Kiss me under the Mistletoe •.★✿It’s the most beautiful time of the year
Lights fill the streets spreading so much cheer
I should be playing in the winter snow
But I’mma be under the mistletoe“ได้ทุกปีเลยเว้ย”
“ทุกเทศกาลสมตำแหน่งหนุ่มฮอตจริงๆ”
“ช็อกโกแลตเยอะยิ่งกว่าวาเลนไทน์ ดอกไม้พอๆ กับช่วงรับปริญญา ขนมอีก โอ๊ะ! มีพวงมาลัยเงินด้วยอ่ะ แฟนคลับมึงนี่ลงทุนดีจริงๆ”
สามเสียงจากเพื่อนสนิทไม่ได้เรียกให้สายตาของคนตัวสูงข้างหลังสนใจได้เลย ผู้ชายหน้าหล่อ ดวงตาคมสนิทแทบไม่ปรายตามองตามสิ่งของที่เพื่อนเขาพากันรื้อออกมาดูด้วยซ้ำ แววตาติดจะเฉยชามองผ่านแบบไม่สนใจเหมือนทุกครั้งที่ได้ของพวกนี้มา แม้จะปฏิเสธไปหลายสิบครั้ง ทั้งยังไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบรับไปในทางยินดีที่ได้ของขวัญ และไม่เคยรับของจากมือใคร แต่บนโต๊ะประจำที่เขานั่งเรียนก็มีของพวกนี้มาวางไว้ให้เสมอๆ
และยิ่งเยอะเป็นพิเศษถ้าเป็นช่วงเทศกาลสำคัญ
“อือ” อือออไปกับเพื่อนแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ปิดเปลือกตาลงตัดความรำคาญและพยายามลดอาการหงุดหงิดในใจด้วยการหายใจเข้าออกช้าๆ
“ของนี่ให้พวกกูทำไง”
“บริจาค”
“งั้นเดี๋ยวจัดการให้”
หลังเปลือกตาที่ปิดสนิท เขาได้ยินเสียงเพื่อนช่วยกันเก็บของลงถุงใบใหญ่ที่พวกมันเตรียมมาเหมือนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
“อ้าว มีจดหมายด้วย”
“ไหนๆ เออแต่แปลกทำไมกระดาษเป็นสีดำอ่ะ”
สีของกระดาษที่ได้ยินเพื่อนเอ่ยถึงทำให้คนที่หลับตาอยู่เปิดเปลือกตามามอง พอเห็นเพื่อนกำลังจะแกะอ่านให้เหมือนครั้งก่อนหน้าเขาก็ยื่นมือออกไป
“ขอ”
“หืม?”
“ขอดูเอง”
“อือๆ” เพื่อนที่ถือกระดาษยื่นให้อย่างว่าง่าย แม้จะแปลกใจเพราะที่ผ่านมาคนอย่างธชาไม่เคยสนใจสิ่งของพวกนี้เลย ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะราคาแพงแค่ไหนก็ตาม
แล้วความแปลกใจรอบที่สองของวันในกลุ่มเพื่อนก็เกิดขึ้น เมื่อผู้ชายยิ้มยาก พูดน้อย จุดรอยยิ้มมุมปาก แถมแววตายังมีความพอใจเจือเคลือบอยู่แม้จะตัวจะทำหน้านิ่งเหมือนเดิมก็ตาม
“เฮ้ยๆ เค้าเขียนว่าอะไร ทำไมมึงยิ้ม”
“ไหนๆ พวกกูดูหน่อย”
“ยุ่งน่า” เจ้าของกระดาษสีดำแผ่นเล็กยัดกระดาษลงกระเป๋ากางเกง พยายามมองเมินเพื่อนที่มองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ ปฏิเสธด้วยความเงียบว่าจะไม่ให้ใครได้อ่านข้อความบนจดหมายแผ่นเล็กนั้น
ข้อความที่เขาได้มาติดต่อกันทุกปี ตั้งแต่สี่ปีที่แล้วที่มันก็ถูกวางอยู่บนโต๊ะแบบนี้
ข้อความสั้นๆ บนกระดาษสีดำที่เขียนเอาไว้ว่า
“Meet me under the Mistletoe”“เฮ้ยๆ อาจารย์มาแล้ว เก็บของก่อนๆ” แววตาสนใจใคร่รู้สามคู่ที่จ้องกดดันมายังเขาเปลี่ยนเป็นวุ่นวายขึ้นมาทันทีเมื่อร่างกายสูงใหญ่ดูดีของชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาเป็นระเบียบเดินเข้ามาภายในห้องเลคเชอร์ใหญ่ของคณะ แววตาในแว่นไร้กรอบกวาดมองนักศึกษาแบบไม่เจาะจงแต่ก็ทำให้หลายๆ คนกลัวหัวแทบหด เพราะเรียนมาด้วยกันตั้งแต่เข้าวิชาคณะปีที่แล้ว ได้ยินกิตติศัพท์มาตั้งแต่ปีหนึ่งทำไมจะไม่รู้ว่าอาจารย์หน้าห้องท่านนี้เนี๊ยบแค่ไหน
อาจารย์เคยไล่นักศึกษาหญิงที่ใส่กระโปรงสั้น เสื้อรัดรูปออกจากห้องมาแล้ว แถมนักศึกษาชายที่ไม่ยอมใส่เข็มขัดของมหาวิทยาลัยก็โดนไม่ต่างกัน แต่ที่ทำให้ใครๆ ก็กลัวและพูดถึงคือข้อสอบที่เรียกได้ว่าแทบจะสูบเอาวิญญาณออกจากร่างได้หลังสอบเลยทีเดียว
“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษด้วยที่ต้องนัดเรียนช่วงใกล้ปีใหม่แบบนี้ ผมเข้าใจว่าเทศกาลสำคัญพวกคุณก็คงอยากอยู่บ้านหรือเที่ยวเล่นมากกว่ามาเรียน แต่อย่างที่เคยบอกไปว่าทางคณะส่งผมไปอบรมหลังปีใหม่หนึ่งเดือน ไม่นัดเรียนก่อนคาดว่าจะไม่มีเวลาเลคเชอร์พอก่อนสอบมิดเทอมของเทอมหน้า”
“.....” นักศึกษาในห้องเงียบสนิท แม้จะไม่อยากมาเรียนมาแค่ไหนก็ตาม ก็นี่มันช่วงปิดเทอม พวกเขาเพิ่งผ่านมรสุมร้ายของไฟนอลมา ใครจะคิดว่าวันจันทร์ถัดมาอาจารย์ก็นัดเรียนเนื้อหาของเทอมสองแล้ว
“และเนื่องจากวิชานี้เป็นตัวต่อจากเทอมที่แล้ว ใครที่คิดว่าติดเอฟแน่ๆ จะลุกออกไปเลยก็ได้นะครับ เพราะถ้าเกรดออกคุณก็ลงทะเบียนไม่ได้อยู่ดี”
“โห อาจารย์โคตรร้าย” เสียงกระซิบดังจากที่นั่งข้างๆ พวกเขาเป็นนักศึกษาเภสัชชั้นปีที่สี่แล้ว วิชาที่กำลังจะเรียนคือวิชาฟามาโคเทอราปี่ (Pharmacotherapy) เนื้อหาหนักๆ ที่เกี่ยวกับโรคและยารักษาโรค เป็นวิชาที่มีซีรีย์ยาวหกตัวคือตั้งแต่ตัวที่ 1 ตอนปีสามเทอมหนึ่งเรื่อยไปจนถึงตัวที่ 6 ตอนปีห้าเทอมสอง ความโหดร้ายของวิชานี้นอกจากเนื้อหาที่ยากแล้วเยอะแล้วคือ ถ้าตกตัวไหนต้องแก้เอฟจนกว่าจะผ่านถึงจะสามารถลงเรียนตัวต่อไปได้ และไม่มีการเปิดรายวิชานอกเหนือจากเทอมที่วางหลักสูตรไว้
นั่นคือถ้าใครตก จะจบช้ากว่าเพื่อนหนึ่งปีแน่นอน
“เอาล่ะครับ เริ่มกันเลยดีกว่า” สิ้นเสียงนั้น อาจารย์ก็ปรายตามองความเรียบร้อยของนักศึกษาทั่วห้องขนาดใหญ่อีกครั้ง เสี้ยววินาทีที่สายตานั้นมองมายังคนที่ทำเพียงนั่งกอดอกมองไปหน้าห้องนิ่งๆ ก็คล้ายจะเห็นประกายสะท้อนกลับมา แต่ทว่าหลังจากเสี้ยววินาทีนั้น ก็ไม่มีการสบตากันเกิดขึ้นอีกเลยจนกระทั่งจบสามชั่วโมงเรียน
“โอ๊ยยย โคตรเหนื่อย กูรู้สึกเหมือนจะตาย”
“นั่นสิ เรียนหรือออกรบว่ะ ดูดพลังชิบหาย ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันป่ะ?”
“เออๆ ไปๆ แล้วคืนนี้ว่าไงอ่ะ คริสต์มาสทั้งที ไปเมากันป่ะ”
“กูยังไงก็ได้นะ แต่พรุ่งนี้มีเรียนนี่สิ”
“เออว่ะ มาสายอาจารย์ด่าแน่”
“แล้วธชาว่าไงอ่ะ ไปไหนป่ะคืนนี้”
“ไป”
“ห๊ะ ไปไหน? มีนัดแล้วหรือไปกินเหล้ากะพวกกู”
“มีนัด”
“ตอบสั้นจังวะ อธิบายสิ มีนัดของมึงอ่ะ อ๊ะ!! หรือว่าจดหมายฉบับนั้น?”
“อือ ไปนะ”
“เฮ้ย!!”
ร่างสูงเดินออกมาจากกลุ่มเพื่อนเพื่อออกไปเอารถที่จอดไว้แล้วขับไปตามนัดในจดหมายอย่างที่เพื่อนเดาถูก ความหงุดหงิดก่อนหน้ายังคงหลงเหลือเพราะต้องตื่นเช้า หากแต่เจือจางยิ่งนักเมื่อนึกถึงสถานที่ๆ กำลังขับรถมุ่งไป
Word on the street Santa’s coming tonight,
Reindeer’s flying in the sky so high
I should be making a list I know
But I’mma be under the mistletoeควันบุหรี่สีขาวออกจากริมฝีปากได้รูปที่เจ้าของตั้งใจปล่อยควันให้ลอยเอื่อยออกมาช้าๆ บรรยากาศยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดินบนตึกสูงกลางใจเมืองควรสร้างอารมณ์สุนทรีแก่ผู้เฝ้ามอง แต่ไม่ใช่กับคนที่มาอยู่ตรงนี้เกือบๆ ห้าชั่วโมงแล้ว และในตอนที่ตัดสินใจว่าจะไม่รอแล้วนั่นเอง เสียงทุ้มคุ้นหูที่ได้ฟังแล้วยิ่งชวนหงุดหงิดก็ดังขึ้น
“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดสูบบุหรี่”
“.....” นอกจากความเงียบ ก็มีเพียงเสียงลมหายใจและสายตาผู้ฟังเท่านั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่พอใจกับประโยคนั้นมากแค่ไหน และเมื่อคนพูดเดินเข้ามาใกล้ บุหรี่ที่คีบติดปลายนิ้วจึงถูกสูบอีกครั้งและจงใจปล่อยควันใส่คนตรงหน้าจนหมดถ้าเพียงแต่จะไม่หันหลบให้ทันเสียก่อน
“ไม่เอาน่า อย่าหงุดหงิดสิ ผมขอโทษ”
“ห้าชั่วโมง”
“ครับ ขอโทษที่ปล่อยให้คุณรอห้าชั่วโมง”
“ชดใช้สิ”
“หืม? แล้วคุณอยากให้ผมทำอะไร”
รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจถูกจุดขึ้นบนมุมปากคนที่เรียกร้องให้ชดใช้ ก่อนริมฝีปากนั้นจะเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกมา
“อยู่กับผม”“ได้สิ”
“ทั้งคืน?”“แน่นอน”
“ดี”
สิ้นประโยคสนทนาสั้นๆ ริมฝีปากที่เจือกลิ่นมิ้นต์จากบุหรี่ที่ถูกทิ้งไปเมื่อสักครู่ก็ประกบลงบนริมฝีปากได้รูปอย่างรุนแรง ฟันคมกัดลงริมฝีปากล่างไม่เบานัก มือสองขึ้นยกขึ้นคล้องคอคนตัวสูงกว่าให้แนบชิดกันมากขึ้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาหงุดหงิด ทั้งที่คิดว่าส่วนสูง 182 ของตัวเองก็ไม่น้อยหน้าใครแล้วแท้ๆ แต่กับคนตรงหน้านี่ ทั้งอายุ วุฒิภาวะ รูปร่างรวมถึงเรื่องเล็กๆ อย่างส่วนสูงก็ทำให้เขาแพ้จนราบคาบ
เสียงจูบเฉอะแฉะดังขึ้นริมระเบียงห้อง สองร่างที่ตระกองกอดกันแลกเปลี่ยนรสจูบรุนแรงแบบที่ไม่มีใครยอมใคร คนที่เริ่มก่อนถูกรุกกลับ โดนดูดดึงทั้งลิ้นเรียวและริมฝีปากจนแทบชา เนิ่นนานจนต้องย้ายมือที่คล้องคอไว้มาดันหน้าอกแกร่ง คนอายุมากกว่าจึงยอมผละออก
เสียงหอบหายใจประสานกันท่ามกลางท้องฟ้าที่กำลังจะเปลี่ยนสี ริมฝีปากที่บวมช้ำเพราะการบดจูบเนิ่นนานเผยออกเล็กน้อย ดวงตาตวัดมองเจือทั้งความพอใจและหงุดหงิดใจ
“จะจูบให้ตายเลยหรือไง”
“คาอกเลย” พร้อมคำตอบนั้น ฟันคมก็งับบริเวณลาดไหล่เปลือยเปล่าเพราะเสื้อนักศึกษาถูกเจ้าตัวถอดทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนเดินออกมาสูบบุหรี่แล้ว ความเจ็บเล่นไล่เรื่อยมาตั้งแต่ลาดไหล่มน ไหปลาร้า จนถึงต้นคอขาวสะอาด และแรงเจ็บจี๊ดที่เกิดขึ้นก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะฟาดฝ่ามือลงไปให้คนแกล้งกันต้องเงยหน้ามาหัวเราะร่วน
“อย่าทำรอย”
“ปกติชอบไม่ใช่เหรอ?”
“พรุ่งนี้มีเรียน”
“อาจารย์คุณไม่ว่าหรอกน่า”
“จริงเหรอ?”
“.....”
“ถ้าอย่างนั้นไว้คืนนี้ คุณอาจารย์อยากทำกี่รอยก็ตามสบายเลยนะครับ”สิ้นคำพูดประชดประชันนั้น คนตัวเล็กกว่าก็เดินกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ชายหนุ่มร่างสูงกว่ามองตามด้วยรอยยิ้ม
...
สี่ปีแล้วสินะ ที่ความลับนี้ถูกปิดไว้ไม่ให้ใครได้ล่วงรู้With you, shawty with you
With you, shawty with you
With you under the mistletoe“วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง” เสียงถามดังมาจากคนที่กำลังเตรียมดินเนอร์ในคืนพิเศษ สเต็กที่กำลังสุกได้ที่ถูกจัดใส่จานสีขาวใบสวย ตกแต่งด้วยผักสลัดสวยงามสมฝีมือคนที่ไม่ว่าจะขยับทำอะไรก็เก่งไปเสียหมด
“ก็เหมือนเดิม”
“ตอบเหมือนเรียนกับผมแล้วน่าเบื่อ”
“คุณสอนดี แต่เพราะทำอย่างอื่นกับคุณแล้วมันสนุกกว่า” ปลายนิ้วของคนที่นั่งไขว้ขาบนโต๊ะอาหารทั้งๆ ยังคงเปลือยท่อนบนเรียกความสนใจด้วยการกรีดปลายมือไปตามลำแขนส่วนที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตที่ถูกพับขึ้นไปไว้ตรงข้อศอก ลากไล่ไปมาเบาๆ เรียกให้เจ้าของแขนขนลุกซู่จนตัวถึงอมยิ้มพอใจ
“เล่นแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้ทานข้าว”
“คุณไม่ปล่อยให้ผมหิวหรอก”
“ก็ไม่แน่” สิ้นคำนั้น ปลายมือทั้งสองข้างที่กำลังซนก็ถูกรวบ พร้อมกับร่างบางกว่าถูกกดจนนอนแนบส่วนบนไปกับโต๊ะอาหาร ขาสองข้างที่นั่งไขว่ห้างเมื่อสักครู่ถูกเข่าดันออกให้แยกจากกันก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียวนั้น
“เด็กดื้ออย่างคุณ บางทีก็ต้องสอนให้จำบ้าง” ข้อมือทั้งสองถูกกดจนแนบไปกับโต๊ะอาหาร แผ่นหลังสัมผัสกับผิวหินอ่อนเย็นเฉียบ แต่แววตากลับยังคงเปล่งประกายท้าทาย และปลายจมูกเชิดบอกความรั้นของเจ้าตัวก็ถูกฟันคมขบกัดลงมาเบาๆ
“บางทีนะ...”
คำพูดสั้นๆ หายไปกับริมฝีปากที่แนบกับใบหูสวย แลบลิ้นออกมาไล้เลียใบหูอย่างหยอกล้อด้วยรู้ดีว่าจุดอ่อนของคนใต้ร่างอยู่ตรงไหนบ้าง
คางมนเชิดขึ้นเมื่อเขาฝังใบหน้าลงไปกับซอกคอที่ยังคงมีกลิ่นหอมกรุ่น
“ผมอาจต้องสอนคุณซ้ำๆ”
รอยสีแดงบนต้นคอรอยเดิมเริ่มขึ้นสีชัดขึ้น และไม่นานหลังจากนั้นก็มีอีกสองรอยใกล้ๆ กัน
ริมฝีปากร้อนผ่าวลดระดับลงเรื่อยๆ ปลายลิ้นหยอกเย้าไม่ละเว้นแทบทุกบริเวณที่สัมผัสร้อนนั้นจะไล่ไปถึง ผ่านยอดอกที่ถูกแวะดูดดึงจนตั้งชันแถมแต้มด้วยสีแดงเรื่อชวนมอง เสียงครางผะแผ่วจากคนใต้ร่าง แต่ริมฝีปากและปลายลิ้นที่เลาะเล็มเอาแต่ได้ทีละเล็กกลับไม่ยอมหยุดแค่นั้น ทิ้งร่องรอยไว้แล้วเสาะหาพื้นที่ว่างเพื่อทิ้งร่องรอยใหม่เรื่อยไปจนกระทั่งถึงจิวเล็กสีดำตรงสะดือสวย
“ผมเกลียดจิวนี่” พร่ำบอกทั้งที่ยังคงกดริมฝีปากลงไป มือทั้งสองปล่อยข้อมือที่พันธนากาลไว้แต่แรกให้คลายออกเพื่อมาลูบไล้หน้าท้องที่เห็นลอนสวยชัดเพราะเจ้าของออกกำลังกายอยู่เสมอ ส่วนมือสองข้างที่เพิ่งได้รับอิสระก็ทิ้งปลายนิ้วแทรกไปบนเรือนผมสีธรรมชาติที่เจ้าของกำลังสาละวนมอบรอยจูบสีกุหลาบให้ไม่หยุด
“เพราะมันทำให้คุณดูยั่วยวนกว่าเดิม”
รอยจูบ ที่กำลังค่อยๆ ลุกลามราวเปลวไฟ
เข็มขัดนักศึกษาถูกปลดออกหลังจากนั้น หน้าท้องเปลือยเกร็งขึ้นอัตโนมัติเมื่อซิปกางเกงถูกปลด ลมหายใจร้อนยิ่งกว่ากันรินรดผิวเนื้อผ่านผืนผ้าที่ธชารู้สึกว่ามันบางยิ่งกว่าครั้งไหน ปลายจมูกโด่งลากไล้ทักทายส่วนอ่อนไหวที่ยังซุกซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์สีขาวสะอาด
ดวงตาคมดุแต่อ่อนหวานยิ่งเงยขึ้นสบกัน ก่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะถูกจุดขึ้นมา
“เดี๋ยวอาหารจะชืด เราค่อยมาจัดการเรื่องนี้ทีหลังดีกว่า”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนราวกับไม่เคยรู้สึกอะไร แถมยังทิ้งคนที่ถูกปลดเสื้อผ้าออกจนเกือบเปลือยไว้ทั้งอย่างนั้นโดยไม่แม้แต่จะช่วยแต่งตัว
“ผมจะฆ่าคุณแน่ๆ” เสียงคำรามขู่เรียกได้เพียงเสียงหัวเราะทุ้มต่ำเท่านั้น ดวงตาเจ้าเล่ห์ภายใต้แว่นไร้กรอบหันมามองอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามอย่างตั้งใจยั่วเย้า
“หรือคุณไม่หิวครับคุณนักศึกษา?”
เท่านั้นคนที่รอมาตั้งแต่บ่ายจะทำอะไรได้นอกจากกระโดดลงจากโต๊ะหินอ่อน ติดซิปกางเกงตัวเองจนเรียบร้อยและทิ้งตัวลงนั่งอย่างกระแทกกระทั้นบนเก้าอี้ประจำตัว
“เสิร์ฟอาหารสิครับอาจารย์”
“.....”
“ผมหิวจนแทบจะกินคุณได้ทั้งตัวอยู่แล้ว”
Don’t you buy me nothing
I am feeling one thing, your lips on my lips
That’s a very, merry Christmasหลังมื้ออาหารก็เป็นเวลาของแชมเปญยี่ห้อหรูสำหรับการเฉลิมฉลอง โต๊ะตัวเล็กตรงชุดโซฟารับแขกมีถังไม้บรรจุเครื่องดื่มวางอยู่บนนั้นถูกเลื่อนให้ชิดริมผนังด้านหนึ่ง เว้นที่ตรงกลางไว้สำหรับฟูกนอนหนานุ่ม ผ้าห่มนวมผืนโตและหมอนใบใหญ่อีกสองสามใบที่ขนออกมาจากห้องนอนให้เจ้าของห้องและแขกคนสำคัญใช้สำหรับนอนดูหนัง
แต่ทว่า...
“ดูหนังไปสิ จ้องหน้าผมทำไม” คนถูกนอนมองหน้ามากว่าสิบนาทีหันไปถามอย่างเหลืออด ซึ่งคนทำผิดก็ยอมรับแต่โดยดีพลางชันแขนขึ้นข้างหนึ่งเพื่อจะได้เท้าคางมองได้ถนัดกว่าเดิม
ปลายนิ้วยาวยื่นมาเกลี่ยแก้มขาว แล้วเอ่ยถาม
“คุณบอกว่าคุณไปสักมาใหม่”
“อืม เพิ่มอีกที่”
“ตรงไหน เมื่อกี๊คุณถอดเสื้อผมก็เห็นแค่รอยเดิมตรงบั้นเอว”
รอยสักที่เป็นข้อความภาษาอังกฤษสองแถวที่เจ้าตัวชื่นชอบ
“เรื่องแบบนี้ใครเขาจะบอก”
“หืม?”
“คุณต้องหาเอง”
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งรั้งคอคนข้างๆ ให้ก้มลงไปหา กระซิบชิดริมหูด้วยเสียงเบาทว่ายั่วยวนในที “ของขวัญคริสต์มาสคุณอยู่ตรงนั้น”
ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มบริเวณเดียวกับที่ถูกทำไปก่อนหน้า ก่อนจะถูกมือใหญ่จับไว้แล้วงับลงไปช้าๆ
“คุณจงใจยั่วผม”
“ผมทำแบบนั้นเหรอ?”
ดวงตาคมเลื่อนมองริมฝีปากที่เอ่ยคำหลอกล่อ จ้องมองลิ้นเล็กที่แลบมาเลียรอบปากสีสด ดวงตาวิบวับหยอกเย้าจนยากจะเชื่อว่านี่ไม่ใช่การเอาคืน
“ถ้าผมหาเจอ?”
“มันจะเป็นของคุณ”
รอยยิ้มร้ายเผยออกพร้อมกัน ก่อนริมฝีปากร้อนจะแนบสนิทกันอีกครั้ง จูบคราวนี้ไม่เหมือนก่อนหน้า เพราะนี่ไม่ใช่จูบทักทายหรือการกลั่นแกล้ง หากนี่คือจูบที่ทดแทนความโหยหาตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนานนับเดือน
รสชาติหวานที่เคยคุ้นหลอกล่อให้เมามัว ร่างกายสูงใหญ่เลือนขึ้นทาบทับคนใต้ร่างจนแนบสนิทไร้ช่องว่าง ลมหายใจถี่รัวสลับเสียงหอบหนัก เหงื่ออกผุดพรายทั้งที่แอร์ยังเย็นเฉียบ
ร่องรอยสีแดงช้ำที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำถูกริมฝีปากคู่เดิมซ้ำแต่งสีให้เข้มยิ่งขึ้น ปลายลิ้นร้อนลากไล่ทั่วผิวกายขาวแข่งกับมือทั้งคู่ที่เปะป่ายไปทั่วร่าง เข็มขัดเส้นเดิมถูกถอดออกอีกครั้งตามด้วยกางเกงขายาว ปอกลอกจนคนตัวเล็กกว่าเหลือเพียงชั้นในสีขาวห่อหุ้มคนด้านบนก็หยุดมือ
“ผมเจอแล้ว”
พร้อมคำบอกนั้น นิ้วมือเรียวสวยก็แตะลงตรงรอยเส้นสีดำที่นูนชัดขึ้นมาเหนือผิวขาวกระจ่าง รอยเถาวัลย์ ดอกไม้และใบไม้เล็กๆ ถูกวาดลงตรงโคนขาอ่อนด้านในที่ถ้าเจ้าตัวไม่ตั้งขาขึ้นแบบนี้ก็คงไม่อาจมองเห็น
“ช่อมิสเซิลโท?”“.....”
“เพราะเราเจอกันครั้งแรกตอนคริสต์มาส คุณเลยสักลายนี้ไว้ใช่ไหม”
“อย่าคิดเอง”
แม้จะบอกแบบนั้น แต่คนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกก็ปกปิดริ้วสีแดงที่พาดผ่านแก้มได้ไม่มิดเอาเสียเลย
เจ้าของรอยสักขบฟันลงบนริมฝีปากกลั้นเสียง เมื่อคนคิดเองลดตัวลงจูบไปบนรอยสักนั้น เนิ่นนานทว่าอ่อนโยนยิ่งนัก ก่อนจะเปลี่ยนสัมผัสนั้นให้ร้อนขึ้นด้วยการกัดเบาๆ และดูดดึงจนขึ้นสีแดงชัดไม่ต่างจากร่องรอยบนตัวที่ทำไว้ก่อนหน้า
“ของขวัญของผม”
พูดและย้ำลงบนรอยนั้นอีกครั้ง
“อย่าให้ใครเห็นอีกเด็ดขาด”
และอีกครั้ง
ปราการด่านสุดท้ายสีขาวสะอาดถูกทอดทิ้งไป และก่อนบทเพลงร้อนในคืนเทศกาลจะดำเนินเรื่อยไปอย่างไม่รู้จุดสิ้นสุด เสียงแผ่วหวิวของเจ้าของรอยสักก็ดังขึ้น
“Kiss me...”
“...under the mistletoe”Kiss me underneath the mistletoe
Show me baby that you love me so.... E N D ..
Merry Christmas ค่ะ
ถือว่าเป็นของขวัญคริสต์มาสได้มั้ย?
ได้อยู่เนอะ ^^
มีความสุขกันมากๆ นะคะ
**ขอบคุณเพลง mistletoe ของจัสตินด้วยค่ะ