ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าสมองของผมวุ่นวายเหลือเกิน ตั้งแต่วันที่ผมฝันร้ายก็ดูเหมือนว่าคนในฝันนั้นตามมาหลอกหลอนผมเรื่อยๆ
เวลาที่ผมไปเรียน หรือไปทำงานมันก็ดีหน่อย เพราะมีเรื่องอื่นมาช่วยแชร์ที่ว่างในหัวผมไปใช้ ผมจะได้ไม่ต้องคิดวุ่นวายเรื่องนั้นมากมาย
แต่พอเวลาที่ผมกลับอพาร์ตเมนท์นี่สิ เวลาที่ผมไม่ได้ทำอะไร...
ไอ้ห้องของผมนี่แหละที่ทำให้ผมต้องปวดร้าวอีกครั้ง ความเงียบในห้องของคนที่อาศัยคนเดียว ผมไม่ชอบดูโทรทัศน์ และใน
ไอพอดของผมก็มีแต่เพลงช้าๆเศร้าๆที่ไม่เหมาะจะเปิดฟังในตอนนี้ ผมเลยตัดสินใจอาบน้ำและเข้านอน...
“พี่ตังค์ ซื้ออะไรมาเนี่ย?” ผมมองกล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าอย่างแปลกใจ รูปการ์ตูนเพนกวินบนกล่องช่วยแก้ความสงสัยของผมได้ในทันที
“เครื่องไล่ยุง? พี่จะซื้อมาทำไม ห้องก็มีมุ้งลวด” คนตรงหน้าผมยิ้มแหยๆแล้วก็ตอบเสียงเบางุ้งงิ้ง
“พี่เห็นมันน่ารักดี ก็เลยซื้อมา..”
“ฮื้อ เหตุผลแค่นั้นน่ะนะ” ผมส่ายหัวอย่างอ่อนใจ คนๆนี้มักจะมีเหตุผลในการทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึงเสมอ เรียกว่าผมไม่มีทางเข้าใจได้แน่นอนว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนั้น
“แหม นิดหน่อยเองฟี่”
“ไอ้นิดหน่อยของพี่น่ะ พอเอามารวมๆกันมันก็มากเหมือนกันนะ” ผมเริ่มขมวดคิ้ว ทำไมเขาถึงคิดอะไร ทำอะไรไม่ค่อยไตร่ตรอง นึกอยากจะทำก็ทำ
“...” เงียบ พอเขาเห็นว่าผมเริ่มหงุดหงิดเขาก็จะเงียบ ไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ผมหายหงุดหงิดไปเองและเขาก็จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหลังจากนั้นเรื่องเก่าๆก็จะเวียนกลับมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมไปละ” ผมตัดสินใจคว้ากระเป๋าแล้วตั้งท่าจะเดินออกมาจากห้องเขาเพราะไม่อยากจะโมโหในตอนนี้ แต่พอผมลุกยืนเท่านั้นเขาก็คว้าแขนผมเอาไว้
“นายจะไปไหน”
“จะกลับบ้าน วันนี้วันเกิดอา เขาจะไปฉลองกัน”
“นายจะไปทำไม จะไปสนใจคนพวกนั้นทำไม คนที่เขาไม่เคยดีกับนาย นายไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับพวกเขานักหรอก” ผมนิ่วหน้าเมื่อได้ฟังคำพูดของเขาแล้วก็ถอนหายใจ
“ทำไงได้ละพี่ตังค์ ยังไงผมก็ยังเป็นหลานเขา ยังต้องขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”
“อืม ก็แล้วแต่ฟี่ละกัน” ผมยิ้มให้พี่ตังค์แล้วก็กอดเขาเบาๆ อย่างน้อยก็ยังมีคนที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมนี่นะ
“แล้วผมจะรีบกลับ”
ผมสะดุ้งตื่นอีกแล้ว เหมือนว่ามันเป็นการปลุกให้ผมตื่นโดยจิตใต้สำนึกที่ไม่ต้องการให้ผมฝันต่อ ผมลุกขึ้นมานั่งมองไปยังปลายเตียง แต่ในใจของผมกลับนึกถึงเรื่องราวไปไกลกว่านั้นเสียอีก...
เรื่องราวต่างๆผุดขึ้นมาอีกครั้งระหว่างที่ผมเริ่มพยายามจะหลับอีกครั้ง นิสัยส่วนตัวของเขา คำพูดของเขา น้ำเสียงของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขานั้นผมยังจำได้ขึ้นใจเหมือนว่าเรื่องของเรามันเพิ่งจะผ่านมาเมื่อวานเอง...
พี่ตังค์ผิวขาว พี่ตังค์เป็นหนุ่มตี๋ พี่ตังค์พูดเพราะ
พี่ตังค์เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง ตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น
พี่ตังค์เป็นคนอ่อนโยน แต่ในทางกลับกันก็อารมณ์ร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ผมจำได้แม้กระทั่งวันที่เราเลิกกัน...
‘ขอโทษนะครับพี่ตังค์ แต่ฟี่คิดว่าเราสองคนไปกันไม่ได้จริงๆ’
‘นายพูดอะไรน่ะฟี่ พี่ไม่เข้าใจ พี่ทำอะไรให้นายไม่พอใจงั้นเหรอ’
‘ไม่ครับ ก็อย่างที่ผมบอก ผมมาคิดดูแล้ว เราสองคนไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ’
‘เราคบกันมาตั้งสามปีแล้วนะ จะไปด้วยกันไม่ได้ยังไง!’
‘แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง พี่รู้บ้างมั้ย ว่าทุกวันนี้เวลาที่ผมมองพี่ เวลาที่ผมอยู่กับพี่ ผมมองไม่เห็นอนาคตที่เราจะมีร่วมกันสักนิด’
‘นายพูดแบบนั้นได้ยังไง พี่มีอะไรดีไม่พอ นายอยากได้อะไรพี่ก็ให้’
‘มันไม่เกี่ยวกับว่าพี่ดีหรือไม่ดีนะ ผมบอกแล้วว่าเราไม่มีทางไปกันได้’
‘ไม่เอาหรอก พี่ไม่เลิก ไม่เลิกเด็ดขาด’
‘ผมขอร้องเถอะ ผมไม่มีหัวใจให้พี่อีกแล้ว อย่าให้ผมต้องเสียความรู้สึกดีๆไปมากกว่านี้เลยนะ’
‘ไม่เอา พี่ไม่เลิก ให้พี่แก้ตัวเถอะนะ นายอยากได้อะไรพี่ก็จะให้’
‘พี่ตังค์... พี่คุยไม่รู้เรื่องแล้วนะครับ..’
‘พี่ไม่อยากคุย ไม่อยากคุยแล้ว ไม่เอาแล้ว’
เหตุการณ์ที่เราสนทนากันในวันนั้นมันยังคงวนเวียนไปมาไม่จบสิ้น ผมจำได้ดีว่าพี่เขาไม่ยอมรับการตัดสินใจของผม เรายังคงดันทุรังคบกันอยู่อีกเป็นเดือนจนผมทนไม่ไหวจริงๆ โชคดีว่าช่วงนั้นผมกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ผมจึงย้ายข้าวของมาอยู่
อพาร์ทเมนต์แถวมหาวิทยาลัยแทน เรียกว่าหนีหน้าไม่เจอกันอีกเลย... และเขาเองก็ไม่ได้ออกมาตามหาผมด้วย...
แรกๆผมยังคงถามไถ่ข่าวคราวของเขาจากเพื่อนๆเขา ได้ยินมาว่าพี่ตังค์ใช้ชีวิตเหมือนกับคนหมดอาลัยตายอยาก ไปเรียน กลับห้อง เล่นเกม กินข้าว นอนดูหนัง หลักๆก็ทำอยู่แค่นี้เท่านั้น...
ผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้จากเขามาเพื่อให้ชีวิตของเขาตกต่ำลง แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าทางที่ดีที่สุดคือการไม่หันหลังกลับไปมอง เมื่อตัดสินใจแล้ว เลิกกันแล้วก็ไม่ควรไปใกล้ชิดเหมือนเดิม เพราะมันจะทำให้สิ่งที่ผมทำสูญเปล่าไปทันที
อีกเรื่องหนึ่งที่คนใกล้ตัวผมมักจะชอบถามกันก็คือว่า ‘ทำไมถึงเลิกกัน’ เพราะผมและพี่ตังค์คบกันมานาน และเราสองคนก็รักกันมาก มากจนใครๆก็อิจฉา ผมมีแต่พี่ตังค์ และในสายตาพี่ตังค์ก็มีแต่ผม
ผมไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้กับคนที่ถาม มันเหมือนกับว่าวันหนึ่งผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทนกับจุดนี้ได้อีกแล้ว
พี่ตังค์ถามผมว่าไม่รักเขาแล้วเหรอ? คำตอบคือไม่ ผมยังรักเขา รักเต็มหัวใจและไม่ได้มีใครมาแทนที่เขา แต่ผมแค่รู้สึกว่าอะไรๆที่ผมทนมาสามปีมันเริ่มสิ้นสุดลง ผมจึงคิดว่าควรจะเลิกก่อนที่ผมจะเกลียดเขา... ขึ้นมาสักวัน...
เรื่องน่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า เมื่อผมเลิกกับเขาและย้ายมาอยู่คนเดียว ผมได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องพี่ตังค์ ข้อเสียต่างๆที่ผมไม่เคยมองเห็นกลับผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
พี่ตังค์ไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านเลยตั้งแต่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ
พี่ตังค์ไม่เคยโทรหาที่บ้านถ้าไม่มีธุระสำคัญ
พี่ตังค์ตัดสินใจอะไรแล้วต้องทำให้ได้ ไม่เคยสนว่าผมจะเห็นด้วยหรือไม่
พี่ตังค์อารมณ์ร้ายสุดๆ
พี่ตังค์ชอบวาดฝันบนแผ่นฟ้า แต่ไม่เคยคิดจะทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา...
แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ตังค์มีมาก และบดบังด้านแย่ๆของเขาไปหมดก็คือความรักที่มีให้ผม ผมเองก็รักเขาจนหมดหัวใจ แต่ผมไม่รู้ว่าความรักที่เขามีให้ผมเป็นความรักจริงๆหรืออะไรกันแน่ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความผูกพันก็ได้...
ผมเองรู้สึกเจ็บปวดมากไม่แพ้พี่ตังค์ ถึงผมจะเป็นคนบอกเลิก แต่มันก็เป็นการเลิกที่ยังรู้สึกรักอยู่เต็มหัวใจ...
จะบอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะผมเองไม่มีเหตุผลชัดเจนที่มันฟังขึ้น ผมรู้แค่ว่าถ้ายังดันทุรังคบต่อไปมันจะต้อง้ราวฉานยิ่งไปกว่านี้แน่
ผมไม่เคยคบใครได้นานเท่าไรนัก อย่างพี่ตังค์เนี่ยก็นับว่านานสุดๆแล้ว แฟนคนก่อนหน้านี้ก็คบมาแค่ปี บางคนครึ่งปี บางคนสองเดือน บางคนอาทิตย์เดียวยังมีเลย ผมจึงไม่เคยเข้าถึงอารมณ์ของเพลงประเภท ‘หากันจนเจอ’, ‘ชีวิตคู่’, ‘คู่แท้’ ฯลฯ พอผมเริ่มเห็นว่าเราจะไปกันไม่ได้หรือมีบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถทนต่อไปได้ ผมก็จะเลิกเลย แต่ทุกครั้งที่ผมเลิกกับใครก็ตาม ช่องว่างในใจผมก็ยิ่งขยายใหญ่ ยิ่งตอนเลิกกับพี่ตังค์ด้วยแล้ว มันก็เหมือนว่าจะใหญ่มากจนผมรู้สึกว่าพื้นที่ในหัวใจของผมมันจะเหลือเพียงนิดเดียวพอให้รู้สึกเจ็บปวดบ้างเป็นบางครั้ง ความสุขไม่ต้องพูดถึง ผมไม่เคยสัมผัสมันมาแสนนานแล้ว
มันคงเป็นผลกรรมสำหรับคนอย่างผม คนที่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นมานับครั้งไม่ถ้วนนั้นไม่สมควรจะมีความสุข การอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวก็เป็นบทสรุปของชีวิตผม... ผมเคยนอนร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วนเวลาที่หัวใจบีบคั้นจนถึงที่สุด น้ำตาที่ไหลออกมาจนเปียกหมอนเป็นเหมือนน้ำกรดที่รินรดลงบนหัวใจเน่าๆของผม ผมอยากจะตายไปให้พ้นๆ แต่ผมก็ใจไม่ถึงพอ ผูกคอตายก็ทรมาน กรีดข้อมือก็คงเจ็บ กระโดดน้ำตายศพก็อุบาทว์ ผมเลยล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายไปซะ
“ฟี่ กูบอกแล้วไง ว่าไม่ให้มึงแต่งตัวแบบนี้นอน...” ผมขยี้ตาเพราะความง่วงงุนก่อนจะพยักหน้ารับรู้กับคนตรงหน้า
“แล้วมึงใส่ทำไมวะ” ไอ้คิงถามซ้ำ มันมาทุบประตูห้องปลุกผมตอนตีสี่ เพื่อ?
“มึงไปเที่ยวมาเหรอ” ผมได้กลิ่นเหล้าจางๆจากตัวมัน สงสัยมันจะไปเที่ยวผับมาครับ
“เออ ตอบกูก่อน ทำไมแต่งตัวแบบนี้นอน” ผมก้มมองตัวเอง เสื้อแขนยาวตัวโตพอที่จะปิดได้เกือบหัวเข่า มันโป๊ตรงไหนวะ
“กูก็ไม่เห็นว่ามันจะน่าเกลียดตรงไหนนี่หว่า”
“ก็เพราะว่ามึงเป็นคนใส่ไงไอ้ห่า” ไอ้คิงมันดันไหล่ผมให้เดินถอยเข้ามาในห้อง พอเราสองคนออกมาพ้นจากประตูแล้วไอ้คิงก็เดินตุปัดตุเป๋ไปที่เตียงผมแล้วล้มตัวลงนอน
“ทำไมไม่ไปนอนห้องตัวเองวะ?” ผมเกาหัวแกรกแล้วเดินมานั่งบนเตียง ไอ้คิงเริ่มส่งเสียงกรน ดูท่าว่ามันเมาเอาเรื่องเลยครับ
ผมดึงผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วก็หลับต่อ สรุปแล้วไอ้ที่มันมาบ่นๆเรื่องการแต่งตัวของผมก็หาสาระไม่ได้ เพราะว่ามันเมามา ดูท่าพรุ่งนี้ผมคงต้องเตรียมมื้อเช้าช่วยให้มันสร่างเมาซะแล้วละ
“โอ้ว เพื่อนกูเทพมาก” ไอ้คิงมองจานอาหารเช้าตรงหน้าแล้วเริ่มพล่าม กับอีแค่สลัดผัก ไข่ดาว ไส้กรอกและเบคอนมันจะอะไรนักหนาวะ มีเตาอบกูก็อบให้มึงกินได้ทุกอย่างละ
“แดกซะ อย่าพล่ามมาก แฮงค์มั้ยละมึง เมามาอย่างแมว” ผมเขี่ยๆสลัดผักในชามตัวเอง เช้านี้ผมไม่อยากกินอะไรมากมาย แค่สลัดก็พอแล้ว
“เออ สุดๆอะ พวกไอ้กั๊กแม่งสั่งเปิดขวดไม่รู้กี่ขวดเลย กว่ากูจะลากสังขารกลับมาได้นะ” ไอ้คิงเอาซอสมะเขือเทศราดไข่ดาวจนท่วมก่อนจะตักเข้าปากทีละครึ่งใบ ทำไมพอผมเห็นมันกินแล้วรู้สึกว่าอ้วกจะแตก(วะ)ครับ
“แดกเข้าไปเหล้าน่ะ ตับมึงจะได้แข็งแรง” ปากผมก็ด่ามัน แต่ผมก็ยังเดินไปเปิดนมมาเทใส่แก้วให้มันด้วยหวังว่าแคลเซียมจะไปช่วยเจือจางปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมัน(เกี่ยวกันไหมครับ?)
“ว่าแต่เมื่อคืน ไอ้ชุดที่มึงใส่นะ มันไม่เรียบร้อยรู้ไหม”
“หา? มึงยังไม่ลืมอีกเรอะ” ไอ้คิงมันพยักหน้าพร้อมกับ ‘ขย้อน’ ไส้กรอกลงคอไปด้วย
“มึงมันตัวเล็ก ผิวขาว พอแต่งแบบนั้นมันก็ดูน่ารักน่าปล้ำ เหี้ย กูพูดไรไปวะ...” มันบอกสาเหตุกับผมและด่าตัวเองได้ในประโยคเดียว ผมฟังแล้วก็พอเข้าใจว่ามันเป็นห่วงผม
“เดี๋ยวก่อนนะ ปัญหามันคือคนแบบมึงที่มาเคาะห้องกูตอนเกือบเช้าไม่ใช่เรอะ ถ้ามึงไม่มาเคาะ กูก็ไม่เปิดประตู และมึงก็จะไม่รู้ว่ากูแต่งตัวยังไงนอน จริงมั้ย เพราะงั้นประเด็นนี้กูไม่ผิด จบป่ะ”
“เออ จริง จบก็ได้”
คุณอาจจะคิดว่าผมกับไอ้คิงคงจะเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน เพราะความห่วงหาที่มันมีให้ผมแบบออกนอกหน้านั่นเอง ผมเองก็เป็นห่วงมันไม่น้อย ผมถึงขนาดเคยอ้างตัวเป็นแฟนมันแล้วไปวีนใส่ผู้หญิงที่มาตื๊อมันด้วย แต่ไม่ต้องคิดลึกครับ ผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนจริงๆ เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เล่นกัน ดูแลกัน ตีกัน ช่วยเหลือกันมาตลอด ผมเองคงไม่อุตริไปมีอารมณ์วาบหวามกับเพื่อนสนิทตัวเองหรอกครับ
ที่สำคัญไอ้คิงมันมีสาวในดวงใจอยู่แล้ว ให้ทายสิว่าเป็นใคร หึหึ ก็สาวจูนเพื่อนผมไงละครับ มันหลงรักจูนตั้งแต่แรกพบ และพร่ำเพ้อถึงร่างเล็กๆใบหน้าหวานๆเสียงห้าวๆนิสัยโหดๆทุกวันทุกเวลาหลังอาหาร แต่จูนก็ไม่เคยรับรู้ เพราะผมไม่เคยบอกจูนว่าไอ้คิงแอบชอบ เพื่อนผมมันเขินครับ ไม่เข้ากับหน้าด้านๆของมันเลยใช่มั้ยละ
“วันนี้มึงไปทำงานป่าววะ”
“ไปดิ”
“แล้วมีเรียนมั้ย”
“มี รอมึงกินเสร็จแล้วกูจะไปอาบน้ำเนี่ย”
“อ้าว รอทำไมอะ ก็ไปอาบเลยดิ เดี๋ยวกูล้างเอง” ผมส่ายหน้าครับ ไอ้คิงเคยล้างจานเอง แล้วมันก็ทำแตกทุกใบที่มันจับ ผมจึงไม่อยากให้มันแตะคอลเลกชั่นจานสุดที่รักของผมอีกเลย
“เดี๋ยวกูติดมอไซค์มึงไปพร้อมกันเลยนะ อยากเจอว่ะ..” ผมพยักหน้ารับ รู้ดีว่าคนที่ไอ้คิงอยากเจอคือใคร โดยไม่รู้ตัวผมก็ยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง
“คิดถึงเขาละสิ ทำไมไม่บอกเขาไปละว่าชอบ” เพื่อนผมมันกำลังเขินครับ เห็นแล้วก็น่าเอ็นดู
“ไม่ได้หรอก พอกูอยากจะคุยกับเขาก็รู้สึกเขินเป็นบ้าเลยว่ะ” จริงครับ พอไอ้คิงเจอจูนทีไรมันจะเก๊กเข้ม ทำนิ่งๆผิดจากนิสัยโหวกเหวกของมันสิ้นเชิง
“พยายามเข้าแล้วกันนะคิง”
“ว่าแต่มึงเถอะฟี่ เมื่อไรจะลองคบคนอื่นดูล่ะ เรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้วนะ” ทำไมจากที่คุยเรื่องของมัน ถึงกลายเป็นมาคุยเรื่องผมได้ละ
“เอาเถอะคิง กูบอกแล้ว กูแค่ขอเวลา ขอให้กูรู้สึกดีกว่านี้ มึงรู้ไหมว่าตอนนี้แค่จะยิ้มกูยังรู้สึกผิดเลย” ผมพูดออกไปตรงๆ เพราะเปล่าประโยขน์ที่จะปิดบังความรู้สึกกับไอ้คิง
“ไม่เอาดิวะฟี่ ยังไงมึงยังมีกูนะ” ไอ้คิงเดินมากอดผมไว้แน่นแล้วตบไหล่ผม ผมหลับตาซึมซับความอบอุ่นที่มันมีให้ผม
‘ก็เพราะมีมึงนี่ละคิง กูเลยยังเป็นผู้เป็นคนได้ไง...’
----------------------------- To Be Continue -----------------------------ปล.ขอโทษนะคะถ้าไม่ค่อยตอบคอมเมนท์
ปล.2 กอดทุกคนค่ะ