24
ผมกำลังจม...อีกครั้ง ปล่อยตัวดำดิ่งสู่ภายใต้มหาสมุทร ที่ซึ่งไม่มีผืนดินรองรับ ความลึกของท้องทะเลสุดจะหยั่ง ไม่มีแสงใดส่องถึง ทำได้เพียงจมไปเรื่อยๆ ปล่อยให้มวลน้ำรอบกายค่อยๆ กัดกินร่างกายตัวเองไปทีละนิด แย่งอากาศหายใจต่อไปอย่างนี้ อีกสักพัก ผมคงได้กลายเป็นอาหารปลา จากหายไปในที่สุด...
XXIV
ข้าวหายไป คือสิ่งที่เติมเต็มโทรมาบอกผม เมื่อรู้ว่าก่อนหน้านั้นข้าวอยู่กับเติมเต็มแล้ว ผมโล่งใจเล็กน้อย พลางคิดว่าเติมเต็มคงดูแลข้าวได้ แต่ไม่เลย เติมเต็มทำให้ผมโกรธ การปล่อยข้าวให้อยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่สุด...
ทำไมไม่ดูแลข้าวให้ดีๆ
ผมคิดอย่างแง่ร้าย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์ได้ไปดูแลข้าวแท้ๆ แต่กลับโกรธใส่เพียงเพื่ออยากหาคนรับผิดชอบ
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้อะไรขึ้นมา
ผมควรหาข้าวให้เจอก่อนจะมีสิทธิ์ไปโกรธใคร
ข้าวอยู่ที่ไหน ผมปวดใจจะตายแล้ว
ไม่เคยเชื่อเรื่องการขอพรสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ถ้าทำได้ ผมอยากขอให้ข้าวปลอดภัย
ผมมารวมตัวกับพวกเพียว ตามหาข้าวในช่วงเกือบเที่ยงคืนของวันล่วงเลยไปจนตีสอง ไม่มีคำว่าง่วงอยู่ในหัว มีแต่คำว่าเป็นห่วงอัดแน่นอยู่ในใจ
ข้าวไม่มาเจอผมเลยตลอดสองอาทิตย์ ทิ้งไว้เพียงคำพูดไร้น้ำหนัก ก่อนหายไป ข้าวขี้โกง หนีผมไปโดยไม่ยอมคุยกันอีกแล้ว ถึงแม้พอรู้ว่าข้าวอยู่กับเติมเต็มจะทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทั้งหมดอยู่ดี ข้าวปลอดภัย มีเติมเต็มดูแล แต่ข้าวไม่ยอมมาเจอผม ไม่ยอมมาคุยกัน ได้แต่รู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่า กับคนใจดีแบบข้าว คนที่ชีวิตนี้ไม่ควรให้เจอเรื่องทุกข์ใจอะไรแล้ว ผมยังปล่อยให้ข้าวเป็นกังวลอยู่คนเดียว
ผมรู้จากเติมเต็มว่าข้าวจะไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้รู้ข้อมูลรายละเอียดอื่น เพียงแค่นั้น ก็พอจับใจความได้ว่าชีวิตข้าวเองก็ไม่ได้สุขสบายอย่างที่ผมเคยคิด
ปวดใจแทบบ้าเมื่อรู้ว่าตัวเองช่างไร้ความสามารถ ช่วยอะไรให้ข้าวไม่ได้เลยสักอย่าง ไม่ว่าจะทางไหน มีแค่ต้องตามหาข้าวให้เจอเพื่อ ไปยืนอยู่ข้างๆ เป็นกำลังสำคัญให้แค่นั้นเอง
ข้าวหายไปในครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งแรก ผมหาข้าวไม่เจอ เพียวและอัลฟ่าต่างก็ใช้เส้นสาย ถามหาจากคนรู้จักตามสถานบันเทิงหลายแห่ง แต่ไม่เจอตัวคนที่ต้องการ
ถ้ายังไม่เจออีกคราวนี้ ผมคงต้องขอพึ่งอำนาจของฟิวเจอร์
เพียงแต่ไม่อยากให้มันไปถึงขั้นนั้น ผมขับรถมอเตอร์ไซค์ตระเวนตามหาข้าวไปแต่ละจุด ข้าวไม่มีรถ คิดเอาเองว่าคงไปไหนได้ไม่ไกล แต่เมื่อลองหารอบๆ ระยะทางที่คนจะเดินได้แถวๆ นั้นแล้วกลับไม่เจอแม้แต่วี่แวว
ข้าวไม่มีรถ แต่สามารถพึ่งการคมนาคมอย่างอื่นได้ ข้าวอาจจะเรียกแท็กซี่ไปที่ไหนสักที่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ย่อมไม่มีใครรู้ได้เลย
ผมขับรถเลียบริมแม่น้ำ นึกหงุดหงิดที่เห็นผืนน้ำสีดำสนิท สะท้อนสีของท้องฟ้ายามค่ำคืน สีดำมืดของท้องน้ำเห็นแล้วราวกับห้วงมิติอื่น ที่พร้อมจะดูดทุกอย่างที่ผมรักให้หายเข้าไปในนั้น
เมื่อความคิดเตลิด ผมไม่หันไปมองแม่น้ำสีดำอีก คิด คิดแต่ที่ที่ข้าวจะไปอยู่ เมืองก็ใหญ่ขนาดนี้ การตามคนๆ หนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
คนอย่างข้าวจะไปอยู่ที่ไหน
เด็กเรียนอย่างข้าวจะรู้ที่มากแค่ไหน สถานบันเทิงที่ข้าวมักจะไปก็ถูกขอร้องให้ทุกคนช่วยตาหาแล้ว แต่ก็ไม่เจอ ไม่อยู่หอและไม่น่าจะกลับบ้าน คนอย่างข้าว เวลาอยากอยู่คนเดียวจะไปอยู่ได้ที่ไหน ผมไม่เคยเห็นข้าวอยู่ที่ไหนเลยนอกจากหอ และหอสมุด...
...หอสมุด...
ทันทีที่เกิดความคิด ผมหยุดรถก่อนหันหัวพวงมาลัย ขับย้อนกลับทางเดิม บึ่งคันเร่งไปยังเส้นทางสู่มหาลัย...
หอสมุดกลางย่อมปิดแล้ว ผมรู้ ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากมาตรวจสอบให้แน่ใจ เสียงลมพัดผ่านซอกแซกตามร่องใบไม้ อากาศหนาวชื้นจากดิน รวมไปถึงความเงียบของสถานที่ทำให้รู้สึกถึงความรกร้างไร้ผู้คน ทั้งที่มันก็แค่หอสมุดเวลากลางคืนเท่านั้น ผมจอดรถ เดินไปตามทางเดิน มีสายลมปะทะและพัดผ่านเป็นระยะ
ใจผมเต้นระรัวเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยทว่าพ่ายผอมกว่าปกตินั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าหอสมุดกลางของมหาลัย
เจอตัวแล้ว ข้าวของผม...
ที่รักของผม...
.
สวบ
เสียงย่ำของฝีเท้าจากผู้มาเยือนไม่ได้รับเชิญทำให้ผมหันไปทางต้นเสียง ในทีแรก คิดว่าตัวเองสร้างภาพหลอน คิดมากไปจนปรากฏเป็นใบหน้าคนที่คิดถึงสุดใจ
แต่เมื่อได้สัมผัสถึงอ้อมกอดจึงรู้ว่าไม่ใช่เพียงภาพในจินตนาการ
“ข้าวหายไปไหนมา ผมจะบ้าอยู่แล้วรู้ไหม”
น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวอู้อี้ดังออกมาจากปากของฉาง สองแขนมันโอบรอบผมแน่น นั่งทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น ซุกหน้าตัวเองเข้ากับหน้าอกผม เอ่ยคำพูดที่จับใจความไม่ได้อีกมากมาย
“ผมใกล้จะตายแล้วนะข้าว เล่นทำกันอย่างนี้”
“...ขอโทษนะ” น้ำเสียงแหบพร่าของไอ้ฉางไม่ต่างอะไรจากน้ำเสียงตัวเองเลยสักนิด
ฉางส่ายหน้า “ผมไม่ได้โกรธ แค่อยากให้รู้ว่าผมเป็นห่วง กังวลไปต่างๆ นาๆ ยังกับคนบ้า”
“ถึงได้ขอโทษไง”
“ผมก็ขอโทษ...ที่ช่วยอะไรข้าวไม่ได้เลย”
“ไม่ ฉาง...มึงไม่ผิดเลย มีแค่กู...”
“ถ้าอย่างนั้นข้าวก็เลิกขอโทษนะ”
“...”
“ผมรักข้าว”
“...กู...ก็เหมือนกัน”
ฉางไม่ตอบอะไรออกมา ปล่อยให้ความเงียบในเวลากลางคืนทำงาน สายลมพัดผ่านหอบเอาความชื้นจากผืนดินมาเป็นระยะ อากาศเริ่มต่ำลงแล้ว แต่อ้อมกอดตรงหน้ากลับอบอุ่นเสียจนน้ำตาคลอ
กระทั่งผมสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นจากบริเวณหน้าอก ที่เดียวกับที่ฉางซุกหน้าเข้าไป
“ฉาง...”
“...ผมจะบ้าแล้วข้าว เหมือน...จะตายให้ได้เลย” มันว่า น้ำเสียงขาดห้วง เมื่อรับรู้ถึงหยดน้ำตาของคนตรงหน้าที่เปื้อนเสื้อตัวเอง ผมขยับแขนโอบกอดมันตอบ พังทลายทุกความรู้สึก ก้มหน้าซุกเข้ากับไหล่ของมัน สะอื้นไห้อย่างไม่สามารถฝืนทนได้อีกต่อไป
“ขอโทษ...กูขอโทษนะ...ขอโทษ...ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลยจริงๆ”
“...”
“แต่มัน...หลายอย่างเกินไป ฉาง...กูไม่รู้จะทำยังไง เอาแต่หนีออกมาทุกที”
“ถ้าอย่างนั้น เลิกหนีแล้วพึ่งพาผมบ้างได้มั้ย”
“...กู”
“ถ้าไม่รู้จะทำยังไง บอกปัญหาให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย”
“...”
“ถ้ากลัวกับผลลัพธ์ที่จะเกิด ให้ผมอยู่เคียงข้างได้มั้ย...”
“...”
“ผมสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้ข้าวจมอยู่คนเดียว ข้าวเชื่อใจผมได้มั้ย”
ฉับพลันน้ำทะเลที่ห่อหุ้มผมไว้อย่างไร้ทางออก กลับถูกมือไอ้ฉางดึงขึ้นมาจนเจอแสงอาทิตย์ อบอุ่นเสียจนร่างกายสั่นสะท้าน
ผมปล่อยให้น้ำตาไหลพลางระบายเรื่องราวออกมาอย่างหนัก ทุกคำพูดพรั่งพรูออกมาจากปาก ทุกเรื่อง ทุกความรู้สึก ทุกความคิด สาดซัดใส่เจ้าของอ้อมกอดอย่างยั้งไม่อยู่ ยิ่งได้พูดยิ่งหยุดไม่ได้ ยิ่งเอ่ยออกไปมาเท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งร่วงไหลออกมา ทั้งที่คิดว่าร้องไห้จนไม่มีน้ำตาเหลืออยู่แล้วแท้ๆ แต่ไม่อาจห้ามความรู้สึก โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับคนๆ นี้ ผมร้องไห้ราวกับกลายเป็นเด็กทารกแรกเกิด
จนหมดทุกเรื่องราว แต่น้ำตายังไม่ยอมหยุด ฉางขยับตัวลุกขึ้นมานั่งข้างๆ กอดผมแน่น ฝ่ามือมันลูบหัวผมช้าๆ ราวกับต้องการปลอบประโยน ผมสะอึกสะอื้นอย่างไร้ทางออก ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ ทำอย่างนั้นก็ไม่ดี มีแต่ต้องทำร้ายหัวใจอยู่อย่างนี้ ทรมานจนทนแทบไม่ไหวแล้ว
“ผมอยู่กับข้าวนะ อยู่ตรงนี้”
“...”
“เราจะผ่านเรื่องไปด้วยกันนะ”
ผมเงยหน้ามองใบหน้าคนตรงหน้า ฉางเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มที่เชื่อมั่นว่าผมกับมันจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันได้อย่างแท้จริง
“ข้าว!”
น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นมา ผมสะดุ้ง ผละตัวออกจากฉาง แต่คนตรงหน้าไม่ยอม กอดผมแนบชิดกายราวกลับไม่หวาดกลัวถ้าเขียนจะเห็น
“ฉาง...ปล่อยก่อน”
มันส่ายหน้า จนไม่ทันเวลาแล้ว...ไอ้เขียนเดินมาถึงแล้ว
“ข้าว...”
“เขียน...คือกู...ฉาง...มันไม่”
ผมพยายามหาคำอธิบาย ฝืนตัวดิ้นให้ตัวเองหลุดจากอ้อมกอดแต่ไม่เป็นผล ได้แต่ดิ้นขลุกขลักต่อหน้าเขียนอยู่อย่างนั้น
“เขียนกู...”
ผมร้อง ส่งเสียงวิงวอนขอให้มันยกโทษให้กับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตาเพื่อนสนิทโดยตรง ปล่อยให้ความเงียบปกคลุม ไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึกที่แหลกสลายซ้ำๆ เช่นนี้ จนกระทั่งมันเอ่ยขึ้นมา
“ข้าว...ช่างมันถอะ...กูไม่ว่าอะไรแล้ว”
“ห...หา”
“กูไม่ว่าห้ามอะไรเรื่องมึงกับฉางแล้ว”
“มึง...ได้ยังไง ก็มึง...ไม่ชอบ”
“อือ กูไม่ชอบก็จริง แต่ไม่ชอบที่มึงเป็นแบบนี้มากกว่า ขอโทษนะ ไม่ต้องฝืนเพื่อกูแล้วล่ะ”
ผมไม่เข้าใจ หันซ้ายหันขวาอย่างต้องการคนอธิบาย ทำไมจู่ๆ เขียนถึงยอมให้ผมง่ายๆ เช่นนี้ ถึงจะเป็นเรื่องดี แต่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“กูยอมแล้วข้าว ยอมรับในความรักของมึงได้แล้ว จะว่าไงดี... ตอนมึงหายไป กูก็แทบบ้าเหมือนกัน แต่เป็นฉางที่เจอมึงก่อนกู เป็นฉางที่มึงเรียกหาไม่ใช่กู กู...สู้ไม่ได้หรอก”
“ไม่ใช่นะเขียน มึงไม่ได้สำคัญน้อยกว่าฉางเลย กูแค่...”
“ข้าว พอแล้ว...กูเป็นเพื่อนมึงใช่ไหมล่ะ เพราะอย่างนั้น กูถึงยอมปล่อยให้มึงมีความสุขกับทางที่มึงเลือกไง”
มันบอกเช่นนั้น ก่อนผมจะเงยหน้าไปสบตากับมัน แววตาเขียนฉายแววเศร้าโศกอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาที่มองแล้วทำให้ผมเสียใจไม่ต่างจากมันเลย ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันกำลังเสียใจเรื่องอะไรก็ตาม
“ตอนแรกก็คิดอยู่หรอกว่ามึงเป็นแบบนี้เดี๋ยวก็หาย...แต่พอเห็นอย่างนี้แล้ว กูกลัวว่ามึงจะได้หายไปจริงๆ...”
“กู...”
ผมไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาพูดตอบมัน...ปล่อยให้คำพูดหายไปในอากาศ ไอ้ฉางกระชับอ้อมแขนมากยิ่งขึ้น บ่งบอกให้ผมรับรู้ว่ายังมีมันที่อยู่ตรงนี้...
“ขอบคุณ”
เป็นเสียงจากฉางที่เอ่ยออกมา ก่อนที่จะได้ยินเสียงของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมาทางที่ผมนั่งอยู่
เป็นเติมเต็ม เพียว อัลฟ่าและฟิวเจอร์ที่มา
“ข้าว...กูนึกว่าหายไปไหน”
“โอ๊ย ใจผมหายไปเลยข้าว วิ่งหาแทบตาย”
“...ขอโทษนะ” เสียงของอัลฟ่าและเต็มบ่นออกมาไปหยุด ฉางคลายอ้อมกอดแล้ว แต่ยังคงเอื้อมมือมาจับมือผมไว้แน่น ผมเอ่ยขอโทษที่เป็นสาเหตุทำให้วุ่นวาย พร้อมกับเอ่ยคำถามที่สงสัย
“รู้ได้ไงว่าอยู่ตรงนี้”
“ไอ้ฉางไลน์มาบอก พวกกูหามึงทั่วเมืองเลยข้าว” เป็นไอ้เต็มที่ตอบ ผมขอโทษมันอีกครั้งที่หนีออกมาจากห้องมันโดยไม่บอกกล่าว
“คิดว่าอีกชั่วโมงถ้ายังไม่เจออีก จะให้ฟิวเจอร์ตามตำรวจมาให้แล้ว”
“หา”
“ดีนะที่ฉางเป็นคนเจอก่อน” สิ้นเสียงเพียวผมเบิกตากว้าง ตำรวจอะไร ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย
“ขอโทษนะ...ไม่คิดว่าจะวุ่นวายกัน...”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว นึกยังไงหนีกูมาอยู่คนเดียวแบบนี้น่ะหา”
“...กู...ขอโทษ...มีเรื่องให้คิด เลยอยากอยู่คนเดียวสักพัก...” ผมว่าก่อนเงียบ ทุกคนที่อยู่ล้อมตัวผมก็เงียบ มีเพียงไออุ่นจากฝ่ามือฉางที่กุมมือผมไว้ทำให้รวบรวมเสียงบอกออกไปเป็นคำพูด “...พรุ่งนี้ กูจะไปหาแม่ที่โรงพยาบาลอีกรอบ”
“...”
ครั้งที่แล้วผมไปหาแม่เพื่อบอกเรื่องราวเกี่ยวกับไอ้ฉาง แม้จะใช้เวลานานกว่าจะมีความกล้าสารภาพออกมา แม่มีสีหน้าตกใจจนผมเสียใจ รีบลุกขึ้นบอกว่าไว้จะมาหาใหม่ก่อนหนีออกมากจาห้องพักผู้ป่วย ผมหนีอีกแล้ว หนีจากทุกอย่าง หนีทั้งไอ้ฉาง ไอ้เขียน แม้กระทั่งกับแม่ตัวเอง ทิ้งปัญหาไว้กับผู้คนมากมายก่อนมาเจอกับทางตัน
จวบจนไม่สามารถฝืนรับได้อีกต่อไป ผมตัดสินใจจะไปหาแม่วันพรุ่งนี้ ต้องการคำตอบจากแม่เพื่อให้ทุกเรื่องราวชัดเจน ถ้าแม่รับไม่ได้...ครั้งนี้ ผมคงต้องจากไอ้ฉางไปจริงๆ ให้เป็นไปอย่างที่แม่และเขียนต้องการ แต่หัวใจคงพังยับเยินทั้งผมและฉาง
แต่ถ้าแม่ยอมรับได้ซึ่ง...ผมมองไม่เห็นถึงโอกาสนั้นเลย...ถึงอย่างนั้น ถ้ามันเกิดขึ้น เขียนก็ยังคงไม่ยอมรับอยู่ดี มีแต่ผมกับฉางที่มีความสุข แต่จะปล่อยให้เพื่อนรักอย่างไอ้เขียนอยู่คนเดียวน่ะหรือ... ผมไม่รู้อะไรแล้ว...
ถึงได้หนีออกมานั่งอยู่คนเดียวเช่นนี้
ผมไม่ได้บอกไอ้เต็ม เพราะคิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน อีกอย่างถ้าบอกมัน ผมคงไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างที่ต้องการ จึงเลือกโบกแท็กซี่ให้มาส่งที่มหาลัย ก่อนเดินเตร็ดเตร่มาจนถึงสถานที่ที่คุ้นชิน นั่งพัก ปล่อยใจให้ทบทวนความคิด ปล่อยให้หยาดน้ำตากลั่นตัวไหลออกมาเป็นรอบที่หลายสิบของวัน
จนกระทั่งมาเจอกับฉาง ถึงได้พรั่งพรูทุกอย่างออกไป ระบายความอึดอัดกับหลายๆ เรื่องให้มันได้รับรู้ แต่จู่ๆเมื่อไอ้เขียนมาถึงกลับเอ่ยปากบอกยอมรับเรื่องผมกับฉางออกมาง่ายๆ เรื่องกังวลใจของผมถูกคลายขึ้นอีกอย่าง
ในขณะที่เหลือเพียงเรื่องเดียวที่กลัดกลุ่มอยู่ในใจ ทำให้ไม่ได้คิดว่าผมกำลังทำให้ใครหลายๆ คนเป็นห่วง เพราะผมเอาแต่คิดกังวลแต่เรื่องของตัวเองแท้ๆ
ผมบอกทุกคนถึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างคร่าวๆ
พรุ่งนี้ผมจะไปพบแม่... ผมไม่อยากปิดมันไว้อีกแล้ว ครานี้ คิดว่าถ้ามันจะจบก็ให้มันจบในคราวเดียว
อย่างน้อย...ความอุ่นที่ฝ่ามือผมก็ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว
♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦
: อีกฮึบเดียวจริงๆ