Friend's brother Brother's friend 04
[BEAM's talk]
กระสับกระส่ายผมรู้สึกแบบนั้นตอนที่เจอหน้าเพื่อนไอ้บอมยกกลุ่ม สายตาเหลือบมองคนโน้นคนนี้ราวกับจะจับพิรุธว่าใครที่พอจะเป็น
'มัน' ของไอ้เน็ตได้บ้าง
เนียนฉิบหาย ถึงตอนนี้ผมก็ยังเดาไม่ออกว่า
'มัน' ผู้นั้นคือใคร ถ้าเป็นไอ้โชตินี่ตัดไปได้ นอกจากหน้าดิบๆสมกับสีเลือดหมูของคณะมันแล้ว ปากแกว่งหาตีนของมันก็ไม่น่าเอ็นดูเลยสักนิดอีกต่างหาก ส่วนไอ้ปัน ผมก็เห็นแม่งนับคำคุยกันได้ ไอ้คุณชายนี่เก็บปากเก็บคำราวกับกลัวดอกพิกุลร่วง แต่เท่าที่ผมได้ยินจากบอมมาเห็นหงิมๆแบบนี้แม่งเสือผู้หญิงอันดับต้นๆของเมืองไทยเลยทีเดียว
ไอ้บอม... ไอ้โต๊ด... ??ผมแม่งหงุดหงิดจริงๆเวลาที่เห็นมันไปกระซิบกระซาบอะไรกับน้องชายคนรอง ยิ่งตอนที่ลุกไปดูดบุหรี่สองคนกับไอ้หมอ คือกูโคตรไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมึงไม่หาใครไปเป็นก้างด้วย
แต่ที่ผมยิ่งไม่เข้าใจยิ่งกว่า คือผมจะไปอยากรู้เรื่องของมันทำไมนักหนา ไม่เป็นตัวของตัวเองชะมัด
"เฮีย ชนแก้วว ว ว ว"ถึงตอนนี้มันก็ยังไม่กลับมา ผมชะเง้อมองออกไปตรงระเบียงเห็นว่าบุหรี่หมดนานมากแล้วแต่มันก็ยังยืนคุยอะไรกันอยู่ ก่อนยกแก้วขึ้นชนกับไอ้โชติลวกๆ
"ไม่ได้กินเหล้ากับเฮียนานแล้วว่ะ ยังคอแข็งเหมือนเดิมเลยเนอะ" ไอ้โชติเมา ดูจากหน้าและเสียงอ้อแอ้ๆของมันแล้ว คือกูว่ากุก็ไม่ได้คอแข็งอะไรหรอกนะ แต่มึงอ่อนเองรึเปล่าวะ?
"เฮีย สปายหมดแล้ว บูมกินเหล้าได้ปะ?"
"อืม จะแดกอะไรก็แดกไปเหอะ เหล้าขาวยาดองก็ซัดมาหมดแล้วไม่ใช่หรือไง?" ไอ้ตัวแสบยิ้มรับความผิดตาปิด วิ่งดุ๊กๆไปหาพี่ชายคนรองให้ชงเหล้าให้มันแล้วกลับมานั่งเอาหัวซุกไหล่ผมอ้อนๆ ไอ้ปันเหลือบมองท่าทางติงต๊องๆของตี๋เล็กแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"กูเห็นมึงถอนหายใจหลายรอบแล้วนะวันนี้" ผมพูดลอยๆ ไอ้ปันใช้นิ้วคนน้ำแข็งในแก้วตัวเองแล้วตอบรับ "อืม" ในลำคอ
"พี่ปันเป็นอะไรอะ? เครียดเหรอ?"
มันนิ่งไม่ตอบบูม มิหนำซ้ำยังถอนหายใจออกมาทับอีกรอบด้วย
"วินนิ่งกัน!" บูมมันละออกจากผมไปเขย่าแขนเพื่อนพี่ชาย ไอ้ปันส่ายหน้ารำคาญ แต่แม่งไม่รู้ฤทธิ์ตี๋เล็กซะแล้ว สุดท้ายมันก็โดนลากไปนั่งเล่นวินนิ่งหน้าโซฟาหนังแท้สีดำด้านของผมจนได้
"ห่วงก็ลุกออกไปตามดิ ชะเง้ออย่างนี้มันคงเข้ามาหรอก"
บอมคงสังเกตอยู่พักใหญ่ถึงได้พูดแบบนั้น ผมยักไหล่ตัวเองขึ้นทำราวไม่สนใจ แต่กระนั้นก็ไม่อาจละสายตาออกมาจากประตูกระจกที่มองทะลุออกไปเห็นเพื่อนของน้องชายทั้งสองคนด้านนอกอยู่ดี
"ไอ้โชติแม่งอ่อน หลับไปแล้ว" ไอ้บอมมองคนที่ถูกพูดถึง มันนอนขดตัวกอดขวดเหล้าเอาไว้ นี่ถ้ากูเอามันไปปล่อยข้างทางคงดูเหมาะมากกับสภาพมันตอนนี้
"ชอบไอ้เน็ตเหรอ?"
ผมรู้สึกกระตุกที่หัวคิ้ว วันก่อนเพื่อนมึงก็เพิ่งมาถามว่ากูเป็นเกย์หรือเปล่า วันนี้น้องชายที่คลานตามตูดกันมาเสือกถามว่าชอบเพื่อนมันที่เป็นผู้ชายหรือเปล่า
"ถามแบบนี้อยากแดกส้นตีนกูหรือไง?"
"เปล่า เห็นห่วงมันจัง"
"ทำไม? มึงหึง?"
"ผมกับเน็ตเป็นเพื่อนกันเฮีย ถ้าถามว่าใครหึงนี่คิดดีๆก่อนเหอะ แม่งเข้าตัว"
ผมปรายตามองน้องชายตัวเองแล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม
"เจ้ทรายโทรมาเล่าให้ฟังว่าอยู่ๆเฮียก็โทรไปบอกเลิก"
ไม่ใช่
'อยู่ๆ' หรอกครับ คนเราเวลาจะเลิกแม่งเหตุผลเป็นล้าน เพียงแค่เหตุผลที่ว่านั่นมันจะมากพอทำให้อีกฝ่ายยอมรับถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปหรือเปล่า
ผมพูดไม่เก่ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยพูดถึงเหตุผลมากมาย ที่ทำให้ตัวเองตัดสินใจแบบนั้นออกไปให้ใครรู้
"เจ้ทรายเป็นผู้หญิงที่โคตรเพอร์เฟคเลยเนอะ เฮียว่าไหม?"
ทรายแก้วเป็นลูกสาวนักการฑูต สวย เซ็กซี่ นิสัยดี เรียนเก่ง ฐานะทางบ้านก็อยู่ในเกณฑ์มหาเศรษฐี ผู้ชายร้อยทั้งร้อยถ้ามีผู้หญิงแบบนี้มาสารภาพรัก ใครกันจะปฏิเสธลง
โชคร้ายของทรายที่ผมเคยเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธเธอเมื่อสี่ปีก่อน"แต่ดูเหมือนเฮียจะชอบแบบไอ้เน็ต"
บอมมันเมาแล้ว ไม่อย่างนั้นมันไม่กล้าถามอะไรเสี่ยงหน้าแข้งผมแบบนี้หรอกครับ
ชอบแบบไอ้เน็ตน่ะเหรอ?
ไม่เลย...
"กูแค่เอ็นดูมัน ไอ้เน็ตมันไม่เหมือนคนอื่นๆ อย่าว่าแต่กูเลย ก็เห็นอยู่ว่าถ้าจะแกล้งใครสักคนพวกมึงก็รุมแกล้งมัน"
"เฮียไม่ได้แกล้งมันนี่ เฮียดูเป็นห่วงมัน หวงมัน เทือกๆนั้น"
"กูโตแล้ว ไม่ได้แสดงความเอ็นดูด้วยวิธีเดียวกับพวกมึงหรอก"
ไอ้บอมโคลงหัว ตามันเยิ้มลอยๆ หน้าแดงจัดแถมยังเรอออกมาเสียงดัง เชี่ยแม่งเมา.. เมามากด้วย
"มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก มึงนั่นแหละเครียดอะไรหรือเปล่า"บอมมันยิ้มเฝื่อน ขยับมานั่งใกล้ผมแล้วซบลงบนบ่า
"เยอะว่ะเฮีย ว่าแต่ เฮียไม่ได้ชอบไอ้เน็ตมันจริงๆเหรอ?"
"เออออ"
ผมลากเสียงยาว ไอ้บอมหัวเราะแล้วตบไหล่กว้างที่มันใช้ซบเมื่อกี้เบาๆ พอเมากูก็เลยกลายเป็นเพื่อนให้มึงตบได้แล้วใช่ไหม? อายุครรภ์ที่กูสิงอยู่ในท้องม๊าก่อนมึงสี่ปีนี่ไม่ช่วยให้กูน่าเคารพเลยสินะ เดี๋ยวมึงจะโดนโบก
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ก็น้อยครั้งครับที่ผมจะ ‘โบก’ น้องชายทั้งสองคนของตัวเองลงจริงๆ
"ดีแล้วเฮียที่ไม่ได้ชอบมัน วันนี้ผมนอนที่นี่นะ ไม่ไหวว่ะ ฝากไปส่งไอ้เน็ตด้วย ปันกับโต๊ดมันเอารถมา"
"อืม มึงเอาบูมไปนอนในห้องเถอะ เดี๋ยวกูนอนโซฟาข้างนอกนี่แหละ แล้วไอ้โชตินี่เอาไง จะให้นอนนี่ด้วยไหม"
"เอามันไปไว้หอไอ้เน็ตก็ได้เฮีย ปกติเวลาเมามันไปนอนนั่น ไม่อยากให้นอนพื้น ตื่นมาปวดหลังตาย"
ผมพยักหน้า ไอ้บอมลุกเดินเข้าห้องนอนแล้วตะโกนเรียกบูมให้ลุกจากวินนิ่งเข้าห้องนอนไปด้วย
"จะแดกต่อไหมปัน?" ร่วงไปแล้วสอง อีกสองก็ยังสวีทกันไม่เลิกอยู่ด้านนอก ไอ้ปันมันมองสภาพแวดล้อมแล้วส่ายหัวหน่าย
"กลับเลยดีกว่าเฮีย ดึกมากเดี๋ยวหมอมันมีปัญหากับเมียอีก"
ผมเคยได้ยินว่าเมียหมอโต๊ดที่มันพูดถึงกันเป็น
‘น้องอร เภสัช’ ที่หมายปองของใครๆในมหาวิทยาลัย มันเป็นคนเดียวที่มีศรีภรรยาเป็นตัวเป็นตน ไอ้ปันเป็นนักบริหาร มันเก่งสับรางจนไม่เคยพาใครมาแนะนำเพื่อนว่าอยู่ในฐานะ
’แฟน’ สักที ส่วนไอ้โชตินี่ได้ยินว่าพ่อมันเป็นนกหวีด เจอสาวงามทำเป็นแต่ผิวปากแซว ไอ้เน็ตนี่ยิ่งแล้วใหญ่เข้าหาสาวที่ไหนก็ถูกจัดอยู่ในเฟรนด์โซนเสียหมด ส่วนบูมมันดูติ๋มๆ เด็กๆ ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่แบบที่สาววัยอุดมศึกษาชอบ แต่ที่ผมเคยสงสัยคือบอม ทั้งๆที่มันพร้อมและครบราวกับหลุดมาจากหนังสือนิยายแท้ๆ แต่กลับไม่เคยมีใคร
“น้องคงมีคนที่ชอบอยู่แล้วแหละเฮีย”ทรายแก้วเคยตอบแบบนั้นตอนที่ผมเกริ่นๆปรึกษา ผมพาแฟนเก่าเข้าบ้านตั้งแต่เดือนแรกที่ตกลงคบหากัน หล่อนเป็นคนคุยสนุก ไม่ถือตัว ดังนั้นจึงสนิทสนมกับน้องชายทั้งสองคนของผมได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะกับบอม สนิทกันมากกว่าที่ผมสนิทกับน้องชายคนกลางตัวเองเสียอีก“ผมกลับนะเฮีย หวัดดีครับ”
เสียงของไอ้โต๊ดทำให้ผมหลุดจากภวังค์ พยักหน้ารับไหว้มันกับไอ้ปันแล้วหันกลับมามองเน็ตที่นั่งยองๆตีหน้าไอ้โชติเบาๆให้ตื่น
“โชติ ไปนอนหอกู”
“อือ..”
คนเมาปรือตาเปิด มันพยักหน้ารับคำแล้วยันตัวลุกขึ้นมาเดินโซซัดโซเซจนผมต้องรีบเข้าไปช่วยไอ้เน็ตพยุงไว้อีกข้าง
หนักเหี้ย!ตัวไอ้โชติเกือบเท่ากัปตันอเมริกาได้แล้ว ยิ่งตอนมันทิ้งน้ำหนักลงเพราะขาเปลี้ยๆอีกเล่นเอาเข่าไอ้เน็ตทรุด ขาสองข้างของไอ้ขี้ก้างรวมกันยังไม่เท่าข้างเดียวของไอ้โชติเลยด้วยซ้ำ
“เอามันไปไว้โซฟาเหอะว่ะ”
ผมยอมแพ้ ยิ่งเห็นไอ้เน็ตหน้าเขียว ปากแดงๆของมันเม้มเข้าหากันจนแน่น เหมือนต้องใช้กำลังมากยิ่งคิดว่าต้องรีบเหวี่ยงไอ้ยักษ์นี่ลงให้ไวที่สุด
“ปกติเวลามันเมามึงทำยังไงเนี่ย” พอโยนไอ้ตัวการลงบนเบาะโซฟาผมก็หันไปถามไอ้ตัวเล็กที่นอนแผ่ลงบนพรมกำมะหยี่หมดเรี่ยวแรง ห้าก้าว ผมคิดว่าจากที่เดิมเราพากันมาได้แค่ห้าก้าวเท่านั้นครับ!
“พี่ก้องกับพี่เช็งจะลากมันมาส่งอะเฮีย ผมก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าจะลำบากขนาดนี้”
เน็ตยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ซึมรื้นผมไรผม ผมกวาดตามองไอ้เปลี้ยที่นอนหมดสภาพทิ้งแขนข้างหนึ่งห้อยตกจากโซฟาแล้วก็ถอนใจระอา
“ให้มันนอนนี่แหละ เดี๋ยวกูไปส่งมึงแล้วกลับไปนอนบ้านก็ได้”
ไอ้หัวแดงพยักหน้าหงึกหงัก ผมคว้ากุญแจรถที่วางระเกะระกะไว้บนทีวีเดินออกจากห้องโดยมีเด็กหนุ่มหน้าใสเดินตามติดมาไม่ห่าง
“ทำไมเฮียไม่เอาไอ้บูมมาอยู่ที่คอนโดด้วย? ใกล้ ม.ขนาดนี้”
เพราะบรรยากาศในรถเงียบสนิท วิทยุก็เปิดเป็นข่าวต้นชั่วโมงอยู่เลยปิดไป เด็กวิศวะหน้ายังไม่หย่านมจึงสรรหาเรื่องมาคุยกับผม
“บูมมันติดไอ้ปุย”
ไอ้ปุยที่ว่าเป็นหมาไทยหลังอาน ขนสีน้ำตาลเกรียนสนิท แต่ไอ้ตี๋เล็กดันตั้งชื่อให้ว่าปุกปุยเพราะคิดว่าวันนึงขนมันจะยาวขึ้นมาบ้าง ปุกปุยเป็นหมาที่บอมมันเก็บได้จากสวนสาธารณะแถวบ้านเมื่อหลายปีก่อน แต่แทนที่ไอ้คนรักสัตว์จะเลี้ยงดู มันกลับปล่อยให้น้องชายให้ข้าวให้น้ำจนกลายเป็นซี้กันไปแทน จนถึงขั้นผมชวนมาอยู่คอนโดด้วยกัน มันยังตั้งข้อแม้ว่าจะต้องให้ไอ้ปุยมาอยู่ด้วย
งั้นมึงก็เดินทางเป็นชั่วโมงๆไปเถอะ ถึงผมจะรักน้อง แต่ถ้าต้องเอาหมามาร่วมหลับนอนด้วยนี่ขอบายเลยครับ ยิ่งเป็นหมาหนังกลับพรรค์นั้นแม่งไม่น่าเอ็นดูสักนิดเดียว
“แล้วคอนโดนี้ใกล้ออฟฟิศเฮียเหรอ?”
“อืม”
“ทำไมเฮียถึงเลิกเป็นนายแบบเสียล่ะ?”
มึงไม่ใช่นักข่าวใช่ไหม? แม่งจะซักอะไรนักหนา แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่ได้เบื่อที่จะตอบมันเท่าไร
“ไม่ชอบเป็นหุ่นเชิดน่ะ ไม่อยากยิ้มถ้าไม่มีอารมณ์จะยิ้ม ไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย ไม่ใช่พวกที่ชอบเซอร์วิสแฟนคลับ”
“ว่าแล้วเชียว เฮียจบนิเทศมาหนิ แล้วตอนนี้ทำงานแบบไหนอยู่เหรอ?”
“โพสโปรดัคชั่น” เน็ตมองผมตาปริบ มีคำว่า ‘อะไรวะ?’ แปะอยู่บนหน้าผากกว้างๆของมันตัวบะเริ่ม ผมจึงเริ่มขยายความต่อ
“พวกตัดต่อหลังถ่ายเสร็จน่ะ ใส่เอฟเฟค แปลงไฟล์ ทำไม? อยากเป็นดารา? ไว้กูถามที่กองให้นะว่าตำแหน่งคนตายหน้าลิฟท์ยังว่างอยู่รึเปล่า”
“โหย เฮียอะ อย่างผมต้องเป็นพระเอกสิวะ”
“ถ้างั้นกูคงต้องให้เด็กประถมมาเป็นนางเอก มึงจะได้ดูแมนขึ้นมาหน่อย”
ผมมองเห็นเสี้ยวหน้าไอ้เน็ตผ่านกระจกมองหลัง ปากส้มๆของมันยื่นออกและทำให้ผมคิดว่า แม่งน่าจูบ..
หืม??? น่าจูบ..????
ผมอาจจะเมานิดๆก็ได้“เออ เน็ต ว่าแต่
’มัน’ของมึงนี่ใครวะ กูไม่เห็นมึงจะมีท่าทีพิเศษกับคนไหนเลย”
ก่อนที่สมองจะเบลอเห็นผิดเป็นชอบไปมากกว่านี้ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วเบนสายตากลับมามองถนนยามค่ำคืนที่ยังคราคร่ำไปด้วยรถราแทน เน็ตมันหัวเราะเบาๆแล้วโคลงหัว
“ถ้าผมแสดงออกมาก็โดนจับได้ไปนานแล้วดิ ความลับน่ะเฮีย ต้องปิดให้เนียน เลี้ยวซ้ายตรงป้อมตำรวจนี่แหละครับ”
ไม่นาน รถก็เคลื่อนตัวมาจอดหน้าตึกสีฟ้าความสูงห้าชั้น ดูเหมือนจะมีแต่นักศึกษาอาศัยอยู่ สังเกตจากผ้าที่แขวนตามระเบียงแล้วมีทั้งเสื้อนิสิตชายหญิงตากกันเป็นแนว
“แล้วเฮียกลับไปนอนบ้านเหรอ?”
มือขาวๆเลื่อนไปปลดเบลท์ จากมุมที่ผมนั่งแล้ว ตอนที่เน็ตช้อนตาขึ้นมองสะท้อนแสงไฟทำให้ค้างไปชั่วขณะ มันเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่เหลือเค้าความหล่อเหลาบนส่วนไหนของเสี้ยวหน้าเลยสักนิด
น่ารักดี..
ผมคิดแบบนั้นตากลมตี่ของมันยังสบกับตาผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะเบือนไปมองตัวเลขเขียวๆของนาฬิกาดิจิตอลหน้ารถ ห้าทุ่มแล้วกว่าจะถึงบ้านก็คงราวๆเที่ยงคืนได้
“นอนที่หอได้นะ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า แวะซื้อแปรงสีฟันมินิมาร์ทใต้หอก่อนก็ได้ เสื้อผ้าก็มีในรถอยู่แล้วหนิ”ผมนิ่งไปสักพักแล้วลองคำนวณเวลาพักผ่อน สุดท้ายก็ต้องหันมาถามมันซ้ำว่านอนได้แน่หรือ?
“โอ๊ยเฮีย ไอ้พวกนั้นก็มานอนที่หอออกจะบ่อย” เน็ตยิ้มเอามือเกาจมูกตัวเอง สุดท้ายผมเลยหันไปคว้าเอาเสื้อผ้าที่พอจะใส่พรุ่งนี้ได้ที่ซุกๆอยู่ในรถติดมือออกมา
หอเน็ตอยู่ชั้นบนสุดเกือบมุม ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆมีโต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้าและเตียงที่เป็นบิวท์อิน ส่วนโต๊ะคอม ชั้นวางทีวีและตู้หนังสือที่จุไปด้วยเท็กซ์จนเต็มนั่นดูเป็นคนละเซ็ทกัน ผ้าปูเตียงสีเทาอ่อน ปลอกหมอนกับผ้านวมเป็นสีเทาเข้มม้วนๆกองรวมกันอยู่ที่ปลายเตียง
“ในตู้เย็นมีสเมอนอฟ ลิโพ นมกับแอปเปิ้ลนะเฮีย อยากกินอะไรก็หยิบเอาเลย ผมอาบน้ำก่อน”
มีไมโครเวฟอยู่บนหลังตู้เย็นกับจานสองสามใบ ส่วนใหญ่จะเป็นแก้วที่คงใส่เหล้ามากกว่าน้ำเปล่า ผมใช้สายตากวาดมองโดยรวมพลางคิดว่าห้องนี้มีขนาดพอดีสำหรับวัยรุ่นชายหนึ่งคน บนโต๊ะคอมมีชีทที่เขียนชื่อวิชาเอาไว้มุมสุด โดยใช้กรอบรูปอะคลิลิคตั้งโต๊ะวางทับไม่ให้กระดาษเอสี่นั่นปลิวไปไหน
รูปของมันห้าคนตั้งแต่สมัยมัธยม ไล่ตั้งแต่โชติ บอม เน็ต ปัน และโต๊ด
มันเป็นรูปธรรมดาๆ ที่ผมสะดุดตาตรงหัวเกรียนๆของเน็ตถูกมือของปันวางอยู่
พวกมันถ่ายรูปด้วยกันบ่อย ผมเคยเห็นในคอมไอ้บอมว่าตั้งไว้หลายโฟลเดอร์เลยทีเดียว แต่ทำไมเน็ตถึงเลือกรูปนี้มาใส่กรอบ? เพราะทุกคนหัวเราะ เพราะมันอยู่ตรงกลาง หรือ...
เพราะสัมผัสพิเศษ จากคนที่มันเหมือนพยายามคุยด้วยน้อยที่สุดกันแน่“เฮียไปอาบน้ำดิ”
เน็ตสวมเสื้อกล้ามตาห่านตัวบาง ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กคลุมไล่ลาดขณะที่สวมกางเกงบอลสีน้ำเงินเอาไว้
“ไอ้ปัน?”
ผมเผลอถามมันไปอีกแล้ว ไอ้เน็ตเอามือขึ้นเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ
“อยากรู้ทำไมนักวะเฮีย ไร้สาระน่า”
“ก็กูอยากรู้ว่าคนแบบไหนที่มึงชอบ...”
ไอ้เน็ตส่ายหัวหน่าย ยื้อกรอบรูปออกจากมือผมมาวางตั้งไว้ตรงที่เดิม
“เฮีย บางเรื่องเราก็เล่าไม่ได้จริงๆนะ อย่างเรื่องพี่ทรายนั่นไง ทีเฮียยังไม่บอกใครเลยว่าทำไมถึงเลิกกัน”
นั่นมันก็ใช่.. แต่ว่า... ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดี
“ถ้ากูเล่าให้มึงฟัง มึงจะบอกกูได้ไหมว่าไอ้’มัน’ของมึง นี่ใช่ไอ้ปันหรือเปล่า?”
“ไปอาบน้ำเฮีย ผมง่วงแล้ว”
มันไม่พูด...
หลอกล่อแค่ไหน ก็ปิดปากเงียบจนน่าโมโห
ผมใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำแปรงฟัน แต่พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็พบว่าร่างเล็กๆของเจ้าของห้องชิ่งหลับไปก่อนจะถูกผมคาดคั้นเสียแล้ว
แรงยวบบนเตียงทำให้คนที่กำลังฝันดีขมวดคิ้ว ผมเลื่อนไปปิดไฟโคมที่เน็ตเปิดทิ้งไว้ข้างหัวเตียงก่อนล้มตัวข้างๆมันในความมืด
แก้มมันนิ่ม..
ตอนที่ผมใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงเบาๆมันให้ความรู้สึกแบบนั้น ปากสีส้มแดงดูสุขภาพดีของเน็ตทำให้ผมตกใจเล็กน้อยตอนที่รู้ว่ามันสูบบุหรี่
เน็ตเป็นคนที่ใช้ชีวิตเหมือนผู้ชายวัยเดียวกันทั่วไป แทงสนุ๊ก เล่นบอล กินเหล้า สูบบุหรี่ หลีหญิง ไอ้ข้อสุดท้ายมันกำลังอยู่ในช่วงฝึกหัด พวกเพื่อนมันว่า
แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันต่าง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมยอมรับว่าสายตาตัวเองถูกไอ้แห้งนี่สะกดไปเต็มๆ มันโดดเด่นแต่พยายามทำตัวให้กลมกลืน เพื่อนๆแกล้งมันบ่อยแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะโกรธใครจริงๆ
‘เฮียเล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?’
วันที่มันเดินตามเสียงเปียโนในห้องโถงใหญ่ของบ้านเข้ามา เป็นวันที่ผมมองหน้ามันเต็มตาครั้งแรก
‘สอนหน่อยสิ โรแมนติกดีน่ะ อยากเล่นไว้จีบสาว’เหมือนเป็นความทรงจำที่ตกตะกอนลงไปก้นบึ้งแล้ว แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะสนิทกับเน็ตมากกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มของมันนัก อาจเป็นเพราะไม่ได้จงใจใส่ใจมองมันสักเท่าไร แต่ถึงแบบนั้น ผมก็ยอมรับว่าเก็บข้อมูลไอ้จ้อยตัวนี้มาตลอดเวลา
ผมเคยพูดกับบอมว่า'ณัฏฐนิช' เป็นชื่อที่เพราะ บอมบอกว่าพ่อไอ้เน็ตเป็นคนตั้งให้ก่อนตายวันไม่กี่วันหลังจากไอ้เน็ตคลอดด้วยโรคมะเร็ง แม่เป็นอาจารย์เปิดสอนทำขนมอยู่แถบฝั่งธน ส่วนพี่สาวที่ชื่อเนย ตอนนี้ก็เปลี่ยนจาก 'นันทยา สุขุม' ไปเป็น 'นันทยา ศิริดำรงสกุล' ตามลูกชายคนโตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพอากาศเมื่อปลายปีก่อนไปแล้ว
อยู่ๆ คำถามของน้องชายคนรองก็แล่นเข้ามาในหัวให้หัวใจผมกระตุกไหวอย่างประหลาด
‘ชอบไอ้เน็ต?’ อย่างนั้นหรือ?
ผมเลื่อนมือที่ไล้อยู่บริเวณปรางค์แก้มของมันขึ้นไปลูบผมเส้นใหญ่ ขยับตัวเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆมาจากลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอของคนในอ้อมแขน
ผมรักทรายแก้ว.. จนถึงตอนนี้ ก็ยังรักอยู่
ตั้งแต่วันที่โทรไปตัดความสัมพันธ์ หัวใจมันก็เหมือนแหว่งหาย แค่คิดว่าจะไม่ตื่นมาเจอเมจเสจหวานๆหรือโทรศัพท์คอยกำชับให้พักผ่อนมากๆในช่วงงานหนักแล้วก็พาลกินข้าวไม่อร่อยไปหลายวัน
แต่ผมก็แปลกใจ ที่ตัวเองกลับเปลี่ยนจุดโฟกัสจากผู้หญิงที่คบกันมาหลายปีได้เพียงเพราะ เจอไอ้ตัวเล็ก ในวันก่อน..
คนที่มันชอบ กลายเป็นสิ่งที่รบกวนใจผมจนหงุดหงิดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง จากที่ใช้ปลายนิ้วสัมผัส ปากมันก็ไม่ได้แข็งอะไรทำไมถึงพูดยากพูดเย็นเสียขนาดนั้น
จับแล้วนิ่มเพลินมือขนาดนี้ แล้วถ้า
จูบ.. จะรู้สึกยังไงนะ?
ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองถามซ้ำเป็นรอบสอง ภายใต้ความมืดมิดและห้วงนิทราที่ดิ่งสนิทของคนร่วมเตียง ผมขยับตัวเข้าหาแล้วโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตบนกลีบปากบางเบาๆ
แค่เฉี่ยวเท่านั้น แต่ใจกลับเต้นแรง
คุณว่าไหม? มันบ้าบอสิ้นดี!--------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 04
10/05/12