อัพสักหน่อยก่อนไปนอน
<Ju!_Ju!> อู้วววว FC นะตัวจริง ว่าแล้วเมื่อไหร่จะมาต่อก๊ากับกั๊มพ์ซะทีล่ะเอจ๋า
nana ยังไม่หมด จะมีงอนมาอีกเป็นระลอก
น้ำค้าง มาลุ้นกันเลยจ้า
19NT เอ้อ อ๊อฟนี่ยังไง พอหายบื้อแล้วเอาใหญ่เลย
dahlia เย้ๆ ด้วยคนค่า
Jeremy_F หวังว่าตอนนี้ก็คงไม่ค้าง(มั้งนะ)
krappom กอดป๋อมแป๋มตอบคับ
newykung แฮ่กๆ ความน่ารักของน้องนะทำคนเขียนเหงื่อตกไปหลายรอบ
RN FC นะอีกคนแล้ว เย้
Poes กว่าจะเข้าใจกันได้ อิๆ
BeePed หวานพอไหมเอ่ยตอนนี้ (ว่าแล้ว BP ก็อย่าไปพรากน้องอาร์มจากพี่แนทเลยน้า)
mist จัดห้าย
watermoonj ใครๆก็ว่าเด็กน่ะเจ้าเล่ห์ จริงไหม หึๆ
The Living Rive งั้นต้องจับอ๊อฟทุบๆๆให้น่วม จะได้หวานขึ้นไปอีก อิๆ *คำเตือน* ใครเป็นเบาหวานอยู่โปรดใช้ความระมัดระวังในการอ่านเนื้อหาตอนใหม่ เดี๋ยวระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจะว่าป้าไม่เตือนไม่ได้นะจ๊ะ ตอนที่ 5: ก็เพราะหัวใจเราใกล้กัน
“ทำไมนะถึงคิดว่าพี่กับมุ้ยเป็นแฟนกันล่ะ”ผมเอ่ยถามหลังจากพานะเข้าห้องผมและโทรสั่งอาหารตามสั่งจากร้านใต้หอให้ขึ้นมาส่งเพราะเรายังไม่ได้ทานข้าวเย็นกันทั้งคู่ คนถูกถามตักน้ำแกงจืดเต้าหู้ขึ้นซดเบาๆก่อนจะตอบ
“ก็...เห็นว่าชอบนั่งกินข้าวด้วยกันแทบทุกวัน แล้วเมื่อวานก็มาที่ห้องด้วยนี่นา”
เสียงตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงทำให้ผมยิ้มก่อนจะยื่นมือไปลูบผมนิ่มลื่นของคนที่ก้มมองจานข้าวตัวเองอยู่ น่าแปลกที่พอผมเริ่มจำนะได้ ภาพของเด็กรุ่นน้องตอนม.ปลายที่เคยชอบมานั่งทานข้าวกลางวันกับผมที่โรงอาหารก็เริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ทว่าในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาคนตรงหน้าเติบโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ส่วนสูงของนะคงเพิ่มขึ้นบ้างจากตอนนั้นแม้จะยังนับว่าเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างตัวเล็กอยู่ดี แต่รูปร่างที่เคยผอมแห้งจนดูเก้งก้างเมื่อสมัยมัธยมถูกแทนที่ด้วยรูปร่างที่ดูสมส่วนขึ้น ผมที่ไว้ยาวระต้นคอก็ถูกตัดแต่งและโกรกเป็นสีน้ำตาลอ่อนทำให้ไม่ดูกะโปโลเหมือนตอนตัดผมรองทรงตามระเบียบโรงเรียน ยังไม่นับรวมนัยน์ตากลมโตที่ตอนนี้ดูจะหวานซึ้งชวนมองกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าอีก
“พี่กับมุ้ยก็สนิทกันอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ แต่ให้เป็นแฟนกันคงไม่ไหวหรอก ถ้านะยังไม่เชื่ออีกพี่จะต่อสายให้คุยกับเจ้าตัวเดี๋ยวนี้เลยก็ได้นะ”
คนตัวเล็กส่ายหน้าทั้งที่มือเขี่ยข้าวในจานไปมา ผมจัดการอาหารส่วนของตัวเองเสร็จไปนานแล้วแต่ส่วนของคนป่วยดูไม่พร่องลงสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่กินข้าวมากกว่านี้จะกินยาได้ยังไงล่ะเนี่ย อาการไม่พูดไม่จาของคนตรงหน้าทำให้ผมเริ่มกังวลว่าเป็นเพราะนะไม่สบายหรือว่ายังมีเรื่องไม่พอใจอะไรผมอยู่อีกหรือเปล่ากันแน่
“...อิ่มแล้ว”
“อะไรกัน เพิ่งกินไปไม่กี่คำเอง”
“เจ็บคอ...กลืนไม่ลง”
นะตอบผมเสียงเบาแล้วก็ผลักจานข้าวออกจากตัวทั้งที่ยังตักอาหารเข้าปากไม่ถึงห้าคำเลยด้วยซ้ำ แต่ผมไม่อยากบังคับเลยหยิบจานชามทั้งหมดวางซ้อนกันแล้วเอาออกไปวางรอพนักงานมาเก็บที่หน้าประตูห้อง
“กินข้าวน้อยอย่างนี้ประจำหรือเปล่าเนี่ยถึงได้ไม่ค่อยโตเลยน่ะเรา”
ผมพยายามแหย่เผื่ออีกฝ่ายจะยอมเงยหน้ามาสบตากันแล้วพูดอะไรยาวๆบ้าง ซึ่งก็ได้ผลเพราะใบหน้าหวานช้อนสายตาขึ้นมามองค้อนผมทีหนึ่งก่อนจะหันหนีแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรจนผมต้องลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ ตกลงนี่เราปรับความเข้าใจกันแล้วหรือเปล่าเนี่ย?
ผมเดินเลี่ยงไปคุ้ยถุงยาของนะบนหลังตู้เย็นที่เจ้าตัวถือติดมือเข้ามาแล้วก็ไล่อ่านว่ายาหลังอาหารมีตัวไหนบ้าง พอแกะออกมาจนครบก็ตกใจกับปริมาณของยาที่หมอสั่งจ่ายมาให้พอสมควร พอคนป่วยเห็นยากับแก้วน้ำที่ผมยื่นให้แล้วเจ้าตัวก็ทำหน้าเบ้ทันที
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ยังไงก็ต้องกินยาให้ครบนะ อุตส่าห์โดดเรียนไปหาหมอมาไม่ใช่เหรอ”
“...แต่มันขมนี่”
เสียงที่แสดงความแขยงรสชาติของยาเหมือนเด็กๆทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้ “ยามันก็ขมทั้งนั้นแหละ แต่ถ้านะไม่ยอมกินยาแล้วเมื่อไหร่จะหายป่วยล่ะครับ”
ใบหน้าหวานทำหน้านิ่วอย่างไม่ค่อยพอใจก่อนจะยื่นมือมารับยาจากผมอย่างเสียไม่ได้ แต่เจ้าตัวก็เอาแต่ถือยาไว้แล้วนั่งนิ่งลูกเดียวจนผมต้องเริ่มขู่
“นะครับ จะยอมกินยาดีๆหรือจะให้พี่จับป้อน จะเอาแบบนั้นก็ได้นะ แต่ถ้าทำให้ร้องไห้ไม่รู้ด้วย”
คนตัวเล็กตวัดสายตาขึ้นมองผมตาเขียวทั้งที่หน้าแดงขึ้นแล้วก็ทำท่ากลั้นใจก่อนยกยาทั้งกำเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามแทบหมดทั้งแก้ว แต่เพราะเจ้าตัวพยายามจะกลืนทั้งน้ำทั้งยาพร้อมกันเร็วเกินไปเลยสำลักจนไอหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม ด้วยความตกใจผมรีบถลาเข้าไปหยิบแก้วน้ำออกจากมือนะแล้วก็ลูบแผ่นหลังบางทันที
“ยังไงเนี่ยเรา รีบร้อนกินเข้าไปแบบนั้นก็สำลักสิ เอ้า หายใจเข้าลึกๆช้าๆนะ”
ผมลูบหลังบางขึ้นลงโดยที่นะยังคงไอเสียงดังจนน่าเจ็บคอแทน ผมเห็นใบหน้าหวานที่แดงก่ำ ตาสองข้างหลับปี๋ก็อดสงสารไม่ได้ สักครู่เสียงไอของคนตัวเล็กก็ค่อยๆแผ่วลงจนเงียบไปพร้อมกับเสียงลมหายใจที่เริ่มพรูออกมาด้วยความโล่งอก
กว่าจะรู้ตัวอีกที เราสองคนก็เผลอขยับเข้านั่งชิดกันโดยไม่ตั้งใจ ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของนะที่ระอยู่บริเวณอกเสื้อเชิ้ตของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าลมหายใจสะดุดขึ้นมา คนตัวเล็กนั่งนิ่งครู่หนึ่งเหมือนจะเริ่มรู้ตัวเช่นกัน ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มค่อยๆเอนลงพิงกับอกผมขณะที่ผมเลื่อนมือบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปกุมที่ไหล่บางแล้วบีบเบาๆแทน
เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก ได้แต่นั่งเงียบๆฟังเสียงหัวใจเต้นของกันและกันอยู่แบบนั้นเหมือนอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ให้นานแสนนาน
ผมไม่รู้ว่าเราสองคนนั่งเงียบแบบนั้นกันนานแค่ไหน แต่พอได้ยินเสียงกรนขึ้นจมูกเบาๆจากคนในอ้อมแขนผมเลยดันคนตัวเล็กออก ฝ่ายคนป่วยที่ถูกปลุกขมวดคิ้วพลางปรือตาขึ้นมองผมอย่างขัดใจจนผมต้องยิ้มกับหน้าง่วงๆนั่น
“ไม่ไหวแล้วสิเรา ไปนอนบนเตียงดีกว่าไป”
นะขยี้ตาแล้วก็ยอมลุกตามผมที่ฉุดแขนนำไปที่เตียงแต่โดยดี ผมปล่อยให้คนตัวเล็กก้าวขึ้นนั่งบนฟูกหนานุ่มก่อนจะเดินเข้าไปหยิบของจำเป็นในห้องน้ำ
“มานะ อย่าเพิ่งหลับนะ ลุกมาให้เช็ดตัวก่อนเร็ว”
ผมเขย่าไหล่ของคนที่กำลังทำท่าจะหลับอีกครั้งให้รู้สึกตัว ตอนแรกใบหน้าหวานเพียงขมวดคิ้วทั้งที่ไม่ลืมตาแต่พอจบประโยคคนป่วยก็ทำตาโตแล้วลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรงพร้อมรวบชายเสื้อตัวเองเข้าหากันทันที
“ไม่เอา! ไม่ต้อง! แค่เช็ดตัวเดี๋ยวทำเองก็ได้!”
“อย่าดื้อสิ ตอนที่พี่ไม่สบายนะยังแอบมาถอดเสื้อเช็ดตัวให้พี่เลยไม่ใช่รึไง”
พอโดนเตือนความจำเรื่องที่ตัวเองเคยเข้าห้องผมโดยไม่ขออนุญาตคนโดนย้อนก็หน้าแดงขึ้นมาก่อนจะหันหนีผมทั้งตัว
“ก็ตอนนั้นพี่อ๊อฟหลับไปแล้วมันไม่เหมือนกันนี่ ถ้ายังบังคับกันอีกจะตะโกนจริงๆด้วย!”
ผมฟังคำขู่ของคนที่นั่งหันหลังให้แล้วก็ชักเหนื่อยใจขึ้นมาจนต้องยกมือลูบหน้า เกิดมาก็ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้เสียด้วยสิ กับเด็กดื้อเค้าต้องรับมือกันยังไงเนี่ย?!
“มานะครับ พี่แค่จะเช็ดตัวให้เองนะ นี่เราคิดอะไรไปถึงไหนแล้ว?”
จบประโยคผมคนหน้าหวานเอี้ยวคอกลับมามองทั้งที่ยังนั่งตัวแข็งทื่อหน้าแดง นัยน์ตาที่ฉายแววหวาดหวั่นทำให้ผมเริ่มเอะใจว่าที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อกี้สามารถตีความได้แบบไหน แล้วก็ให้รู้สึกร้อนที่หน้าตัวเองขึ้นมากะทันหัน
“เฮ้ย! พี่ไม่ได้คิดอะไรอกุศลนะ พี่เห็นว่าเราไม่สบายอยู่เลยจะช่วยดูแลให้สบายตัวขึ้นก็เท่านั้นเอง”
ไหล่บางที่เมื่อกี้ตั้งตรงเพราะความเกร็งค่อยๆลู่ลงขณะที่หน้าหวานหันหนีผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนบ่าของคนตัวเล็กนั้นจะไหวน้อยๆด้วย
“ใช่สิ พี่อ๊อฟไม่คิดอกุศลกับนะหรอก ก็นะเป็นแค่รุ่นน้องนี่”
เสียงสั่นเครือของคนที่ไม่ยอมหันกลับมาสบตาทำให้ผมร้อนใจจนต้องรีบก้าวเข้าไปนั่งซ้อนหลังคนตัวเล็กแล้วเอาคางเกยไหล่พร้อมกับโอบเอวบางไว้ ผมโยกตัวคนในอ้อมแขนเบาๆหลังได้ยินเสียงสูดน้ำมูกที่เจ้าตัวคงไม่ตั้งใจให้ผมได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ
“นะรู้ตัวมั้ยครับว่าทำให้พี่ลำบากใจแค่ไหน”
คนที่นั่งพิงอกผมอยู่ตัวเกร็งขึ้นอีกครั้ง “งั้นเหรอ เพราะนะน่ารำคาญล่ะสิ งั้นก็ไม่ต้องมายุ่งมาสนใจกันแล้วก็ได้ กะอีแค่หวัดแค่นี้นะดูแลตัวเองได้”
พูดไม่พูดเปล่า คนตัวเล็กทำท่าจะแงะแขนผมออกผมเลยยิ่งเพิ่มแรงรัดเข้าไปอีกจนคนในอ้อมแขนร้องประท้วง
“พี่อ๊อฟ! เจ็บนะ!”
“ก็พี่ยังพูดไม่จบเลยเราก็คิดอะไรไปก่อนแล้วนี่นา ฟังนะ พี่จะบอกว่าพี่ลำบากใจเพราะตั้งแต่นะมาเคาะประตูห้องพี่ครั้งแรกพี่ก็กลัวใจตัวเองมาตลอดเลยต่างหาก”
คนฟังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยเสียงนิ่งขึ้นกว่าตอนแรก
“กลัวใจตัวเองแบบไหน”
ผมยิ้มกับคำถามที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสานั้น นี่คงพยายามจะล่อให้ผมพูดสิ่งที่ตัวเองอยากฟังอยู่ล่ะสิเนี่ย บทจะเจ้าเล่ห์ก็วางใจไม่ได้เลยแฮะเด็กคนนี้
“ก็แบบที่ทำให้จินตนาการเตลิดเปิดเปิงเวลาเห็นเราทำตาเยิ้มตาฉ่ำตอนเมากลับมา เวลาจินตนาการว่าเรือนร่างของนะเวลาไม่ใส่เสื้อเป็นยังไงตอนได้ยินเสียงอาบน้ำ แล้วก็อะไรอีกล่ะ...โอ๊ย! เจ็บนะครับน้องนะ”
พ่อหนูน้อยของผมถองศอกใส่แบบไม่ออมแรงด้วยความเขิน แต่ผมยังไม่ยอมปล่อยแขนที่โอบอีกฝ่ายไว้แล้วก็พูดต่อ “แล้วที่แย่กว่านั้นนะ วันนี้พี่คิดถึงคนข้างห้องคนนี้ทั้งวัน แต่พอเจอตัวเค้าก็เอาแต่หลบหน้าไม่พูดไม่คุยกับพี่ แล้วยังคิดเอาเองว่าพี่ไม่สนใจเค้าอีก ไม่คิดว่าพี่น่าสงสารบ้างเหรอ”
“ดีสม แล้วพี่อ๊อฟเคยคิดบ้างมั้ยล่ะว่าทำไมเค้าถึงคิดเอาเอง ถ้าพี่อ๊อฟไม่พูดบอกความรู้สึกตรงๆเค้าจะไปเดาใจพี่อ๊อฟได้ยังไงว่าคิดอะไรกับเค้าหรือเปล่า”
“เข้าใจละ ถ้างั้นพี่ก็ต้องพูดตรงๆแสดงออกตรงๆให้เค้ามั่นใจดีกว่าใช่มั้ย?”
คนตัวเล็กหันมามองผมที่ผละตัวออกด้วยแววตาสงสัย ผมยิ้มให้เจ้าของดวงตาใสแป๋วกลมโตคู่นั้นที่ไล่ตามผมมาตลอดก่อนจะจับคางของนะเชยขึ้นแล้วถือโอกาสก้มลงจูบคนที่ไม่ทันระวังตัว คนหน้าหวานดูจะตกใจกับจูบแรกของเราสองคนที่ไม่ได้มีบรรยากาศโรแมนติกอะไรเลย แต่พอโดนผมดุนไล้ริมฝีปากนุ่มด้วยปลายลิ้นก็ค่อยๆยอมให้ผมล่วงล้ำเข้าไปลิ้มรสชาติภายในแต่โดยดี ปลายลิ้นของนะที่ได้สัมผัสอุ่นจนเกือบร้อนเพราะพิษไข้และขมนิดๆจากยาที่เพิ่งกินเข้าไปแต่ในความรู้สึกของผมมันกลับหวานเหลือเกิน ผมเคลิ้มไปกับความละมุนของรสจูบจนกระทั่งโดนมือเล็กทุบอกประท้วงจึงยอมถอนริมฝีปากอย่างเสียดาย
นะช้อนตาขึ้นมองผมด้วยนัยน์ตากลมโตฉ่ำวาว แก้มใสสองข้างแดงซ่านซึ่งผมมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เพราะอีกฝ่ายกำลังไม่สบายแน่นอน หน้าตาที่ดูเชิญชวนโดยไม่ตั้งใจนั่นทำให้ผมยิ้มแล้วบีบจมูกอีกฝ่ายเล่นอย่างมันเขี้ยว
“จะน่ารักไปถึงไหนฮึเนี่ย แค่นี้ก็ทำคนเค้าหลงจะแย่แล้วรู้ตัวมั้ย”
นะยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองแล้วมองผมตาเขียว แต่แล้วใบหน้าหวานก็ยิ้มกว้างก่อนจะโผเข้ากอดเอวผมไว้แน่น ผมกอดคนตัวเล็กตอบก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้เลยรีบพูดก่อนจะลืม
“นะ ต่อไปนี้ไม่เที่ยวกลางคืนบ่อยๆอีกได้มั้ย”
คนถูกขอร้องถอยออกแล้วมองผมด้วยตาจ๋อยๆ “ไม่ให้ไปอีกเลยเหรอ”
“ไม่ถึงขนาดนั้น แค่อย่าไปบ่อยเหมือนเมื่อก่อน แล้วก็อย่าเมามากแบบคราวที่แล้วอีก เกิดใครมาหาเศษหาเลยกับนะตอนพี่ไม่อยู่ด้วยจะทำยังไง พี่เป็นห่วงเรานะ”
นะก้มหน้าหลบตาผมแล้วค่อยๆพยักหน้า “ก็ได้ จะพยายาม”
เอากับพ่อหนูน้อยของผมสิ ยังมีการ ‘จะพยายาม’ อีกแน่ะ แต่อย่างน้อยก็ถือว่ารับรู้แล้วล่ะนะว่าผมไม่ชอบ
“แล้วก็อีกอย่าง ไม่ต้องมาเคาะห้องขอปีนหน้าต่างแล้วนะ มันอันตราย”
คราวนี้ใบหน้าหวานเหมือนจะเจื่อนไป นะปล่อยมืออุ่นที่โอบเอวผมอยู่แล้วเขยิบไปนั่งขอบเตียงก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“...เข้าใจล่ะ งั้นต่อไปไม่มารบกวนอีกก็ได้”
เสียงขึ้นจมูกเหมือนคนจะร้องไห้ทำผมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ต้องทำยังไงถึงจะเลิกน้าไอ้นิสัยชอบคิดอะไรเอาเองเนี่ย
“มานะครับ”
หน้าหวานช้อนสายตาขึ้นมองผมแต่ไม่ยอมขยับตัวเข้ามาหา
“อะไร”
“มานั่งนี่ เร็ว”
ผมตบฟูกข้างตัวเองที่เมื่อกี้คนตัวเล็กนั่งอยู่เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายกลับมานั่งที่เดิม นะมองแล้วก็ตวัดขาขึ้นเตียงก่อนจะคลานกลับมานั่งคุกเข่าตรงที่เดิมแต่ไม่ยอมสบตาผมเลย
ผมถือโอกาสฉุดแขนเรียวของคนป่วยให้ล้มลงบนที่นอนก่อนจะตามลงไปคร่อมไว้แล้วเริ่มลงมือจี้เอวคนที่ยังมัวแต่ทำหน้าเศร้าทันที เสียงหัวเราะใสของคนที่ไม่ทันระวังตัวทำให้ยิ่งอยากแกล้งมากเข้าไปอีก
“ฮ่าๆๆๆ โอ๊ยพี่อ๊อฟ ปล่อย! เหนื่อยแล้วนะ”
ผมยิ้มกับคำขอของคนที่เหนื่อยจนหอบแล้วก็ก้มลงหอมแก้มอุ่นของร่างเล็กที่ตอนนี้เริ่มมีเหงื่อซึมตามไรผมกับซอกคอเพราะออกกำลังมากไปหน่อย ก่อนจะเท้าศอกดันตัวเองขึ้นแล้วมองเข้าไปในตากลมโตคู่สวยตรงๆ
“ปล่อยก็ได้ ทีนี้ก็ฟังให้ดีๆนะ ที่พี่บอกว่าไม่ต้องมาขอปีนหน้าต่างเพราะตั้งแต่คืนนี้นะต้องกลับมาค้างที่ห้องนี้อยู่แล้วต่างหาก”
นะสบตาผมแล้วก็อ้าปากค้างก่อนจะเอ่ยถามย้ำเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“พี่อ๊อฟ หมายความว่า...”
“พี่ขอให้เรามาอยู่ด้วยกันไง ทีนี้ก็แล้วแต่นะว่าจะเก็บของย้ายมาหรือจะยังปีนหน้าต่างเป็นลิงเป็นค่างอยู่อีก”
“พี่อ๊อฟ! ว่าใครเป็นลิงเป็นค่าง เดี๋ยวเถอะ!”
คนตัวเล็กพยายามจะผลักอกผมออก ผมหัวเราะไปก็ปัดมือเล็กๆไปด้วยก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากกับกลีบปากนุ่มของคนที่นอนอยู่เบื้องล่างอย่างหวงแหนอีกครั้ง นัยน์ตากลมโตของนะฉายประกายสุกใสเมื่อผมถอนริมฝีปากออก
“ไม่ปฏิเสธพี่ถือว่าตกลงนะ”
นะยิ้มเขินแล้วก็พยักหน้ารับ ผมเลยยกมือบางข้างหนึ่งขึ้นจูบก่อนจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้
“เอาล่ะ ถือว่าเราเข้าใจกันแล้วนะ ทีนี้จะยอมเป็นเด็กดีให้พี่เช็ดตัวให้ได้หรือยังครับ”++------++
ทายซินะตอบว่าอะไร กิ๊วๆ