รอยชัง ๑
ท้องฟ้าสีดำสนิทไร้แสงดาวในคืนนี้บ่งบอกได้ชัดเจนว่าทางที่กำลังจะไปนั้นฝนใกล้จะเทลงมาเต็มที น้อยเร่งฝีเท้าเหยียบคันเร่งจนมิด ทางเข้าไร่อีกแห่งนั้นเป็นถนนดินแดง เขายังไม่อยากตกหล่มอยู่ในบ่อดินตอนห้าทุ่มเที่ยงคืนแบบนี้แน่นอน และนั่นจะยิ่งทำให้เจ้านายอารมณ์เสีย ไม่แน่ รายต่อไป อาจจะเป็นเขาเองที่เดือดร้อน
"นายครับ ผมว่าเราควรเปลี่ยนเส้นทาง" น้อยเอ่ย หากไปทางเดิมจะทำให้เสียเวลาและฝนจะตกลงมาเสียก่อน ของหลังรถอาจมีปัญหา ไม่คุ้มเสี่ยง
"ตามใจ" อัศวินไม่ทันคิดจึงได้พูดออกไป เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า
ทางนั้นเป็นทางเดียวที่มีโรงพยาบาล
...
พวกเขามาถึงไร่กันก่อนฝนจะตกเพียงแค่อึดใจเดียว ขนของลงเสร็จเรียบร้อยฝนก็กระหน่ำเทลงมาอย่างรุนแรงและยังไม่มีท่าทีจะหยุดง่ายๆ
อัศวินเดินเข้าบ้านพักหลังเล็กๆที่สร้างไว้พอพักได้เป็นครั้งคราว เขาถอดเสื้อตัวนอกที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนออกเผยให้เห็นมัดกล้ามสีน้ำผึ้งเหลือบแทนที่เกิดจากการออกแดด รอยแผลเป็นตามร่างกายที่เกิดมาจากการต่อสู้ยิ่งทำให้เขาดูเถื่อนถ่อยลงไปอีก หน้าตาคมเข้มและหนวดเคราที่ยังไม่ได้โกนออกเพราะไม่มีเวลาก็ยิ่งทำให้หนุ่มรูปงามคนนี้ดูดุและน่ากลัวมากในสายตาคนที่พบเห็น และนี่คือสิ่งที่ อัศวิน จารุพงษ์ไพศาล ต้องการให้เป็น
หลังจากที่พ่อเขาได้จากไปเพราะการไม่ลงรอยจากการปันผลประโยชน์ที่ดินสัมปะทานรังนก คู่อริจ่อยิงศรีษะพ่อเขาอย่างไม่ไว้หน้า ตอนนั้นเขายังเป็นแค่เด็กนักศึกษาธรรมดา ไม่ได้ต้องการที่จะสืบทอดกิจการของบ้านแต่อย่างใด หลังจากพ่อเสียเขาเหลือเพียงแค่มารดาและน้องสาว จากเด็กมหาลัยธรรมดา เขาต้องช่วยเหลือตัวเองจนจบปริญญาตรี ก่อนจะเข้ามารับช่วงต่อจากบิดาอย่างขัดไม่ได้
อัศวินค่อยๆเรียนรู้งานจากมือขวาของพ่อ ลุงชัย แกคอยสั่งสอนและอบรมอัศวินมาจนเขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งและมีคนนับหน้าถือตาได้ถึงเพียงนี้ เขาใช้เวลาว่างเรียนต่อปริญญาโทและจบมันไว้แค่นั้น ผู้ชายอายุ 32 ปี ที่ยังไม่มีลูกมีเมีย มีแค่ครอบครัวและลูกน้องทั้งหลายที่ต้องดูแล
ปางไม้ที่ลำปางเป็นแค่ส่วนหนึ่งในกิจการ ปกติเขาจะให้มารดาและน้องสาวคอยดูแล แต่คราวนี้เรื่องมันร้ายแรงเกินไป ปกติแล้วเขาจะอยู่คุมเกาะรังนกอยู่ที่สุราษฎร์ เพราะเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวและญาติพี่น้องก็ไม่มีใครที่พอจะไว้วางใจได้ ความรับผิดชอบจึงต้องตกอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว แม้จะเหนื่อย แต่ก็ท้อไม่ได้ อีกสิ่งที่เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นก็คือความตาย หากว่าเขาตายไปอีกคน แม่กับน้องคงไม่เหลือใคร และเขาคงจะตายตาไม่หลับ ถ้าต้องเห็นสองคนนั้นอยู่อย่างไม่มีความสุข
ก๊อก ก๊อก
"เข้ามา" เขาที่กำลังดูเอกสารบอกคนด้านนอก
"นายจะรับอะไรร้อนๆไหมครับ หรือถ้าหิวข้าวผมจะได้ทำไข่เจียวให้" น้อยถาม แม้มันจะเลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่อัศวินยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เย็น
"ขอแค่น้ำอุ่นพอ มึงจะทำอะไรก็ไปทำ พรุ่งนี้เช้ากูจะกลับบ้าน เคลียร์งานให้เสร็จก่อนรังนกจะส่งออก หลังจากนั้นกูต้องกลับไปเกาะ ทิ้งทางนู้นไว้นานเกินไปก็ไม่ดี พวกจ้องจะเอามันเยอะ แค่นี้กูก็ปวดหัวจะแย่" เขาเอ่ย พิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ทางนั้นก็เร่งออกเพราะหน้านี้นกนางแอ่นผลิตรังนกได้เยอะ เป็นเวลากอบโกย แต่กลับต้องมาติดงานทางนี้เพราะลูกน้องชั่วๆสมคบคิดกับศัตรูช่วยกันทำลายเขา
ใช้คำว่า ระยำ ยังน้อยไป
"ไอ้เด็กนั่นมันฟื้นรึยัง" พอคิดถึงพ่อก็นึกขึ้นได้ว่าเด็กนั่นมันยังอยู่
"เอ่อ" น้อยหลบตา กลัวว่านายจะทำอะไรไอ้เด็กนั่น บอกตามตรงเขาไม่อยากเห็นนายฆ่าคนบริสุทธิ์
"กูไม่ลืมหรอกนะ แล้วที่มึงเปลี่ยนเส้นทาง ก็เพราะมึงไม่อยากเอามันไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลใช่ไหมล่ะ! เหอะ นึกว่ากูโง่หรือไง แต่พอมาคิดๆดู ตอนนี้กูเริ่มอยากรู้แล้วว่าพ่อมันสมคบคิดกับใครอีกบ้าง กูว่าจะต้องมีคนงานในปางเราอีกคนสองคนที่รวมหัวกับมัน เพียงแต่ไอ้โสภณไม่ยอมซักทอด" เขาประสานมือไว้ที่คออย่างครุ่นคิด
"มึงทำไงก็ได้ให้มันฟื้น พรุ่งนี้กูจะง้างปากมันก่อนจะเอามันไปทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง ออกไปได้แล้ว กูง่วงแล้ว" เขาไล่ลูกน้องคนสนิท อย่างน้อยถ้าเด็กนั่นมันรู้อะไรบ้างก็คงจะดี ที่เขาแค้นและถึงขั้นต้องฆ่าพ่อมันก็เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง อีกอย่าง เขาเกลียดคนที่หักหลังได้แม้แต่กระทั่งผู้มีพระคุณ เขาไม่ได้เสียดายไม้สักจนคิดฆ่าคน เพียงแต่เขาฆ่าเพราะมันคือคนที่สมควรตาย!
...
น้อยปิดประตูลงอย่างทอดถอนใจ คราวนี้นายพูดจริงทำจริงแน่นอน ถ้าไอ้เด็กนี่ไม่ปริปากและยั่วโทสะเอามากๆอาจจะเดือดร้อนได้
"กูจะต้องทำไงวะเนี่ย มึงถึงจะตื่น" น้อยส่ายหัว มองร่างบางที่หลับอยู่บนแคร่ไม้เก่าๆ มีเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วใช้ห่มกาย น้อยใช้เตาถ่านจุดไฟไว้ข้างๆ เผื่อมันจะหายหนาวขึ้นมาบ้าง เขายอมสละที่นอนให้ ยอมนอนที่เก้าอี้แคบๆเพราะสงสารมัน
ขนาดพ่อตายมึงยังไม่รู้ แล้วชีวิตมึงจะเป็นไงต่อไปกูยังนึกภาพไม่ออก
แสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้องทำให้อัศวินค่อยๆลืมตาขึ้น หกโมงเช้าอากาศที่นี่ค่อนข้างหนาวเย็น ยิ่งโดยเฉพาะอยู่ท่ามกลางป่าเขาแบบนี้
เขาเช็ดตัวลวกๆเพราะคิดว่าอีกเดี๋ยวค่อยไปอาบที่บ้านใหญ่ เก็บเอกสารและเตรียมรองเท้าบูธเตรียมตัวสำรวจไร่
"นาย" น้อยรีบลุกขึ้น เขากำลังเช็ดตัวให้มัน หลังจากที่ตื่นมาได้ยินเสียงเพ้อหาคนเป็นพ่อ พอแตะตัวมันเขาก็สะดุ้งเฮือก ร้อนราวกับไฟ เลยต้องเช็ดตัวเพื่อขับไอร้อนลงบ้าง เขายังไม่อยากให้มันมาตายในสภาพแบบนี้
"มันฟื้นมาบ้างไหม" อัศวินถาม ปลายตามองเพียงเล็กน้อย
"ไม่เลยครับ เมื่อรุ่งสางเพ้อหาพ่อ ตัวมันร้อนราวไฟระอุ ผมกลัวว่ามันจะตาย เลย .."
"พอ! กูถามก็ตอบมาตามนั้น ไม่ต้องลงรายละเอียด!" อัศวินบอกคนที่ดูลุกลน
"มึงเฝ้ามันไว้ กูจะออกไปตรวจไร่ กลับมาเราจะไปบ้านใหญ่กัน เอ้อ แล้วอย่าเพิ่งให้มันตายล่ะ เพราะกูยังมีเรื่องต้องถามและอยากได้ยินจากปากมัน!" อัศวินสั่งลูกน้องก่อนจะออกมาจากบ้าน ที่นี่เป็นไร่ไม้มะค่าที่มีเขาเพียงคนเดียวในจังหวัดที่ได้ครอบครอง เขาไม่คิดจะขายไม้พวกนี้เพราะมันผิดกฏหมาย แต่ก็ต้องป้องกันไอ้พวกอยากได้ของคนอื่น
ที่นี่มีเวรยามอาวุธครบมือเฝ้าประมาณสิบคน อัศวินเดินดูรอบๆ ที่นี่เหมาะจะปล่อยให้เป็นของหลวง แต่แม่เขาไม่ยอม บอกเป็นมรดกตกทอด เขาจึงขัดไม่ได้ ทำได้แค่เพียงรักษามันไว้ อย่าให้เป็นเหมือนไม้สักที่เขาหละหลวมจนเกินไป
"เสร็จแล้วหรือครับนาย" น้อยรีบถามเมื่ออัศวินเดินเข้ามา เขาเช็ดตัวให้เด็กนี่อยู่ตลอด ตอนนี้เหมือนไข้จะเริ่มจางและอาการเพ้อหายไป
"เออ กูจะเข้าไปเอาของ มึงพามันไปขึ้นรถ ดับฟืนไฟให้เรียบร้อย สตาร์ทเครื่องรอได้เลย" อัศวินบอกก่อนจะเดินเข้าห้อง เก็บของ สัมภาระที่สำคัญแล้วออกมา
ตอนนี้พวกเขาอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน อัศวินโทรคุยกับเพื่อนที่เป็นตำรวจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนนี้ตำรวจเองก็กำลังหาหลักฐานเพิ่มเติม แต่อัศวินยังไม่พอใจ กฎหมายเล่นงานไอ้พวกนี้ได้ไม่ถึงใจหรอก มันต้องกฎเถื่อนที่เขาเป็นคนสร้างขึ้น ถึงจะเหมาะกับพวกมัน
เกือบชั่วโมงพวกเขาก็ถึงบ้าน จารุพงษ์ไพศาล บ้านหลังนี้มีขนาดและอาณาเขตใหญ่โต ทำจากไม้สักและไม้มะค่าทั้งหลัง โชคดีที่มันถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนที่จะมีกฎหมายห้าม ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นเรื่องเป็นราวกันอีก
"พี่วิน!" เมื่อได้ยินเสียงรถ อัจฉรา หรือ อัจ น้องสาวเพียงคนเดียวของอัศวินก็รีบออกมาต้อนรับคนเป็นพี่กลับบ้าน
"ไงเรา สวยขึ้นอีกแล้วใช่ไหม" อัศวินขยี้หัวน้องสาว อายุก็ปาไปยี่สิบห้าแล้ว หน้าตาก็สะสวยเพราะได้แม่มา แต่ไม่ยักมีแฟน
"สวยขึ้นอะไรเล่า ว่าแต่เรื่องเป็นไงบ้าง น้องกลัวแทบตาย" อัจฉราคล้องแขนพี่ชายเพื่ออ้อน
"ไปคุยกันในบ้าน น้อย! พาเด็กนั่นไปไว้ในเรือนหลังบ้าน แล้วตามหมอมาดูมัน สายๆกูไปจะดู!" เขาสั่งลูกน้องก่อนจะพาน้องสาวเดินเข้าบ้าน อยากอาบน้ำเต็มทน เหม็นเหงื่อตัวเองจะแย่
"เด็กนั่น ใครคะพี่วิน" น้องสาวถาม สั่งให้คนใช้ไปยกน้ำมา
"ลูกชายไอ้โสภณ พี่จะเค้นมัน เผื่อมันจะรู้อะไรบ้าง" อัศวินบอก ถอดเสื้อนอกและกระบอกปืนไว้บนโต๊ะ
"ตายจริง ลูกชายเหรอคะ น้องไม่เห็นรู้ว่าลุงโสภณมีลูกชาย" อัจฉราเอ่ยอย่างสงสัย
"เห็นว่าไม่ให้ลูกออกไปไหนเลยเพราะป่วย โรคติดต่อหรือเปล่าก็ไม่รู้" เขาว่า ไม่อย่างนั้นจะเก็บมันไว้แต่ในบ้านทำไม หนังสือหนังหาได้เรียนหรือเปล่าก็ไม่รู้
"ตาวินของแม่ คิดถึงจังเลยลูก" อำพร มารดาของทั้งอัศวินและอัจฉราปรี่เข้ามาหาลูกชายที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือน
"ครับ ผมก็คิดถึง" เขาไหว้แม่ก่อนจะกอดจนพอใจแล้วพากันนั่งลง
"แม่ว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง โสภณไม่ใช่คนแบบนั้น แม่มั่นใจ" อำพรเอ่ย
"ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังหรือไม่แต่มันก็หักหลังเรา มันคือคนทรยศคนหนึ่ง" เขาไม่สนใจว่สมันจะเคยเป็นคนดีหรือไม่ รู้แค่เพียงสมแล้วที่ตายไปเสียได้
"เอาเถอะ มาพูดเรื่องของเราดีกว่า นี่ถ้าไม่มีเรื่องมีราวแกคงไม่คิดขึ้นมาเยี่ยมแม่ใช่ไหม" อำพรว่าอย่างน้อยใจ
"จริงค่ะ พี่เขาต้องแอบมีเมียซุกอยู่ที่นู่นแน่ๆ" อัจฉราเสริม ก่อนจะโดนพี่ชายเอื้อมไปเขกหัว
"อูยย"
"ช่วงนี้มุกก็งอก รังนกก็เพิ่มขึ้น ถ้าผมไม่อยู่ดูแลแล้วใครจะทำล่ะครับ" อัศวินอ้อนมารดา เวลาอยู่กับครอบครัว มาดขรึม หน้านิ่ง ถมึงตึงจะไม่มีให้เห็น เขาจะใช้มันเวลาอยู่นอกบ้านเท่านั้น
"เห้อๆๆ ชีวิตฉันเนี่ยน้า มีผัวผัวก็ตาย มีลูกยังต้องอยู่ไกลกันอีก มันเหมือนต้องคำสาปจริงๆสิน่า" อำพรเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
"หรือจะให้ผมยกเกาะทั้งหมดให้หลวงครับ แล้วกลับมาอยู่นี่ ผมพร้อมเสมอนะ รอแม่สั่ง" อัศวินยกยิ้ม คุณนาย อำพร ขี้งกอย่างกับอะไร มีหรือจะยกเกาะทั้งเกาะทำบุญ ได้หน้า ไม่ได้เงิน อำพรไม่เอาค่ะ
"ตาวินนี่นะ!" หล่อนฟาดที่แขนลูกชายตัวดี "ไปๆ ให้เด็กจัดข้าวไว้ให้ มีแต่ของที่ลูกชอบทั้งนั้น ทานเสร็จก็ไปอาบน้ำ จะทำอะไรค่อยว่ากัน"
ใช้เวลากับมารดาและน้องสาว ตอนนี้เขาก็กลับมาทำธุระของตน ชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลก่อนจะออกมาแต่งตัว เขามีนัดกับลูกชายของคนทรยศ เขาจะเค้นมันจนกว่ามันจะพูด แต่ถ้ามันไม่พูด เขาคงจะต้องใช้ไม้แข็งกับมัน
เรือนหลังบ้านเป็นเรือนที่คุณย่าเคยอยู่ พอท่านสิ้นที่นี่ก็ถูกปิดตาย แต่มารดามักจะให้คนมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์เนื่องจากของใช้คุณย่ายังถูกเก็บไว้ที่นี่ทั้งหมด
อัศวินเดินเลาะมาเรื่อยๆจนถึงเรือนหลังเล็ก ที่เคยมาวิ่งเล่นตอนเขายังเด็กๆ ประตูถูกเปิดอยู่และมีรองเท้าของลูกน้องเขาทำให้รู้ว่ามันคงยังไม่ไปไหน
"นาย" น้อยหันมาหาเจ้านายทันที
"หมอล่ะ" เขาถาม อย่างน้อยก็ต้องให้ตรวจเพื่อแน่ใจว่าจะยังไม่ตายในเร็ววันนี้
"กลับไปแล้วครับ" น้อยเอ่ย เขาเองยังไม่ได้อาบน้ำกินข้าว มัวแต่ดูแลมัน
"มันเป็นอะไร" ปรายตาถาม ยังสลบอยู่อีกรึ ไม่คิดจะลุกมาขี้เยี่ยวบ้างหรือไง
"ไข้ป่าครับ หมอให้ยาแล้วก็ฉีดยาไปแล้ว อีกไม่นานคงหาย" น้อยพูด ข้างๆมีถุงยาวางไว้ ในนั้นมียาอยู่หลายซอง
"แล้วเมื่อไหร่มันจะตื่นล่ะวะเนี่ย กูมีงานมีการต้องทำนะ!" เขาสบถ ไอ้เด็กเวรนี่นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังเป็นภาระ ฆ่าให้ตายตามพ่อมันไปก็สิ้นเรื่อง
"นายจะกลับสุราฎษร์เมื่อไหร่ครับ" น้อยถาม มันเองก็ต้องไปเช่นเดียวกัน
"พรุ่งนี้เช้า" อัศวินตอบ พลางจุดบุหรี่ขึ้นดูด
"ทำไมรีบกลับล่ะครับ แล้วทางนี้!" น้อยเองก็ตกใจ ไหนว่าจะอยู่เคลียร์ให้เรียบร้อยเสียก่อนค่อยกลับ
"กูไม่อยากทิ้งทางนั้น มึงก็รู้ไอ้พวกเวรตะไลจ้องจะเล่นงานอยู่ ที่นี่มันเสียไปแล้ว กูเอาคืนมาไม่ได้ ทางนู้นกูเองก็ไม่อยากเสียท่าอีก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้กูจะขึ้นเครื่องกลับ ส่วนมึง เอารถกูขับตามลงไปแล้วกัน" อัศวินบอกพลางขยับตัวลุกขึ้น เขามีนัดกับเพื่อนที่เป็นตำรวจ ต้องรีบไปเพราะมันเองก็ออกมานานไม่ได้
"เอ่อ นายครับ ถ้าพรุ่งนี้พวกเรากลับ แล้วเด็กนี่ ..?" น้อยแค่อยากถามให้แน่ใจ ครั้นจะจับมันใส่รถแล้วพาไปด้วยเลยโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต มันกับเด็กนี่คงจะตายหมู่
"กูรู้มึงเองก็คิดไว้แล้ว ก็เอาแบบที่มึงคิดนั่นแหละ แต่ถ้าไปถึงโน่นมันยังไร้ประโยชน์นอนตายให้กูเสียค่ายาอยู่แบบนี้ กูจะเอามันไปทิ้งไว้ท้ายเกาะ ให้อีแร้งมันมารุมทึ้งจนกว่ามันจะตาย
น้อยได้แต่กระเดือกน้ำลายที่แสนเหนียวลงคอ แค่คิดภาพตามก็สยองพองเกล้าแล้ว ใช่ว่านายจะพูดขู่เสียเมื่อไหร่ คราวที่แล้วไอ้ชดคนงานเอามุกเป็นร้อยๆเม็ดไปขาย นายเล่นซะปางตายก่อนจะให้คนเอามันไปปล่อยไว้ท้ายเกาะอย่างที่พูด บรึ๋ยยย คนอะไร โหด เหี้ยม อำมหิตได้อีก
.....
อัศวินขับรถออกมาเจอกับเพื่อนตามที่นัด ผู้กองวินัย หรือไอ้นัย เพื่อนตั้งแต่สมัยประถม ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเพื่อนรักกันอยู่ไม่ต่าง
"ว่าไงนายหัว มึงนี่ไม่ทิ้งคราบโจรเลยนะ" วินัยทักเพื่อนรักที่จะกลายเป็นหัวหน้าโจรเข้าไปทุกวัน
"ไม่ได้หรอก เดี๋ยวไอ้พวกลูกน้องมันจะเล่นหัวกู" เขาเอ่ย ก่อนจะนั่งลงแล้วสั่งอะไรร้อนๆมาดื่ม
"เรื่องที่ให้กูไปดู ตอนนี้กูกำลังสงสัยปางชาติบุตรของไอ้ชาติ เสี่ยนักค้าไม้และเจ้าพ่อพนัน ถ้าจำไม่ผิดมันเคยส่งคนมาด้อมๆมองๆ บางทีมันอาจเป็นตัวการที่ทำให้ไร่มึงโดนเผา" วินัยเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด
"ถ้าเป็นมันจริงๆกูจะไม่ว่าเลย แต่ถ้าไม่ใช่มันจะเริ่มยากขึ้นทุกที" ที่เขาเอ่ยหมายถึงเพราะไอ้ชาติเป็นคนทำอะไรโผงผางไม่รอบคอบ คิดจะทำอะไรก็ทำ โอกาสจับตัวมันไม่ยาก แต่ถ้าคราวนี้เป็นฝีมือของปางมืดแห่งอื่น เห็นทีคดีจะยากขึ้น
"กูได้ข่าวว่ามึงมีพยาน ทำไมไม่เอามาให้กู" วินัยถามถึงโสภณ แต่อัศวินไม่อยากบอกความจริงให้เพื่อนฟัง เป็นปกติที่เพื่อนจะไม่จับเพื่อนเข้าคุก และอัศวินไม่อยากให้วินัยคิดมาก
"กูจะพามันไปโน่นด้วย กูมีวิธีเค้นความจริงจากมัน" เขานึกไปถึงลูกชายของไอ้โสภณ อย่างน้อยๆเรื่องนี้เขาไม่ได้โกหก มันเองก็อาจจะรู้เห็นเป็นใจกับพ่อมันก็ได้ใครจะไปรู้
"มึงอย่าผลีผลามฆ่ามันนะโว้ย อย่างน้อยมันจะเป็นพยานปากสำคัญ" วินัยเอ่ย ส่วนอัศวินทำได้แค่ร้องหึ
ช้าไปแล้วละเพื่อน คนที่มึงถามหามันได้ตายไปแล้ว
เขาอยู่คุยกับเพื่อนรักอีกไม่นานก็ต้องเข้าไปดูไร่ต่อ ตอนนี้คนงานถมดินและเกลี่ยกันอย่างขมักเม้น โชคดีที่วันนี้แดดแรงทำเอาดินที่เปียกชื้นกลับมาร่วนซุยแบบเดิม
อัศวินเดินสำรวจคร่าวๆ ตีค่าความเสียหายคงนับเป็นจำนวนเงินไม่ได้ เขาอยู่สั่งงานลูกน้องและคนที่ไว้ใจได้อีกสองชั่วโมงถึงจะได้กลับบ้าน มาคราวนี้นอกจากจะเหนื่อยกายแล้วยังต้องมาเครียดเพิ่มด้วย แม้เงินที่มีอยู่ในธนาคารจะกินภายในชาตินี้ไม่หมด แต่เขาก็ไม่ได้อยากเบิกมาใช้จ่ายเรื่องเฮงซวยแบบนี้
กลับมาถึงบ้านเขาก็จัดกระเป๋าเล็กๆ ในนั้นมีปืนกับเอกสารบางอย่างที่ไม่สำคัญ จะฝากติดรถไอ้น้อยไป ส่วนเขาจะไปเครื่องก่อน ถ้าไปรถธรรมดาสิบกว่าชั่วโมงจะถึง แต่ถ้าไปเครื่องแปปเดียวก็ถึง เขาอยากมีเวลาทำอะไรมากขึ้น ดีกว่ามานั่งรออยู่บนรถทั้งวันแบบนั้น
รุ่งเช้าอัศวินให้คนรถขับไปส่งเขาที่เชียงใหม่เพื่อต่อเครื่องไปสุราษฎร์ เขาสั่งน้อยมันไว้แล้วว่าอย่างไรก็อย่าให้ไอ้เด็กนั่นตาย ให้มันไปถึงเกาะและเผยความจริงให้เขารู้ก่อน หลังจากนั้นจะทำอะไรก็เชิญ
น้อยจัดเตรียมรถราให้ปลอดภัย เช็คลมยาง น้ำมันเครื่อง ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทาง ไอ้เด็กนั่นมันยังไม่ฟื้น คนเป็นไข้ป่านี่เพ้อแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าวะ
"พ่ อ จ๋ ... า" เสียงเด็กในอ้อมแขนเพ้อ น้อยทำเพียงส่ายหัวแล้วเอามันไปใส่ไว้เบาะข้าง เอนพนักพิงจนสุด ให้มันได้นอนอย่างสบาย
น้อยลาคุณนายและคุณอัจก่อนจะขึ้นรถ ไหว้พระขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองก่อนจะออกตัว อย่างน้อยถ้าเร่งเครื่องไม่หยุดสิบห้าชั่วโมงไม่น่าเกินสิบแปดชั่วโมงก็น่าจะถึง เขาเคยขับอยู่บ่อยๆจึงไม่มีปัญหา
น้อยเหลือบมองเด็กตัวขาวข้างๆเป็นระยะ หน้าตามันสะสวยน่าเอ็นดูคงจะได้แม่มาเยอะ เค้าโครงใบหน้าแทบไม่มีอะไรเหมือนโสภณเลยสักนิด อย่าว่างั้นงี้เลย ตัวเขาน่ะไม่มีปัญญาดูแลใครหรอก แต่นี่พอเห็นมันแล้วก็อดคิดถึงลูกชายที่บ้านไม่ได้ ป่านนี้คงร้องไห้งอแงออดอ้อนแม่มันน่ะแหละ ลูกชายเขาก็ป่วยออดๆแอดๆแบบนี้ เห็นมันก็สะท้อนถึงหน้าลูก จะไม่ช่วยก็จะดูเลวเกินคน ก็ทำได้แต่เพียงช่วยให้มันมีชีวิตรอดไปแต่ละวัน เพราะเขาไม่รู้เลย ว่าวันไหนที่มันฟื้นขึ้นมาแล้วทำเจ้านายไม่สบอารมณ์
วันนั้น ไอ้น้อยคนนี้ก็คงจะช่วยเอ็งไม่ได้เหมือนกัน
TBC.
Talk: นายเอกเรายังเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ 55
ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจนะคะ หวังว่าจะไม่ทำให้คนอ่านผิดหวังนะ