเองก่อนเปิดเทอม ผมงี้รอแทบไม่ไหวเลยครับ แต่ตอนนี้ผมก็ยังคงต้องเขยกๆ ต่อไปก่อน แต่แทนที่จะกลับบ้านเลย ผมก็มานั่งกินกาแฟที่ร้านสตาร์บัคส์บนชั้นหนึ่งของห้างฯ



"Hi, Prince. Sorry for being late."

 เสียงใสๆ ร้องทักผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมปั้นยิ้มและหันไปหาสาวน้อยที่เดินมาหา จริงๆ ที่ผมปลีกตัวมาก่อนก็เพราะผมมีนัดกับซูซี่ครับ สาวน้อยลูกครึ่งคนนี้เป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที เธอเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ ใกล้ๆ โรงเรียนผม เราคั่วกันมาเป็นปีแล้วครับ แต่ว่าหยุดไปช่วงที่ผมคบกับแป้ง

"Aw poor thing..."

ซูซี่ดูขาผมที่เข้าเฝือกอยู่แล้วทำหน้าสงสาร

"...นี่ขายูเป็นแบบนี้แล้ว ไหวเหรอ?"

"อ๊ะๆ อย่าดูถูกกันสิครับ ข้อเท้าไม่มีผลต่อการขยับสะโพกนะจ๊ะ"

ผมหันไปทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่กิ๊กคนสวยของผม จริงๆ อย่าเรียกว่ากิ๊กเลยครับ ซูซี่กับผมนัดเจอกันด้วยเหตุผลเดียวแค่นั้นซึ่งก็คือเซ็กส์

"งั้น เราไปกันเลยไหม? "

เซ็กส์เฟรนด์ของผมยื่นมือมาให้ผมเกาะกุม พวกเราพากันเดินผ่านร้านรวงมายังลานจอดรถ

"ว้าว ดูคู่นั้นสิ รถก็ฟิล์มใสนะ กล้าจูบกันในรถด้วย"

ผมเหลียวไปดูตามที่ซูซี่บอกแล้วก็ต้องหัวใจหล่นวูบ คู่นั้นที่ซูซี่ว่าคือซันซันกับส้ม มันไม่ใช่จูบดุเดือดเหมือนจะพาขึ้นเตียงกันอะไรแบบนั้นนะครับ แต่เป็นจุ๊บแบบใสๆ ที่ผมสอนไอ้ซันนั่นแหละ แต่ผมก็ว่าผมบอกมันแล้วนะว่าให้ดูบรรยากาศหน่อย ไอ้ลานจอดรถนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ



"เฮ้ย ปรินซ์ มึง..."

ซันซันร้องอย่างตกใจเมื่อผมเดินไปเคาะกระจกรถมัน

"กระจกรถมันใส ซันซัน ระวังหน่อย"

ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ใจผมนั้นเต้นเหมือนรัวกลอง ไม่ไหวจริงๆ ผมรับเรื่องแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ ทั้งซันซันและส้มหน้าแดงก่ำ มันพูดอุบอิบขอบใจผม ส่วนส้มนั้นมุดหน้าหลบอยู่กับไหล่ของไอ้อ้วนของผม

"แล้วมึงยังไม่กลับอีกเหรอวะ?"

มันทำหน้าสงสัย ผมอ้ำอึ้ง

"กู เอ่อ กูนัดซูซี่ไว้"

"อ๋อ..."

ผมไม่รู้ผมคิดไปเองไหม แต่เหมือนเห็นมันขมวดคิ้วแว่บนึงก่อนที่จะเปลี่ยนมายิ้มแย้มทำหน้าทะเล้นใส่ผม

"แหมๆ ที่แท้ก็นัดเด็กไว้ มึงบอกกูมาตรงๆ ก็ได้น่า"

มันหัวเราะร่วน ผมบ่นเบาๆ ซันซันยกมือทักทายซูซี่ที่โบกมือกลับมาให้ พวกนี้เคยเจอกันครั้งสองครั้งแล้วครับ ซันซันก็รู้ดีว่าผมกับซูซี่เป็นอะไรกัน



"งั้นกูไม่กวนมึงแล้วนะ ไอ้อ้วน เดี๋ยวย้ายที่ซะ ที่นี่ไม่ไหวว่ะ ประเจิดประเจ้อเกิน โอเค๊?"

 ผมแซวเพื่อนรักที่หน้าแดงก่ำ ส้มเองก็มีทีท่าเขินอายจนทุบไอ้อ้วนของผมเบาๆ เหอะ ผมอยากจะไปกระชากคอ...เอ๊ย ขอโทษครับ ผมไม่ควรคิดแบบนั้นสินะ

"แล้ว มึงมีนั่นติดตัวไหม?"

ผมกระซิบเบาๆ ข้างหูซันซันก่อนจะลาจากมันไป

"หือ มีอะไร?"

"ถุงยาง ถ้าไม่มี เอาของกูไปก่อน"

ซันซันหน้าแดงแปร๊ดเมื่อเห็นผมทำท่าจะล้วงของในกระเป๋าให้มัน มันด่าผมโขมงโฉงเฉงแล้วโบกมือไล่ให้ผมไปเสีย ผมเดินยิ้มกริ่มกลับมาหาซูซี่ และพากันเดินต่อไปที่รถของเธอ



"ปรินซ์ เดี๋ยวกูไปหานะ"

ซันซันโทรมาหาผมหลังจากที่ผมกลับเข้าบ้านมาไม่นานนัก ผมนั่งรอไม่นานนักมันก็มาเคาะห้อง ผมเปิดให้มันเข้ามา

"ไงมึง ได้มะ?"

ผมถามยิ้มๆ

"ไอ้บ้า กูไม่ใช่มึงนะ ของแบบนี้มันต้องให้พิเศษหน่อยสิวะ ครั้งแรกของกูเชียวนะมึง"

ไอ้ซันบ่นอุบอิบแล้วลงนั่งบนเตียง มันทำจมูกฟุดๆ ฟิดๆ ใกล้ๆ ตัวผม

"กลิ่นสบู่ไม่คุ้น ไงล่ะ สบายตัวแล้วสิมึง ขาเจ็บแบบนี้ยังอุตส่าห์..."

มันทำหน้านิ่วใส่ผมด้วยความหมั่นไส้

"เฮ้ยๆ ของแบบนี้มันไม่มีปัญหาเว้ย ซูซี่เขาจัดการให้กูหมดทุกอย่าง ไม่ต้องทำอะไรเลย นอนสบายๆ "

ซันซันหน้าแดงเมื่อพยายามนึกภาพตาม ผมหัวเราะเบาๆ แล้วเปิดคอมพ์



"เอ้า วันนี้จะเอาเว็บไหน เลือกมา"

ซันซันยิ้มร่าและพิมพ์เว็บที่มันอยากเข้าลงไปทันที

"นี่ บ้านใหม่มึงก็มีเน็ตใช้นี่หว่า ทำไมไม่ดูที่บ้านล่ะ?"

ผมถามซันซัน

"ฮึ่ย ไม่ได้ๆ เกิดแม่กูน้องกูเปิดมาเจอนี่ยุ่งเลย อีกอย่าง มันไม่เหมือนกับทำที่นี่อ่ะ กูลองแล้ว"

"ไม่เหมือนไงวะ?"

"ก็ เอ่อ ก็..."

ซันซันอ้ำๆ อึ้งๆ

"...ก็ที่บ้านกูมันไม่มีมือมึงนี่ มึงนะทำกูเสียนิสัย ทำเองแล้วมันไม่ถึงยังไงก็ไม่รู้"

ไอ้อ้วนของผมบ่นกะปอดกะแปดด้วยใบหน้าแดงก่ำ ผมหัวเราะเบาๆ แล้วเรียกมันให้มานั่งบนเตียง ผมขยับตัวไปนั่งซ้อนด้านหลังมัน



"แล้วมึงไม่ต้องให้กูช่วยเหรอวะ?"

มันถามเบาๆ พร้อมกับรูดซิปกางเกงลง ผมส่ายหน้า วันนี้ผมได้ระบายออกไปจนเกินพอแล้วครับ

"มึงค้างมาจากส้มล่ะสิ"

ผมกระซิบเสียงต่ำๆ ที่ข้างหูของมัน ลมหายใจหอบกระชั้นของมันและร่างอวบที่สั่นสะท้านน้อยๆ ทำให้ผมชักเริ่มหวั่นไหว มันพยักหน้าน้อยๆ โดยที่ไม่พูดอะไรตอบมา

"เหรอ? ทำอะไรกันถึงไหนล่ะ?"

"ก็จูบ กอด หอมแก้ม "

มันพูดเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ

"แค่นั้นจริงๆ เหรอ? แล้วทำไมมึงถึงต้องกลับมาปล่อยด้วยล่ะ หืม?"

ผมอดไม่ได้ต้องสูดดมกลิ่นกายมันเข้าไปเต็มปอด ปลายจมูกของผมที่คลอเคลียอยู่ที่แถวซอกคอของมันคงทำให้มันจั๊กจี้จนหัวเราะคิกออกมา

"มึง อย่าสิวะ กูจั๊กจี้..."

ผมรีบผละออกเมื่อรู้ตัว ผมต้องไม่ทำอะไรให้มันรู้ว่าผมต้องการมัน

"กูก็ทำแค่นั้นแหละ แต่ตอนจูบมัน เอ่อ มันเสียวๆ แปล๊บๆ ยังไงก็ไม่รู้ แถมตอนกอดกันอีก มัน เอ่อ..."

ซันซันหน้าแดงขึ้นไปอีก มันบอกผมว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่มันได้จูบปากแฟนของมัน และมันไม่เคยคิดเลยว่าร่างอุ่นๆ แสนนุ่มนิ่มของผู้หญิงจะให้ความรู้สึกดียามกอดขนาดนี้ ผมลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อนึกถึงภาพของคนทั้งสองแสดงความรักให้กัน นี่คือสิ่งที่ควรเป็นและผมควรมีความสุขไปกับมัน



"มึงๆ จวนแล้ว เร็วอีกๆ"

ไอ้อ้วนของผมหายใจหอบถี่ ผมเร่งมือและไม่นานซันซันก็ถึงสวรรค์และนี่คือสิ่งที่ผมทำให้มันทุกครั้งที่มันไปเดทแล้วมีอารมณ์กลับมา ถ้าวันไหนมันกลับมาและขอมาที่บ้านผม แสดงว่าวันนั้นมันมีการถึงเนื้อถึงตัวกันกับแฟน ผมก็กระเซ้ามันทุกครั้งว่าทำไมมันไม่จัดการกินส้มซะ แต่มันก็บอกว่ามันอยากรอ

"ครั้งแรกของกูต้องพิเศษหน่อยเว้ย"

มันประกาศลั่น ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่ามันจะต้องพิเศษรุ้งพุ่งฟรุ้งฟริ้งขนาดไหน แต่ก็ตามแต่ใจมันแล้วกันครับ ผมเองก็ไม่รังเกียจที่จะทำหน้าที่เป็นมือขยันให้มันนักหรอกครับ

แต่ความสัมพันธ์ของส้มกับซันซันก็จบลงเพียงแค่เทอมแรกของการเข้ามหาวิทยาลัย มันเป็นเพราะความห่างไกลครับ ส้มหรือจะชื่ออะไรก็ตามคนนี้สอบติดอักษรฯ จุฬาฯ และลงไปกรุงเทพฯ ก่อนที่พวกผมจะเปิดเทอม ซันซันกับส้มมีรักทางไกลกันได้ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ ขาดการติดต่อกันไป ไอ้ซันมันก็เศร้าของมันนะครับ แต่มันก็บอกผมว่ามันทำใจเอาไว้ตั้งแต่รู้ว่าส้มสอบติดที่กรุงเทพฯ และนี่คือเหตุที่มันไม่ได้เร่งอยากจะมีอะไรกับส้ม ผมล่ะซูฮกความเป็นคนจิตใจดี ณ ตอนนั้นของมันมากเลยครับ แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันเจ็บเจียนตายในภายหลัง ไว้ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอีกทีแล้วกันนะครับ ขอยกยอดไปก่อนแล้วกันนะครับ




------------------------------------------


นี่ท่าทางจะลากยาวจนได้ ใครอยากอ่านเรื่องเจกับฆาเบียร์รบกวนรออีกนิดนะคะ ไม่น่าเกินสองตอนเรื่องของปรินซ์กับซันซันก็น่าจะจบแล้ว เดี๋ยวตอนหน้าจะเป็นช่วงอยู่มหาวิทยาลัย มีเจโผล่มานิดหน่อย ก็จะได้เห็นเจช่วงเรียนอยู่ด้วย

ว่างๆ ก็อย่าลืมแวะไปอ่านนั่นนี่ในเพจ fb ของคนเขียนได้นะคะ ส่วนในทวิตเตอร์ก็ไม่มีอะไรมาก มีอัพเดทเรื่องที่ลงใน fb กับรีทวีทผู้ชาย ฮ่าๆ

เพจค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.4 ----




"ผมกับพวกไอ้ปรินซ์เจอกันครั้งแรกก็ตอนรับน้องที่คณะครับ จริงๆ ก็คงเจอกันตั้งแต่ตอนมอบตัวแล้ว แต่ตอนนั้นผมมัวแต่เหล่สาวๆ "

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ ฆาเบียร์จุ๊ปากเบาๆ พร้อมทำคิ้วขมวด

"แล้วเจอกันทีแรก เจคุยกับพวกเขาถูกคอเลยหรือเปล่า? หรือว่า..."

"ถูกคออะไรล่ะคุณ เจอกันทีแรก ไอ้ปรินซ์มันก็แซวผมเลย มันคิดว่าผมเป็นเหมือนพวกเจ๊ๆ ในคณะ..."

ฆาเบียร์ทำหน้างง เจถอนหายใจ

"มันคิดว่าผมเป็นตุ๊ดน้อยตั้งแต่ตอนแรกเจอหน้ากันเลยอ่ะสิ"     



เฮ้ยๆ นี่มึงจะเล่ากระทั่งเรื่องนี้ให้ป๋าฟังด้วยเหรอวะ ไอ้เจ? ตายๆๆ ผมขอโทษมันไปเป็นกี่สิบรอบแล้วมันก็ยังแค้นฝังหุ่นอยู่ได้ ก็พวกคุณดูหน้ามันสิ ปากนิด จมูกหน่อย ตาโต แก้มป่อง แถมยังผิวขาวเนียนกว่าสาวๆ แถวนั้นบางคนอีก ใครจะไปนึกว่ามันจะแมนโคตรแมนขนาดนั้น ผมเจอหน้ามันก็ไปวิ้ดวิ้วน้องสาวใส่มันแล้วแถมยังแกล้งทำท่าทำทางเจ้าชู้ใส่มันอีก คือ จะว่าไงดี สมัยมัธยมในรุ่นของผมก็มีพวก 'สาวๆ ' อยู่หลายคน โดยมากก็เห็นกันท่าทางกันมาตั้งแต่ประถมแล้วครับ พวกผมก็คะนองปากแซวกันไปตามประสาเด็ก มันก็เลยติดปากมาจนถึงตอนเข้ามหาวิทยาลัย

พอโตขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ผมก็รู้แล้วครับว่าการพูดแซวแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องดี ยิ่งโดนไอ้เจมันด่าเมื่อไม่กี่วันก่อนผมยิ่งรู้ซึ้ง ถ้าเป็นตอนนี้ ผมก็คงจะไม่ไปแซวมันแบบนั้นหรอกครับ แต่ในตอนนั้นผมก็ปากหมาไปตามประสาวัยรุ่นประกอบกับความเข้าใจผิดด้วย ถ้าจำไม่ผิด ผมไปจับแก้มมันด้วยมั้ง ผลคือมันกระชากคอผมมาเหวี่ยงลงพื้นเลยครับ ไอ้ตัวเพรียวๆ บางๆ แบบนั้นแหละจัดการเหวี่ยงผมที่สูง 180 กว่าลงได้ ผมมารู้ทีหลังว่ามันเคยเรียนไปเรียนไอกิโดมานิดหน่อยตอนมันยังอยู่ม.ช. หลังจากนั้นผมเลยไม่กล้ายุ่งกับมันเลยครับ

แต่คนที่ทำให้ผมกับเจมาคบหาเป็นเพื่อนกันได้ก็คือซันซัน นิสัยร่าเริงหลั่นล้าไม่คิดอะไรมากของมันเข้ากับเจและเพื่อนๆ อีกหลายคนได้ดี มันทำให้ผมกับเจที่มีเรื่องกันตั้งแต่วันแรกสามารถสงบศึกกันได้ เอ้า ไหนฟังเจมันเล่าถึงซันซันหน่อยละกัน



“ส่วนไอ้ซันน่ะ ผมถูกชะตากับมันตั้งแต่แรกเจอเลยครับ คงเพราะเห็นมันแล้วนึกถึงตัวเองตอนม.ต้น”

เจยิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนตี๋อ้วนของเขา เขาบอกว่าตอนแรกเจอ ซันซันรูปร่างอวบกว่าตอนนี้อีกด้วยซ้ำ แต่หนุ่มลูกร้านเพชรก็มักทำให้คนอยากคบหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชวนให้คนเข้าหาตลอดเวลา

“จะว่าไงดี ผมเห็นแล้วผมเข้าใจเลยว่าทำไมตอนผมเด็กๆ ตอนที่ยังเป็นเด็กอ้วนถึงถูกพวกป้าๆ น้าๆ ที่ตลาดรุมหยิกแก้มหรือแกล้งจกพุง ไอ้ซันมันให้ฟีลแบบนั้นเลยครับ เห็นหน้ามันแล้วชวนให้ตบๆ แก้มจริงๆ ผมตอนช่วงหน้าหนาวบางทีก็ไปกอดๆ ซุกๆ มันเพราะอุ่นดี”

เจหัวเราะคิกเมื่อคนรักของเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่

“ตอนนี้ผมไม่กอดมันแล้วน่า ไอ้ปรินซ์มันหวงของมันซะขนาดนั้น...”

เจหัวเราะเบาๆ และนึกถึงภาพในอดีต

“ผมเคยสงสัยนะว่าซันซันที่เป็นเด็กอ้วนเหมือนผมสมัยก่อนจะเคยเจอปัญหาเดียวกับที่ผมเจอตอนเด็กๆ ไหม เพราะจนกระทั่งตอนเข้ามหา’ลัย มันก็ยังโดนเรียกไอ้อ้วนมั่ง ตี๋อ้วนมั่ง ผู้พันแซนเดอร์สมั่ง หรือโดนแกล้งตบพุงมั่ง ตบๆ เหนียงมั่ง ซึ่งก็เหมือนที่ผมเคยโดน ผมก็คิดนะว่ามันคงจะต้องโกรธแน่ๆ...”

เจนยุทธยิ้มให้คนรักที่นั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ

“...แต่ไม่เลยครับ ไอ้ซันไม่ได้ดูมีทีท่าไม่พอใจอะไรเลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะนิสัยคิดบวกของมัน แต่อีกส่วนหนึ่งคงเพราะมันมีปรินซ์คอยอยู่ข้างๆ ถ้าเพื่อนๆ ชักแซวกันหนักข้อ ไอ้ปรินซ์มันก็จะคอยช่วยว๊ากใส่ให้ สำหรับผม ที่ผมรู้สึกว่าการโดนแซวมันกระทบกระเทือนจิตใจ ก็คงเพราะว่าตอนนั้นยังเป็นช่วงม.ต้นซึ่งเป็นช่วงอ่อนไหว แล้วผมก็ไม่ได้มีเพื่อนแบบไอ้ปรินซ์ที่คอยช่วยปกป้องผม ผมเลยรู้สึกเหมือนตัวคนเดียว ต้องเจอเรื่องร้ายๆ คนเดียว...”

“ฉันอยากจะอยู่กับเจในตอนนั้นจริงๆ รับรองว่าฉันจะไม่ยอมให้นายโดนแกล้งแน่ๆ”

ฆาเบียร์ทำท่าเคร่งเครียด เจยิ้มหวานให้คนรัก

“ใจเย็นครับ ใจเย็น จริงๆ ไอ้พวกเพื่อนร่วมชั้นผมมันก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรหรอก พอมานึกย้อนดูตอนนี้ ที่พวกเพื่อนผมเขาแกล้งน่ะ มันก็แค่แกล้งเล่นประสาเด็ก อาจจะหยอกเพราะความเอ็นดูด้วยซ้ำ แต่ผมคิดน้อยใจไปเพราะตัวผมเองก็รู้สึกไม่มั่นใจและรู้สึกไม่ดีกับตัวเองอยู่แล้ว สุดท้ายมันอยู่ที่ perception อย่างที่คุณว่านั่นแหละ”




ถูกอย่างที่ไอ้เจมันว่าครับ ซันซันของผมเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง มันเป็นคนที่คิดบวกมากๆ คนหนึ่งเท่าที่ผมเคยเจอ ชีวิตมันมีแต่สีสันสดใส มันไม่เคยมองว่าใครจะมาทำร้ายมันหรืออะไร ผมถึงรู้สึกดีใจมากตอนที่มันโกรธแป้งแทนผม เพราะนั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมเห็นมันโกรธจนตัวสั่นขนาดนั้น เอ่อ ไม่นับตอนที่มันโกรธผมตอนไปจูบแป้งนะ ตอนนั้นก็เหมือนระเบิดลงจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ซันซันต้องเสียใจที่สุด ไว้ผมจะเล่าให้คุณฟังเรื่องนั้นทีหลังอีกเช่นกันนะครับ ตอนนี้ มาคุยกันเรื่องพวกผมตอนอยู่มหาวิทยาลัยก่อนดีกว่านะ

พอพวกผมกับเจทำความรู้จักกันดีในระดับหนึ่งแล้ว พวกเราก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ยิ่งรู้ว่าเจเป็นเด็กย่านกาดหลวงเหมือนกัน เราก็ยิ่งคุยกันรู้เรื่อง ป๊ากับม๊าผมก็รู้จักแม่ของเจด้วยครับเพราะตอนที่ป้าฟองเขาถูกหวยชุดใหญ่เมื่อต้นปี ป้าเขาก็มาซื้อทองที่ร้านผมนี่แหละ

ตอนช่วงแรกๆ พอพวกผมรู้ว่าเจมันเป็นเด็กซิ่วมา เราก็เรียกมันพี่เจๆ แต่นานๆ ไปไหงมันกลายเป็นมึงกูไปได้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เจมันดูจะเอ็นดูไอ้ซันเป็นพิเศษ ก็แหงล่ะ ไอ้อ้วนของผมมันน่ารักซะขนาดนั้น ส่วนตัวผมกับเจ หลังจากคบหากันไปสักพัก พวกเราก็รู้ว่าเรามีอะไรคล้ายกันมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง



"เฮ้ย ปรินซ์ สาวโต๊ะนู้นเหล่มึงว่ะ"

เจป้องปากกระซิบผมในขณะที่พวกเรากำลังนั่งกินข้าวกันในฟู้ดคอร์ทของห้างใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ผมค่อยๆ ทำท่าบิดขี้เกียจและเอี้ยวตัวไปเหล่มองสาวในชุดนักศึกษาม. เดียวกันกับพวกผม โอ๊ะ สเป็คผมเลยครับ หน้าคม อวบนิดๆ มีเนื้อมีหนังพอให้กอดได้เต็มไม้เต็มมือ

"มึงแน่ใจนะว่าเขามองกู ไม่ได้มองมึง"

ผมต้องเช็คให้ชัวร์ครับ หลายครั้งที่มีเหตุการณ์แบบนี้ แล้วพอผมลุกขึ้นไปทักทายปุ๊บ ปรากฎว่านู่นครับ สาวๆ เขามองไอ้ตัวน่ารักที่มีดีกรีเดือนคณะอย่างไอ้เจนู่น หืมม์? ครับ ใช่ เดือนคณะ เจมันไม่เคยเล่าให้พวกคุณฟังเหรอ? ตอนไอ้ตั้มน้องรหัสตัวแสบของมันได้ตำแหน่งเดือนคณะมันถึงเป็นที่ฮือฮากันนักไงครับ เพราะถือว่าสายรหัสนี้เป็นเดือนคณะติดต่อกันถึงสองคน ว่าแต่เรากลับมาสนใจสาวโต๊ะนู้นกันต่อดีกว่าแล้วกันนะครับ ไอ้เจมันก็ยุผมจริง

"เฮ้ย ชัวร์ๆ มองมึงแน่นอน จัดเลยอย่าให้เสียของ"

ผมแอบเหลือบมองไอ้อ้วนของผมที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คุยโทรศัพท์กับสาวส้มซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เลิกกัน มันดูจะอยู่ในโลกส่วนตัว งั้นผมก็คงไม่ต้องเกรงใจมันแล้ว



"งั้น กูไปนะ เดี๋ยวพวกมึงกินเสร็จแล้วไม่ต้องรอกู กลับกันก่อนได้เลย"

ผมลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อไปทักทายสาวที่เจบอกว่าแอบเหล่ผม ผลเหรอครับ? ระดับนี้แล้ว รับรองว่าไม่กลับมือเปล่าแน่นอน ลุ้นว่าจะได้แค่เบอร์โทรหรือว่าจะได้อะไรมากกว่านั้น ในวันนั้นเป็นวันโชคดีของผมครับ สาวรุ่นพี่คนนั้นเป็นพวกรักสนุกเหมือนกัน เราไปจบกันที่หอของพี่แก และผมยังคบหาผูกปิ่นโตกับพี่เขาต่ออีกหลายเดือนอยู่ก่อนจะเลิกรากันไป ที่ผมใช้คำว่าเลิกรา เพราะความคิดในการคบผู้หญิงของผมกับเจมันต่างกันครับ

สำหรับเจ มันจะเลือกเฉพาะพวกผู้หญิงรักสนุกที่พร้อมจะมีอะไรกันครั้งเดียว หรือแค่ยามที่ต้องการ แต่สำหรับผม คุณอาจจะเรียกว่าผมชั่วกว่ามันก็ได้ ผมเองก็รู้ตัวว่าผมมันไม่ใช่คนดีอะไรหรอกครับ ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ผมคบผู้หญิงเพื่อหวังเซ็กส์โดยที่ไม่สนวิธีการที่ตัวเองใช้ ผมพร้อมจะเรียกทุกคนที่คบว่าแฟน ผมสามารถบอกรักหรือบอกว่าชอบได้โดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไร เหมือนกับที่ทำกับแป้งน่ะครับ แต่ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรกหรอกนะครับ ช่วงแรกๆ ผมก็เลือกแค่คนที่รักสนุกเหมือนกัน แต่ผมมาเริ่มคบไม่เลือกเอาเมื่อตอนช่วงผมอยู่ปีสาม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความรู้สึกของผมที่มีให้ไอ้ซันครับ แต่ไว้ผมค่อยเล่าให้คุณฟังอีกทีแล้วกัน



ตอนนี้เรามาพูดถึงชีวิตนักศึกษาของพวกผมกันดีกว่า เมื่อเข้ามาเรียนในสาขาวิชาการจัดการโรงแรม ผมรู้ได้ทันทีเลยครับว่ามันตรงกับความถนัดของผม วิชาที่ว่าด้วยการจัดการและการเงินผมกับซันซันแทบไม่มีปัญหาเลย ไม่ว่าจะเป็นบัญชี ไฟแนนซ์ การจัดการเบื้องต้นอะไรพวกนั้น ส่วนวิชาที่เน้นคำนวนอย่างสถิติ ผมจะถนัดมากกว่าคนอื่น ส่วนวิชาที่เป็นความรู้ด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว เจดูเหมือนจะรอบรู้และถนัดมากกว่าพวกผม ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับการครัว พวกสายกินอย่างเจและซันซันก็จะเป็นฝ่ายรู้เรื่องมากกว่า ฉะนั้นพวกผมจึงคอยช่วยติวให้กันและกัน ทำให้การเรียนของพวกผมในสาขาวิชานี้เป็นไปอย่างราบรื่น ซันซันก็สามารถทำเกรดได้เกิน 3.25 ที่สัญญากับพ่อไว้ ส่วนผมเหรอครับ พอเกรดเทอมแรกออก ม๊าผมถึงกับร้องไห้ด้วยความดีใจที่ในที่สุดก็เห็นเลข 3 กับเขาเสียที



นอกเหนือจากเรื่องเรียนแล้ว ชีวิตนักศึกษาของพวกเราก็เต็มไปด้วยสีสันครับ เราได้พบและทำความรู้จักกับกลุ่มเพื่อนใหม่ที่มาจากต่างถิ่นและต่างสังคมกัน ได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้อะไรใหม่ที่นอกเหนือจากสิ่งที่คุ้นเคย และมีอิสระที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างที่ต่างไปจากตอนเป็นนักเรียน แต่มันก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้น ผมกับเจเริ่มออกเที่ยวกลางคืนตั้งแต่ช่วงปีหนึ่งเทอมสอง หืมม์? อายุผมไม่ถึงเหรอครับ? แหม พวกคุณก็รู้ว่ามันมีวิธี แต่ผมไม่แนะนำให้ทำนะครับ เอาเป็นว่า ในช่วงนั้นพวกผมค่อนข้างใช้ชีวิตโลดโผนกันพอสมควร แต่ก็จำกัดอยู่ที่เหล้า บุหรี่และผู้หญิงเท่านั้น เรื่องยากับต่อยตีพวกผมไม่ยุ่งครับ

ส่วนซันซัน มันก็ยังคงเป็นเด็กดีของพ่อแม่ครับ ในช่วงมหาวิทยาลัย มันแทบจะไม่ออกเที่ยวกลางคืนเลย ตลอดสี่ปีที่เรียนอยู่ มันออกมากับพวกผมนับครั้งได้ โดยมากก็มาเพื่อฉลองวันเกิดไม่ใครก็ใครสักคน แต่ผมกับไอ้แสบเจนั้น จากเริ่มออกบ้านในคืนวันศุกร์ เสาร์ในช่วงปีแรกๆ ก็กลายเป็นออกแทบทุกคืนในปีสุดท้ายที่เรียนเว้นแต่ช่วงฝึกงานครับ



"เฮ้ ไอ้ซัน มึงกินเหล้าเป็นเพื่อนกูอีกแก้วป่ะ มานั่งดื่มแต่โค้ก มันจะไปได้เรื่องอะไรวะ?"

ไอ้เจบ่นลั่นแล้วดึงแก้วโค้กออกจากมือไอ้อ้วนของผม ผมเหลือบตาดูหน้าของซันซันที่เริ่มแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ มันเพิ่งหัดกินเหล้าครับ ไม่เหมือนพวกผมที่ใจแตกกินเหล้ากินเบียร์กันตั้งแต่ม.ปลาย มันรอจนอายุครบยี่สิบถึงจะเริ่มกินเหล้าจริงๆ จังๆ ก่อนหน้านั้นมันแค่ชิมๆ เหล้าที่ใช้ในการทำอาหารหรือผสมค้อกเทลเพื่อให้รู้รสเท่านั้น

"กูเมาแล้วอ่ะ ไม่กินแล้วได้ป่ะ"

ไอ้เจมองหน้ามันแล้วก็มองหน้าผมพร้อมส่ายหัวอย่างระอา ไอ้อ้วนของผมกินแบล็คผสมโซดาเข้าไปแค่แก้วกว่าๆ เองครับ ผมหัวเราะแล้วลูบหัวมันเบาๆ

"เอ้า กินโค้กต่อไปเถอะ นั่งเฝ้าโต๊ะไว้ล่ะ เดี๋ยวกูกับไอ้เจมา อย่าเผลอหลับล่ะ"

ผมกำชับพร้อมส่งแก้วโค้กคืนให้ จากนั้นชวนเจกลับเข้าไปในห้องเต้น หลังจากใช้เวลาในนั้นพักหนึ่ง ผมก็กลับออกมาพร้อมสาวที่จีบมาได้ ส่วนไอ้เจมันพาสาวหายเข้าห้องน้ำไปแล้วล่ะครับ พวกคุณคงรู้ว่ามันหมายถึงอะไร คืนนี้มันคงไปแล้วไปเลยไม่กลับมาหาพวกผมอีก



ผมเดินโอบเอวสาวกลับมาที่โต๊ะแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นไอ้ซันทำหน้าบานนั่งคุยอยู่กับผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ผมว่าผมคุ้นๆ หน้าอยู่ว่าเธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับพวกผมแต่คนละคณะกัน

"อ้าว ปรินซ์ สวัสดีจ้ะ ไม่ได้เจอกันนานเลย"

ชิบเป๋งล่ะ เธอรู้จักชื่อผมด้วย ทำไมผมถึงไม่มีความทรงจำเลยสักนิด ปกติผมไม่เคยลืมชื่อผู้หญิงที่เคยคุยด้วย โดยเฉพาะคนที่น่ารักแบบนี้

"แตงไง ไอ้ปรินซ์ จำแตงได้หรือเปล่า? ที่เป็นลูกลุงเปรมเพื่อนพ่อกูสมัยมัธยมอ่ะ สนิทกับป๊ามึงด้วย จำได้ไหม?"

ผมพยักหน้า ผมถึงว่าสาวคนนี้คุ้นๆ นัก ตอนนี้ผมจำลักยิ้มที่แก้มของเธอได้แล้วครับ ตอนเด็กๆ น่าจะช่วงประถม ตอนที่พ่อของแตงซึ่งเป็นข้าราชการยังทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ พวกเราเจอกันบ่อย ถ้าไม่ใช่ตามงานสังคมที่พ่อแม่พาพวกเราไปด้วย ก็ตอนที่พ่อของแตงแวะมาเที่ยวหาพวกป๊าผมกับพ่อไอ้ซันที่ร้านโดยพาลูกเมียมาด้วย แต่พอขึ้นมัธยม พ่อของแตงก็ย้ายไปอยู่ที่เชียงราย พวกเราก็แทบไม่ได้เจอกันอีก

"แตงเขาเรียนสาขาภาษาอังกฤษ ม.เดียวกับเรานี่แหละ..."

ซันซันหันไปยิ้มให้เพื่อนวัยเด็กของพวกเราคนนี้

"...นี่ถ้าแตงไม่เข้ามาทักเราคงจำไม่ได้นะ แตง เอ่อ เปลี่ยนไปมากเลย สวยจนเราจำไม่ได้จริงๆ"

ใจผมกระตุกวูบเมื่อได้ยินน้ำเสียงของไอ้อ้วนของผม ผมลอบมองหน้าแดงๆ ของมันแล้วแยกไม่ออกว่านั่นเพราะเหล้าที่กินเข้าไปหรือเพราะสาวน้อยที่นั่งยิ้มอยู่เบื้องหน้า แตงทำท่าเขินอายเมื่อได้ยินคำชมที่ไอ้ซันมันโพล่งออกมา ทั้งสองคนดูจะคุยกันถูกคอทีเดียว ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอกนะครับ แต่หูผมก็ดันจับเอาทุกข้อความที่ทั้งคู่นั้นพูดกันจนไม่ได้สนใจผู้หญิงที่ตัวเองหนีบมาจากในห้องเต้น สุดท้ายเจ้าหล่อนที่พยายามออดอ้อนผมก็ถอดใจและลุกเดินหนีไปเอง แต่ก็ช่างเถอะครับ ผมหมดอารมณ์แล้วล่ะคืนนี้



"มึง คืนนี้กูขอไปนอนห้องมึงนะ"

ซันซันซึ่งดูจะสร่างเมาแล้วพูดเขินๆ

"อืมม์ เอาสิ แต่มึงขับรถไหวใช่ไหม ตอนนี้กูง่วงมากเลย คงขับไม่ไหวแล้ว"

ผมพูดด้วยน้ำเสียงเมามาย ผมเมาจริงๆ ครับคืนนี้ ผมกินเหล้าไปไม่รู้กี่แก้วตอนที่ทั้งสองคนนั้นสนทนากัน ซันซันพยักหน้าบอกว่าไหวและขอกุญแจรถมาจากผม คืนนี้ผมขับรถมาเองโดยมีซันซันนั่งมาด้วย แต่ตอนนี้ก็คงต้องให้มันเป็นคนขับกลับให้แล้ว

"เอ้า ปรินซ์ เดินระวังหน่อย "

ซันซันประคองผมขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง หลังจากขาผมหายดี ผมก็ย้ายขึ้นไปอยู่ห้องตัวเองแล้วครับ และตลอดสองปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี้ ซันซันก็แวะเวียนมาห้องผมเป็นประจำ ที่บ้านของเราทั้งคู่ชินแล้วครับกับการที่พวกเราเข้านอกออกในห้องของอีกฝ่ายเหมือนเป็นห้องของตนเอง

"ซัน มึงตัวหอมจังว่ะ"

ผมสูดดมฟุดฟิดที่ซอกคอของเพื่อนรัก ผมทำไปเพราะฤทธิ์เหล้าจริงๆ นะครับ ไม่ได้ตั้งใจเนียนจะลวนลามมันจริงๆ

"...มึงใส่น้ำหอมด้วยเหรอวะ?"

ผมถามด้วยเสียงอ้อแอ้

"อืมม์ ไปเที่ยวก็ต้องใส่หน่อย เฮ้ยๆ มึงอย่าสิวะ กูจั๊กจี้"

ซันซันซึ่งประคองผมนั่งลงบนเตียงพยายามดันผมให้ออกห่างจากตัวมัน มันคงจั๊กจี้ที่ผมไปหอมๆ ดมๆ มันแบบนั้น แต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้จริงๆ ครับ สุดท้ายพวกผมก็ล้มลงไปนอนกับเตียงกันทั้งคู่นั่นแหละครับ แต่ถึงผมจะเมาแค่ไหน ถึงผมจะอยากจูบ อยากหอม อยากกอดมันแน่นๆ แค่ไหน สติผมก็ยังมีครับ ทันทีที่มันเรียกชื่อผมอีกครั้ง ผมก็รีบเด้งกายออกห่างจากตัวมันและหัวเราะฮิฮะทำเป็นตลกไปเสีย มันเองก็บ่นผมพึมพำว่าผมเมาแล้วรั่ว

"มึงไปอาบน้ำอาบท่าให้สร่างเมาก่อนดีกว่าว่ะปรินซ์ รีบไปรีบมาล่ะ เดี๋ยวกูมีเรื่องจะถามมึงหน่อย"

ไอ้อ้วนของผมลากผมเข้าไปทิ้งไว้ในห้องน้ำ ผมถอนหายใจ น้ำเสียงจริงจังของมันทำให้ผมแทบสร่างเมา ผมรีบจัดการอาบน้ำแต่งตัวและออกมาเปลี่ยนให้ไอ้ซันไปอาบน้ำ



"หายเมาหรือยังมึง"

ไอ้อ้วนของผมเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ ผมพยักหน้าให้มัน ซันซันลงนั่งข้างๆ ผม

"มึงจะถามอะไรกูวะ?"

ซันซันหน้าแดงขึ้นมาทันที มันอึกอักอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามออกมา

"มึงว่าแตงเขาเป็นไงมั่งวะ?"

ผมนิ่งไป มันอยากได้ยินคำตอบแบบไหนจากปากผมกันแน่ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกและตัดสินใจให้คำตอบในฐานะเพื่อนรัก

"กูว่าเขานิสัยไม่เปลี่ยนไปจากตอนประถมเลย น่ารักยังไงก็ยังงั้น"

"นั่นสินะ นิสัยก็ดีเหมือนเดิม แถมยังสวยขึ้นมากเลย"

ซันซันพูดพลางทำตาลอย ผมชมสาวคนนั้นต่อ

"อือ กูก็ว่างั้น แถมยังเรียบร้อยด้วย อย่างวันนี้ถึงจะมาเที่ยวกลางคืน แต่เขาก็ไม่กินเหล้าเลยใช่ไหม?"

ไอ้อ้วนของผมพยักหน้า

"ใช่ เขาบอกว่ามาเพราะเพื่อนเลี้ยงวันเกิด แต่พวกนั้นนั่งกันในโซนที่ดนตรีดัง เขาอยู่ไม่ไหวเลยลุกมาเดินเล่นแล้วก็เจอกูพอดี"

"อืมม์ น่ารัก นิสัยดี เรียบร้อยแบบนี้ สเป็คมึงเลยใช่ไหม ไอ้ซัน"

 ผมกระเซ้า มันทำหน้าแดงอีกครั้งและผงกหัวตอบรับ



"จีบเลยสิวะ กูเชียร์คนนี้สุดตัว"

ผมพูดยิ้มๆ หลังจากมันเลิกกับส้มมาเกือบสองปี ซันซันก็คบหาผู้หญิงคนอื่นบ้าง แต่ก็ไม่มีใครที่จริงจังจนเรียกว่าเป็นแฟน โดยมากก็คุยๆ กัน โดนหลอกให้เลี้ยงบ้างไปตามเรื่อง ส่วนหนึ่งก็เพราะซันซันมองหาความสัมพันธ์ที่จริงจังไม่ใช่แค่คบฉาบฉวยเหมือนผม

"กูก็คิดอยู่ เท่าที่คุยๆ กันเมื่อกี้ กูว่ากู เอ่อ ชอบเขาว่ะ แต่เขาจะมองกูเหรอ? กูไม่หล่ออ่ะ..."

ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับบ่นกะปอดกะแปดว่าอยากได้รูปร่างหน้าตาสักครึ่งของผมหรือไอ้เจ

"มึงน่ารักจะตาย ไอ้ซัน มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ"

ผมหลุดปากพูดความในใจของตัวเองออกไป ซันซันทำหน้าตูม

"มึงชมนี่กูไม่ดีใจเลยนะ ไอ้ปรินซ์"

"อะไร ก็มึงน่ารักจริงๆ นี่ ไอ้ซัน น่ารักยังกะช่วงช่วงหลินฮุ่ย ไม่ก็หุ่นผู้พันหน้าเคเอฟซี ผู้หญิงที่ไหนจะไม่ชอบมึงวะ"

ผมพยายามเสไปพูดติดตลกแทน ไอ้ซันว๊ากลั่นเมื่อผมเอามันไปเปรียบเทียบกับไอดอลของสวนสัตว์เชียงใหม่ ผมได้แต่หัวเราะเมื่อเห็นมันแกล้งโมโห



"เอ้า กูไม่พูดเล่นแล้ว ซันซัน กูขอถามมึงสนใจแตงเขาจริงๆ หรือเปล่า?"

ซันซันผงกหัว

"อืมม์ สน แต่กูไม่รู้จะไปเข้าหาเขายังไงว่ะ เราเรียนกันคนละคณะ โอกาสได้เจอกันยากอยู่ เอ่อ เขาให้เบอร์กูมา แต่กูไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยยังไง"

มันพูดเสียงอ่อยๆ เมื่อเกือบสิบปีก่อนนั้นไม่ได้มีไลน์ที่จะทักไปคุยกันได้ง่ายๆ เหมือนสมัยนี้ครับ ในตอนนั้นเฟซบุ้คยังเพิ่งจะเริ่มบูมด้วยซ้ำมั้งครับ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการโทรคุยกัน

"เห้ย ไม่ต้องห่วง ไอ้ซัน เดี๋ยวป๋าติวให้เองครับ รับรองจีบติดแน่ๆ"

ผมตบอกตัวเองเบาๆ ผมก็รู้สึกถูกชะตากับแตงเหมือนกันและถ้าซันซันจะมีแฟนสักคน มันก็เป็นการดีที่มันจะคบกับคนที่รู้จักผมด้วย

"แตงเขาเรียนมนุษย์ฯ ภาษาอังกฤษใช่ไหม? มึงก็ขอไอ้ครีมมันช่วยสิวะ มันมีเพื่อนอยู่แถวนั้นหลายคน"

ผมพูดถึงเพื่อนสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มของพวกเรา

"เออ ใช่ว่ะ เพื่อนสนิทของครีมตอนม.ปลายก็เรียนที่นั่นด้วยนี่ ดีๆๆ ไว้พรุ่งนี้มึงเตือนกูให้ถามมันด้วยนะ"

ซันซันพูดด้วยสีหน้าชื่นบาน ถึงใจจะคิดว่ามันโอเค ผมก็อดปวดแปลบในอกไม่ได้ ในฐานะเพื่อน ผมอยากเห็นมันมีความสุข อยากให้มันได้เจอกับความรักที่มันตามหา แต่ในฐานะคนที่แอบมองมันมาตลอด ผมก็อดริษยาแตงไม่ได้ แต่สุดท้าย ความปรารถนาให้มันมีความสุขก็ยังคงชนะอยู่ดี เอาล่ะครับ ผมพร้อมจะช่วยเหลือมันทุกทางแล้ว



สุดท้าย คำแนะนำของผมก็เป็นผล ไอ้ครีมมันรู้จักแตงจริงๆ อย่างที่คิด แตงค่อนข้างสนิทกับเพื่อนของครีมที่อยู่สาขาวิชาเดียวกัน พวกเรานัดให้แตงกับซันซันเจอกันบ่อยครั้ง ช่วงแรกๆ เรานัดเจอกันเป็นกลุ่มก่อน โดยมีผม เจ และครีมคอยตามไปให้กำลังใจไอ้ซัน หลังจากพบปะกันหลายครั้ง ผมดูออกได้ว่าทั้งคู่คุยกันถูกคอ ไม่นานทั้งคู่ก็เริ่มไปไหนมาไหนกันสองต่อสอง

"ไอ้ซันล่ะ?"

เจถามผมพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ในห้องเล็คเชอร์

"เทอมนี้มันเริ่มเรียนคาบสอง ก็เลยไม่ได้มาพร้อมกัน จากนั้นมันคงเลยไปหาแตงเลยมั้ง"

ผมตอบไป วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยของพวกผมครับ ตั้งแต่ขึ้นปีสามเทอมสอง มันก็เริ่มมีวิชาที่พวกผมและซันซันเรียนไม่ตรงกันแล้วครับ ผมและเจเลือกเรียนสายที่เกี่ยวกับการจัดการโรงแรม ส่วนซันซันเน้นไปทางด้านการจัดการภัตตาคารและการครัว แล้วเมื่อขึ้นปีสี่ซึ่งหนักไปทางวิชาเลือก พวกผมยิ่งแทบไม่เจอกันเลย อย่างในวันนี้ผมเรียนการจัดการกิจกรรมสำหรับธุรกิจโรงแรมคาบเช้าสุด ส่วนซันซันแยกไปเรียนการออกแบบอาหาร มันทำให้เราได้เจอกันน้อยลง ส่วนเมื่อพัก มันก็จะแวะมาหาพวกผมแป๊บๆ จากนั้นก็ไปหาแตงซึ่งมันขอคบเป็นแฟนอย่างจริงจังแล้วครับ

"เหงาเลยสิมึงอ่ะ"

เจพูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ผมเจ็บแปลบอยู่ในอก เหงาสิครับ จากที่ผมกับมันเคยกินข้าวเที่ยงด้วยกันทุกวัน รอกลับบ้านด้วยกัน ไปเดินห้างบ้าง ดูหนังบ้าง แต่ตอนนี้คนที่อยู่ข้างๆ มันไม่ใช่ผมอีกแล้ว ไม่เหมือนตอนคบกับส้ม ตอนนี้มันแทบไม่ค่อยชวนผมไปไหนด้วยกันกับมันและแตง เราจะได้เจอกันบ้างตอนกลางคืนเมื่อมันรู้สึกอยากพูดคุย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วครับว่าผมทำถูกหรือเปล่า



"หืมม์? ว่าไง ปรินซ์ ตกลงจะไปไหม?"

เจสะกิดผมเบาๆ

"หือ? อะไรนะ กูไม่ทันฟัง"

"คืนนี้อะ กูว่าจะไปผับที่เปิดใหม่แถวๆ นิมมานฯ หน่อย ที่มันอยู่ใกล้คอนโดที่กูไปซื้อห้องไว้อ่ะ"

ผมพยักหน้าตอบรับเมื่อเจชวนผมไปผับ xxx ซึ่งในปัจจุบันคือผับประจำของพวกผม ตอนนั้นผับนี้เพิ่งเปิดครับ ช่วงนั้นไอ้เจมันไปซื้อห้องในคอนโดที่กำลังสร้างไว้ ก็คืิอคอนโดที่มันอยู่ตอนนี้แหละครับ ตอนแรกมันจองห้องเล็กไว้กะเอาไว้ซุกหัวนอนตอนเที่ยวกลางคืนแถวย่านนิมมานเหมินท์ แต่หลังจากนี้ประมาณเกือบสองปี พ่อเจก็เสียชีวิตกระทันหัน พอป้าฟองนวลตัดสินใจขายบ้านในเมืองแล้วย้ายออกไปอยู่กับพี่จืด เจก็เลยขายห้องที่มันยังไม่ทันเข้าอยู่นี้และไปซื้อห้องที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือห้องที่มันอยู่ในตอนนี้แทนครับ

"ตอนนี้ก็คงเหลือกูกับมึงเที่ยวกันอยู่สองคนแล้วนะ ไอ้ปรินซ์"

เจพูดยิ้มๆ พร้อมตบหลังผมเบาๆ

"อืมม์ ก็ดี กูจะได้ไม่ต้องห่วงคอยพาไอ้ซันกลับบ้าน"

คืนไหนที่ซันซันไม่ได้มาเที่ยวด้วย ผมมักใช้เวลาหลังผับเลิกที่ห้องผู้หญิงสักคน เจก็เช่นกัน แต่มันมักจะเป็นห้องของสาวที่มันตกได้ในคืนนั้น แต่ผมนั้นอาจจะเป็นห้องของสาวสักคนที่ผมควงอยู่ในตอนนั้น ในช่วงนั้นผมเริ่มคบผู้หญิงมากหน้าหลายตาเพราะผมมีเวลาว่างในช่วงกลางวันมากขึ้น ถ้าไม่ไปไหนมาไหนกับเจ ผมก็มักจะไปหาสาวๆ ที่ผมสับรางควง ผมทำแบบนั้นเพื่อที่จะไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านว่าตอนนั้นไอ้อ้วนของผมกำลังมีความสุขกับแฟนของมันแค่ไหน                             

"นี่ๆ ไอ้ปรินซ์ คืนนี้มึงเตรียมตัวดีๆ ล่ะ"

เจสะกิดผมอีกครั้ง ผมมองหน้ามัน ไอ้ตัวดีทำหน้ากรุ้มกริ่มและยักคิ้วให้ผม

"คืนนี้พี่พลอยมานะมึง..."

เจพูดยิ้มๆ

"...พี่เขาบอกว่าอยากทำความรู้จักกับมึงด้วย"

คุณคงเดาได้นะครับว่าคืนนั้นมันจบลงแบบไหน ผมกับไอ้เจแชร์ผู้หญิงกันบ่อยครับ เรียกได้ว่าผมรู้เช่นเห็นชาติมันหมดแล้วลีลามันเป็นยังไงบ้าง คืนนั้นพวกผมก็ช่วยกันบริการหมอพลอยจนหนำใจ เรียกได้ว่ากว่าจะกลับบ้านก็เกือบสว่างแล้วครับ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.4 (ต่อ) ----




"ฮัลโหล"

ผมรับโทรศัพท์ซึ่งดังไม่หยุดด้วยเสียงอ่อนระโหย พี่พลอยของไอ้เจสูบพลังผมจนเกือบหมดจริงๆ

"เฮ้ย มึง เป็นอะไรหรือเปล่า กูพยายามโทรหามึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไม่รับสายเลย"

ซันซันส่งเสียงเจื้อยแจ้วมา ผมยกมือถือขึ้นดู เหอะๆ มีมิสคอลจากมันเพียบจริงๆ

"เออ ขอโทษจริงๆ ว่ะ เมื่อคืนกูไปเที่ยวกับไอ้เจมา..."

"เอ่อ กูโทรไปกวนมึงตอนอยู่กับสาวสินะ"

ไอ้อ้วนของผมพูดแซว

"อืมม์"

ผมตอบสั้นๆ และรู้สึกได้ถึงความเงียบจากอีกฝั่ง

"เอ่อ...ปรินซ์"

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซันซันก็พูดขึ้นมา

"เดี๋ยวกูไปหาได้ไหมวะ?"

ผมยกนาฬิกาขึ้นดู ตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงกว่าเอง ผมถอนหายใจเบาๆ

"ได้ มาสิ ถ้ามาเคาะห้องแล้วกูยังเงียบก็เข้ามาเลยนะ กูอาจจะเผลอหลับไปอีก ไม่ไหวว่ะ เพลียชิบ"

ซันซันหัวเราะและแซวว่าผมหักโหมเกินไป ผมก็ได้แต่หัวเราะครับ



ไม่นานไอ้อ้วนของผมก็เปิดประตูเข้ามาในห้องผม มันได้เขย่าปลุกผมซึ่งหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจริงๆ ครับ ผมลุกขึ้นนั่งและบิดขี้เกียจ

"ไงวะ มาหาแต่เช้าแบบนี้ มีอะไรมาปรึกษากูอีก?"

ผมหาวหวอดๆ และเหลือบดูไอ้ซันที่ทำหน้าแดง

"ไม่มีอะไรปรึกษาแล้ว กูแค่อยากเล่าอะไรให้มึงฟังอ่ะ"

ใจผมกระตุก รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของมันทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

"เล่าอะไรวะ ด่วนถึงขั้นต้องกวนกูแต่เช้าขนาดนี้เลย?"

ซันซันท่าเขินอายก่อนที่จะพูดสิ่งที่ทำให้ผมต้องตะลึงไปออกมา

"กูไม่ซิงแล้วนะโว้ย"

ผมมองดูใบหน้าแดงก่ำของมันและพยายามประมวลผลสิ่งที่มันพูดออกมา

"เฮ้ย ไหงมันเร็วจังวะ มึงกับแตงเพิ่งคบกันได้กี่เดือนเอง?"

ผมพูดอะไรก็ไม่รู้ออกมาครับ ตอนนั้นสติผมปลิวหายไปแล้ว ผมเคยเข้าใจว่ามันที่ไม่ประสาจะต้องมาคุยมาปรึกษากับผมก่อนว่าจะเข้าหาผู้หญิงยังไง จะโอ้โลมปฏิโลมแบบไหน ถ้ามันพูดแบบนั้นอย่างน้อยผมยังจะพอทำใจก่อนได้ แต่นี่ไม่มีอะไรบ่งบอกทั้งนั้นครับ

"ฮึ่ย กูกับเขาก็คบกันมาสิบ...สิบเอ็ดเดือนแล้วมั้ง จูบกันไปก็หลายครั้งแล้ว"

ซันซันหน้าแดงระเรื่อเมื่อพยายามอธิบายให้ผมฟัง ผมงี้งงเลยครับ ไปทันจูบอะไรกันตอนไหน คืองี้ครับ พอซันซันคบแตง บางทีมันก็อยากจะเล่านั่นนี่ให้ผมฟัง แต่ผมก็มักจะเลี่ยงเสมอเพราะผมก็ไม่ค่อยจะอยากฟังเรื่องชีวิตรักของมันนักครับ ไม่ก็รับฟังแบบให้ผ่านหูไป แต่ในวันนี้มันจู่โจมผมทีเผลอจริงๆ



"แล้ว?"

ผมเลิกคิ้วถาม มันยิ้มหน้าบานให้ผมเหมือนเดิมและจัดการเล่าเรื่องราวให้ผมฟังเสร็จสรรพ

"ก็กูพาเขาไปดูหนังรอบดึก จากนั้นก็ไปมิลค์โซนหน้ามช. เสร็จแล้วก็พาเขาไปส่งที่คอนโด..."

แตงซึ่งมาจากเชียงรายพักอยู่ที่คอนโดแถวๆ มหาวิทยาลัยครับ โดยปกติแล้วพอเที่ยวเสร็จ ซันซันก็จะไปส่งแฟนที่คอนโด แต่มันไม่เคยขึ้นห้องของแตงซักทีนะครับ แต่ในคืนนั้น สาวเจ้าชวนมันขึ้นไปนั่งคุยกันต่อที่ห้อง

"เมื่อคืนรูมเมทของแตงไม่อยู่ กูก็เลยขึ้นไป นั่งคุยๆ กัน ก็มีจุ๊บกัน นั่นนี่ตามประสา..."

ซันซันเล่าให้ผมฟังอย่างมีความสุข มันเคยจับมือ หอมแก้มและจูบแฟนมันมาก่อน แต่โดยมากก็อยู่ในรถบ้าง ใต้คอนโดบ้าง ในโรงหนังบ้างและไม่ได้มีโอกาสที่จะทำอะไรเลยเถิดกว่านั้น แต่ในคืนนั้นทุกอย่างเป็นใจไปหมด

"...มันก็เป็นไปเองตามธรรมชาติอ่ะมึง ตอนแรกกูก็ว่าจะหยุดแล้ว แต่เขาบอกว่าได้ กูก็เลยจัดเลย แม่ง โคตรสุขเลยว่ะ กูเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงกับไอ้เจชอบเซ็กส์นัก มันดีกว่าใช้มือเยอะเลยมึง"

ซันซันทำตาลอย



"แล้วมึง เอ่อ...ทำเป็นด้วยเหรอวะ?"

ผมถามโง่ๆ แบบนั้นออกไปได้ไงไม่รู้ครับ

"ฮึ่ย ทำเป็นสิวะ กูก็จำๆ จากที่มึงเคยเล่าเคยพูดนั่นแหละว่าต้องทำอะไรมั่ง เขายังชมเลยว่ากูเก่ง"

มันถูจมูกและทำท่าภูมิใจ ผมรู้สึกเสียใจมากครับที่ไปเล่านั่นนี่ให้มันฟัง เอ แต่มันมีจุดที่สะดุดใจผมนิดหน่อย

"หืมม์? เขาชมมึงด้วย? แปลว่า?"

"อือ กูไม่ใช่คนแรกของเขาหรอก แตงเขาเคยมีแฟนมาก่อน แล้วก็เคยมีอะไรกับแฟนแล้ว เขาเล่าให้กูฟังหมดแหละ เราไม่มีความลับต่อกันน่ะ"

ซันซันยิ้มให้ผม ผมยิ้มฝืนๆ จริงๆ ผมควรต้องยิ้มมากกว่านี้สิ เพื่อนคนสนิทของผมกำลังมีความสุขแท้ๆ แต่ตัวผมในตอนนั้นยิ้มไม่ออกจริงๆ ครับ

"แล้วมึงได้ป้องกันไหมวะ?"

ผมต้องถามก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง

"ไม่ต้องห่วงๆ กูจำที่มึงสอนกูได้ กูใช้ไอ้ที่มึงให้กูติดกระเป๋าไว้นั่นแหละ"

ครับ ผมบังคับมันพกถุงยางติดกระเป๋ามาตั้งแต่ม.ปลายแล้วและกำชับมันให้เปลี่ยนบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าที่สุดมันก็จะได้ใช้ นี่ผมควรจะดีใจใช่ไหม? ผมควรจะพูดอะไรกับมันต่อดี?



"งั้นทีนี้มึงก็ไม่ต้องมาห้องกูแล้วสิ ไอ้ซัน มึงมีของจริงแล้วนี่"

ผมแซวมัน ซันซันทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมา

"กูก็ไม่รู้ว่ะ ไงดี กูก็ชอบนะ เซ็กส์เนี่ย แต่กูก็ไม่อยากจะไปกดดันเขาให้ต้องมีอะไรกับกูบ่อยๆ กูอยากให้เขารู้ว่ากูคบเขาเพราะว่ากูรักเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องทางกาย"

รัก? ผมเพิ่งได้ยินคำว่ารักออกจากปากซันซันเป็นครั้งแรกนี่แหละครับ กับส้มและคนอื่นๆ ที่มันคบรายทาง ผมเคยได้ยินมันพูดแค่ว่าชอบเท่านั้น

รัก รัก รัก คำๆ นั้นก้องไปมาในหัวของผม

"ยอมพูดแล้วสินะว่ามึงรักเขา"

ผมลอบสูดลมหายใจเข้าปอด จากนั้นยกแขนขึ้นโอบไหล่มันและเขย่าเบาๆ ซันซันหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข

"ใช่ กูรักเขา กูกล้าพูดเลย และรู้ไหม ไอ้ปรินซ์ กูว่ากูเจอคนที่กูอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตแล้ว"

ผมยิ้มค้าง นั่นคือสิ่งที่ผมเคยหวังที่จะเป็นมาตลอด แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้ผมคงต้องปล่อยมือจากมันแล้วสินะ ผมตบไหล่มันเบาๆ และไม่พูดอะไรอีก ผมปล่อยให้มันพร่ำเพ้อถึงแตงต่อไป โดยปล่อยให้คำพูดของมันลอยผ่านหูผมไป



วันนั้นทั้งวันผมแทบไม่มีกระใจทำอะไร ผมรู้ซึ้งแล้วว่าคำว่าอกหักนี่มันเป็นอย่างไร นับจากวันนั้นผมออกเที่ยวอย่างหนักและพยายามเลี่ยงการพบปะกับซันซันและแตง การเรียนของผมที่เคยสวยหรูก็ตกลงมาบ้าง แต่ยังดีที่ได้ไอ้เจมันช่วยเคี่ยวเข็ญผมให้เรียน ผมจึงผ่านเทอมสุดท้ายก่อนฝึกงานมาได้

เมื่อถึงตอนฝึกงาน ผมกับเจฝึกงานที่โรงแรมสี่ดาวเปิดใหม่กลางย่านไนท์บาร์ซาร์เหมือนกัน ก็ที่มันบ่นให้คุณกับป๋าฆาเบียร์ฟังว่าเบื่อตอนทอดไข่นั่นแหละครับ นอกจากในครัวแล้วเรายังได้ลองทำสารพัดหน้าที่ ทั้งฟรอนท์ แม่บ้าน คอนเสียจและอื่นๆ ส่วนซันซันซึ่งเรียนสายครัวนั้นไปฝึกงานที่รีสอร์ทห้าดาวชื่อดังแถบแม่ริม มันยิ่งทำให้พวกผมแทบไม่เจอหน้ากันเลยกว่าสามเดือน แต่ผมจะได้เจอมันบ้างที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้เจอแค่มันคนเดียวครับ

เมื่อซันซันเริ่มคบหาแตง มันก็ได้พาแฟนสาวของมันเข้ามาแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก แตงชนะใจพ่อแม่และอาม่าของซันซันด้วยความสดใสและกริยามารยาทที่เรียบร้อย ยิ่งรู้ว่าแตงคือลูกสาวของเพื่อนที่เคยมาเล่นที่บ้านตั้งแต่ตอนเล็กๆ ครอบครัวของซันยิ่งอ้าแขนรับแฟนของลูกชายคนนี้ ยิ่งนานวัน แตงก็เข้านอกออกในบ้านของซันซันได้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เป็นเหมือนกับที่ผมเคยเป็น หากตอนนี้ผมผันตัวกลายเป็นคนนอกที่คอยเฝ้ามองมันอยู่ห่างๆ ผมเข้าใจแล้วว่าต่อให้ผมอยากเดินเคียงคู่มันไปตลอดชีวิตแค่ไหน แต่ที่ตรงข้างกายของมันนั้นไม่มีทางเป็นของผู้ชายอย่างผม



"มึง เดี๋ยวกูเข้าไปหานะ"

เสียงสดใสของซันซันดังผ่านลำโพงมา

"คืนนี้ไม่สะดวกว่ะ เดี๋ยวกูจะออกไปที่ xxxx น่ะ นัดไอ้เจมันไว้"

"อีกแล้วเหรอวะ? นี่มึงออกบ้านทุกคืนเลยนะ ไอ้ปรินซ์ เพลาๆ มั่งเหอะว่ะ"

ไอ้อ้วนของผม เอ่อ ของแตงบ่นพึมพำ ผมถอนหายใจ

"มึงมีอะไรด่วนไหม? ถ้าด่วนก็เข้ามาก็ได้ กูค่อยโทรไปแคนเซิลไอ้เจมัน"

"อืมม์ ก็ไม่ได้ด่วนอะไรนักหรอก แค่อยากคุยกับมึงน่ะ ช่วงนี้กูไม่ค่อยได้คุยกับมึงเลย"

มันทอดเสียงพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ แค่นี้ก็เพียงพอที่ทำให้ผมรีบส่งข้อความไปแคนเซิลนัดกับเจแล้วครับ ไม่นานนักไอ้อ้วนก็มาเคาะประตูห้องผม



"ไง ไม่เจอมึงเลยนะไอ้ปรินซ์ ช่วงนี้ยุ่งเหรอวะ?"

"อืมม์ ก็ยุ่งบ้างอ่ะ ฝึกงานโค้งสุดท้ายแล้วนี่"

มันลงนั่งบนเตียงของผมเหมือนทุกที ผมลงนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะคอมพ์ มันถามไถ่สารทุกข์สุกดิบผมอยู่พักใหญ่ พวกเราเริ่มคุยกันเหมือนที่เคยทำมาตลอด ซันซันมันยังคงไม่สังเกตความผิดปกติในท่าทางของผม ผมไม่ได้อยากทำตัวห่างเหินกับมันนะครับ แต่ผมทนฟังเรื่องแฟนมันไม่ไหวจริงๆ

"กินน้ำไหม? เดี๋ยวกูไปรินมาให้"

ผมพูดขัดจังหวะตอนที่มันกำลังคุยถึงทริปที่มันกับแตงแพลนจะไปเที่ยวด้วยกันที่ฮ่องกง

"เดี๋ยวๆ มึงฟังกูเล่าก่อนสิ"

"เออๆ กูรู้แล้วๆ มึงจะพาเขาไปที่นั่นที่นี่ แล้วจะพาไปบนวิคตอเรียพีคแล้วไงอีก?"

ผมลุกไปเปิดตู้เย็นและรินน้ำใส่แก้ว

"กู เอ่อ กูกะว่าจะขอเขาแต่งงานที่นั่น"



"เชี่ย!"

ผมอุทานดังลั่นเมื่อแก้วในมือผมหลุดตกลงบนพื้นและแตกกระจาย

"มึง! อย่าขยับนะ เดี๋ยวกูเก็บให้"

ซันซันรีบปรี่เข้ามาจัดการเก็บเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนพื้น ผมยืนนิ่งๆ มองไอ้ซันที่ก้มๆ เงยๆ เก็บเศษแก้วบนพื้น มันยังคงเป็นซันซันคนเดิมที่คอยแก้ไขปัญหาให้ผม คอยดูแลผมตั้งแต่เล็กจนโต ผมอดไม่ได้ต้องเอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมของมันเบาๆ มันหันหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบให้มัน แต่ในใจผมนั้นกำลังร้องไห้

"มึงจะขอแตงแต่งงานแล้วเหรอวะ? "

ผมถามมันหลังจากที่จัดการกับเศษแก้วจนหมดแล้ว ซันซันยิ้มกว้าง

"อืมม์ กูคุยกับพ่อแม่แล้ว แตงเขาจะไปเรียนต่อโทที่ออสเตรเลียหลังเรียนจบ กูก็เลยว่าจะตามไปเรียนด้วย มึงก็รู้ว่าป้ากูอยู่ที่นู่น"

คุณผู้อ่านจำป้าของซันซันได้ไหมครับ ที่ผมบอกว่าท่านแต่งงานกับชาวต่างชาติน่ะครับ ป้าของซันซันแต่งงานกับเชฟชาวออสเตรเลีย ลุงเขยของซันซันเปิดร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นอยู่ที่เมืองซิดนีย์และกิจการก็ไปได้ด้วยดี



"แตงเขาจะไปเรียนป.โท บริหารที่ซิดนีย์ กูก็เลยว่าจะไปลงเรียนที่ Le Cordon Bleu ที่นั่นด้วย กูลองดูๆ แล้ว มันมีแบบใบประกาศนียบัตรที่ใช้เวลาเรียน 15 เดือน เรียนคอร์สเวิร์ค 9 เดือน สัปดาห์ละ 3-4 วัน วันที่เหลือกูก็จะไปช่วยงานลุงเจฟเขาที่ร้าน แล้วก็มีฝึกงานอีก 6 เดือน เห็นเขาว่าจะได้ค่าแรงด้วย"

ซันซันพูดด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

"นี่กูก็ไปสอบ IELTS อะไรไว้แล้ว ส่งใบสมัครไปแล้ว ถ้าไม่ติดอะไร กูก็คงเริ่มไปเรียนเดือนกรกฎานี้เลย จะได้เริ่มไปพร้อมๆ กับคอร์สของแตงเขาด้วย ของเขาเริ่มมิถุนาฯ "

กรกฎาคม? อีกไม่ถึงหกเดือนเองนะครับ ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินเรืี่องนี้มาก่อน? ถ้าผมรู้ ผมคงขอป๊าให้ส่งผมไปเรียนต่อบ้าง แต่สมัครตอนนี้มันจะไปทันอะไร

"...กูก็เลยว่าจะขอเขาแต่งงานเลย"

ผมสะบัดหน้าเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัว

"เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ?"

ผมถามซันซันอีกรอบ

"อ๋อ คือกูคุยกับพ่อแม่กู แล้วก็ปรึกษากับพ่อของแตงแล้ว กูว่ากูจะเช่าบ้านหรืออพาร์ทเมนท์อยู่กับแตงที่ซิดนีย์เลยจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย แล้วก็จะได้คอยดูแลกันด้วย ทีนี้พ่อแม่กูเลยบอกว่าอยากให้พวกกูหมั้นกันไว้ก่อนจะได้ไม่น่าเกลียด กูก็เลยจะขอแตงแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวไป"

หัวใจผมเจ็บแปลบขึ้นมาอีกแล้วครับ แต่ผมก็ต้องทำหน้าระรื่นต่อไป



"เพื่อนกูจะมีเมียแล้วโว้ย! แบบนี้ก่อนไปพวกเราต้องไปเมาฉลองกันสักที ดีไหม?"

ไอ้ซันหัวเราะเขินๆ

"เฮ้ย ให้กูไปขอเขาให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยฉลองดีกว่าว่ะ"

"ไม่ต้องห่วงหรอกไอ้ซัน คนดีๆ อย่างมึงไปขอใครแต่งงานเขาก็เซย์เยสทุกคนนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก"

ผมตบไหล่เพื่อนเบาๆ

"ว่าแต่ ไปอยู่นู่นก็อย่าลืมคุมนะเว้ย อยู่กันสองต่อสองนี่ เช้าเย็นๆ เลยป่าววะ?"

ผมพยายามแซวซันซัน

"เฮ้ยๆ กูไม่ใช่มึงหรือไอ้เจนะเฟ้ย กูถนอมหนูแตงของกู ไม่ใช้เปลืองแบบพวกมึงหรอก..."

มันบ่นผมอุบอิบ ผมถึงขั้นอึ้งเมื่อได้รู้ว่านับตั้งแต่มันเปิดซิงตัวเองกับแตงไปเมื่อกว่าหกเดือนที่แล้ว มันได้แตะต้องและแสดงความรักขั้นสุดกับแฟนตัวเองอีกแค่สามครั้งเท่านั้น



"เฮ้ย ไอ้ซัน มึงผิดปกติป่าววะ? นี่มึงไม่คิดอยากอะไรๆ เขามั่งเหรอวะ?"

ผมโวยขึ้นมาอย่างลืมตัว

"ก็อยากอยู่ แต่กูก็อยากถนอมเขาอ่ะ แล้วก็ไม่อยากให้เขารู้สึกว่ากูคบเขาเพราะอยากนอนกับเขาอย่างเดียว กูก็เลยรอให้บรรยากาศเป็นใจแล้วเขามีทีท่าเชิญชวนก่อนอ่ะ"

ผมกุมขมับในความไม่ได้เรื่องของไอ้เพื่อนผมคนนี้จนลืมความเจ็บปวดในอกของตัวเองไปจนหมด

"มึงเอ๊ย คนเป็นแฟนกันมันก็ต้องมีการแสดงความรักกันบ้าง​ ผู้หญิงเรียบร้อยอย่างแตงเขาไม่แสดงออกโต้งๆ หรอกว่าอยากมีอะไรกับมึง  บางทีมึงก็ต้องเป็นคนรุกเองมั่ง นี่พอไปอยู่เมืองนอกมึงก็ใช้โอกาสให้คุ้มซะนะ อย่าให้เขาต้องได้รอ"

ผมบ่นไอ้ซันจนมันหน้าจ๋อย

"แต่กูก็กอดๆ จูบๆ หอมๆ เขาตลอดนะ"

"แล้วเวลามึงกอดๆ จูบๆ เขาจนมีอารมณ์แล้ว มึงทำไงวะ?"

ผมซักไซ้มันต่อ มันหน้าแดงก่ำและอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบว่ามันก็กลับบ้านมาจัดการตัวเอง ผมไม่กล้าถามว่าทำไมมันถึงไม่มาขอให้ผมช่วยมันอีกเหมือนที่แล้วๆ มา มันคงมองว่ามันมีแฟนแล้วและไม่จำเป็นต้องใช้ผมอีกต่อไป

"เห้อ ก็แล้วแต่มึงแล้วกัน แต่ละคู่ก็มีวิธีที่ต่างกันไป วิธีของกูกับไอ้เจก็อาจจะฮาร์ดคอร์ไปสำหรับเด็กน้อยอย่างคู่มึง แต่ก็ฟังคำกูหน่อยแล้วกัน มึงต้องพยายามเติมความหวานให้เขามั่ง โอเคไหม?"

ซันซันพยักหน้ารับคำและบอกว่าจะเอาไปคิดดู

"ไหน แล้วเล่ามาหน่อยซิ ว่ามึงคิดจะขอเขาแต่งงานแบบไหน?"

ผมตัดสินใจสวมหน้ากากเพื่อนสนิทผู้คอยให้คำปรึกษาอีกครั้ง ซันซันยิ้มกว้างอย่างมีความสุขอีกครั้งและเริ่มเล่าแผนการของมันให้ผมฟังต่อ



หลังฝึกงานเสร็จและเรียนจบ ซันซันก็พาแตงไปเที่ยวฮ่องกง มันขอแฟนมันแต่งงานบนยอดวิคตอเรียพีคตามคาด ผลเหรอครับ มันก็ต้อง Yes อยู่แล้ว

ชีวิตของพวกผมหลังฝึกงานเสร็จก็วุ่นวายและมีการเปลี่ยนแปลงกันพอสมควรครับ ซันซันกับคู่หมั้นของมันก็วุ่นอยู่กับการเตรียมไปเรียนต่อ แตงจะบินล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเตรียมเข้าเรียนในเดือนมิถุนายน ส่วนซันซันจะตามไปเดือนกรกฎาฯ ส่วนไอ้เจก็เข้าทำงานที่โรงแรมเดียวกับครีม ก็โรงแรมที่พวกมันฝึกงานนั่นแหละครับ แต่ผมดูออกว่ามันไม่ค่อยแฮ้ปปี้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะในช่วงนั้นไอ้ครีมมันเริ่มมีผู้ชายมาติดพัน ส่วนผมก็ไปช่วยงานที่บ้านตามที่ป๊าผมเคยขอไว้ ช่วงที่แล้วคนที่ช่วยทำงานที่บ้านก็คือพี่คิง แต่พอผมเรียนจบแกก็เลยขอไปเรียนต่อโทบ้าง ช่วงกลางวันผมก็จะช่วยงานที่บ้าน พอตกกลางคืนคนอกหักสองคนอย่างผมกับไอ้เจก็ออกเที่ยวแทบทุกคืน ผมดื่มเพื่อให้ลืมไอ้ซัน ส่วนเจมันก็ดื่มเพราะครีมมีแฟนแล้ว ส่วนซันซันก็แทบไม่ได้ไปไหนมาไหนกับพวกผมอีกเพราะเตรียมตัวที่จะเดินทาง

สองสัปดาห์ก่อนเดินทางพวกผมเตรียมจัดปาร์ตี้เลี้ยงส่งไอ้ซัน แต่ปาร์ตี้ก็ล่มไม่เป็นท่าเพราะเรื่องไอ้ครีมกับแฟนคนแรกของมันที่เจเคยเล่าไปเมื่อก่อนหน้านี้ ผมเพิ่งเคยเห็นไอ้เจโกรธจัดก็คราวนั้นนั่นแหละครับ ผมนึกว่ามันจะชกไอ้ผู้ชายคนนั้นคว่ำเสียแล้ว แต่มันเลือกใช้วิธีที่นิ่มนวลกว่านั้น พวกคุณรู้อะไรไหมครับ? ผมเห็นเจในวันนั้นแล้วก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ของมันกับผมอันไหนจะแย่กว่ากัน มันนั้นหลงรักคนที่รู้ว่ารักมันตอบแต่ไม่กล้าพอที่จะสานสัมพันธ์เพราะกลัวทำมันพัง กับผมที่รักคนที่ไม่สมควรรักและรู้ว่าอาจจะไม่มีวันได้รักกลับคืน คุณว่าแบบไหนมันแย่กว่ากันครับ?



ปีใหม่ผ่านพ้นไป ซันซันไปเรียนได้หกเดือนกว่าแล้วครับ ผมกับมันติดต่อกันผ่านเฟซบุ๊คและอีเมล์และสไกป์ แต่ถึงจะติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ แต่ผมก็รู้สึกว่ามันบ่อยไม่เท่าที่ใจต้องการเลยครับ มันเป็นการห่างกันครั้งที่ยาวนานที่สุดของพวกผม ช่วงตอนมัธยมที่เรามึนตึงกันไป อย่างน้อยผมก็ยังได้เจอหน้ามันในห้องเรียน แต่นี่ผมได้เห็นมันแค่จากในจอคอมพ์และภาพถ่ายที่มันโพสต์ลงในเฟซบุ๊ค ซึ่งก็เต็มไปด้วยรูปมันถ่ายคู่กับคู่หมั้นของมัน ผมแทบไม่อยากดูเลยครับ ในตอนนั้นใจผมเต็มไปด้วยความริษยา ผมรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีให้มันอย่างชัดแจ้งก็ในคราวนั้นแหละครับ

ในตอนนั้น ผมคิดถึงมัน คิดถึงสุดหัวใจ ทุกวันผมตื่นขึ้นและจะใช้เวลามองออกไปยังหน้าต่างห้องของมันซึ่งอยู่ตรงกับหน้าต่างห้องของผม ใจผมก็จะคิดว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ ยามค่ำคืน ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันกับคู่หมั้นของมันอาจจะกำลังเปลือยร่างกกกอดกันอยู่ ภาพในหัวทำให้ผมคลั่ง ผมจึงใช้เวลากลางคืนไปกับการดื่มและสังสรรค์ แต่ผมไม่ได้ไปกับเจแล้วครับเพราะมันทำงานโรงแรมซึ่งไม่มีเวลาทำงานตายตัว ผมกับมันเจอกันน้อยลง ไอ้เจเริ่มใช้เวลาแฮงก์เอาท์กับพี่นพซึ่งมันรู้จักจากห้องในเว็บพันXิป ส่วนผมก็เริ่มมีสังคมใหม่

ผมเริ่มคบหากับพวกนักเที่ยวที่คุ้นๆ หน้ากันจากที่ผับ หลังปิดร้าน ผมก็จะแต่งตัวออกบ้านเพื่อไปสังสรรค์ ผมรู้ว่าป๊ากับม๊าผมเริ่มกังวล แต่พวกท่านเลี้ยงผมมาแบบค่อนข้างปล่อยเมื่อเทียบกับบ้านซันซัน ท่านจึงปล่อยให้ผมทำตามใจตราบใดที่ผมยังช่วยงานร้านอย่างไม่บกพร่อง ป๊าผมบอกว่าป๊ายอมให้เพราะไว้ใจว่าผมจะไม่ทำอะไรที่เสื่อมเสียและเป็นการทำร้ายตัวเอง



แต่ป๊าคิดผิดครับ

วันเวลาอันเปลี่ยวเหงา ภาพความสุขของซันซันกับแตงที่ผมได้เห็นแทบทุกวัน ความริษยาที่กัดกินใจผม ความคะนึงหา ความเสียใจที่ผมไม่เคยได้บอกความในใจให้มันรู้ ทั้งหมดนี้กัดกินหัวใจและสติสัมปชัญญะของผม เหล้าที่กรอกเข้าปากไปไม่สามารถทำให้ผมลืมสิ่งพวกนี้ได้ ผมจึงหันไปหาอะไรที่แรงกว่าซึ่งหาได้ง่ายๆ จากก๊วนเพื่อนใหม่ของผม

"ลองสิ รับรองจะติดใจ มันเด็ดกว่าอีมาก"

หนุ่มใหญ่รุ่นพี่ เพื่อนเที่ยวคนใหม่ของผมคนหนึ่งส่งธนบัตรที่ม้วนเป็นหลอดกลมให้ผม ผมเก้ๆ กังๆ นำมันไปจ่อกับผงสีขาวที่ถูกกองไว้บนโต๊ะหินอ่อน

"เอาเลย ซื้ดแรงๆ เลย นั่นแหละ"

ผมสูดผงโคเคนบนโต๊ะเข้าไป หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนอยู่ในห้วงฝัน ผมรู้แค่ว่าคืนนั้นผมมีเซ็กส์อย่างเมามันกับสมาชิกในกลุ่มเพื่อนใหม่ของผมที่มาเปิดโรงแรมเพื่อเสพยากัน พวกเราทั้งชายหญิงเปลือยกายสมสู่กันเป็นหมู่เหมือนสัตว์ป่า ผมจำไม่ได้ว่านอนกับใครไปบ้าง แต่จำได้แม่นว่าหนึ่งในนั้นคือหนุ่มใหญ่รุ่นพี่ร่างอวบซึ่งเป็นคนคะยั้นคะยอให้ผมเสพโค้ก

"ซันซัน กูรักมึง รักมึง"

นั่นคือสิ่งที่ผมคำรามออกมาก่อนที่จะฟุบกายไปบนร่างอวบใหญ่ของชายที่ผมใช้เป็นตัวแทนของไอ้ซัน คืนนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมใช้โคเคน ผมตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกผิดต่อไอ้อ้วนของผมจนต้องร้องไห้ออกมา ผมจะสู้หน้ามันอีกได้อย่างไร



เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ผมหยุดออกเที่ยวไปพักหนึ่ง หากความรู้สึกผิดก็ถูกความเปลี่ยวเหงาเข้ามาแทนที่ ไม่นานผมก็กลับไปทำตัวเหมือนเดิม แต่ก็ระวังเรื่องการใช้ยามากขึ้นและเน้นเรื่องเซ็กส์อย่างเดียว ในตอนนี้เมื่อมานึกๆ ดูแล้ว ผมถือว่าโชคดีนักที่ไม่ได้ติดโรคร้ายมา เพราะมีหลายครั้งที่ผมเมามากและลืมเรื่องการป้องกันไปเสียสนิท ผมทำตัวเหลวแหลกแบบนี้อยู่หลายเดือนจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น

"ไงมึง เป็นไงมั่ง?"

ซันซันทักทายผมผ่านโปรแกรมแชทอย่าง skype

"โหย แต่งตัวซะหล่อเลย จะไปข้างนอกอีกเหรอวะ?"

มันถาม คืนนี้ผมก็เตรียมออกเที่ยวหลังจากหยุดไปนับสัปดาห์

"อืมม์ นัดเพื่อนไว้น่ะ ว่าแต่มึงเถอะ ทำไมคืนนี้โทรมาดึกๆ ดื่นๆ ได้วะ?"

ตอนนั้นเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว นั่นหมายถึงว่าเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืนที่ซิดนีย์ ปกติซันซันจะทักมาประมาณเย็นๆ ของไทย ไม่ก็ตอนกลางวันครับ

"อ๋อ คืนนี้แตงเขาไม่อยู่น่ะ ไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน คงค้างที่นั่นเลย กูก็เลยว่าง"

ไอ้อ้วนของผมยิ้มอย่างอารมณ์ดี

"ตอนนี้กูเริ่มฝึกงานได้สองเดือนแล้ว เหนื่อยชิบเลยว่ะ ทำกับที่รร.เครือเดียวกับที่เคยทำที่เชียงใหม่ ดีที่กูได้นายกูที่เชียงใหม่ส่งจดหมายแนะนำให้ แต่งานหนักมากเลยนะมึง กลับบ้านมากูนี่หลับเป็นตายเลย..."

ไอ้อ้วนของผมเล่าเรื่องราวการฝึกงานของมันให้ผมฟังอย่างมีความสุข พวกเราไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่ซันซันจะขอตัวไปนอน ก่อนไปมันก็อบรมผมทิ้งท้าย



"มึงก็รักษาสุขภาพหน่อยนะ ปรินซ์ อย่าหักโหมนัก นี่มึงดูซูบไปมากเลยนะ..."

ซันซันขมวดคิ้วเมื่อมองดูหน้าผม การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้ผมดูทรุดโทรมมากครับ

"...ไอ้เจมันก็เป็นห่วงมึงนะ วันนั้นกูคุยกับมัน มันก็บอกว่าตอนนี้มันไม่ได้เจอมึงเลย แล้วมันบอกว่าช่วงนี้มึงไปเข้ากลุ่มกับพวกพี่อาร์ต..."

"เหอะ ปากดีนักนะไอ้เจน่ะ มันเองต่างหากที่ไม่ว่างมาเจอกู แล้วยังมาทำเป็นพูดให้มึงเข้าใจกูผิดอีก"

ผมพูดสะบัดเสียงใส่ซันซัน ในตอนนั้นผมกับเจก็มึนตึงกันไปครับเพราะมันพยายามเตือนผมไม่ให้ไปเข้ากลุ่มกับพวกพี่อาร์ตซึ่งมีชื่อเสียงไม่ดีใหนหมู่นักเที่ยว แต่ผมตอนนั้นก็มัวเมาอยู่กับเซ็กส์และยาจนไม่ลืมหูลืมตาจนทำให้เลิกคุยกับเจไปพักใหญ่เลยครับ

"อย่าโกรธดิ มันพูดก็เพราะเป็นห่วงหรอก"

ซันซันดุผมเบาๆ ผมแค่นหัวเราะออกมาแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก คนบ้านไกลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"เห้อ งั้นกูไม่ยุ่งเรื่องมึงแล้วก็ได้ ไอ้ปรินซ์ แต่ขอล่ะ สัญญากับกูหน่อยว่ามึงจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ กูห่วงมึงจริงๆ นะ"

ผมแทบอยากพูดแรงๆ ตอกหน้ามันไปว่าที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะมันไม่อยู่เคียงข้างผม แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่มีแววห่วงใยของมัน ผมก็พูดไม่ออกและได้แต่รับคำมันไป ผมคุยกับมันต่ออีกครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสายไป ผมนั่งนิ่งพิจารณาคำพูดของมันอยู่นานก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นและออกจากบ้านไป



"ไง ปรินซ์ มาซะดึกเลย พี่นึกว่าเราจะไม่มาซะแล้ว นี่เราไม่ได้เจอกันหลายสัปดาห์แล้วนะ"

พี่อาร์ตเพลย์บอยรุ่นใหญ่ซึ่งเป็นไบเซ็กช่วลเชยคางผมและพูดด้วยน้ำเสียงมึนเมา ผมหันหน้าหลบและกระเถิบออกห่างร่างที่เกือบเปลือยนั้น ผมอดนึกขยะแขยงเนื้อตัวอวบใหญ่ที่ผมเผลอไผลใช้เป็นตัวแทนของซันซันในวันนั้นขึ้นมาไม่ได้ มันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมมีสัมพันธ์กับผู้ชาย แม้ว่าพี่เขาจะพยายามเชิญชวนผมอีกทุกครั้งที่เจอกัน แต่ผมรู้สึกแย่กับมันมากๆ ครับ หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเมาแค่ไหน ผมก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองต้องทำแบบนั้นอีก

"ซักหน่อยไหม?"

ยาเม็ดสีสวยในถุงพลาสติกถูกส่งมาให้ผม โดยปกติผมก็คงรับไว้อย่างไม่ลังเล แต่คำพูดของซันซันก่อนหน้านี้ทำให้ผมไม่มีอารมณ์อยากเสพ ผมปฏิเสธไปและหันไปนัวเนียกับสาวๆ แต่ก่อนที่ผมจะทันทำอะไร ไฟที่หรี่ไว้สลัวๆ ในห้อง suite ของโรงแรมแบบบังกะโลไฮโซแถวย่านข่วงสิงห์ที่เป็นแหล่งมั่วสุมของพวกผมก็สว่างโร่ขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายกรูกันเข้ามาในห้อง สาวๆ พากันกรีดร้องและนักเที่ยวที่มีนับสิบคนเริ่มพยายามหนีออกไปจากห้อง ท่ามกลางความสับสนอลหม่านนั้น ผมได้แต่นั่งตะลึง ในหัวผมนึกถึงแต่หน้าของพ่อแม่และไอ้อ้วนของผม



---------------------------------------------

จะจบทันห้าตอนไหมหว่า?? ลุ้นกันต่อไปค่ะ แหะๆๆ

ว่างๆ แวะคุยกันได้นะคะ

เพจค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH



ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด