17th Sunday #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์
ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ
ซะที่ไหนเล่า! นรินทร์รู้สึกเหมือนกฤติที่ร้องไห้ซบอกเขาเมื่อวันก่อนไม่มีอยู่จริง หลังจากที่หัวหน้าแผนกหยุดร้องไห้ พวกเขาก็ทำอย่างที่นักท่องเที่ยวปกติทำกัน นั่นก็คือการกินข้าว เสร็จแล้วก็เดินเที่ยวกันจนเย็น วันนั้นกฤติน่ารักมากจนนรินทร์ส่งยิ้มโง่เงาให้อีกฝ่ายตลอกเวลา จนกระทั่งกลับถึงห้องกฤติก็ยังคงไม่หยุดน่ารัก อาจจะหยุดไม่ได้เพราะเป็นธรรมชาติไปแล้วหรือเปล่าเขาก็ไม่รู้ และไม่สนใจจะหาคำตอบ
นอกจากนั้นแล้ว พวกเขาก็รักกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
กฤติยังคงเป็นนิยายของคำว่า ‘ดี’ เหมือนเคย ทุกอย่างมันเหมือนฝัน นรินทร์งอแงไม่ยอมกลับห้องตัวเองหลังจากที่ได้เข้ามาในห้องของกฤติ หากจะให้พูดตามจริง เขายังไม่ได้กลับห้องตัวเองเลยตั้งแต่วันนั้น คลุกอยู่กับหัวหน้าแผนกจนอีกคนน่าจะรำคาญเขามากๆ ไปแล้ว
จนกระทั่งเมื่อวันจันทร์มาถึง กฤติใช้งานเขาเต็มที่เช่นเดียวกับที่เขารักอีกคนจนหัวเตียงโยก
โน้ตทำงานหนักเหมือนกับชีวิตจะต้องใช้ประกันการเดินทางที่โรงพยาบาลแถวนี้ เดินไปเดินมาทั้งวัน ถึงแม้จะเป็นเพียงเทรนนิ่งที่แทบจะไม่เกี่ยวกับความรับผิดชอบโดยตรงของเขา แต่เพราะหัวหน้าต้องการให้เขาเรียนรู้ทั้งหมด นรินทร์จึงต้องทำ
ให้ตาย วุ่นวายชะมัด
ยังดีที่วันนี้เป็นวันศุกร์ ทางทีมที่เทรนคงเห็นว่าพวกเขาทำงานมานานมากจนเกินจะรับไหว จึงปล่อยเลิกครึ่งวัน มีเลี้ยงข้าวกลางวันเล็กน้อยพอเป็นพิธี มีแท็กซี่พามาส่งจนถึงโรงแรม แล้วตอนนี้ทั้งกฤติแล้วก็ตัวเขานั้นว่างกันหมดแล้วทั้งคู่
โชคดีที่พวกเขาปรับความเข้าใจกันได้เร็ว นรินทร์เลยถือโอกาสยืดตั๋วเครื่องบินออกไปอีกหนึ่งอาทิตย์ทันที โดยอ้างกับทางแผนกที่จัดจองตั๋วเครื่องบินว่าพวกเขาจะลาเที่ยว
แน่นอนว่าพอกฤติรู้นั้น นรินทร์โดนทำโทษเสียจนเขาเสียใจกับสิ่งที่ทำไปเลยทีเดียว
แต่เสียใจแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อันที่จริงเขาก็ยังยืนกรานแบบเดิม กฤติควรจะได้พักผ่อนบ้าง ตัวเขาเองก็เช่นกัน ช่วงที่ทะเลาะกันนั้นเขาแทบไม่ได้พักเลย ตอนนี้แหละเหมาะสม
อากาศก็ดี วิวก็ดี งานก็ไม่มี คนข้างๆ ก็แสนดี ชีวิตยังต้องการอะไรอีก?
นึกถึงกฤติแล้ว นรินทร์ก็อดนึกถึงบทรักครั้งแรกของพวกเขาในรอบหลายเดือนไม่ได้
.
.
.
‘ปัง’
เสียงประตูปิดลงพร้อมกับความตกใจของกฤติเมื่อนรินทร์พุ่งตัวเข้ามาประกบปากของเขาทันที คล้ายกับคนที่ติดอยู่กลางทะเลทรายแล้วเพิ่งเจอกับบ่อน้ำ เขาจูบแบบจาบจ้วง บดเบียดและดูดดึง มือใหญ่เคล้นทุกพื้นที่ที่สามารถทำได้ เสื้อผ้าของกฤติถูกปลดออกจนหมดตั้งแต่ยังไปไม่พ้นจากหน้าประตู
“คุณ…”
“ครับ”
“พะ...พอก่อน”
“ไม่พอแล้ว ไม่ทนอีกแล้ว”
ถ้อยคำสั้นๆ ที่สามารถบอกเล่าความต้องการจากส่วนลึกในจิตใจ กฤติมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้แรงน้อยเหมือนเด็กสาว หากแต่เขาไม่สามารถขัดขืนเรี่ยวแรงของคนที่ตัวใหญ่กว่าได้เลยสักนิด แถมเมื่อมองสบตาเพียงชั่วขณะ ความตั้งใจที่จะหยุดยั้งอีกคนก็ระเหยไปในอากาศโดยทันที
ความต้องการและความรักในนัยน์ตาของอีกฝ่ายตรึงให้กฤติอยู่กับที่ เขาปลดความคิดต่อต้านให้หลุดไปพร้อมกับกางเกงของนรินทร์ มือของทั้งสองคนต่างสัมผัสไปทั่วทุกพื้นที่ของกันและกัน
ในช่วงเวลาที่ทั้งนรินทร์และกฤตินั้นต่างต้องการกันและกันมากกว่าที่เคย
“มันโคตรเหมือนฝันเลยคุณ”
เสียงของนรินทร์พึมพำซ้ำๆ ในสิ่งที่กฤติก็คิดเหมือนกัน การที่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันแบบนี้ รักกันแบบนี้ มันเหมือนเป็นความฝันเลย กฤติหลับตาลงเมื่อนรินทร์ก้มหน้าลงมาเพื่อจูบเบาๆ ตรงโหนกแก้มของเขา
หากนี่เป็นความฝัน กฤติก็ไม่อยากจะตื่น
พวกเขารักกันด้วยความเร่าร้อน กฤติเปล่งเสียงออกมาเมื่ออีกคนสอดใส่เข้ามา นรินทร์ยังคงเป็นคนเดิม ที่รู้ว่าเขารู้สึกกับตรงไหน หลับตาครางเพราะสัมผัสอะไร เกร็งปลายเท้าเพราะการแตะต้องอย่างไร
พวกเขาเปลี่ยนท่ากันครั้งที่สอง กฤติถูกจับให้ลงไปอยู่ในท่าคลานสี่ขาโดยมีนรินทร์ยึดสะโพกอยู่ทางด้านหลัง ครั้งนี้เร็วกว่ารอบแรกเพราะพวกเขาไม่ต้องเสียเวลาถอดเสื้อผ้าใดๆ
“เจ็บมั้ยครับ?”
นรินทร์ถามตอนที่สังเกตว่าอีกฝ่ายคุกเข่ารองรับอารมณ์ของเขามาสักพัก กฤติเม้มปากส่ายหัว พลางส่ายสะโพกพร้อมมองไปด้านหลังอย่างออดอ้อน เขาไม่ต้องการให้มีอะไรมาหยุดจังหวะที่กำลังไปได้สวยในตอนนี้ ถึงแม้ว่านรินทร์จะกระแทกแรงสักหน่อยก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลยสักนิด
“อ้อนเหรอ?”
“ไม่ใช่”
กฤติปฏิเสธทั้งที่ยังคงส่ายสะโพกอยู่แบบนั้น คนที่อยู่ข้างหลังแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนที่จะโน้มตัวลงไปจูบกฤติที่เอี้ยวตัวมามองหน้าเขาในจังหวะเดียวกัน
“มีแรงแค่นี้เหรอ?”
ประโยคที่ออกมาจากปากกฤติหลังจากที่ผละจูบออกทำให้นรินทร์ถึงกับคิ้วกระตุก เขาจับอีกคนล็อกสะโพกเอาไว้แล้วเร่งจังหวะจนแตะขอบสวรรค์เรียบร้อยทั้งคู่
ไม่รอให้เสียเวลา นรินทร์แกะถุงยางซองสุดท้ายด้วยฟันและมือข้างซ้าย ส่วนมือข้างที่ถนัดนั้นถอดถุงยางแล้วมัดพร้อมโยนทิ้งไปบนพื้นด้วยความรวดเร็ว ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พัก นรินทร์ยกตัวกฤติที่โก่งสะโพกบนพื้นขึ้นมาประชิดตัว แล้วเริ่มบทรักรอบสุดท้ายโดยทันทีทั้งที่ยังคงอยู่หน้าประตูห้อง
หากจะมีใครได้ยินเสียงครางของพวกเขา ก็ช่างหัวมันแล้ว
เซ็กส์ในท่ายืนยังคงเป็นท่าที่เขาชอบเหมือนกับทุกครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากันเพราะความเอาแต่ใจของนรินทร์ ถึงแม้แผ่นหลังเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายจะเป็นทัศนียภาพที่ดี แต่ตอนนี้เขาต้องการมองหน้าของกฤติมากที่สุด
ใบหน้านิ่งเรียบที่เหยเกอย่างไม่ปิดบังตอนเขาเล่นกับส่วนบน ริมฝีปากที่เม้มติดกันเป็นเส้นตรงตอนที่เขาเล่นกับส่วนล่าง หูแดงระเรื่อ เม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผม ทุกอย่างของอีกฝ่ายชวนให้เขาตกหลุมรักซ้ำๆ เหมือนเด็กมัธยมต้นที่เพิ่งจะมีความรักครั้งแรก
กฤติเป็นคนที่ทำให้ใจเต้นแทบบ้า และเร่าร้อนจนแทบจะละลาย
เป็นบทรักที่ไม่มีใครยอมใคร พวกเขาทั้งสองคนต่างงัดเทคนิคที่สั่งสมมา ด้วยความที่รู้จักร่างกายของกันและกันดี เมคเลิฟรอบนี้จึงเป็นเหมือนสนามที่แข่งกันเพื่อทำให้อีกคนรู้สึกมากที่สุด
หากจะวัดแพ้ชนะกันจริงๆ ล่ะก็ นรินทร์แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
เขายอมตั้งแต่ที่เห็นหน้ากฤติแล้ว
ใบหน้าหล่อของนรินทร์มีรอยยิ้มปรากฏอยู่ เขาคิดถึงกฤติมากที่สุด มากจนไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาได้อย่างไร หากเขายอมแพ้ตัดใจไปตั้งแต่อีกฝ่ายขอห่าง คงไม่มีโอกาสแม้จะเชยชมผู้ชายคนนี้ในฝัน
“ผมจะถึงแล้ว”
เสียงแหบพร่าที่กระซิบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์ของอีกคนทำให้กฤติหูแดงขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เสียงหัวใจดังจนหนวกหู ไม่รู้ว่าตอนนี้หัวใจของใครเต้นดังกว่ากัน เขาหรือนรินทร์
เซ็กส์ครั้งนี้แทบจะเผาเขาให้กลายเป็นเถ้าธุลี หากตายไปตอนนี้ กฤติมั่นใจว่ามันคงจะเป็นการตายที่เร่าร้อนที่สุดในสวรรค์แล้ว
“ผมแม่ง โคตรรักคุณเลยรู้มั้ย”
นรินทร์พูดขึ้นมาตอนที่เขากำลังจะถึงจุดหมายเป็นครั้งที่สาม ชายหนุ่มมองเข้าไปในนัยน์ของคนตรงหน้า เขาเห็นเงาตัวเองสะท้อนออกมา นอกเหนือจากนั้น เขาเห็นความรัก
ความรักตรงหน้าคือเรื่องจริง
นรินทร์ก้มลงไปจูบคนด้านล่างอีกครั้ง เขาอยากจะจูบกฤติแบบนี้ตลอดไป
รัก
เขารักผู้ชายคนนี้มากเกินกว่าที่จะอธิบายอะไรอีกแล้ว
.
.
.
“คิดอะไรลามกอยู่ใช่มั้ยครับ?”
เสียงนิ่งๆ ของกฤติเรียกให้นรินทร์ที่กำลังนึกถึงการกอดกันครั้งแรกในรอบหลายเดือนของพวกเขาสองคนออกจากภวังค์ คนด้านข้างที่มองมาด้วยสายตารู้ทันไม่ได้ทำให้นรินทร์สลดลงเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง มันยิ่งทำให้เขาอยากแกล้งอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
“ใช่ครับ”
“...”
ถึงแม้กฤติไม่ได้พูดอะไร แต่หน้าของอีกฝ่ายสามารถตีความหมายได้ว่า ‘ไอ้สัตว์’
“ผมคิดถึงตอนที่นอนกับคุณเมื่อวันเสาร์น่ะ แม่งโคตรเป็นวันเสาร์ที่ดีมากเบย”
“เบยอะไร ไม่น่ารักครับ”
“แต่คุณพูดแล้วน่ารักมาเลยนะ ผมชอบจังเบย”
เป็นอีกครั้งที่กฤติไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าดูแคลนของอีกฝ่ายคล้ายกับสายตาของคนที่มองเสื้อผ้าสกปรกกองใหญ่
“พูดอีกสิคุณ แบบ ‘นรินทร์หล่อจุงเบย’ พูดเร็วคุณ อยากฟังๆ”
“...”
“เร็วสิคุณ นะๆ”
“นรินทร์ถ้าคุณยังไม่เลิกเล่น ผมจะไม่อนุมัติวันหยุดคุณ…”
“โอเค ผมกินเสร็จแล้ว คุณเสร็จยัง?”
กฤติกลอกตาเมื่ออีกฝ่ายเด้งตัวออกจากเก้าอี้ทั้งที่อาหารเช้าตรงหน้ายังไม่หมด
วันนี้คือวันสุดท้ายของการทำงาน และตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงซึ่งพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น กฤติเช็ดปาก รวบช้อนของตัวเอง ชิดเก้าอี้แล้วตามนรินทร์ออกไปข้างนอก พวกเขาสองคนโทรเรียกแท็กซี่เพื่อไปที่บริษัทสำหรับการทำงานวันสุดท้ายก่อนจะกลับไทย
สุดสัปดาห์นี้ พวกเขาจะไปเที่ยวกันที่ปราก ถึงแม้ว่าจะอยู่แค่สองวันเพราะต้องกลับไปทำงานต่อก็ตาม เพราะพวกเขาอยู่ใกล้เมืองต่อรถอย่าง Regensburg จึงตัดสินใจว่าจะนั่งรถไฟข้ามประเทศแทนที่จะย้อนไปมิวนิคเพื่อขึ้นเครื่องบินไปลงปราก
หากถามว่าทำไมถึงได้เลือกปรากแทนที่จะเป็นสวิตเซอร์แลน หรือออสเตรียที่อยู่ติดกับเยอรมันเหมือนกัน นรินทร์ก็ต้องบอกว่าเขาจับฉลากได้มา
อันนี้ไม่ได้พูดเล่น กฤติปล่อยให้เขาเลือกเมืองเที่ยว ซึ่งเขาเลือกไม่ได้เลยใช้แอปพลิเคชั่นแรนด้อมแล้วได้ที่นี่มา เลยจัดการจองรถไฟเสียเลยเสร็จสรรพ โชคดีที่หัวหน้าแผนกคนเก่งไม่ได้ถามเหตุผล ไม่เช่นนั้นเขาคงจะต้องเจอกับสายตาเหม็นเบื่อของอีกฝ่ายเหมือนอย่างเคยแน่นอน
วันศุกร์ผ่านไปด้วยความยินดี ต้อนรับเสาร์ที่มาถึงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้
พวกเขาออกจาก regensburg ตอนแปดโมง แล้วไปถึงปรากตอนเที่ยง โรงแรมที่นรินทร์จองไว้นั้นไม่ไกลจาก Main Station มากนัก เดินเพียงไม่นานก็ถึงโรงแรม
ที่พักของพวกเขาเป็นห้องเตียงใหญ่ธรรมดาที่มีห้องน้ำในตัว ด้วยเหตุผลว่ามันสะดวกและสะอาดกว่าไปใช้รวมกับคนอื่นด้านนอก ถึงแม้ว่าจะต้องยอมจ่ายแพงขึ้นอีกเล็กน้อยก็ตาม
เดิมทีแล้วกฤติไม่ใช่คนที่หลงใหลการเที่ยว ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาขยับออกจากที่อื่นนอกจากออฟฟิศตอนที่มาต่างประเทศ
“สวยเนอะคุณ”
นรินทร์พูดตอนที่พวกเขาเดินไปตามถนนเพื่อไปที่ย่าน Old Town ของเมือง โชคดีที่ปรากเป็นเมืองไม่ใหญ่มาก พวกเขาสามารถเดินเท้าเที่ยวได้แทบจะทุกที่ของเมือง (ตามคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทนรินทร์คนหนึ่งที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วโลก) บ้านเมืองของที่นี่ให้ความรู้สึกต่างจาก Regensburg ที่เพิ่งจากมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไร สถาปัตยกรรมก็ยังดูละม้ายคล้ายกัน
กฤติไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังจะเดินไปไหน ข้างหน้าเขามีนรินทร์ผู้ที่เปิดกูเกิลแมพในโทรศัพท์เพื่อเดินตามทางไปเรื่อยๆ ถนนรอบข้างของเขาดูเป็นระเบียบ ผู้ออกมายืนคุยกัน บ้างก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ที่มากสุดก็คงจะเป็นฝูงนักท่องเที่ยวที่เหมือนกันกับพวกเขาทั้งสองคน ทำให้นรินทร์และกฤติไม่รู้สึกแปลกปลอมมากนัก
“เฮ้ย คุณ รถราง ดูดิ”
นรินทร์เรียกให้เขาหันไปดูกับรถรางที่วิ่งผ่านไป กฤติเพิ่งจะสังเกตตอนนี้เองว่าบนถนนนั้นมีรางสำหรับรถรางอยู่ด้วย คล้ายกับสวนสนุกสมัยเด็กที่เขาเคยไปเลยแฮะ
“นั่นรถม้า คุณ!”
นรินทร์ไม่ได้พูดเกินจริง มีรถม้าวิ่งสวนทางกับพวกเขาไปเมื่อสักครู่ อาจจะเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวของยุโรปล่ะมั้ง? ประเทศไทยมีขี่ช้าง ที่นี่ก็มีรถม้าให้นั่งชมเมือง
“อยากนั่งมั้ยครับ? แมนๆ แฟนกัน เดทบนรถม้าอะไรแบบนี้”
“ไม่ครับ”
“หรือว่าเราจะลองบนหลังม้า…”
“หยุดความคิดสัปดนของคุณไป!”
กฤติเอามือหยิกคนที่พูดอะไรอุบาทว์ออกมาอย่างไม่ออมมือ ไม่สนใจว่าเสียงหัวเราะจะกลายเป็นเสียงที่แฝงด้วยความเจ็บปวดหรือเปล่า
คิดผิดหรือเปล่าที่ยอมคืนดีกับผู้ชายคนนี้เนี่ย?
พวกเขาเดินดูบ้านเมืองพร้อมทั้งถ่ายรูปเล็กน้อยจนหิวข้าว ตอนแรกนรินทร์อยากลองร้านอาหารในเมือง แต่เพราะเดินผ่านแม็คโดนัลแล้วคุณพ่อลูกหนึ่งอยากทาน พวกเขาเลยเลือกฝากท้องกันที่นั่นเลย
“อิ่มเหรอคุณ?”
นรินทร์ถามเมื่ออีกฝ่ายสั่งแค่สลัดถ้วยเดียว
สลัดในร้านแม็คโดนัล? ดูยังไงก็พยายามที่จะรักษาสุขภาพเกินไปหน่อย มาแข่งกันรักตัวเองกับที่นรินทร์รักอีกคนหรือไงกัน?
“อิ่มครับ” กฤติตอบนิ่งๆ พลางมองไปที่อาหารของอีกฝ่าย “แค่ดูคุณทาน ผมก็อิ่มแล้ว”
“รักผมมากอ่ะดิ”
“...”
“ไม่ตอบเท่ากับเขิน”
“ปัญญาอ่อนครับ”
“เขิน”
“คิดไปเอง”
กฤติรวบอาหารที่ทานหมดแล้วไปวางที่เค้าน์เตอร์วางถาด ในขณะที่นรินทร์กำลังทานเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ยักษ์ของตัวเองอยู่ จนถึงตอนนี้เขาเองก็ค่อนข้างพิศวงกับความสามารถในการกินของนรินทร์ ไม่รู้ว่าเอาไปเก็บไว้ตรงไหนกันหมด ไม่ใช่ว่านรินทร์เป็นคนตัวเล็กหรืออะไร แต่ปริมาณอาหารมันดูมากกว่าเขาถึงสองสามเท่าตัวต่อมื้อ
หลังจากมื้อเที่ยงตอนบ่ายสองจบลง พวกเขาก็เดินเที่ยวกันต่อ ตอนนี้มาถึงปราสาทปราก ซึ่งเป็นหนึ่งในที่เที่ยวประจำเมืองนี้
ปราสาทของจริงทำเอากฤติประทับใจด้วยความใหญ่โตและสวยงามของมัน ขนาดคนที่ไม่ใช่สายศิลปะอย่างเขายังรู้สึกทึ่งกับสถาปัตยกรรมทรงยุโรปที่ใหญ่โตและสวยงามแห่งนี้
ที่ประทับใจมากกว่านั้นอาจจะเป็นนรินทร์
ไกด์ที่คอยเปิดแผนที่ หาข้อมูลพามาที่ต่างๆ จนถึงตอนนี้ยังไม่แสดงท่าทีเหนื่อยให้เห็น คุณพ่อลูกหนึ่งพาเขาเดินวนรอบอนาเขตของปราสาท แล้วไปแวะชมวิวของทั้งเมืองที่จุดชมวิว น่าเสียดายที่นักท่องเที่ยวเยอะมากถึงมากที่สุด พวกเขาเลยไม่ได้ไปยืนถ่ายรูปตรงมุมที่ดีที่สุด
“เมื่อยมั้ยคุณ?”
นรินทร์หันมาถามตอนที่พวกเขาเดินออกจากปราสาท สถานที่ต่อไปคือสะพานชาร์ลส์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวปักหมุดอีกแห่งของปรากเช่นเดียวกับปราสาทเมื่อครู่
“ไม่ครับ คุณล่ะ?”
“ผมก็ไม่”
พวกเขาเดินกันไปเรื่อยๆ อากาศเย็นกว่าที่กรุงเทพฯ และความแปลกสถานที่ทำให้กฤติไม่ได้ทักท้วงเมื่ออีกฝ่ายคว้ามือเขาไปจับ
ให้ตาย แบบนี้มันดีชะมัด
หัวหน้าแผนกไม่รู้ว่าวันนี้พวกเขาเดินไปกี่กิโลแล้ว แต่เขามั่นใจว่ามันต้องมากกว่าที่เดินที่กรุงเทพฯ ทั้งสัปดาห์อย่างแน่นอน
นรินทร์และกฤติเดินกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน เมื่อผ่านร้านสะดวกซื้อก็แวะซื้อน้ำหรือขนมบ้าง แต่ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ มูลค่าของเมื่อคิดเป็นเงินไทยแล้วถึงแม้จะถูกกว่าเยอรมัน แต่ก็แพงกว่ากรุงเทพฯ อยู่ดี
ไลน์!
นุ้งนิ้ง: คุณพ่อคะ
นุ้งนิ้ง: คุณพ่อดีกับอากฤติแล้วใช่มั้ยคะ
ตอนที่พวกเขากำลังเดินอยู่นั่น โทรศัพท์ของนรินทร์ก็เด้งแจ้งเตือนขึ้นมา ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นข้อความที่โชว์อยู่บนหน้าจอ เขาเหลือบตามองกฤติที่เดินมองทางอยู่ด้านข้างเล็กน้อย ก่อนที่จะพิมพ์ตอบกลับ
นรินทร์: ครับ เรียบร้อยแล้ว
นรินทร์: ขอบคุณน้องนิ้งมากนะครับ
นุ้งนิ้ง: เย้
นุ้งนิ้ง: คุณพ่อเก่งที่สุดเลย
นุ้งนิ้ง: ภารกิจเอาอากฤติกลับบ้านเราสำเร็จแล้ว!
นรินทร์: เก่งมากค่ะ
นรินทร์: เดี๋ยวคุณพ่อซื้อช็อกโกแลตไปฝากเยอะๆ เลยนะคะ
นรินทร์: ตามที่เราตกลงกันไว้
นรินทร์ยิ้มขำ เขาเตี๊ยมกับลูกสาวเอาไว้แล้วว่าจะโทรหาตอนที่อยู่เยอรมัน ให้น้องนิ้งช่วยคุยกับกฤติให้ที เพราะเขารู้ดีว่าเจ้าตัวแพ้ทางน้องนิ้งขนาดไหน หากไม่ฟังที่เขาพูด ก็ต้องเป็นลูกสาวเขานี่แหละที่จะสามารถพูดได้
“คุณ”
กฤติหันไปมองหน้าคนที่เรียกเขาเอาไว้ในขณะที่กำลังเดินหาสะพานชาร์ลส์ นรินทร์เอามือเกาหัวอย่างคนประหม่า แต่เมื่อตั้งใจจะบอกแล้ว เขาก็จะทำอย่างที่คิด
“น้องนิ้งน่ะ”
หัวหน้าเขาเกร็งตัวเล็กน้อยเหมือนคนที่กำลังจะตั้งใจฟัง
“ที่ลูกผมพูดแบบนั้น เพราะว่าไอ้เหี้ยเอิร์ธมันไปเป่าหูไว้เว่ยคุณ”
“คุณเอิร์ธ?”
กฤติทวนชื่ออีกครั้ง ชายหนุ่มหน้าตาท่าทางภูมิฐานที่เขาเคยเจอตอนที่เอาน้องนิ้งไปส่งเมื่อหลายเดือนก่อนปรากฏขึ้นมาในหัว
“เขาทำอะไรนะครับ?”
“เขาเป่าหูน้องน้อง”
นรินทร์พูดพร้อมกับเดินหลบวัยรุ่นที่เอาไม้เซลฟี่ขึ้นมาขวางทางคนกำลังเดิน คิดว่าคนอื่นเขาไม่ได้ต้องใช้ทางหรือยังไงกัน
“ครับ?”
“มันฝังหัวน้องนิ้งว่าการที่เพศเดียวกันคบกันมันเป็นเรื่องไม่ควรไงคุณ เหี้ยอะไรของมันไม่รู้ อยู่กับน้องนิ้งแค่สองสามเดือนดันคายตะขาบให้ลูกผม”
“...”
“มันบอกว่าถ้าพ่อแม่เป็นผู้ชายจะโดนเพื่อนล้อ เพื่อนจะไม่คบ ไม่คบเหี้ยอะไร ตอนนี้มันนั่นแหละที่ไม่มีใครคบด้วยแล้ว”
“...”
“โอ้ย หิวน้ำ ขอผมซื้อน้ำแป๊บ”
นรินทร์พักเบรคเมื่อเห็นบูธขายน้ำข้างทาง เขาเดินเข้าไปแป๊บนึงแล้วออกมาพร้อมกับน้ำเปล่าสองขวด มือหนึ่งยื่นให้กฤติ ส่วนอีกขวดเปิดดื่มเอง
“ต่อๆ เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ… อ๋อใช่ เอิร์ธมันไปพูดกับลูกแบบนั้น ใส่ไฟต่างๆ นาๆ ว่าคบเพศเดียวกันไม่ดี นิ้งเลยจำมาพูดกับคุณ ตอนผมรู้นี่โคตรขึ้นเลย”
“...”
“เนตรเขาก็ไม่โอเคนะคุณ เขาบอกว่าถ้าหากน้องนิ้งโตขึ้นแล้วเกิดมีแฟนเป็นผู้หญิงแล้วจะทำยังไง? เอิร์ธเหมือนจะรับไม่ได้ สองคนนั้นเลยห่างๆ กันอยู่ตอนนี้”
“ถ้าเขากลับมาคบกันล่ะ?”
“ก็เรื่องของเขา ผมไม่สนใจหรอก อย่าเข้าใกล้น้องนิ้งอีกเป็นพอ คนเหี้ยนี่แม่ง ทำลูกผมแปดเปื้อนหมด ผมเลี้ยงของผมมาดีๆ ไอ้เวรเอ๊ย”
นรินทร์พูดพร้อมกับโยนขวดน้ำลงถังขยะด้วยความหงุดหงิด กฤติไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม หากแต่เขาเอามือไปกุมมืออีกคน ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจคิดอยู่เพียงแค่คำขอบคุณ
เป็นอีกครั้งที่เขารักนรินทร์มากขึ้นจากเดิม
ไม่รู้ว่าจะรักน้อยลงได้อย่างไรแล้ว
.
.
.
4.50 น.
เดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่มองเห็นสะพานขนาดใหญ่ แน่นอนว่าที่นี่ต้องเป็นสะพานชาร์ลส์ เวลายามเย็นทำให้พระอาทิตย์เล่นแสงเป็นสีทองอมชมพู มันสวยเสียแม้กระทั่งคนไม่ชอบถ่ายรูปอย่างเขายังต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดบันทึกภาพตรงหน้าเอาไว้
‘แชะ’
นี่ไม่ใช่เสียงชัตเตอร์กฤติ หากแต่เป็นคนข้างๆ
นรินทร์ลดกล้องโทรศัพท์ลง สบตากับคนด้านข้างที่มองมาพอดี แววตาสีดำสนิทของคนรักทอประกายอ่อนสะท้อนแสงอาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าสีชมพูกับวิวสะพานยามโพล้เพล้นั้นทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฝันเข้าไปอีก
งดงาม
อาจจะเป็นเพราะอากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้กฤติสั่นเล็กน้อย ชายหนุ่มเกร็งหลังเมื่อรู้สึกว่าอีกคนโน้มตัวลงมาใกล้ ระยะห่างของทั้งสองคนแคบลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ริมฝีปากของพวกเขาก็ประกบกัน
สิ่งที่เหมือนฝันที่สุด อาจจะเป็นจูบครั้งนี้
ไม่ดูดดึง ไม่เร่าร้อน มีเพียงแค่แรงขบเม้มเบาๆ คล้ายกับจะหยอกเย้าให้ใจสั่น นรินทร์ยกมือเย็นเฉียบของตัวเองข้างหนึ่งขึ้นมาประคองใบหน้าของอีกฝ่าย ในขณะที่อีกข้างก็ถอดแว่นสายตาของอีกคนออกเพื่อขจัดสิ่งกีดขวาง
วินาทีที่มีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้น
วินาทีที่เหมือนความฝัน
หากนรินทร์จะขอพรพระเจ้าสักข้อ เขาคงจะขอหยุดเวลาไว้ที่ตรงนี้ตลอดไป
“คุณ…”
นรินทร์เป็นฝ่ายที่เริ่มพูดเมื่อพวกเขาผละออกมา แววตาของอีกฝ่ายสว่างไสวกว่าที่เคยเห็นครั้งไหน
“ผมเป็นแบบนี้ มีลูกแล้ว หื่นด้วย”
“ครับ”
“แต่ผมรักคุณมากนะ”
“...”
“รักมากกว่าเมื่อวานอีก รักคุณมากจนเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเลย ผมรักคุณไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ นะ”
กฤติรู้สึกได้ว่าใบหูของเขาต้องร้อนจนไหม้ เสี้ยววินาทีเขาอยากจะกลายเป็นคนที่ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องไปสักครู่ จะได้ไม่ต้องรู้สึกกับประโยคซื่อตรงจากอีกคนมากขนาดนี้
“รู้แล้วครับ”
“คุณล่ะ?”
นรินทร์นิ่งเงียบคล้ายกับรอคำตอบ ใบหน้าของคุณพ่อลูกหนึ่งคนเท่ของแผนกระคอยด้วยความหวัง จนทำให้กฤติยอมพูดสิ่งที่อีกคนต้องการได้ยินออกไป
“...เหมือนกัน”
“...”
โน้ตนิ่งเงียบคล้ายกับรอให้อีกฝ่ายขยายความคำว่า ‘เหมือนกัน’ ตอนนี้กฤติเริ่มอยากจะโยนอีกคนลงไปในแม่น้ำข้างล่างแล้ว
รู้ว่าเขินก็ยังจะชอบทำให้เขาพูดออกไปอยู่ได้!
“ก็เหมือนกันไง!”
รอบนี้น้ำเสียงนิ่งๆ ของอีกฝ่ายติดจะรำคาญเล็กน้อย นั่นเพียงพอแล้วที่จะทำให้นรินทร์หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี หนึ่งในสิ่งที่เขาต้องการในทุกวันของชีวิตต่อจากนี้ ก็คือการที่ได้เห็นกฤติแสดงสีหน้าหลากหลายในทุกวันนั่นแหละ
เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ที่เขาเองก็เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้
หากพูดให้เจาะจงกว่านี้ล่ะก็ เขาเพิ่งจะรู้ตัวก็ตอนที่รู้สึกชอบกฤตินั่นแหละ
“บอกหน่อยไม่ได้เหรอครับ?”
“...”
“บอกนะครับ”
“...”
“พูดหน่อยนะที่รัก”
กฤติเม้มปากจนแทบจะกลายเป็นเส้นตรง ไม่ต้องเอามือไปจับที่หูตอนนี้ก็รู้ว่ามันร้อนจนแทบจะไหม้ ดวงตาของหัวหน้าแผนกสั่นระริกคล้ายไม่มั่นใจในสิ่งที่คิดจะทำ
“...”
“อะไรนะคุณ ผมไม่ได้ยิน”
นรินทร์เอามือป้องหูเมื่อสักครู่หัวหน้ายอมเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง หากแต่มันเบามากจนแม้แต่เจ้าตัวก็น่าจะไม่ได้ยิน
“รักเหมือนกันนั่นแหละ รู้แล้วไม่ใช่หรือไง จะให้พูดอะไรบ่อยๆ ความจำเสื่อมหรือไงครับ?”
ถึงแม้จะเป็นคำบอกรักที่มากับคำด่ายาวเป็นโยชน์ แต่นรินทร์ก็หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างอารมณ์ดี นอกจากเขาจะได้เห็นอีกคนเขินแล้วยังโดนด่าอีก
คุ้มแล้วเว้ยชีวิตนี้!
------- TBC -------
มาเที่ยวเยอรมันเลยค่ะ ทันเหตุการณ์ …
เพื่อนเราบอกว่าอ่านตอนนี้แล้วเหมือนเบบี้ทัวร์ไกด์ 5555555
ตอนหน้าจบแน้วววว ขอบคุณมากเลยนะคะที่มาเที่ยวกับเรา XD