[ต่อ]น้ำเสียงตะโกนก้องดุจกระซิบแผ่วเบา ทำเอาพจน์เข้าใจโดยดีว่า ไม่มีใครนั้นที่นี้จะได้ยินหรือได้เห็นเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปไม่มีผู้ใดสนใจตนแม้แต่เล็กน้อย รู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นมาตะในเครื่องทรงแบบกษัตริย์ สวมมงกุฎยอดแหลม รวมถึงประดับเครื่องทอง คล้องสังวาลซ้ายขวา ห้อยทับทรวงฝังอัญมณี ฉลองภูษาดำทอยกดิ้นทองสะท้อนแสงเลื่อมระยับ พระนลาฏประดับอัญมณีสีดำกรอบทอง ดวงพระเนตรขีดขอบเข้มขับให้เด่นเป็นสง่า รวมถึงพระมัสสุเหนือพระโอษฐ์ ซึ่งทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาตะคนที่พจน์ข้ามพิภพไปเจอ รู้สึกว่าคนคนนี้อาจแค่เหมือน แต่ไม่ใช่มาตะตัวจริง เช่นเดียวกับฝาแฝดของพจน์ที่กำลังทรุดกายก้มกราบแนบฉลองพระบาทเชิงงอน
“น้องท่านนี้อย่างไร กระทำกิริยาอาการประหนึ่งพี่นั้นเป็นแต่เพียงนายแลเจ้าเป็นบ่าว ก้มกราบเสมอมิเคยผูกสัมพันธ์กันฉันนั้น ก็แหละพี่ราชาภิเษกน้องท่านร่วมวงศ์เดียวกันแล้วดั่งนี้ อาการห่างเหินพี่นั้นยังจักควรทำอยู่หรือ” คำทักทายเหมือนตำหนิแต่ดวงพระเนตรยกแย้มเช่นเดียวกับพระโอษฐ์
“หามิได้ กิริยาน้อมกราบแทบพระบาทนี้เป็นขัตติยประเพณีแห่งราชสำนักชั้นสูงพึ่งกระทำต่อเจ้าเหนือหัวเจ้าชีวิต ผู้ปกปักคุ้มภัยแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้สุขสงบร่มเย็นมาแต่ครั้งบรรพกาล หนึ่งเพราะพระองค์ประดุจดั่งสมมติเทพอวตารจุติยังโลกมนุษย์ หนึ่งเพราะทรงพระอำนาจแผ่พระอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทศทิศมากกว่ามหากษัตริย์พระองค์ใดในพิภพ หนึ่งเพราะทรงคุณานับประการมากล้นจนผู้คนสรรเสริญยิ่งเทียบเทียมจักรพรรดิราช สามประการนี้ประกอบเป็นกิริยาน้อมก้มกราบพระบาทเพียงหนนั้นจึ่งน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำที่จักกระทำคารวะสำนึกในบุญญาธิการ” วัชรโกมลเงยหน้าสบพระพักตร์พระเจ้าอนันตราชยังมิลดพนมหัตถ์ “เกล้ากระหม่อมเป็นแต่เพียงฝุ่นผงธุลีใต้เบื้องพระบาท ไฉนเลยจักมิก้มกราบให้สมกับพระบารมีของพระองค์เล่า”
สิ้นคำอรรถาธิบายของวัชรโกมล พระเจ้าอนันตราชจึ่งทรงพระสรวลดังลั่น ตบพระชานุสุดแสนโสมนัส
“วาจาน้องเจ้าต้องใจเรานัก แต่เหตุผลทั้งสามล้วนเป็นสิ่งซึ่งผู้คนต่างกล่าวยกย่องด้วยตา หามีใครสัมผัสแลรับรู้สิ่งในใจข้าไม่ ว่าตัวเราเป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาสามัญผิดแผกเพียงอย่างเดียวคือเลือดในกายมีส่วนเสี้ยวของเผ่าพันธุ์คนธรรพ์เท่านั้นหนึ่ง เดชานุภาพอันแผ่ครอบคลุมลุ่มแม่น้ำอนัตตาจรดลุ่มแม่น้ำนพนทีนั้นสร้างรอยแผลในใจข้าไม่เสื่อมครายเพราะสูญเสียขุนทหารชาญณรงค์ฝีมือกล้ามากมายทั้งสองฝ่าย พระราชอาณาเขตของอาณาจักรอนันตาทมิฬนี้ล้วนแลกมาด้วยเลือดแลความเจ็บปวดในใจหนึ่ง แหละอีกหนึ่งการเทียบชั้นถึงขั้นกษัตริย์จักรพรรดิราชนั้นยังมิควรกล่าว แก้ว ๗ ประการคู่บารมีอันสมกับพระนามนั้น เรามีแต่เพียง จักรแก้วอย่างหนึ่ง ช้างแก้วอย่างสอง ม้าแก้วอย่างสาม แก้วดวงอย่างสี่ ขุนคลังแก้วอย่างห้า ลูกแก้วอย่างหก แลขาดสิ่งประการสุดท้ายอันคือ นางแก้ว”
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้โปรดอย่าตรัสเช่นนั้น พระเจ้าค่ะ” วัชรโกมลร้องท้วง
“นี่แหละคือความเป็นจริงในใจข้า แลมีเพียงเจ้าโดยเดียวเท่านั้นที่หยั่งรู้ถึงยิ่งกว่าใครอื่น โดยเฉพาะยิ่งอย่างสุดท้าย”
“มาตรแม้นพระอัครมเหสีทรงสดับรับยินจักทรงโทมนัสคลายความภักดี จักมิเป็นผลดีต่อการแผ่นดิน”
“ข้าหาสนใจไม่ หากขนบประเพณีแต่กาลก่อนเปลี่ยนจากนางแก้วเป็นนายแก้วนั่นแล้วไซร้ พี่นี้จึ่งเทียบเท่าเสมอพระจักรพรรดิราชตามคำคนกล่าวสรรเสริญ” พระพักตร์เครียดขมึงสะท้อนห้วงคิดคำนึง
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” พระเจ้าวัชรโกมลร้องตัดพ้อเสียงแผ่ว
“เอาเถิด พี่มาหาเจ้ามิใช่เพื่อทุ้มเถียงว่าพี่จะเทียบชั้นกษัตราธิราช ฤา ไม่ แต่เพราะความคนึงหาท่วมท้นต่างหาก หวังให้เจ้าช่วยเป็นเครื่องปลอบความในอกให้คลายลงสักเพลาเถิดหนา” ตรัสพลางตวัดพระกรพยุงกายคู่เคียงพิศวาสขึ้นประทับนั่งบนบัลลงก์ทองเสมอกัน วัชรโกมลผ่อนกายตามแรงพระหัตถ์
ความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นในความคิดพจน์ หากถอดเสื้อผ้าเครื่องประดับ รวมถึงหนวดเครานั้นออก ลักษณะท่าทีและคำหวานโอ้โลม ล้วนเหมือนมาตะราวกับคนเดียวกัน
“มีเหตุเภทภัยอันใด ระคายใต้เบื้องพระยุคลบาท ฤา พระเจ้าค่ะ” ตรัสถามตามลักษณะวิสัยเอาพระทัยใส่
“ความเมืองล้วนสงบ แต่ความอยากพบหน้าน้องท่านทำข้านอนไม่หลับทั้งค่ำคืน” ป้อนคำหวานพร้อมกระชับบั้นพระองค์เข้าหาตัว
“ตรัสราวกับข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นสาเหตุดั่งนั้น จักด้วยการกระทำใดได้ล่วงล้ำทั้งวาจาแลกิริยาอันมิสมควรให้ระคายพระอุระแล้ว จงลงโทษานุโทษข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่าให้น้อยหน้านักโทษอุกฤษฎ์พึงจะได้รับโดยพลัน” ตรัสพลางถอยกายห่าง
“น้องท่านอย่าเพ่อด่วนปลงใจ ว่าความอันเป็นเหตุให้พี่นี้กระวนกระวานกระสับกระสายหาข่มตาหลับลงไม่เป็นเพราะกิริยาล่วงเกินของน้องท่าน ก็แหละหากเป็นเพราะดั่งนั้นจริง พี่คงมิบรรทมหลับแต่คงหน้าชื่นตาบานในอรุณรุ่งโดยแท้” ลูบโลมพระเกศาของพระเจ้าวัชรโกมลแผ่วเบาเหมือนปลุกปลอบ ใบหน้าคล้ายพจน์ปรากฏสีแดงอยู่ข้างแก้ม เมื่อเห็นท่าทีขวยเขินทำให้พระเจ้าอนันตราชจูบซับพระฉวีนวลนอกผ้าคล้องไหล่เป็นการใหญ่
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดระงับอาการนี้ก่อนเถิด ข้าพระองค์อับจนปัญญาเหลือล้ำว่าเหตุกวนพระราชหฤทัยนั้นคือการใด ทรงพระกรุณาแถลงไขความระคายให้ข้าฝ่าพระบาททรงทราบ หากกำลังสติปัญญาของข้าฝ่าพระบาทสามารถแบ่งเบาความหนักอึ้งนั้นได้จักเหมือนยกศิลาในใจกระหม่อมออกดุจกัน”
“น้องเรามาสู่พี่นี้ดั่งนายแก้วหนึ่งในเจ็ดของคู่บารมีพระจักรพรรดิราชโดยแท้ การใดหนักอกพี่ก็ได้น้องท่านช่วยชี้ช่องทางสว่าง แก้กลจนสำเร็จลุล่วงมานักต่อนัก หนำซ้ำมีกำลังปัญญายิ่งกว่าเสนาบดีในที่ประชุมขุนนางเสียอีก หากมิเกิดอัศวายุทธครานั้น หัวอกพี่บัดนี้คงสุมไปด้วยไฟหามีผู้ใดจักเป็นน้ำเย็นช่วยชโลมให้คลายทุกข์ได้ จักด้วยเพราะกุศลผลบุญแต่ชาติปางก่อนหรือไฉนมิอาจรู้ พี่ถึงพลาดพลั้งเสียทีน้องท่านจนพ่ายแพ้แลได้พบน้ำใจอันบริสุทธิ์ของคู่สัประยุทธ์จนซาบซ่านซึ้งใจไม่มีวันลืม”
“ไยใต้ฝ่าพระบาทมารำลึกถึงวันเก่าเอาในเพลาอันมีปัญหาคิดมิตกดั่งนี้เล่า การณ์เมื่อล่วงล้วนเกิดขึ้นด้วยใจของกระหม่อม มิหวังจักให้ราชอาณาจักรทั้งสองต้องเสียเลือดเนื้อโลมหลั่งจนท่วมทุ่งหน้าเมืองจึงขันอาสาเอาตัวเป็นเดิมพันศึก มิได้คิดจักฝากน้ำใจให้ใครอื่นรับรู้ แต่ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้วว่า ใจของกระหม่อมในวินาทีที่แลเห็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรุดกายล้มโดยมีอาชาทับจนขยับมิได้เป็นสัญญาณเสมือนใจหยุดเต้น ฉับพลันก็ระรัวเร็วมิอาจเห็นพระองค์เจ็บปวดผุดขึ้นในห้วงความคิด นั่นแลคือความจริงโดยแท้”
พระเจ้าวัชรโกมลพนมพระกรยกขื้นเหนือเศียรสู่ทางทิศซึ่งทวนอัศวาราตรีกาลอาวุธคู่การสัประยุทธ์เมื่อคราก่อนตั้งเป็นศรีสง่าอยู่เบื้องหลัง พระเจ้าอนันตราชสดับวาจาแลทอดพระเนตรอาการรู้คุณทวนเช่นนั้น จึ่งประทับพระโอษฐ์แนบลงเหนือพระอุณาโลมของคนในอ้อมพระกร
“พี่นี้ตรองมิผิดที่ขอตัวเจ้ามาเป็นคู่ใจ ฟ้าดินจงเป็นพยาน หากเกิดชาติภพหน้าฉันใดมิได้ครองคู่กับน้องท่านแล้วไซร้ ขอจงสู่นิพพานเสียสิ้น อย่าให้ดิ้นรนทนทรมานครองตัวเป็นคนอยู่อีก”
“คำตายนี้มิเป็นมงคลแก่การเริ่มต้นอรุณเสียเลย ข้าฝ่าพระบาทขอรับเอาไว้กับตัว โปรดพระกรุณาประทานให้กระหม่อมโดยพลัน หากมิประทานก็จักขอลักขโมยมาไว้กับตัวเสียเอง” สีหน้าปริวิตกทำให้พระเจ้าอนันตราชอดเอ็นดูพระเจ้าวัชรโกมลมิได้
“จงลืมคำอันหาเป็นมงคลธรรมนั้นเสีย เพลานี้พี่อยากตักตวงกลิ่นนวลให้สมกับการสะกดอารมณ์ข่มตามาทั้งราตรีเสียก่อน” มิพักจักรอคำตอบกลับก็ประทับพระโอษฐ์เหนือริมโอษฐ์สีชมพูรวดเร็ว พจน์เห็นภาพนั้นจนหน้าเห่อร้อนรีบมองไอ้กันที่ยืนนิ่งมองการกระทำนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า อยากจะเอามือปิดตาไอ้คนข้างกายเหลือเกิน เพราะเหมือนกับพจน์กำลังดูตัวเองจูบกับมาตะอย่างไรอย่างนั้น
“รสหวานปานดอกลีลาวดีนี้มีจากรสปากของน้องท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น” ถอยพระโอษฐ์พร้อมพระเนตรหวานสบพระพักตร์คนในอ้อมหัตถ์ประคองไว้ “ไฉนเลยพราหมณ์ทั่วพิภพอ้างว่ากลิ่นรสนี้ช่วยลดความกำหนัดกามารมณ์ได้ แต่เหตุใดข้าเพียงผู้เดียวจึ่งเห็นต่าง”
“ก็แหละเป็นรสมิพึ่งประสงค์แก่ผู้ใดแล้ว เกล้ากระหม่อมจักไม่ยอมเป็นเครื่องทรมานให้ใต้ฝ่าพระบาทสัมผัสรสพิศดารอันมิเหมือนผู้ใดนี้อีก” พระพักตร์สีชาดต้องกลหลบหนี
“เหตุเพราะข้าเห็นต่าง มิใช่ว่ารังเกียจเดียดฉันท์รสนี้เหมือนปุถุชนคนอื่น แต่พี่เอาตัวเทียบประหนึ่งตนเป็นพราหมณ์ผู้ทรงศีลยามเมื่อสูดดมกลิ่นสลับจูบรับรสจากกลีบดอกขาวคราวระงับกิเลสตัณหาคราใด ก็หาได้ลดไฟราคะในอกลดหลั่นลงดั่งพราหมณ์ผู้อื่นไม่ ซ้ำจักยิ่งเหิมโหมเป็นทวีคูณยิ่งอเนกอนันต์ฉันนั้น เช่นดั่งตัวพี่ยามจูบรับรสหวานลีลาวดีจากปากวัชรโกมลท่านคราหนึ่ง ก็ตรึงอุราก่อลมวายุพัดพาไฟให้ลุกโชนมิหยุดหย่อน ต่อเมื่อได้รับรสคราแรก ก็ยิ่งอยากสัมผัสอีกมิรู้หน่าย แต่หากหยุดเสพรสอันเสมอข้าวปลาอาหารเทพชั้นดี จึ่งเป็นที่ทรมานกายแลใจกระนั้น แลน้องท่านประสงค์จักเห็นพี่นี้หม่นหมองซูบผอมตรอมตรมแล้วไซร้ ก็จงเบือนพระพักตร์หนีเสียอย่าให้พี่ได้รับอาหารทิพย์ดั่งว่าเลย”
วัชรโกมลตรึกตรองตามคำนั้นหลุดปากตกใจสุดกำลัง
“ข้าฝ่าพระบาทมิประสงค์จักเห็นพระองค์ทนทรมานเป็นเด็ดขาด”
“ก็แหละหนทางแก้อดอยากของพี่นั้นคือกลิ่นรสอันมาจากปากน้องท่าน แลบัดนี้น้องท่านให้คำสัตย์แล้วว่าจะมิยอมให้พี่ได้รับรสนั้นอีก จักมีวิธีอื่นใดนอกจากพี่นี้แหละยอมตรอมตรมขมใจนั่นถูกแล้ว”
“เกล้ากระหม่อม....”
“แลยังมีต้นลีลาวดีซึ่งพี่ประทานปลูกไว้หลังตำหนักน้องท่านอยู่หนึ่งนั้น ยินว่าน้องท่านเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูรดน้ำพรวนดินมิได้ขาด จึ่งยืนต้นผงาดผลิใบออกดอกสวยสดดังคำลือนั้นยังจะถูกต้องอยู่หรือ” ความรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางอุระของพระองค์วัชรโกมลจนเจ็บลึก ใบหน้าแดงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันควัน พระหัตถ์กำแน่นสั่นสะท้าน
“น้องท่านเอาใจใส่เสมือนใช้ใจดูแลดั่งนี้ กลิ่นแลรสของดอกลีลาวดีนั้นคงมิต่างจากริมฝีปากน้องท่านเป็นแน่แท้” รอยแย้มพระสรวลปรากฏอยู่บนพระพักตร์ของพระเจ้าอนันตราชแตกต่างจากคนในอ้อมพระกร
“เมื่อน้องท่านปฏิเสธมิให้พี่ได้รับรสพิศดารนั้นอีก ก็ขอจักลองดมดอมจากต้นในความดูแลของน้องท่านสักคราหนึ่ง”
“มิได้ พระเจ้าค่ะ” รีบตรัสขัดพระราชดำริโดยพลัน เสียงสั่นเครือนั้นพระเจ้าอนันตราชพลันนึกไปทางคนรักคงคิดว่าตนจักไม่มีวันยอมจูบตอบอีก จึ่งจักแกล้งให้ถอนคำพูด ยินยอมน้อมกายให้พระองค์จุมพิตโดยมิพักต้องขอเอง
“กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ แลน้องท่านเองสืบเชื้อสายมาจากบรรพกษัตริย์เฉกเช่นนั้น จักคืนคำสัตย์ว่าห้ามตัวพี่รับรสจากปากน้องนั้น ยังจักสมควรอยู่หรือ” ตรัสหยอกล้อตามวิสัยปกติ แต่บัดนี้สติปัญญาของวัชรโกมลมิได้สนใจท่าทีสัพยอก หลงแต่คิดเกรงสิ่งที่จักเกิดขึ้นหากดวงใจของพระองค์ประสงค์จักรับรสจากต้นลีลาวดีด้านท้ายตำหนักดังคำกล่าวนั้น
“เอ่อ กิจอันกวนพระหทัยเมื่อแรกตรัสนั้นคือสิ่งใด ฤา พระเจ้าค่ะ” วัชรโกมลเปลี่ยนเรื่องทันควัน
“หาสำคัญไม่แล้ว เพราะบัดนี้ปัญหาเรื่องรสหวานลีลาวดีนี้ต่างหากเป็นกิจอันกวนใจเรายิ่งนัก”
พระเสโทเกาะพราวรอบพระพักตร์แชล่มแช่มช้อยเช่นเดียวกับพระอัสสุชลคลออยู่สองพระเนตรสีน้ำตาล พระหัตถ์ทั้งสองสั่นจนพจน์สังเกตเห็น
“จริงดั่งคำพระราชปรารภ หากผู้ใดสืบสายโลหิตมาแต่กษัตริย์สมมติเทพแล้วไซร้ กล่าวคำอันใดย่อมมิอาจถอนคำคืน ดุจเดียวกับเมื่อกลืนสุธารสหวานปานเลิศรสจักคายทิ้งก็เสียของดั่งนั้น”
“ใช่ ฤา ไม่ เช่นนั้นเราจักขอเชยชมกลิ่นดอกแลจักฝากรอยประทับกลีบลีลาวดีนั้นแทนเจ้าก็คงได้รับความสุขสมดุจเดียวกับริมฝีปากเจ้าปานกัน” ตรัสพลางขยับพระวรกายหมายจักทำการตามพระราชดำริ แต่สายพระเนตรยังเหลือบแลดวงหน้าเครียดไม่วางตา หมายให้ได้ยินคำยอมจากปากคนรูปงาม
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเจ้าข้า” เสียงทุ้มต่ำหลุดออกมาจากปากทหารราชองครักษ์รูปงามผู้หนึ่งซึ่งก้มหมอบกราบห่างไปมิใกล้นัก เพียงคนผู้นั้นถวายบังคมแล้วเผยใบหน้าก็ทำให้พจน์ไม่อยากเชื่อสายตา
“ไอ้กัน”
เจ้าของชื่อตัวจริงยืนนิ่งอยู่ข้างพจน์ แต่คนหน้าเหมือนนิธิราวกับฝาแฝดไว้หนวดเคราดูอายุแก่กว่าขยับกายเข้ามาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าอนันตราช
“อันใด ฤา กาวี”
“หมายกำหนดการเสด็จออกท้องพระโรงเพลาเช้า บัดนี้ใกล้เข้ามาแล้ว หากใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท...”
พระเจ้าอนันตราชยกพระหัตถ์ห้ามปรามโดยพลัน แล้วพยักพระพักตร์หมายให้คนหน้าเหมือนไอ้กันถอยหลบ
“เพลาประชุมเช้านั้นอีกเนิ่นนานครัน แต่เพลาการรับรสหวานจากดอกลีลาวดีนั้นยังมิอิ่มใจเรา”
“หาจำต้องเป็นพระราชภาระแก่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไม่ ข้าฝ่าพระบาทนี้จักเป็นธุระนำพาดอกลีลาวดีนั้นมาทูลถวายแก่พระองค์เอง” ตรัสคำหนึ่งซึ่งหาได้ต้องพระทัยพระเจ้าอยู่หัวอนันตราชไม่ จึ่งแสร้งตีสีหน้าพิโรธ
“การอันเราละริมฝีปากน้องท่านหมายจักหาสิ่งทดแทนอื่นนั้นมาปลอบใจตัว แต่น้องเรากลับสำแดงตัวเป็นธุระนำมานั้นเหมือนห้ามเสือไม่ให้ลิ้มรสเนื้อสมันแต่นายพรานจักเป็นผู้แล่เฉือนแลโยนให้ จักเหลือรสหวานสดอันใดจากการมิได้ฉกชิมด้วยริมฝีปากตน”
สีหน้าอับจนคำเหมือนเป็นชัยชนะของวาทะเกี้ยวพาของพระเจ้าอนันตราชสำแดงดั่งนั้นแล้ว กำลังจักขยับพระวรกายเข้าสวมกอดปลอบตามวิสัยปกติยามเมื่อสิ้นคำโต้ตอบ แต่พระเจ้าวัชรโกมลรีบทรุดกายลงจากพระที่นั่งบัลลังก์ทอง ก้มพระเกศาแนบพื้น พระหัตถ์ทั้งสองสัมผัสฉลองพระบาทแผ่วเบา
“หากข้าฝ่าพระบาทมิได้เป็นธุระนำของซึ่งอยู่ในอำนาจพระราชสำนักของเกล้ากระหม่อมมาทูลถวายตามขนบธรรมเนียมประเพณีของข้าราชสำนักแล้วไซร้ ก็เหมือนข้าฝ่าพระบาทฝืนกฎมนเทียรบาล กระทำการให้ระคายเบื้องพระยุคลบาล ต้องอาชญามิพ้นแน่"
แววพระเนตรฉงนสนเท่ห์เหลือล้ำผุดอยู่บนพระพักตร์ซึ่งคล้ายกับมาตะ พระขนงขมวดมุ่น เรื่องหยอกเย้าอันตามประสาคู่ครองซึ่งพระองค์ก่อ บัดนี้ส่งให้อีกฝ่ายดำริเป็นจริงจังดั่งนั้นจึ่งให้รู้สึกผิดมหันต์ในพระหทัย
“วัชรโกมลเอย พี่นี้...”
“ขอเพลาเพียงสักครู่หนึ่งเถิด ข้าฝ่าพระบาทนี้จักนำมาถวายมิช้าที” ดวงพระพักตร์ซึ่งก้มชิดพื้นอยู่นั้นทำให้พระเจ้าอนันตราชมิอาจเห็นว่า คำซึ่งคู่ครองกล่าวนั้นเป็นจริง ฤา หยอกล้อ จึ่งอ้ำอึ้งอึดอัด
“ทูลกระหม่อมวัชรโกมล!!!” วายุข้าคนสนิทอุทานเสียงดังลั่น
“จงเงียบคำเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ หามีมรรยาทไม่ อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจักกล่าวคำใดขัดขึ้นรวดเร็วดั่งนี้สมควรอยู่ ฤา วายุ” วัชรโกมลหันพระพักตร์ติติงข้ารับใช้รวดเร็วมีพิรุธ แต่พระเจ้าอนันตราชนั้นดั่งน้ำท่วมพระโอษฐ์ คำซึ่งตนตรัสลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตจนกระเทือนถึงบุคคลอื่นเสียแล้ว
ระหว่างบรรยากาศอันน่าอึดอัด พระเจ้าวัชรโกมลเร่งถวายทูลลารวดเร็ว มิทันฟังพระดำรัสทัดทานอันใด เสด็จพระราชดำเนินออกพระทวารตรงไปยังต้นลีลาวดีซึ่งอยู่ด้านท้ายตำหนัก วายุรีบติดตามมาด้วยสีหน้าซีดเผือด พจน์ตัดสินใจตามไปด้วยสังหรณ์ใจบางอย่าง ไอ้กันยังคงปิดปากเงียบเช่นเคย
แสงอรุณรุ่งบัดนี้เฉิดฉายยิ่งกว่าเมื่อแรกเจอ ต้องกระทบกิ่งใบและดอกขาวของลีลาวดีเพลิง หากมองเพียงภายนอก ต้นลีลาวดีทมิฬล้วนเหมือนกับต้นไม้ทั่วไปเป็นปกติ แต่พจน์รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออาวุธร้ายที่เกือบทำลายชีวิตอาพล และตอนนี้ตนรู้แล้วว่าทำไมพระเจ้าวัชรโกมลถึงห้ามปรามพระเจ้าอนันตราชไม่ได้ดอมดมดอกมีพิษนี้ ความสงสัยอีกอย่างหนึ่งคือ แล้วทำไมพระองค์ไม่บอกเรื่องอาวุธร้ายนี้ให้ทรงทราบ หรือว่าวัชรโกมลไม่รู้ถึงอันตราย แต่สีหน้าพรั่นพรึงนั้นยากเหลือเกินว่าพระองค์ไม่ล่วงรู้
“ทูลกระหม่อม พระเจ้าข้า ได้โปรดอย่าสัมผัสดอกปีศาจนั่นเป็นเด็ดขาด” วายุที่บัดนี้ร่ำไห้น้ำตานองหน้า เสียงสั่นเครือร้องห้ามปรามนายตัว “พระองค์รู้แน่แก่พระหทัยแล้วว่า กลอันพระอัครมเหสีหมายใจจักฉุดคร่าชีวิตของพระองค์ยืนยงคงต้นอยู่เบื้องหน้า โปรดตรัสให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททราบเภทภัยนี้เถิด”
“วายุเอย” สีหน้านิ่งมิได้อาลัยหรือหวั่นเกรงอันใดสถิตอยู่บนใบหน้าคล้ายพจน์ “คำเจ้านั้นต้องใจเรานักคราเมื่อแรกรู้ภัยอำมหิต แต่บัดนี้ข้ามองเห็นบางสิ่งซึ่งเป็นอันตรายใหญ่หลวงยิ่งกว่าชีวิตเรา นั่นคือ มหาชีวิตของพระเจ้าอยู่หัว มนตราปีศาจถูกปลุกขึ้น ณ ใจกลางมหาอาณาจักร รุกล้ำราวกับคลื่นน้ำถาโถมกัดเซาะฝั่ง เจ้ายังมองมิเห็นอีกหรือ มหาอาณาจักรซึ่งร่มเย็นนับแต่ก่อตั้งบัดนี้ถูกอำนาจมืดจากทิศตะวันออกแฝงเร้นคุกคาม สิ่งอันทำให้พระเจ้าอยู่หัวปริวิตกจนมิอาจบรรทมหลับคงมิพ้นข่าวภัยมืดนี้”
“การอันใดซึ่งอยู่ในพระหทัยนั้นโปรดระงับยับยั้งเสียเถิด หาไม่วายุจักเร่งไปทูลถวายพระเจ้าอยู่หัวบัดเดี๋ยวนี้” วายุร่างน้อยทรุดกายเหมือนสิ้นเรี่ยวแรง
“เราดำริตริตรองจงดีแล้ว จำเราจักยอมทอดกายแลชีวิตเป็นหลักฐานสำคัญ อันพิสูจน์ว่าภัยอันตรายดำมืดนั้นมาสู่อาณาจักรอนันตาทมิฬแล้ว”
“ทูลกระหม่อม!!!” บัดนี้หัวใจของวายุเหมือนกับดิ้นแดดับในทันใด เอื้อมมือมาฉุดรั้งข้อพระบาทของนายตัวห้ามปราม
“ข้าหาได้อับจนตามกลลวงของพระอัครมเหสี แลอาลัยในชีวิตตัวไม่ แต่จักสละกายไว้เป็นเครื่องสัญลักษณ์ภัยคุกคามจากจอมปีศาจ ปล่อยเราเถิดวายุ วิถีทางนี้เราเลือกโดยใจบริสุทธิ์แล้ว” วายุส่ายหน้านองน้ำตา พระเจ้าวัชรโกมลผินพระพักตร์สู่เบื้องทิศซึ่งพระเจ้าอนันตราชประทับอยู่ในพระที่นั่งปราสาท คุกพระชานุพร้อมพนมหัตถ์เหนือเกศา
“
ข้าพระองค์สิ้นบุญที่จักคอยถวายการรับใช้ใต้ฝ่าพระบาทแต่เพียงเท่านี้ หากภพภูมิหน้ามีจริงดั่งคำกล่าว ขอให้เราสองได้สบพบเจอกันอีกครา มาตรแม้นมีมหานทีสีทันดรมาขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า จงทลายลงเช่นผุยผง ขอจงนำเรามาสู่ครองคู่ทุกชาติภพไป”
“ข้าฝ่าพระบาทนี้ยอมตายแทน อย่าได้สละพระองค์เองเลย” เสียงกรีดร้องร่ำไห้ดั่งแทรกอากาศนิ่งสนิท
“อย่าขัดขวางเราเลย วายุ เทพยดานี้จงเป็นพยาน” วัชรโกมลมองแสงอรุณเหนือท้องฟ้าใสกระจ่าง ยกพระหัตถ์ทำอาศิรวาท
“หากมิมีผู้ใดในพิภพ
จักสยบมารร้ายให้สูญสิ้น
ขอสละกายม้วยด้วยชีวิน
ถมลงดินฝังไว้ใคร่สาบาน
เกิดภพหน้าฉันใดใจพิสุทธิ์
เป็นมนุษย์เดินดงคงสืบสาน
ไกลสุดหล้า ‘ข้ามพิภพ’ รบรอนราญ
ครอง ‘ดวงมาลย์’ นพมณียอดตรีคูณ”
ตรัสจบจึ่งเอื้อมพระหัตถ์โน้มเหนี่ยวกิ่งลีลาวดีเพลิงให้ลงต่ำ หมายใจดอกสีขาวปลายยอดนั้นแล้วหลับพระเนตร เสียงห้ามปรามของวายุเหมือนดังสะท้อนอยู่ไกลแสนไกล เลื่อนพระนาสิกจรดปลายกลีบขาวสูดกลิ่นหอมนั้นคราหนึ่ง แล้วจุมพิตแนบไว้บนดอกปีศาจนั้น ฉับพลันกลีบสีขาวราวปุยนุ่นก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงดั่งโลหิต ความรู้สึกร้อนราวกับเพลิงเผาผุดขึ้นในกาย พระเจ้าวัชรโกมลล้มลงแนบพื้นหญ้า พระโลหิตสีแดงชาดสาดกระเซ็นออกจากพระโอษฐ์ วายุกรีดร้องราวกับโลกล่มสลายอยู่ตรงหน้า
ในวินาทีใกล้แตกดับ พระเจ้าวัชรโกมลจึ่งเอื้อมพระหัตถ์สั่นเทาปลดมณีมรกตออกจากพระนลาฏก่อนจะฝังกลบไว้ใต้โคนต้นลีลาวดี สีดวงพระเนตรน้ำตาลเข้มเขม้นมองพจน์ชั่วขณะ พระอัสสุชลสีเลือดหลั่งรินพร้อมกับสิ้นพระชนม์ในทันใด
พจน์มองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่าจนไอ้กันสัมผัสแขนถึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ตนฝัน
“อัญมณีที่มึงเห็นและถูกฝังไว้ใต้ต้นลีลาวดีเพลิง รู้จักกันในนามว่า
‘อนันตวัชรมรกต’ เป็นสิ่งล้ำค่าหนึ่งในเก้าซึ่งทุกเผ่าพันธุ์...”
“เรื่องที่มึงเล่าคือความจริง ตำนานซึ่งไม่เคยถูกบันทึกไว้” พจน์มองดูวายุค่อยพยุงร่างพระเจ้าวัชรโกมลไว้แนบอก “และทำไมกูจะไม่รู้จักอัญมณีนั่น เพราะกูฝันเห็นสิ่งนั้นในอดีตชาติของกูนับครั้งไม่ถ้วน”
100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป