#Re2love •3
โป๊กๆๆ
ปังๆๆๆ
พุฒิละความสนใจจากต้นฉบับที่กำลังเร่งมือปั่นอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะผุดลุกไปขึ้นแล้วชะโงกหน้าจากหน้าต่างมองหาที่มาของเสียง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาดูเหมือนบ้านข้างๆ ซึ่งถูกทิ้งร้างไว้เกือบสองปีจะเปลี่ยนเจ้าของรายใหม่ ข่าวว่าเจ้าของคนใหม่สั่งให้ทุบตึกเก่าทิ้งแล้วสร้างใหม่เป็นโฮมออฟฟิศและทำสตูดิโอสำหรับภาพถ่ายด้วย จากการพูดคุยกับนายช่างซึ่งรับผิดชอบการก่อสร้างเลยรู้ว่าเจ้าของคนใหม่เป็นช่างภาพมืออาชีพ แต่พุฒิก็ไม่มีโอกาสได้เจอหน้าค่าตากันสักครั้งหรอก เห็นก็แต่วิศวกรและคนงานที่เข้าๆ ออกๆ มาตลอดหลายเดือน
เขานิ่งมองโฮมออฟฟิศสีขาวสะอาดตาซึ่งเกือบเสร็จสมบรูณ์เหลือก็แค่ติดตั้งมุ้งลวดและเหล็กดัดซึ่งคนงานกำลังขะมักเขม้นทำกันอยู่ตอนนี้ ก่อนจะละความสนใจไปในที่สุด ชายหนุ่มลากเท้าลงมาชั้นล่างเพื่อหาอะไรรองเท้าในยามบ่ายแก่ๆ ที่ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน เพราะคุณพรรณีกับส้มไปร้านคาเฟ่ขนมหวานนั่นกันตั้งแต่เช้า ส่วนเจ้าหมูพิกเล็ตเขาก็ไปส่งโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่โน่น
พุฒิมองไปรอบๆ บ้านอย่างรู้สึกเงียบเหงา ในคราแรกกะว่าจะหอบงานไปนั่งทำที่ร้าน แต่เขาก็ขี้เกียจเหลือเกิน สุดท้ายเลยปักหลักนั่งจมจ่ออยู่กันต้นฉบับที่ซึ่งรวบรวมสมาธิมาตั้งแต่เช้าแต่เขากลับเขียนไปได้เพียงสองสามบรรทัด นั่นอาจจะเป็นเพราะอารมณ์ช่วงนี้ของเขาที่มันยังมึนๆ อึนๆ ไม่เข้ารูปเข้ารอยสักที ก็ตั้งแต่บังเอิญเจอกับใครบางคนเมื่อหลายวันก่อนนั่นแหละ
พุฒิถอนหายใจขณะที่นั่งคลึงขอบแก้วกาแฟหอมฉุย ในความเงียบนั่นทำให้เขาปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปหวนนึกถึงภาพความทรงจำในครั้งอดีต ชายหนุ่มจำได้ดีตอนที่ตัวเองยังเป็นเพียงแค่นิสิตชั้นปีสี่คณะนิเทศศาสตร์ ในปีสุดท้ายก่อนจะจบการศึกษานั่นเขาได้เจอกับใครบางคน
‘โฬม’ คือน้องใหม่ปีหนึ่งแต่กลับมีบุคลิกโดดเด่น จะด้วยเพราะใบหน้าที่คมคายหรือรอยยิ้มที่กระชากวิญญาณนั่นก็ตาม เด็กนั่นเป็นที่นิยมชมชอบของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องในคณะ เรียกได้ว่าไม่มีไม่รู้จักน้องโฬมเดือนคณะปีหนึ่ง แม้ว่าระยะห่างระหว่างกันจะดูไกลเกินไปจนไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ พุฒิจำไม่ได้เหมือนกันว่าเราไปคุยถูกคอกันตอนไหน เรารู้สึกแปลกไปจากความเป็นพี่เป็นน้องตั้งแต่เมื่อไหร่ พุฒิจนปัญญาเมื่อนึกถึง เขารู้แต่ว่าเราตกลงคบกันตอนไปรับน้อง
พุฒิออกจากแปลกใจในตอนนั้นเพราะโฬมคือผู้ชายแท้ๆ เด็กนั่นไม่ได้แสดงออกถึงรสนิยมแนวนั้นเลย ตรงกันข้ามโฬมยังชื่นชมผู้หญิงและชื่นชอบในสิ่งที่พวกผู้ชายเขาทำกัน ตลอดเวลาหกเดือนที่เป็นแฟนกัน ไม่มีสักครั้งที่จะทะเลาะให้คลางแคลงใจ แต่ก็นั่นแหละโฬมคือเด็กหนุ่มเลือดร้อน ขณะที่เขากำลังจะเป็นบัณฑิต เขากำลังจะก้าวสู่สิชาชีพที่แท้จริง ในตอนนั้นพุฒแค่อยากมีช่วงชีวิตเหมือนผู้ชายทั่วไปอยากมีครอบครัว อยากมีลูก อาจจะเป็นช่องว่างระหว่างวัยทำให้ทัศนคติและแนวคิดเราไม่ตรงกัน
ชายหนุ่มยอมรับว่า เขาหวาดกลัวการถูกทิ้งถึงได้ตัดสินใจขอเลิกกับแฟนหนุ่มรุ่นน้อง โฬมในตอนนั้นรับฟังด้วยท่าทางสงบถึงแม้สีหน้าจะเจ็บปวด แต่ไม่ปริปากขอร้องหรืออ้อนวอนให้เขาเปลี่ยนใจ เด็กนั่นเข้มแข็งจนเขารู้สึกผิดไม่น้อย พุฒิคิดง่ายๆ ว่าเลิกกันแล้วคงจะเป็นพี่เป็นน้อง พูดคุยกันได้เหมือนก่อน แต่เขาคิดผิด โฬมหายไปจากชีวิตเขาแบบไม่หวนกลับมา พุฒิแทบช็อกเมื่อรู้ว่าอดีตคนรักตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนที่ยังไม่จบปีหนึ่งด้วยซ้ำ ก่อนจะหายสาบสูญไปโดยไม่มีหนทางไหนจะติดต่อกันได้เลย ระหว่างเราเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างตกตะกอนขุ่นอยู่ในใจ
พุฒิรู้สึกผิดลึกๆ ในใจมาตลอด เขาภาวนาว่าอยากพบเจอ อยากพูดคุยและขอโทษเด็กหนุ่มนั่นอีกสักครั้ง แล้วความปรารถนาของเขาที่รอคอยมานานก็เพิ่งมาสัมฤทธิ์เมื่อหลายวันก่อน เพียงครั้งแรกที่ได้สบตากันในรอบเกือบยี่สิบปี พุฒิบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร ทั้งตื้นตันและอิ่มเอมบอกไม่ถูก พุฒิอยากถาม อยากคุยว่าหลายปีที่ผ่านมาอดีตคนรักหายไปไหน แต่ก็จนใจเพราะการพบเจอกันในวันนั้นดูจะมีเพียงแต่เขาฝ่ายเดียวที่มีความยินดี
โฬมในวัยสามสิบกว่าปีแตกต่างจากตอนเป็นเด็กปีหนึ่งอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าเนียนใสในครั้งอดีตกลับคมเข้มและมีร่องรอยตามกาลเวลา ถึงอย่างนั้นกลับดูคมคายเป็นผู้ใหญ่จนเผลอมอง หลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไป ไม่อาจลบเลือนบุคลิกที่เข้มแข็งและดูองอาจของโฬมได้เลย
นั่นทำให้พุฒิรู้ว่าถึงจะมีบางสิ่งบางอย่างที่
‘เหมือนเดิม’ แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรที่
‘เหมือนเดิม’ รวมถึง
‘โฬม’
‘พี่พุฒิ’
‘พี่ดีใจที่ได้เจอ’
‘อือ’ แค่
‘อือ’ แล้วร่างสูงใหญ่นั่นก็เดินจากไปไม่ทันที่พุฒิจะได้เอ่ยคำใดๆ ต่อ แผ่นหลังกว้างใหญ่นั่นหันหลังให้เขาโดยไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมา
จุก!
พุฒิยอมรับว่าจุกไม่น้อย แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากยอมรับมัน ชายหนุ่มโคลงศีรษะกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง
“เฮ้อ คิดอะไรฟุ้งซ่านเป็นตาแก่เลยกู”
“......”
พุฒิยิ้มให้กับอากาศ
“คนเขาไม่อยากคุยด้วยนี่หว่า จะนอยด์แดกทำไมวะ ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุยสิวะ” ยิ่งพูดเหมือนยิ่งได้ระบาย ถึงแม้จะเป็นการพูดคนเดียวที่ไม่มีใครฟัง
พุฒินั่งห่อเหี่ยวทำปากแบะเหมือนลูกชายแล้วขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ ทีหนึ่ง
“ไม่อยากคุยอะไรล่ะ โคตรอยากคุยกับเขาเลยห่าเอ้ย”
..Rrrr..
“ทาถู ทาถู”
“เฮ้ย”
พุฒิสะดุ้งกับเสียงโทรศัพท์เลยเผลอยกมือปัดแก้วกาแฟจนหกเรี่ยราด
“ตาเถรยายชี”
ชายหนุ่มอ้าปากค้างมองผลงานของตัวเองที่หกเละโต๊ะอาหารและย้อยลงสู่พื้น คงจะเป็นคราบเหนียวในไม่ช้าหากยังไม่รีบทำความสะอาด
“ทาถู ทาถู”
พุฒิหายใจเฮือกๆ โทรศัพท์ก็ต้องรับ โต๊ะกับพื้นที่เปื้อนก็ต้องทำความสะอาด
“โว้ย”
สุดท้ายเขาตัดสินใจรับสายก่อน
“เออ”
[โอ้ย ไอ้ห่าพุฒิกว่าจะรับได้]
“ว่าธุระมึงมาไอ้มน”
พุฒิส่ายหัวให้กับปลายสายขณะเดียวกันก็สอดส่ายสายตาหาผ้ามาเช็ดโต๊ะ
[วันนี้วันเกิดเมียกู]
วันเกิดเมียมันแล้วโทรมาหาพระแสงอะไรวะไอ้บ้านี่ พุฒิส่ายหัวอีกรอบแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะรู้นิสัยเพื่อนสนิทคนนี้ดี มนชัยหรือ “ไอ้มน” เพื่อนซี้ที่รู้จักกันกว่าค่อนชีวิตซึ่งเป็นคนเดียวกับเจ้าของสตูดิโอสอนวาดรูปบริเวณเดียวกับร้านคาเฟ่ขนมหวานนั่นแหละ
“แล้วไงวะ”
[ช่วยกูเลือกของขวัญวันเกิดให้ที กูหมดมุกแล้ว]
“สร้อยเพชร”
[เขาไม่ชอบเครื่องประดับมึงก็รู้]
“งั้นกระเป๋าแบรนด์สักใบ”
[เมียกูไม่ชอบใช้ของแพง]
โอ้ย! พุฒิแทบจะทึ้งหัวตัวเอง
“งั้นดอกไม้สักช่อก็พอแล้วงั้นน่ะ”
[เออว่ะ!]
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูวางนะ”
[เดี๋ยวสิวะพุฒิ ทำไมเสียงมึงแปลกๆ ว่ะอู้อี้เหมือนไม่สบายเลย]
“เปล่า”
[แน่ใจเหรอวะพุฒิเสียงมึงดูหงอยๆ นะ]
ไอ้ห่านี่ก็เสือกหูทิพย์ไปอีก เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“อือ”
[อือ? คืออะไรวะ?]
“อือมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”
[เรื่อง?]
พุฒิกรอกตาไปมาเพราะขืนยังเบี่ยงประเด็นอยู่แบบนี้ไม่นานต้องถูกไอ้เพื่อนตัวดีนี่ซักฟอกอยู่แล้ว ก็รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เมียของมันหรือแม่ของลูกมันในปัจจุบันเขาก็เป็นคนช่วยจีบ ไส้กี่ขดๆ ย่อมเห็นกันหมด ถึงไม่บอก มันก็คงหาวิธีง้างปากเขาอยู่ดี สู้บอกๆ ไปก็จบ เฮ้อ!
“หลายวันก่อนกูบังเอิญเจอโฬมว่ะ”
[ห่ะ! มึงว่าไงนะ]
ปลายสายตะโกนเสียงดังลั่นจนต้องยกหูหนี น้ำเสียงมันดูตื่นเต้นไม่น้อย คาดเดาว่าตอนนี้สีหน้ามันคงจะไม่ต่างจากน้ำเสียงนั่นเท่าไหร่
[มึงเจอน้องเขาจริงๆ เหรอวะ]
“อือ”
พุฒิพึมพำนึกถึงคนในหัวข้อสนทนาที่เจอกันมาได้เกือบสัปดาห์แล้ว แต่เขาก็ยังจำภาพวันนั้นได้อย่างแม่นยำ
[เกือบจะยี่สิบอยู่แล้วนะโว้ย โคตรนานอ่ะ แล้วเป็นไงบ้างวะ โฬมเปลี่ยนไปมากหรือเปล่า แล้วน้องเขาหายไปไหนมาวะ]
“ไม่รู้”
[หมายความว่ายังไงไม่รู้]
“กูไม่ได้คุยกับเขา” พุฒิถอนหายใจ “ยังไม่ทันได้คุย เขาก็เดินหนีกูไปเลย”
[อ้าว!]
“......”
[อย่าบอกนะว่าน้องมันยังโกรธมึงอยู่น่ะ เรื่องมันนานนมแล้วนะโว้ย]
ชายหนุ่มแค่นยิ้มหูฟังเสียงจากปลายสายเงียบๆ ไม่แปลกหรอกที่มนชัยซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเขากับโฬมเคยมีอดีตร่วมกัน หลังจากเห็นเขาเงียบไป มันเลยเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่สักพักก่อนจะลงท้ายจบประโยคที่ว่า
[เลิกโทษตัวเองซะทีเถอะพุฒิ เรื่องมันผ่านมาแล้ว มึงควรจะเดินหน้าสักที]
กูก็อยากเดินหน้าว่ะมน..แต่กูรู้สึกเหมือนกูยังติดค้างมันอยู่!
★ ☆★ ☆★ ☆
“Shut Up”
“......”
“Fuck!”
สิ้นเสียงสบถอย่างเผ็ดร้อนจากริมฝีปากหนาของเจ้าของใบหน้าคมคายที่ผรุสวาทเสียงดังลั่นนั่นทำให้คนสองสามคนที่ขะมักเขม้นจัดตกแต่งสตูดิโอถ่ายภาพถึงกับลอบสบตากับปริบๆ เสียงลมหายใจที่พ่นออกมาแรงๆ บ่งบอกว่าเจ้าของคำสบถอันแสบทรวงนั่นอยู่ในอารมณ์ไม่ปกติพร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา
ดวงตาสีดำสนิทแข็งเกร็งทำเอากล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงเครียดไปหมด บวกกับเคราตามสันกรามและเหนือริมฝีปากยิ่งส่งเสริมให้คนตรงหน้าดูดุจนน่ากลัว แต่ถึงจะทำท่าทำทางโกรธเหมือนจะกินหัวใครที่แหยมเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็ยังอุตส่าห์มีหน่วยกล้าตายสองสามคนนั่นเอ่ยปากพูดขึ้น
“อะไรกันพี่จะฟัคกันตั้งแต่กลางวันเลยเรอะ”
“.....”
คนถูกแซวแสยะยิ้มมุมปาก ยิ้มเครียดๆ ให้จนที่เหลือรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
“แหะๆ ผมแซวเล่นพี่ ใจเย็นนะ อย่าเพิ่งมองเหมือนจะกินหัวพวกผมแบบนั้น”
ผัวะ!
“หัวมึงคนเดียวไอ้สัดเก่ง”
ใครคนหนึ่งตบหัวไอ้คนกล้าตาย
“อะไรวะทีเมื่อกี้สะกิดกูยิกๆ ให้ช่วยพูด”
“กูสะกิดให้มึงช่วยพูดให้พี่โฬมอารมณ์ดีขึ้นไม่ใช่ให้แซวไอ้สัด”
“ก็มึง...”
“พอ!”
เสียงตวาดด้วยคำๆ เดียวแต่เฉียบขาดทำเอาที่เหลือหัวหดกลืนน้ำลายเอื๊อก เจ้าของเสียงสบถแสบร้อนสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ
“โทษทีวันนี้กูอารมณ์ไม่ดี”
“ไม่เป็นไรพี่ แหะๆ”
คนตอบชื่อ
“เก่ง” ซึ่งกล้าลองดีเอ่ยปากแซวเขา
“พี่เป็นอะไรอ่ะ ผมเห็นพี่หงุดหงิดมาหลายวันแล้ว”
ไอ้คนถามนี่ชื่อ
“ทิว” ที่เพิ่งตอบปากต่อคำกับไอ้เก่งก่อนหน้านี้ ส่วนคนสุดท้ายที่นั่งเงียบๆ รอฟังอย่างสงบเสงี่ยมตามนิสัยชอบอยู่อย่างสงบคือ
“ป๋อง” “กูมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”
“พี่มีอะไรอยากให้พวกผมช่วยก็บอกนะพี่โฬม พวกผมยินดี”
โฬมพยักหน้ารับรู้เพราะมองเห็นถึงความหวังดีของพวกมัน ไอ้สามคนนี้เป็นรุ่นน้องที่สนิทซึ่งทำงานกับเขามานานตั้งแต่อยู่ที่ทำงานเก่า จนกระทั่งเขาตัดสินใจลาออกหันมาเปิดสตูดิโอถ่ายภาพเป็นของตัวเอง เขากับพวกมันใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากกว่าคนในครอบครัว เพราะทั้งเคยกินเคยนอน เคยอดมาด้วยกัน ผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาด้วยกันจนนับถือเป็นพี่เป็นน้องที่สนิท
“ขอบใจพวกมึงมาก ขอโทษอีกทีที่กูอารมณ์เสียใส่พวกมึง”
“ไม่เป็นพี่”
“ว่าแต่เมื่อกี้พี่ฟัคใส่ใครวะ”
ไอ้เก่งพูดจาสองแง่สามง่ามทะลึ่งตึงตังตามสไตล์มัน โฬมหรี่ตามองพวกมันที่พากันผิวปากส่งเสียงแซว ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ตะลึงเป็นหมาหงอยกัน
“Fuck you มั้งไอ้สัด”
“เชี่ย”
พวกมันแกล้งทำตาโตแล้วยกมือจับตูดกันพัลวัน
“เสียววาบที่ตูดเลย”
“ไอ้พวกห่านี่”
“อุ้ยพี่โฬมอย่าทำหนู”
ไอ้ทิวแกล้งสะดีดสะดุ้งเป็นภาพที่อุจาดตาชวนสยอง โฬมเลยชูนิ้วกลางใส่พวกมัน ก่อนจะส่ายหน้าเดินออกมาทันได้ยินเสียงโห่แซวตามมาไม่ขาดสาย ชายหนุ่มเจ้าอารมณ์ส่ายหน้าให้กับไอ้พวกนั้นแล้วเดินออกมาด้านนอกอาคาร
โฬมมาหยุดอยู่ที่สวนสไตล์อังกฤษที่เจ้าตัวชื่นชอบเป็นพิเศษ เขาพยายามสูดลมหายใจเขาลึกๆ แล้วพยายามตั้งสติกับอารมณ์โกรธที่ยังปะทุอยู่ภายใน ชายหนุ่มยอมรับว่าตัวเป็นคนอารมณ์ร้อนและพร้อมจะระเบิดอยู่ตลอดเวลาหากเรื่องนั้นมันไม่ถูกใจนัก พอๆ กับที่เขาเป็นคนที่ไม่เคยหวนหาอดีตและสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อย่างเช่นการกลับไปคุยกับ
“แฟนเก่า” คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
เขานึกถึงสายโทรศัพท์ก่อนหน้านี้จากอดีตแฟนสาวนางแบบที่จบความสัมพันธ์กันไปเกือบปีแล้วเพราะเธอมีคนอื่น แต่สงสัยว่าความสัมพันธ์กับคนใหม่จะไปไม่รอดถึงได้วนเวียนกลับมาหาเขาอีก น่าหงุดหงิดใจชะมัดยาด นิ้วเรียวยาวล้วงเขาไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอามวนบุหรี่ในซองออกมาก่อนจะจุดไฟแช็ค ไม่นานควันสีเทาก็ลอยเอื่อยๆ วนไปมา
โฬมอัดสารนิโคตินเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาทางลมหายใจ เขาปล่อยความคิดให้หลุดลอยไปพร้อมควันสีเทานั่นไม่นานจิตใจที่ร้อนรุ่มก็พลันสงบลง ขณะที่กำลังมองไปรอบๆ ตัว สายตาคมปลาบก็เหลือบเห็นก้อนอะไรสักอย่างขยับยุกยิกอยู่แถวรั้วไม้สีขาวข้างบ้าน โฬมลอบสังเกตก้อนนั่นๆ อยู่ไม่นาน เจ้าก้อนกลมซึ่งอยู่ในเสื้อนักเรียนอนุบาล กางเกงสีแดงก็มุดผ่านรั้วเข้ามาแล้ววิ่งปร๋อไปลูบๆ คำๆ รูปปั้นวีนัสกลางสวนอังกฤษ
ร่างสูงยืนนิ่งพิจารณาเด็กน้อยร่างกลมป้อมกำลังทำตาโตจ้องมองรูปปั้นนั่นด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย แต่เพราะลำตัวที่สั้นป้อมไม่ว่าจะกระโดดอีกสักกี่ครั้งก็แตะได้แค่ตัวฐานไม่ถึงลำตัววีนัสสักที เห็นแล้วนึกขำจนโฬมอดใจไม่ไหวทิ้งบุหรี่ที่สูบอยู่ลงพื้นแล้วขยี้ให้ดับ ก่อนจะสาวเท้าตรงไปรวบจะตัวกลมนั่นขึ้นสูงจนเสมอกับรูปปั้นวีนัส
“อ๊ะ”
“จับได้แล้วหัวขโมยตัวน้อย”
“หนูไม่ใช่ขโมย”
เด็กแก้มกลมเป็นซาลาเปาไม่มีท่าทีว่าจะกลัวเขาสักนิด ร่างกลมป้อมดิ้นยุกยิกไปมาให้หลุดจากฝ่ามือเขาที่ประคองอยู่
“ดิ้นมากๆ ระวังตกลงมาพุงยุบนะเจ้าหมูน้อย”
“หนูไม่ได้มีพุงสักหน่อย”
“แล้วนี่อะไร”
โฬมแกล้งบีบพุงที่ยื่นออก
“ปล่อย ฮือ ปล่อยหนูลง”
“สารภาพมาก่อนว่ามาแอบเข้ามาได้ยังไง”
ดวงตาใสแจ๋วจ้องตอบเขาแล้วสะบัดหน้าเบือนหนีไปทางอื่น ท่าทางน่าจับตีเสียจริง
“หนูไม่ใช่ขโมย ปล่อยหนูลง”
เด็กน้อยทำหน้าเหยเกน่าสงสาร เขาเลยปล่อยลงกับพื้นแต่ยังจับกุมเอาไว้ไม่ให้หนี
“ฮึก”
ใบหน้ากลมมีน้ำตาไหลแหมะๆ จนเขาถึงกับตกใจ
“เฮ้ยเดี๋ยวอย่าเพิ่งร้องนะ บอกมาก่อนเลยว่าเราแอบเข้าบ้านฉันมาทำไม”
“ไม่ได้แอบซะหน่อย”
“แต่ลอดรั้วมาใช่มั้ย?”
“ก็ประตูหน้ามันเข้าไม่ได้นี่ฮะ”
โฬมอ้าปากค้างมองใบหน้าจิ้มลิ้มต่อปากต่อคำแล้วถึงกับไปไม่เป็น ช่างเจรจาจนน่าจับตีก้นสักที
“แล้วเข้ามาทำไม?”
เด็กน้อยก้มหน้างุดๆ ไม่สบตา ท่าทางลุกรี้ลุกรนเหมือนหาทางรอด
“โอ๊ะ หนูตัวเท่าอวกาศเลย”
โฬมแสยะยิ้มไม่ได้หันไปตามปลายนิ้วที่ชี้บอก เล่นเอาเด็กฉลาดเกินวัยทำหน้ายู่
“อย่ามาเบี่ยงเบนความสนใจซะให้ยาก บอกมาว่าเข้ามาในบ้านฉันทำไม”
“ฮือ”
“เจ้าหมูน้อย”
“ห้ามเรียกพิกเล็ตว่าหมูนะ พ่อจ๋ากับย่าจ๋าเรียกได้คนเดียว”
คนเดียวอะไรเล่า นั่นก็เรียกได้ตั้งสองคนแล้ว โฬมส่ายหน้าไปมา
“หมูน้อย”
“ไม่ใช่หมูน้อย”
“หมู”
พูดไม่พอยังแกล้งบีบพุงจนเจ้าตัวดิ้นเร่า แล้วร้องวี๊ดๆ ดังลั่น แน่นอนว่าเสียงนั่นดังพอให้ผู้ปกครองที่กำลังตามหาลูกชายจอมซนวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล
“พิกเล็ต!”
พุฒิใจหายวาบเมื่อเห็นเจ้าตัวแสบไปโผล่อยู่ในบ้านข้างๆ กัน ซ้ำยังดูเหมือนว่าเจ้าของใหม่นั่นจะจับได้ว่าเจ้าหมูแอบเข้าไปบ้านเขา
“พ่อจ๋า”
พิกเล็ตพอได้ยินเสียงพ่อก็แกล้งบีบน้ำตา ก่อนจะกระโดดชูมือไปข้างหน้าหมายจะให้พ่อมาช่วยแต่ติดว่ามือหนาของเจ้าบ้านล็อกไว้อยู่
“ปล่อยหนู”
“ตัวขนาดนี้ไม่หนูแล้วมั้ง”
พุฒิสะดุดใจกับเสียงนั่น ชายหนุ่มค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปใกล้พอดีกับที่เจ้าของบ้านหลังนั้นอุ้มเจ้าหมูแล้วผุดลุกขึ้น ปลายเท้าเขาชะงักกึกเมื่อเห็นภาพใบหน้าเพื่อนบ้านชัดๆ
ใบหน้าคมคายเจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทชวนสั่นไหว
ไม่ผิดแน่!
“โฬม” คนถูกเรียกชื่อหันขวับไปประสานตากับอีกฝ่าย
นิ่งและนาน!
โฬมชะงักกึกก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเสียยืดยาว ทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกันได้ขนาดนี้ อุตส่าห์ถอยห่างมาไกลสักแค่ไหน สุดท้ายก็ถูกดึงให้มาพบเจอกันอีกแล้ว
“ฮึก พ่อจ๋า”
เจ้าพิกเล็ตยื่นมือมา ใบหน้าน้อยๆ ยู่ย่นหยาดน้ำตาใสๆ ไหลนองชวนสงสาร
“พิกเล็กหนูไปทำอะไรที่นั่นลูก”
“แอบเข้ามาในบ้านผม”
คนตอบคือเจ้าใบหน้านิ่งที่อุ้มพิกเล็ตไว้ในอ้อมแขน
“เอ่อ บ้านโฬม?”
พุฒิหัวใจเต้นถี่มองร่างสูงใหญ่สลับกับโฮมออฟฟิศเบื้องหลังจนเจ้าของบ้านต้องพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“พี่ขอโทษที่ลูกเอ่อ..”
“ลูกพี่?”
ใบหน้าคมคายมุ่นหัวคิ้วถาม
“นั่นพิกเล็ตลูกชายพี่เอง”
“อ๋อ”
โฬมไม่พูดอะไรแต่ก้มหน้าลงมาสำรวจเจ้าตัวกลมในอ้อมแขน เจ้าหมูตัวขาวผ่องนี่มีทั้งใบหน้าคิ้วคางทุกอย่างได้บิดามาอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย ช่างเป็นร่างจำลองของพุฒิได้อย่างไม่มีที่ติ ร่างสูงถอนหายใจมองเจ้าหนูที่บีบน้ำตาจนหยาดน้ำใสๆ ที่เกลือกกลิ้งอยู่ร่องตาค่อยๆ ไหลอาบแก้มกลม จมูกลิ้มลิ้มแดงก่ำ ใบหน้ายู่ย่นคล้ายกับไม่สบอารมณ์เต็มที
“เอ่อโฬม”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวๆ เหลือบตามองอดีตคนเคยรักใยวัยเกือบสี่สิบปีแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง รูปร่างสันทัดไม่ถึงกับขาวซีดรอยยิ้มแหยๆ ภาพทุกอย่างเบื้องหน้ายังชัดเจนเหมือนหลายสิบปีก่อนไม่มีผิด
“พ่อจ๋า”
พิกเล็ตเสียงสั่นยื่นมือไปหาพ่อจนพุฒิใจเสียทั้งกลัวลูกจะโยเย ทั้งกลัวว่าคนตรงหน้าจนโกรธจนเป็นเรื่องใหญ่
“โฬมพี่ขอโทษด้วยที่พิกเล็ตแอบเข้าไปในบ้านนาย”
โฬมไม่ได้สนใจฟังคนตรงหน้า แต่เข้าก้มลงไปกระซิบเจ้าตัวดื้อในอ้อมแขน “คนที่ผิดคือนี้ รู้ตัวว่าผิดต้องทำยังไงล่ะเรา”
“ฮึก”
ปากน้อยๆ บิดเบี้ยว
“หนูขอโทษฮะ”
พูดไม่พอยังอุตส่าห์ยกมืออวบอ้วนสองข้างขึ้นมาประนมแล้วก้มศีรษะลงต่ำ ดูๆ ไปก็น่าเอ็นดูไม่หยอก ถ้าตัดนิสัยดื้อตาใสนี่ออกไปได้
“คราวหลังถ้าจะเข้ามาดูวีนัสให้กดกริ่งแล้วขอเข้าทางหน้าประตู ห้ามลอดรั้วเข้ามาอีกมันอันตราย”
“ฮะ”
พิกเล็ตทำปากยื่น ก่อนจะยกมือไหวๆ เมื่อโฬมอุ้มเจ้าหนูข้ามรั้วไปให้บิดาที่ยืนมือรอท่ารับอยู่ พุฒิอุ้มลูกไว้แนบอกไม่ต่างจากเจ้าหมูที่กอดคอพ่อเสียแน่น ใบหน้ากลมแนบไปกับซอกคอแล้วมือน้อยๆ ก็กอดหมับที่คอพุฒิไม่ยอมปล่อย เขาเลยตบก้นเจ้าหมูเบาๆ เป็นการปลอบประโลม
“เอ่อ”
โฬมชะงักปลายเท้าที่กำลังจะก้าวถอยหลังไป เมื่อเจ้าของบ้านข้างๆ ยังอยู่ที่เดิมซ้ำยังทำเสียงเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง ใบหน้าคมคายเลยหันกลับมามองก่อนจะขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม
“ยินดีที่ได้เป็นเพื่อนบ้านกันนะ” พุฒิทำหน้ายิ้มสู้เสือ
.
.
“แต่ผมไม่ยินดีเท่าไหร่”
เพล้ง!
พุฒิอ้าปากพะงาบๆ รู้สึกเหมือนคนหน้าร้าว เมื่อเจ้าของบ้านข้างเคียงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ยินดีตามที่พูดเลยสักนิด จังหวะที่คนตัวโตนั่นกำลังจะเดินเข้าบ้าน พุฒิเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ใส่แว่นตาดำปกปิดใบหน้าโผล่ออกจากตัวรถที่จอดอยู่หน้าโฮมออฟฟิศแล้วโผเข้ากอดโฬมด้วยท่าทางสนิทสนม พ่อลูกหนึ่งถึงกับตาโต
“เหอะ! ทีเราบอกไม่ยินดีเท่าไหร่ ที่ผู้หญิงมาหาหน้านี่หน้าบานเชียว”
พุฒิย่นจมูกใส่แผ่นกว้างก่อนวางเจ้าหมูลงพื้นแล้วจูงเข้าบ้าน พิกเก็ตทำหน้างงๆ กับอาการของบิดา ‘พ่อจ๋าเป็นอะไรหว่า ทำไมทำหน้ายู่จัง’
★ ☆★ ☆★ ☆
เป็นเพื่อนบ้านกันไปอี๊กกกก ฮือ นุ้งหมูพิกเล็ตกับรูปปั้นวีนัสของน้อง
หวีดในทวิตติด #Re2love ด้วยนะจ๊ะ