Chapter 20 : ความรักของเพื่อน part 2/2ก่อนถึงเวลาที่นัดไว้กับไกรฤกษ์เล็กน้อย แซนดี้และเตชิตกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นเด็กหนุ่มรุ่นน้องจึงขับรถไปรับทันตแพทย์หนุ่มที่คลินิกแล้วขับต่อไปยังโรงแรมตามที่นัดหมายไว้ ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่กลับจากมหาวิทยาลัยกัน ดังนั้นจึงมีพวกเขาว่างอยู่แค่สองคน
“ทำไมวันนี้พี่เต้เงียบๆ แถมยังทำหน้าเหมือนโดนของ เสียใจที่ไม่ได้ดูไอ้พิงค์วิ่งโค้งวัดใจอ่อ” คนที่ขับรถอยู่หันไปถาม
เตชิตหัวเราะเสียงขึ้นจมูก เออ ถ้าไปดูไอ้น้องพิงค์อาจจะดีกว่าหรือเปล่าวะ
“ทำไมคุณถึงอยากไปกินข้าวกับคุณไกรฤกษ์วะ”
“น้องคีรีชวนไว้แต่แรกแล้วน่ะพี่ คือคุณไกรฤกษ์เขาเป็นผู้อำนวยการศูนย์ผ้าทอของชาวเขาที่เชียงรายใช่ม้า ส่วนผมก็เรียนด้านนี้ แล้วผมก็ชอบผ้าไทยๆ มากด้วย อีกอย่างปีนี้ผมปีสี่แล้ว ถ้ามีลู่ทางในอนาคตก็อยากจะตะกุยทางไว้”
“กรุยทางมั้ยวะ ตะกุยนี่มันตัวอะไร” ทันตแพทย์หนุ่มเอนหลังพิงพนักพิง “เอ้อ... แล้ว... คุณรู้จักกับ...คุณ...คีรีได้ยังไงน่ะ”
“ก็เพิ่งรู้จักกันไม่นานอะพี่ ผมดูแลเสื้อผ้าให้น้องเขาในงานขึ้นดอยนี่ไง แต่น้องเขาน่ารักดีนะ ตัวจริงผิดกับที่ได้ยินคนอื่นพูดถึงมากเลย”
“หืม? ยังไงเหรอ”
“ที่มหาลัยเขาลือกันว่าหยิ่งมาก บ้านรวยเว่อร์ๆ ไฮโซมากด้วย ก็คิดว่าแบบ... น่าจะคุณชาย ถือตัวสุดๆ อะ ตอนแรกผมได้ยินว่าน้องเขาใช้เส้นมาถือป้ายด้วยนะ แต่พอเจอตัวจริงก็เข้าใจ หน้าตาแบบนี้หุ่นแบบนี้ มีแต่จะเอาป้ายไปประเคนให้น้องเขาถือน่ะสิ”
อืม จะว่าไปวันนี้คีรีก็ดูดีมากจริงๆ มองเผินๆ เหมือนเป็นเจ้าชายเมืองเหนือมาเอง อย่างกับคนละคนกับเด็กหนุ่มที่เขารู้จัก
แต่ก็เป็นคนละคนจริงๆ นี่หว่า เขาไม่เคยรู้จักคีรีคนที่เจอวันนี้สักหน่อย
ในเมื่อคุณตาของเด็กหนุ่มเป็นผู้อำนวยการศูนย์ผ้าทอของชาวเขา อีกฝ่ายก็เลยน่าจะคุ้นเคยกับชาวเขาดีและแต่งตัวด้วยผ้าพื้นเมืองบ่อยๆ และพราะอย่างนี้คีรีถึงได้รู้จักกับครอบครัวน้ำอิงด้วยอย่างนั้นสินะ ไอ้เขาก็ดันเข้าใจผิดไปซะไกล
“พี่เต้”
“หือ”
“คิดไรอยู่วะ พี่เงียบแปลกๆ จริงๆ นะ”
“ก็ไม่รู้จะพูดอะไรนี่หว่า”
แซนดี้ชำเลืองมองคนที่นั่งข้างกันไปได้อีกชั่วครู่ก็เรียกอีก “นี่ พี่เต้”
“อะไรอีก”
“น้องคีรีทำผมทรงเดียวกับพี่วินเลยอะ สีผมเดียวกันด้วย พี่สังเกตป่ะ”
“.....”
“หล่อดีด้วยนะพี่”
“แล้วไงวะ”
“ไม่ชอบเหรอ”
“....”
“จีบเลยดิ”
“เกี่ยวอะไรกับทรงผมเหมือนไอ้วินวะ!” เตชิตส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจ
“พี่เต้เกรี้ยวกราดจังว่ะ” แซนดี้หัวเราะ “เห็นว่าตอนน้องเขาอยู่ปีหนึ่งเป็นเดือนคณะด้วยนะ แต่ไม่ได้ไปประกวดเดือนมหาลัยต่อ ให้เพื่อนไปแทน โห ถ้าน้องเขาไปประกวดนะ ผมว่าชนะแหงๆ นี่ผมได้ยินว่าน้องเขาโตที่เมืองนอกด้วยนะ โพรไฟล์หรูเลยนะเว้ยพี่ ไม่แพ้พี่วินเลย”
โตเมืองนอก และเด็กหนุ่มก็เคยบอกเขาว่าเวลาอยู่บ้านในครอบครัวพูดภาษาเหนือกัน เพราะอย่างนี้ถึงได้พูดภาษากลางสำเนียงแปลกๆ ทั้งตาทั้งหลานงั้นสินะ
“คุณตาน้องคีรีรวยแบบมหาศาลเลยนะพี่เต้ จีบเถอะ เชื่อผม”
เตชิตหันมองออกไปทางหน้าต่างกระจกรถ อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าคีรีให้ใต้โต๊ะแซนดี้มาหรือเปล่า ทำไมเชียร์จังวะ
“ผมไม่ได้ชอบคนโพรไฟล์หรู”
“อย่างพี่วินไม่หรูเลยนะ” แซนดี้พึมพำเบาๆ
“คุณว่าไงนะ” ทันตแพทย์หนุ่มหันไปชกไหล่อีกฝ่ายหนึ่งที ที่เขายังออมมือก็เพราะเห็นว่าขับรถอยู่หรอกนะ “ถ้าคุณเห็นว่าดีนักทำไมไม่จีบซะเองล่ะวะ”
“ก็น้องเขาไม่ได้จับมือผมนี่หว่า”
เตชิตเบิกตากว้าง “เฮ้ย!”
“เออ ผมเห็น” แซนดี้หัวเราะ “แหม รู้จักกันก็ไม่บอก”
ทันตแพทย์หนุ่มอ้ำอึ้ง พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ไม่รู้จัก ไม่ได้จับมือด้วย คุณมองผิดแล้ว”
“อ้ะๆ มองผิดก็มองผิด” แซนดี้ยอมรับง่ายๆ ทั้งที่ตัวเขาก็มั่นใจว่ามองไม่ผิดหรอก อีกอย่างพี่เต้ก็ปฏิเสธแบบเลิ่กลั่กซะขนาดนั้น แต่ก็ไม่อยากจะซักไซ้ให้อีกฝ่ายหัวร้อนในตอนนี้ เขายังไม่อยากโดนถีบตกรถ “พี่เต้ ช่วยมองหาหน่อย ไหนวะทางเข้าร้านอาหาร”
เตชิตหันมองไปมา เขาเคยมาแถวนี้ครั้งหนึ่งแล้วกับคีรี ทางเข้าซับซ้อนอยู่สักหน่อย แต่ก็พอจำได้รางๆ “น่าจะไปทางซ้าย แล้วตรงไปเรื่อยๆ ก่อนว่ะ”
แซนดี้พยักหน้าแล้วขับตามไปช้าๆ “พี่เดาหรือดมกลิ่นเอาวะเนี่ย”
“เดา แต่เดี๋ยวผมเปิดกูเกิลแม็ปด้วยดีกว่า ชื่อร้านอะไรนะ”
“ผมเปิดแล้ว มันขึ้นตามที่อยู่โรงแรมอะดิ เป็นทางเข้าอีกทาง”
“เฮ้ย ป้ายนั่นคุ้นๆ” เตชิตชี้บอก “คิดว่าน่าจะเลี้ยวเข้าไปตรงนั้นแล้วตรงไปสุดทาง ที่จอดรถอยู่ซ้ายมือ”
คนที่จับพวงมาลัยอยู่หันไปมองอย่างงงๆ “พี่เต้เคยมาเหรอวะ”
ทันตแพทย์หนุ่มชะงัก “ขับๆ ไปเถอะน่ะ”
“แน้ ถามก็ไม่ได้” แซนดี้ขับรถไปตามที่เตชิตบอก ไม่นานก็ถึงที่จอดรถอย่างที่ทันตแพทย์หนุ่มว่าไว้ “โอ้โห ผมอยู่เชียงใหม่มานานยังไม่เคยรู้เลยว่ามีร้านอาหารเรือนไทยสวยๆ อยู่ที่นี่ด้วยอะ”
“เพราะแค่ของกินหลังมอพวกคุณก็กินไม่ไหวแล้วน่ะสิ จะต้องไปหาที่อื่นให้เหนื่อยทำไมล่ะ”
เมื่อทั้งสองคนก้าวเข้าไปในร้านก็มีพนักงานมาเชิญไปนั่งที่ศาลา ซึ่งที่นั่นคุณตาของคีรีกับหมอภูมินั่งรออยู่ก่อนแล้ว
ชายสูงวัยยิ้มพร้อมกวักมือเรียก “มาๆ นั่งเลย กำลังพูดถึงอยู่เชียว”
สองหนุ่มยกมือไหว้ พอนั่งลงเรียบร้อยแซนดี้ก็หันไปหันมาแล้วถามหาอีกคนที่ควรจะนั่งอยู่ด้วยกันที่นี่ด้วย “น้องคีรีละครับ”
“โทรมาเมื่อกี้ว่าเพิ่งออกจากมหาลัย เขาจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดฯ ก่อน แล้วจะตามมา”
เตชิตนั่งนิ่ง ที่จริงก็ยังไม่มีเวลาได้ใช้ความคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าสักเท่าไหร่ หลังจบพิธีเปิดงานเขาก็ไปกินมื้อเที่ยงกับคุณไกรฤกษ์และหมอภูมิ จากนั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คลินิกแล้วร่อนออกมาอีกรอบนี่ละ
มาถึงตอนนี้ก็อารมณ์เย็นลงมากแล้ว ไอ้ที่คีรีไม่ได้บอกความจริงกับเขา เขาก็ยังโกรธอยู่หรอกนะ แต่ที่สงสัยมากกว่าคือความรู้สึกแปลกๆ ในอก
เขาเจ็บปวดที่ถูกหลอกเอางั้นหรือ ทั้งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจเนี่ยนะ แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่าย เขาก็ไม่น่าจะรู้สึกอะไรหรือเปล่าวะ
ในใจได้แต่คิดถามว่าทำไม ทำไมคีรีต้องหลอกเขา? เขาพยายามจะเชื่อว่าการกระทำและคำพูดของเด็กหนุ่มไม่ได้เป็นการเสแสร้ง แต่บอกตรงๆ เวลานี้อยากฟังคำอธิบาย อยากรู้เหตุผล และอยากได้รับการยืนยันเหลือเกินว่าคำรักที่อีกฝ่ายพร่ำบอกเป็นความจริง
“คุณเต้ หิวแล้วรึ” ชายสูงวัยสังเกตเห็นสีหน้าเครียดของทันตแพทย์หนุ่มจึงเอ่ยทัก
แซนดี้เห็นว่าเตชิตยังคงนิ่งเลยสะกิดเรียก “พี่เต้... พี่เต้!”
เสียงของแซนดี้เรียกให้เตชิตหลุดออกจากความคิดของตัวเอง เขาเงยหน้าขึ้นทันที “ฮะ? มีอะไรเหรอ” เมื่อเห็นว่าแซนดี้ชี้ไปทางชายสูงวัย เขาก็รีบหันไปหา “ครับ”
คุณตาของคีรีหัวเราะ “คุณเต้หิวรึ ทำหน้าเครียดๆ”
“เปล่าครับ พอดีคิดอะไรเพลินๆ ขอโทษด้วยครับ”
“ฉันสั่งอะไรมากินรองท้องแล้วล่ะ รอเดี๋ยวนะ”
“ขอบคุณครับ” เตชิตยิ้มรับแบบเจื่อนๆ พลางลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
ท้องฟ้าเบื้องบนมืดลงทีละน้อย ดวงอาทิตย์ลาลับไปแล้ว เหลือเพียงสีส้มฉาบปลายฟ้าเท่านั้น
ภายในเรือนไทยเปิดไฟสว่าง ส่วนตามศาลามีไฟเพียงสลัว พนักงานในร้านจึงนำเทียนมาตั้งประดับโต๊ะแล้วนำอาหารพื้นเมืองนานาชนิดมาเสิร์ฟ หลังจากนั้นไม่นานการแสดงฟ้อนรำและเล่นดนตรีพื้นบ้านบนพื้นหญ้าข้างหน้าศาลาก็เริ่มขึ้น ทั้งสี่คนนั่งคุยสลับดูการแสดงกันไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ “เอ คีรีช้าจริง” ชายสูงวัยบ่นไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาจึงรีบกดรับสาย จากนั้นก็พูดคุยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอยู่สักพัก โดยที่ทุกคนในโต๊ะก็ได้ยินไปพร้อมกันด้วย
เมื่อกดวางสายไป เจ้าของโทรศัพท์มือถือก็เอ่ยขึ้น “คีรีไม่มาแล้ว เขาบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย สงสัยวันนี้จะหนักไปหน่อย”
“ก็น่าจะหนักอยู่นะครับ ตื่นแต่เช้ามืดมาแต่งตัว เดินขึ้นดอยตั้งหลายกิโล อากาศก็ร้อน” ภาคภูมิพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แต่นึกว่าจะฝืนมา เพราะเห็นเขาถูกชะตากับหมอเต้ละเกิน ชอบมาวนเวียนใกล้ๆ หมอเต้อยู่เรื่อยๆ น่ะครับ”
“หืม?” ไกรฤกษ์หันไปทางทันตแพทย์หนุ่ม
เตชิตเลิกคิ้วขึ้น “ฮะ!? เอ๊ย! งะ...งั้นเหรอครับ” เขาชำเลืองมองแซนดี้ กระแอมเบาๆ พลางเอื้อมมือไปยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ไปถูกชะตากันตอนไหน รู้จักกันมาก่อนหรอกรึ” ชายสูงวัยถาม
“เอ่อ...” ทันตแพทย์หนุ่มอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี แต่ในขณะเดียวกันหมอภูมิก็พูดแทรก
“ไม่รู้ว่าหมอเต้จำได้รึเปล่า แต่คุณเคยทำฟันให้คีรีด้วยนะ เขารีเควสต์หมอเต้เองเลยเชียว”
“ทำฟัน? ผมน่ะเหรอ เมื่อไหร่ครับ”
“ที่ลำพูนไงล่ะ ตอนนั้นผมก็อยู่ด้วย”
“ขอนึกก่อนนะครับ” ทันตแพทย์หนุ่มนึกย้อนกลับไป เขาจำได้รางๆ ว่าหมอภูมิเคยเรียกเขาไปขูดหินปูนให้หลานชาย หรือว่า คนคนนั้นคือคีรีงั้นเหรอ แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกหน้าตาไม่ออก เพราะตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่ายเลย
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคีรีรู้จักเขามาก่อนอย่างนั้นสินะ เตชิตคิดไปพลางทำหน้าเครียด
ภาคภูมิพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องคิดมากหรอกหมอเต้ ก็ไม่แปลกที่จะจำไม่ได้นะ คีรีเองก็เปลี่ยนไปเยอะ” เขาเอนตัวไปทางชายสูงวัย “คุณไกรฤกษ์พอจะมีรูปคีรีสมัยก่อนบ้างมั้ยครับ”
“โอ้ย ฉันมีเยอะเลยล่ะ มีตั้งแต่เกิดเลยนะ” เจ้าของชื่อรีบส่งโทรศัพท์มือถือให้ เรื่องหลานชายน่ะ เขาพร้อมจะอวดอยู่แล้ว
หมอภูมิรับโทรศัพท์มาเปิดหารูป เสร็จแล้วก็ส่งให้เตชิตดู “นี่ไงล่ะ รูปสมัยกลับจากอังกฤษใหม่ๆ ตอนนั้นผมยาวกว่าตอนนี้ ยังไม่ได้เปลี่ยนสีผมด้วย ยังเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ อยู่เลย”
แซนดี้ยื่นหน้าเข้ามาร่วมวงด้วย “โอ้โห อย่างกับคนละคน ตอนนั้นเหมือนลูกครึ่งเลยนะครับ”
“จริงๆ คีรีก็มีเชื้อฝรั่งอยู่นิดหน่อยล่ะนะ ได้มาจากทางฝั่งยายของเขาน่ะ”
“มิน่า จมูกโด้งโด่ง ตัวก็สูงปรี๊ด หุ่นอย่างกับนายแบบเลยครับ”
ชายสูงวัยหัวเราะอย่างถูกใจ “หล่อมากด้วยใช่มั้ยล่ะหลานฉัน”
“หล่อสุดๆ เลยครับ” แซนดี้รีบตอบ แล้วใช้ข้อศอกกระทุ้งทันตแพทย์หนุ่มเบาๆ “หล่อเนอะพี่เต้”
“อะ อือ...”
“แต่พอเปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนสีผมใหม่ หล่อขึ้นอีกเยอะเลยนะครับ”
“เพราะเขาโตขึ้นด้วยน่ะ” ไกรฤกษ์ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “เป็นหนุ่มแล้ว เมื่อไม่นานมานี้มาขอเอื้องแซะในโรงเพาะของฉัน บอกจะเอาไปให้คนที่ชอบด้วยนะ”
“แหม น้องคีรีก็โรแมนติกดีนะครับเนี่ย”
“เป็นครั้งแรกเลยนะที่เขาแสดงออกว่าชอบใครสักคนน่ะ ฉันล่ะ อยากเห็นหน้าคนคนนั้นซะจริงๆ”
“ผมก็อยากครับท่าน” ภาคภูมิพูดกลั้วหัวเราะ “จะขอเช็กฟันก่อนเป็นอย่างแรกเลย”
แซนดี้หันไปทางเตชิตทันควัน ก่อนจะขยับเข้าไปกระซิบ “อยากเห็นเหมือนกันเนอะพี่เต้”
“ไปยุ่งไรกับเขาเล่า” ทันตแพทย์หนุ่มทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาก้มหน้าลง จ้องมองรูปถ่ายของเด็กหนุ่มในอดีตซึ่งไม่มีอยู่ในความทรงจำของเขาเลย เขาจำได้แต่เด็กหนุ่มชาวเขาหน้าตาท่าทางซื่อๆ คนที่ได้พบที่เชียงรายเท่านั้น
ชายสูงวัยพูดต่อ “คีรีน่ะเป็นเด็กดี หัวไว ขยันด้วยนะ ช่วงไหนว่างๆ เขาก็มักจะตามไปช่วยงานฉัน ทั้งงานที่โรงแรม ที่ศูนย์ฯ พวกพนักงานของฉันน่ะ รู้จักเขากันทุกคนเลย”
“ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องคนสืบทอดเลยนะครับเนี่ย” ภาคภูมิเองก็เห่อหลานไม่แพ้กัน อวยไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปด้วย “ตอนไปประชุมที่เชียงราย คีรีก็อยู่ด้วยนะหมอเต้ เขามาช่วยดูแลทั้งอาหารว่างแล้วก็จัดการห้องประชุมให้เองเลย”
“งั้นเหรอครับ”
พอนึกย้อนกลับไป อะไรๆ ก็เข้าเค้าไปหมด เพราะอย่างนี้ ตอนที่คีรีเดินตามเขาเข้าไปในโรงแรมถึงได้ไม่มีใครว่าอะไร แถมอีกฝ่ายยังรู้ว่าเขาพักชั้นไหน ห้องเบอร์อะไรอีก
“เขาอยู่ทุกวันประชุม นอนค้างที่โรงแรมด้วยนะ แล้วก็มาหาผมตั้งหลายรอบ มาชวนพวกเราไปกินข้าวด้วย หมอเต้ไม่ได้สนใจเลยน่ะสิ”
“ไม่ทันได้สังเกตเลยครับ” ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มเจื่อนๆ
ก่อนหน้าที่จะพบกันในไนต์บาร์ซ่า เขาไม่เคยรู้ถึงตัวตนของเด็กหนุ่มมาก่อนเลยจริงๆ
การแสดงต่างๆ ภายในร้านอาหารจบสิ้นลงไปแล้ว ทว่าทั้งสี่คนก็ยังคงนั่งกินอาหารและพูดคุยต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดึกดื่นจึงบอกลากลับกัน
แซนดี้ยิ้มอย่างอารมณ์ดีไปตลอดทาง หลังจากพูดคุยกันอย่างถูกคอ คุณตาของคีรีก็ชวนเขาไปดูงานและเยี่ยมชมผ้าทอในศูนย์ฯ ที่เชียงรายตอนปิดเทอม ฟินมากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ต่างกับคนที่นั่งข้างกันแบบฟ้ากับเหว เขาชำเลืองมองอีกฝ่ายเป็นระยะๆ “ทำไมเงียบอีกละ เสียใจที่น้องคีรีไม่ได้มาเหรอวะพี่เต้”
“เฮ้ย! คุณจะบ้าเรอะ! เขาจะมาไม่มาก็ไม่เกี่ยวกับผมมั้ย!”
“อ่อๆ หรือเสียใจที่น้องคีรีมีคนที่ชอบแล้ววะ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่เกี่ยวกับผมไงวะ! ถามเซ้าซี้อยู่ได้!”
แซนดี้ทำหน้ายู่ใส่ “แหม แซวแค่นี้ต้องเกรี้ยวกราดด้วยอะ คนเรา”
“ใครมันจะฟินเหมือนคุณวะ” เตชิตเอื้อมมือไปตบลงบนตักเด็กหนุ่มเบาๆ “แต่ก็ดีใจด้วยนะ ยังไม่ทันเรียนจบเทอมแรกก็มีงานมารอแล้ว”
“ต้องขอบคุณน้องคีรีจริงๆ ผมโชคดีที่ได้ไปดูแลเสื้อผ้าให้น้องเขาพอดี แต่ดูท่าน้องเขาก็น่าจะช่วยงานคุณไกรฤกษ์มานานนะพี่ ถึงได้รู้งานโคตรๆ เตรียมเป็นผู้สืบทอดกิจการที่แท้จริงเลยอะ เฮ้อ... น่าเสียดายชะมัดที่น้องไม่มา อดเม้ากันเลย”
ทันตแพทย์หนุ่มเบือนหน้าไปทางหน้าต่างกระจกรถพลางมองเหม่อผ่านออกไป เขาเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคีรีถึงไม่มา ไหนตอนแรกบอกว่าแล้วพบกันยังไงล่ะ ตั้งใจจะหลบหน้าเขา หรือเพราะป่วยจริงๆ กันวะ
เดินขึ้นเขาทางชันแล้วก็ไกลซะด้วย แดดก็ร้อน หรือจะไม่สบายจริงๆ พอนึกว่าคนอ่อนวัยกว่าไม่สบาย ตัวเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ไปอีก
เตชิตส่ายหน้าไปมาแรงๆ พลางยกมือขึ้นคลึงขมับ
แล้วหลังจากนี้... เรื่องของคีรีกับเขาจะเป็นอย่างไร เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?
เมื่อกลับไปถึงคลินิกก็พบว่าเพื่อนรักนั่งรออยู่ที่โซฟาชั้นล่าง เตชิตยิ้มกว้างพร้อมกับเดินเข้าไปหา
“นั่งทำไรวะ”
“รอมึงไง”
เตชิตทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน “แล้วเด็กมึงไปไหน”
“หลับอยู่ข้างบน” รวินท์เอื้อมมือไปตบลงบนตักเพื่อนรัก “สัสเต้ มีไรจะบอกกูมั้ย”
เจ้าของชื่อประสานสายตากับคนถาม พลางยิ้มแห้ง “มีไรวะ”
“กูรู้เรื่องเด็กคีรีนั่นแล้วนะ”
เตชิตเลิกคิ้วขึ้น “เฮ้ย รู้ได้ไง”
“กูเจอเขากับเพื่อนๆ แก๊งเขาตอนลงจากดอย ได้คุยกันนิดหน่อย”
“เพื่อนๆ?”
“ก็เหมือนที่มึงกับกูสงสัยกันนั่นละ ผู้ชายสองคน กับผู้หญิงอีกสองคนที่เคยเข้ามาหากูที่คณะวิดวะ อยู่บริหารปีสอง เรียนด้วยกัน อยู่แก๊งเดียวกันกับเด็กคีรีนั่น”
เตชิตพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ “อืม เล่นเป็นชาวเขาซะเนียนเลยแม่ง กูเกือบจะเชื่อแล้วเนี่ย”
“มึงรู้ใช่มั้ย ว่าเขารู้จักมึงมาก่อนที่มึงจะรู้จักเขาด้วย”
“อือ ก็เพิ่งรู้วันนี้นี่แหละ แถมยังเป็นหลานหมอภูมิอีกต่างหาก ลำบากเลยกู” เตชิตพูดพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน
“ดูมึงไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่เลยว่ะ”
“ตกใจสิวะ แต่กูเองก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่ชาวเขาธรรมดา กูรู้ว่าเขามีเรื่องปิดบังกูอยู่ตลอดเวลา”
“ได้รู้ความจริงสักทีก็ดีเหมือนกันนะ”
“อืม” เตชิตพยกหน้าหงึกๆ
“แล้วมึงจะเอาไงต่อไปวะ”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ เมื่อตอนเย็นเขาก็ไม่มากินข้าวด้วย เลยไม่ได้คุยกัน”
“อาจจะกลัวว่ามึงยังโกรธอยู่ล่ะมั้ง” รวินท์สบตากับเพื่อนรัก “ถ้าเขาถอยขึ้นมา มึงจะทำไง”
“จะทำไงได้วะ” เตชิตหัวเราะเจื่อนๆ แต่ในใจก็ยอมรับว่าเป็นกังวล เพียงแค่นึกถึงก็เจ็บแปล๊บๆ ในอก “ก็คงแปลว่าที่ผ่านมาเขาหลอกกูสนุกๆ เท่านั้นละมั้ง”
“แต่มึงรู้จักเขามาพักนึงแล้ว ก็น่าจะพอรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ใครมันจะบ้าหรือว่างมากขนาดจะมาไล่ตามหลอกหลอนมึงกันวะ”
“.....”
“กูว่าเขาไม่ถอยหรอก เดี๋ยวคงหาหนทางเข้ามาหามึงเพื่ออธิบายเหตุผลกับปรับความเข้าใจแหละ มึงสบายใจเถอะ ทั้งรักทั้งหลงมึงจนจะบ้า ไม่รู้หน้ามืด โง่ฉิบหายหรือตาบอด”
“อ้าว ไอ้เหี้ย! นี่มึงพูดถึงไอ้พิงค์อยู่เรอะ!”
รวินท์หัวเราะ แล้วเอื้อมมือไปกุมมือเพื่อนรักไว้ “มึงอะ ชอบเขาเข้าแล้วอะดิ”
“....”
“มึงเป็นเพื่อนรักกูนะ คิดว่ากูดูท่าทางมึงไม่ออกรึไง”
“เมื่อก่อนไม่เห็นเคยใส่ใจ”
“สัส หาเรื่องกูอีก” รวินท์ยกมืออีกข้างที่ว่างส่งนิ้วกลางให้ “รักกูมาก อยากเป็นอมตะอยู่คู่กะกูก็บอกมาตรงๆ เว้ย”
เตชิตยิ้มบางพลางกุมมืออีกฝ่ายตอบ “ยังไม่แน่ใจว่ะ แต่ก็รู้สึกดีที่มีเขา”
“งั้นก็อย่าเพิ่งปิดใจตัวเอง ให้เวลา ให้โอกาสเขาพิสูจน์ตัวเองหน่อยละกัน” รวินท์ฉุดเพื่อนรักให้ลุกขึ้น “ปะ ขึ้นไปนอนกันเหอะ”
“จะชวนไปสามพีกับเด็กมึงเหรอวะ”
“ไอ้เวร! นอนสาวไหมไปคนเดียวเถอะโว้ย!” รวินท์ยกขาเตะเพื่อนรักไปเบาๆ จากนั้นก็กอดคอพากันเดินขึ้นชั้นบนไป
*TBC*เอาอีกครึ่งมาลงแย้วค่าาา ไม่แจกมาม่าแย้วนะคะ หมดสต็อก 55555 มีแค่ตอนที่แล้วน่ะแหละะะะ
หมอเต้น่ารักจะตายไป ปลงมากก่านี้ก็ไปบวชเถอะ อย่ามีเลยแฟน 55555
ส่วนเด็กดอยหายตัวไปไหน ทำไมไม่ยอมมากินข้าวด้วย อันนี้ต้องรอดูสถานการณ์ตอนหน้านะค้าาา
สุขสันต์วันแห่งความรักล่วงหน้าด้วยค่ะ
ขอบคุณคนอ่านทุกๆ คนมากๆ เลยน้าาา วันนี้วันเกิดฮัสกี้แหละ คลานเข่ามาขอรับ SIN รับ PORRRRN (กระดกลิ้นเยอะๆ) จากทุกคนค่า