Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」
Follow up ครั้งที่ 3
---OMIN---
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผมจะทำให้ไอ้ศรหึงได้
ไม่ใช่เพราะมันไม่ขี้หึง แต่เพราะตัวผมเองที่ไม่เคยไม่ชัดเจน…
เคยคิดอยู่หลายครั้งว่าจะแกล้งยั่วให้มันหึงบ้าง แต่เพราะผมไม่ใช่คนแบบมันที่พื้นเดิมเป็นคนอัธยาศัยดีอยู่แล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ใครใกล้ชิดนอกจากเพื่อนสนิท เพราะฉะนั้น ถ้าผมเผลอ ‘เล่น’ กับใครสักคนขึ้นมา อาจจะกลายเป็นการให้ความหวัง สุดท้ายก็คงไม่แคล้วสลัดให้หลุดยากกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้ชีวิตคู่ของผมได้ ปล่อยให้ผมหึงมันอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ก็คงจะดีที่สุดแล้ว
แต่ไม่ใช่ให้กูหึงทุกชั่วโมงแบบนี้โว้ยยยยยย!!
ข้อความไลน์ล่าสุดจากไอ้ศรทำผมหัวร้อน (อีกแล้ว) ไอ้คุณชายมันบอกว่าเย็นนี้พี่รหัสมันนัดเลี้ยงสาย และยังหวังดีบอกให้ผมไม่ต้องรอกินข้าวเย็นด้วย
ที่ผมหัวร้อนไม่ใช่เพราะมันจะทิ้งให้ผมเหงาหงอยกับมื้อเย็นอีกวัน แต่เพราะไอ้พี่รหัสตัวดีของมันเนี่ยแหละครับ ไอ้หมอนั่นมันเป็นเกย์รับ แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นเกย์ตั้งแต่แรกแต่ผมก็มองออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
มันหวังเครมน้องรหัสตัวเอง ซึ่งก็คงเฝ้าของมันมาสามปีแล้ว
แต่โทษที กูรู้จักมันสามเดือนก็ได้แดกแล้วว่ะ
เรียนไปก็หงุดหงิดไป แต่ก็ยังนับว่ารู้เรื่องอยู่บ้าง ถ้าไม่ได้ไอ้เต๋าช่วยเตือนสติ ผมคงฟุบหลับหนีความคิดบ้า ๆ ตามไอ้โจไปแล้ว รายนั้นไม่ค่อยเรียนวิชาบรรยายแบบนี้หรอกครับ มันหลับหมดแหละ จบคาบเช้าพวกเราก็พักกลางวันกันใกล้ ๆ มีเวลาไม่มากพอให้ถ่อไปถึงคณะวิศวะอย่างที่ใจอยากเพราะต้องรีบเข้าสตูดิโอ ชีวิตเด็กฟิล์มปีสามปลายเทอมสองก็จะมีงานล้นมือประมาณหนึ่ง แต่ไม่หนักเท่าแลปของไอ้ศรอยู่ดี
เบ็ดเสร็จผมออกจากคณะตอนหกโมงเย็น เลทจากตารางไปหนึ่งชั่วโมง ไอ้ศรส่งข้อความมาบอกตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วว่าไปกินอาหารกับสายรหัสที่หลังมอและอาจจะไปต่อที่ร้านเหล้ากับรุ่นพี่เพราะวันนี้นัดเลี้ยงกันหลายสาย มนุษย์กว้างขวางอย่างมันเลยเลี่ยงไม่ได้ ผมตอบรับมันด้วยสติ้กเกอร์โง่ ๆ ตัวหนึ่งแทนการรับทราบแล้วปิดท้ายว่า ‘ห้ามเมา’
“ไปกินข้าวกันมึง” ไอ้เต๋าชวน ส่วนอีกสองคนหายหัวไปกับสาวตั้งแต่เลิกคลาส
“อือ เอาดิ” ผมตอบรับมันเนือย ๆ
“ไปไหนดี” มันไม่ได้ถามความเห็นของผมหรอกครับว่าอยากกินอะไร คำถามของมันแปลได้ว่า ‘ไอ้ศรไปร้านไหน’ ต่างหาก เพราะมันรู้จักผมดี มันเลยคิดว่าผมจะต้องไปนั่งกินร้านเดียวกันเพื่อเฝ้าแฟน ผมบอกชื่อร้านไปก่อนบอกให้มันขับไปส่งผมเอารถที่จอดไว้ที่คณะวิศวะก่อนเพราะไม่อยากให้มันวกกลับเข้ามาส่งอีก
พวกผมสี่คนพักอยู่คอนโดคนละที่แต่ก็ยังอยู่ใกล้รั้วมหาวิทยาลัย ไม่มีใครคิดจะอยู่ตึกเดียวกันทั้งที่สนิทกันมาก พวกมันต้องการความเป็นส่วนตัวในการเหลวไหล จะหิ้วสาวเข้าห้องก็ไม่ต้องระแวงว่าจะเจอสายตาเพื่อนให้สูญเสียความมั่นใจ อันนี้ความเห็นของไอ้โจ
“ไหนมันวะ” ไอ้เต๋าถามขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน ท่าทางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังทำให้ผมขำ
“มันอยู่หลังมอโน้น”
“อ้าว” ไอ้เต๋าหน้าเหวอ เพราะผมพามันมาร้านข้างมอ
“วันนี้มาแปลก ไม่ตามเหรอวะ”
“เบื่อ”
“เบื่อเมีย?”
“เบื่อมึงเนี่ย เสือกจังเลย”
“อ้าวไอ้ห่า”
เบื่อครับ เบื่อจริง ๆ คดีเก่าแม่งยังไม่เคลียร์เลย มันยังขยันสร้างคดีใหม่อีก แต่ผมไม่ได้เบื่อมันนะ หลงมันขนาดนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปเบื่อ ผมก็แค่อยากเว้นระยะห่างบ้าง อย่างน้อยช่วงกินข้าวก็ปล่อยให้มันได้มีอิสระกับสายรหัสเพราะอย่างไรเสียก็อยู่กันหลายคน ไว้มันไปกับพี่รหัสมันสองต่อสองเมื่อไหร่ ผมตามไปแน่ไม่ต้องห่วง
“แล้วคืนนี้จะไปไหม” ไอ้เต๋าถามหลังจากที่เราสั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว
“ยังไม่ได้คิด”
“ยังต้องคิดอีกเหรอมึงอ่ะ”
ก็จริงของไอ้เต๋า
ไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะพบว่าตัวเองมาอยู่ในร้านเหล้าในวันที่ไอ้ศรมากับคนอื่นได้
วันนี้มันมาร้านเหล้าจริง ๆ ครับ ไม่ใช่ผับไม่ใช่บาร์ เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียว ๆ กับกับแกล้มเบา ๆ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องเป็นสนามมวยของเด็กเกษตรฯกับวิศวะซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าพวกแม่งจะมีเรื่องบาดหมางอะไรกันนักหนา ได้แต่หวังว่าวันนี้คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคนของผม
ความจริงมาที่แบบนี้ก็ดีไปอย่างตรงที่ไม่ค่อยมีผู้หญิง ส่วนใหญ่ก็พวกผู้ชายมาดูบอลกันมากกว่า ผมเลยไม่ค่อยห่วงว่ามันจะมาทำกรุ้มกริ่มใส่ผู้หญิงคนไหน
ไอ้ศรกับรุ่นพี่มันนั่งอยู่ในร้าน ผมเลยนั่งนอกร้านในส่วนของโอเพ่นแอร์ที่ไม่มีแม้แต่หลังคากั้น ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมไลน์ไปถามว่ามันอยู่ร้านไหน มันเองก็น่ารัก ยอมบอกผมตามตรงไม่มีอิดออด
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเบียร์ผมหมดไปสองขวด ผมมองไปที่กลุ่มมันบ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ถ้าหันไปแล้วเห็นว่าคุยกับพี่รหัสมันอยู่ผมจะทักไลน์ไปชวนมันคุย แฟนผมมันก็น่ารัก รู้ว่าถูกกูแกล้งแต่ก็ยังตอบกลับมาไม่มีละเลย แม้บางครั้งจะส่งแค่สติ้กเกอร์โมโหมาให้ก็ตามที แต่ผมเห็น หน้ามันไม่ได้โมโหตามสติ้กเกอร์เลยสักนิด
ในโต๊ะนั้นมีแต่คนที่ผมไม่รู้จัก เดาเอาว่าน่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนพี่รหัสมันและเพื่อนรุ่นมันในสายกลุ่มนั้น พี่รหัสไอ้ศรชื่อนิก เป็นผู้ชายผอมบางผิวขาวจนเกือบซีด ตัวเล็กพอกันกับไอ้ฟา แต่หน้าสวยผิวสวย ไม่ได้หน้าสวยแบบผู้หญิง แต่โครงหน้าสวยกว่าชายวัยกลัดมันทั่วไป ตั้งแต่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ไอ้รุ่นพี่นั่นก็ยังไม่ขยับออกห่างจากคนของผมเลยสักนิด คุยจ้ออยู่แต่กับมันเหมือนว่าทั้งโต๊ะนั้นไม่รู้จักใคร อยากจะลุกเดินเข้าไปแทรกกลางอย่างเสียมารยาทแต่ก็รู้ว่าขอบเขตตัวเองทำได้แค่ไหน ไอ้ศรไม่เคยห้ามที่ผมตามหึงหวง ตามเฝ้ามันในทุก ๆ ที่ มันรับรู้แต่ก็คงไม่ชอบให้ผมเข้าไปก้าวก่าย ผมเองก็ไม่อยากทำถึงขั้นนั้น กลัวมันจะรำคาญ ไม่อยากทะเลาะด้วย ทะเลาะแล้วไม่มีความสุข ไม่สนุกเลยสักนิด
จะว่าไปคดีเก่าก็ยังไม่เคลียร์เลยนี่หว่า
คิดได้ผมก็ทักไอ้เต๋าไปทันที ไอ้เหี้ยนี่มันหาข้อมูลเก่ง ครั้งก่อนที่ผมจะจีบไอ้ศรก็ได้มันเนี่ยแหละช่วยสืบเรื่องศรมาให้ รอไม่นานมันก็ตอบกลับมา นั่นหมายความว่ามันใกล้จะเข้านอนแล้ว เพราะปกติไอ้เต๋าเป็นคนไม่ติดโทรศัพท์ ถ้ากลับเข้าคอนโดแล้วมันจะปล่อยทิ้งขว้างแล้วจะเช็คทุกอย่างแค่ช่วงก่อนนอนเท่านั้น
OMIN : มีเรื่องให้ช่วยสืบ
คิวบ์คิวบ์ : ว่ามาครับเพื่อน
ไม่เข้าใจว่าเมื่อไหร่มันจะเลิกใช้ชื่อไลน์ปัญญาอ่อนแบ๊วเวอร์แบบนั้นทั้งที่ขัดกับหน้าตาและบุคลิกของมันมาก แต่พอมันอ้างว่า คิวบ์ก็แปลว่าลูกเต๋าซึ่งเป็นชื่อของมันได้ พวกผมเลยปล่อยเลยตามเลย เอาที่คุณมึงคิดว่าคูลเลยครับเพื่อน
OMIN : สืบให้หน่อยว่าพ่อของน้องเพชร วิดวะ BM เป็นใคร
BM เป็นตัวย่อของ biomedical ที่คนในมหา’ลัยผมรู้กันครับว่าหมายถึงวิศวะฯชีวการแพทย์ หรือบางทีก็จะเรียกกันว่าไบโอเมด
คิวบ์คิวบ์ : เห้ยยยยยย
คิวบ์คิวบ์ : อะไรของมึงเนี่ย เขาเป็นใครวะ
OMIN : เป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้ศร
คิวบ์คิวบ์ : อ้าว แล้วเกี่ยวไรกับพ่อเขาวะ
OMIN : เหอะหน่า กูอยากรู้ว่าพ่อน้องเขาเป็นใคร ระดับความสัมพันธ์กับไอ้ศรเป็นยังไง
คิวบ์คิวบ์ : ก็เป็นอามันไงครับเพื่อน
OMIN : อันนี้กูรู้แล้วไอ้สัด
คิวบ์คิวบ์ : อ้าว นี่กูเริ่มงงมึงแล้วนะเนี่ย
OMIN : ไม่ต้องสนใจหรอก มึงสืบให้กูหน่อยก็แล้วกัน
คิวบ์คิวบ์ : ให้กูสืบทั้งที่ยังงงแบบนี้ กูคิดค่าข่าวแพงนะเว้ย
OMIN : อย่าเคี่ยวไอ้สัด อยากแดกไรกูเคยปฏิเสธเหรอ
คิวบ์คิวบ์ : หึหึ รอรับข่าวได้เลย
เรื่องเสือกแต่เก็บเป็นความลับได้นี่ไว้ใจไอ้เต๋าได้ครับ ส่วนไอ้พีทกับไอ้โจนี่ไม่รอด ไม่ใช่ว่าพวกมันปากสว่างหรอกครับ แต่พวกแม่งชอบแกล้งผม พวกมันจะสนุกถ้าได้เปิดเผยความลับของผม
ผ่านไปอีกเกือบสองชั่วโมง ไอ้ศรลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมเดาว่ามันน่าจะเริ่มเมา เพราะถ้ามันเมาเมื่อไหร่ แค่มันฉี่ออก มันก็จะสร่างเร็ว แต่ถ้าเมาแล้ว อาการมันค่อนข้างน่าเป็นห่วง ผมรู้ ผมเคยเจอมาแล้ว และสาบานได้เลยว่าผมจะไม่มีทางปล่อยให้มันเมาอีกเด็ดขาดถ้าตรงนั้นไม่มีผมอยู่ด้วย
“เฮ้ย! อะไรวะ?!!”
เพราะตรงนั้นไม่มีไอ้ศรผมจึงละสายตากลับมาอยู่กับสังคมออนไลน์จนกระทั่งได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ดังออกมาถึงโซนด้านนอก พอหันไปมองชัด ๆ จึงเห็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดกำลังเกิดขึ้น
ผมลุกขึ้นวิ่งเข้าไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ไอ้ศรยืนอยู่กลางวงกำลังต่อยตีกับใครสักคนที่ผมจำได้ว่าเป็นเด็กคณะเกษตรฯ
บนพื้นมีเศษแก้วแตก ผมไม่มีเวลาดูให้แน่ชัดว่าเป็นแก้วหรือขวดเบียร์ ได้แต่ภาวนาไม่ให้ไอ้ศรสังเวยเลือดให้กับมันก่อนที่ผมจะมาถึง ผมเข้าไปแยกคนที่กำลังสู้อยู่กับไอ้ศร เสียงคนโวยวายทั้งตกใจและร้องเชียร์ดังขึ้นลั่นจนคาดว่าอีกไม่นานเจ้าของร้านคงเข้ามาแยกพวกเราออกจากกัน
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”ผมคว้าแขนไอ้ศรเพื่อให้มันทรงตัวได้หลังจากเหวี่ยงไอ้เหี้ยนั่นออกไปได้แล้ว
“ไม่เป็นไร”
ไม่เป็นไรก็เหี้ยละ! บนหน้ามึงมีเลือดออกขนาดนี้บอกไม่เป็นไร!
ผมไม่ทันสำรวจว่าเลือดที่เห็นมันไหลออกจากแผลส่วนไหนบนหน้ามัน เพราะผมโกรธจนอยากจะอัดไอ้คนที่ทำให้ตายคาตีนไปเลย
อั่ก อั่ก อั่ก
ผมรัวหมัดใส่คนที่เข้ามาหมายจะทำร้ายเรา นาทีนั้นกูไม่สนแล้วว่าใครเป็นใคร หมัดทุกหมัดถูกปล่อยออกไปเพื่อระบายอารมณ์โกรธที่ต้องมีใครสักคนมารองรับ เสียงห้ามดังมาจากไอ้ศรเป็นระยะแต่ผมก็ไม่สนใจ ใครหน้าไหนเสล่อเข้ามาใกล้ตอนนี้กูต่อยหมดไม่ยั้ง
ปรี๊ดดดดดดดด
เสียงนกหวีดดังขึ้นเพื่อหยุดทุกการเคลื่อนไหว ผมหอบเหนื่อยแต่ยังไม่หายโกรธ ไอ้ศรเข้ามาพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้ม หมดแรงน่ะก็ใช่แต่หลัก ๆ แล้วเมานิดหน่อยด้วย
ความบาดหมางคืนนี้จบลงที่คนสองกลุ่มชดใช้ค่าเสียหายกันฝ่ายละครึ่งก่อนแยกย้ายแต่หลังจากนี้จะจบจริงหรือเปล่าไม่มีใครรู้ เพราะการกลับมาเอาคืนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
“ศรเป็นไงบ้าง?” พี่รหัสไอ้ศรเดินเข้ามาเกาะแขนตรวจมองดูร่างกายแฟนผมด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าสวยเกินชายนั่นแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“ไปโรง’บาลนะ เดี๋ยวพี่พาไป”
“ไม่ต้อง!” ผมพูดเสียงเข้ม ตวัดตามองเขม็งให้รู้ชัดไปเลยว่ากูไม่พอใจ “แฟนผม ผมดูแลเอง” เน้นสถานะด้วยมันจะได้รู้ตัวว่าไม่ควรก้าวก่ายไปมากกว่านี้
“แต่..”
“ผมไม่เป็นไรครับพี่ พี่นิกจะกลับยังไง ให้ผมกับโอมไปส่งไหม” ถ้าไอ้ศรไม่ขัดขึ้นมาก่อนผมก็คงจะทำอะไรที่เสียมารยาทมากกว่านี้ไปแล้ว
ไอ้พี่นิกเหลือบมองผมกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนบอกปฏิเสธความหวังดีของไอ้ศร คนกลางอย่างมันปรายตามองผมแล้วรับคำอีกฝ่ายแต่โดยดี ไม่เซ้าซี้ให้ผมยิ่งหงุดหงิดใจ
ห้องไอ้คุณชายมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นครบครัน ไม่มีอะไรที่ใกล้หมดเพราะมันซื้อมาเติมตลอดเหมือนกับว่าการต่อยตีเป็นเรื่องปกติ ผมนั่งทำแผลให้มันที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ใบหน้าได้รูปไร้ที่ติมีรอยบากเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตำแหน่งตรงหางคิ้วข้างขวา สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากเศษแก้วที่กระเด็นมาโดนในจังหวะไหนสักช่วงหนึ่ง ผมไม่ได้ถามมัน เราต่างคนต่างเงียบ ห้องเงียบจนแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศสักนิดก็ไม่มี
“ไหนบอกว่ามีประชุมงาน กลับดึก จะกลับไปนอนที่ห้องไง” คนเจ็บเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน
“ถ้าประชุมจะไปช่วยมึงทันเหรอ” ผมแปะผ้าก๊อซปิดแผลมันไว้ ตลอดเวลาที่ทำแผลให้มันไม่ร้องสักนิด นั่งหน้านิ่งอยู่ตลอด
“โดดประชุมหรือไม่มีนัดตั้งแต่แรก”
“เป็นการชวนคุยที่เหี้ยมากเลยรู้ตัวไหม”
คราวนี้ไอ้ศรเงียบอีกครั้ง ผมทำแผลให้มันเสร็จแล้วแต่มันก็ยังนั่งนิ่งไม่ลุกไปไหน
“พวกวิดวะไม่หาเรื่องเจ็บตัวกันเป็นไหมวะ”
“นี่เป็นเคล็ดลับหุ่นดีของกูเลยนะเว้ย กล้ามขึ้นเร็วกว่ายกเวทอีก” ไอ้ตัวดียังมีหน้าพูดติดตลกแล้วยังเบ่งกล้ามให้ดูอีก แต่ผมไม่ขำด้วย ถ้าวันนี้ผมไม่ตามไปคิดว่ามันจะรอดเหรอ พวกนั้นเถื่อนกว่าวิศวะสาขาคุณชายอย่างมันเยอะ
“ครั้งหน้าอาจจะได้แผลก่อนได้กล้าม”
“มึงจะบ่นทำไมวะ กูเจ็บ มึงไม่ได้เจ็บ”
“กูก็เจ็บ”
“เจ็บตรงไหน อย่ามาเล่นมุขเจ็บที่ใจนะเว้ย กูไม่อิน”
แม่ง
“เออ กูเจ็บมากขึ้นตอนที่มึงบอกว่าไม่อินเนี่ยแหละ”
ผมปิดกล่องยาแล้วเดินออกมา แต่แรงสั่นครืดของโทรศัพท์ไอ้ศรที่วางไว้บนโต๊ะทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยความหงุดหงิดใจว่าใครโทร.มารบกวนตอนดึกดื่นแบบนี้ แต่พอเห็นเจ้าของเครื่องมองหน้าจอด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะกดปิดการสั่นแล้วคว่ำหน้าจอลงกับโต๊ะ ผมก็ต้องถอนหายใจออกมายาว ๆ
“ไม่รับหน่อยวะ นั่นพ่อนะเว้ย” เตือนหน่อย เผื่อมันลืม
“ไม่ต้องรับก็รู้ว่าโทร.มาทำไม”
ครับ ผมก็รู้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อมันโทร.มาทันทีที่ไอ้ศรมีเรื่องทำนองนี้ มันเคยกดรับครั้งหนึ่งเพราะผมบังคับ วันนั้นมันหงุดหงิดอารมณ์เสียจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด หลังจากวันนั้นมันก็ไม่เคยรับสายพ่อมันอีกเลย ผมไม่รู้ว่ามันกับพ่อมีปัญหาอะไรกัน สายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวจะแน่นแฟ้นหรือกลวงโบ๋วขนาดไหน ผมไม่รู้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
“มึงใช้ชีวิตมายังไงถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นห่วงวะ”
ศรมองหน้าผมนิ่งก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่สนใจ กายที่สูงใกล้เคียงกันลุกขึ้นยืนมองหน้าผมนิ่ง แววตามันว่างเปล่า นี่แทบจะเป็นครั้งแรกเลยที่ผมอ่านมันไม่ออก
“ก็เพิ่งมาเข้าใจตอนได้รู้จักมึงเนี่ยแหละ”
หมายความว่าไง?
ไม่ทันได้เอ่ยถามให้หายข้องใจ อีกฝ่ายก็เดินเข้าห้องนอนไปเสียก่อน ผมถอนหายใจหนัก ๆ อีกครั้ง ไอ้ศรเป็นคนดื้อ แล้วก็ชอบพูดจากำกวม เหมือนจะเคลียร์ชัดแต่ก็ไม่
ประตูห้องน้ำไม่ได้ปิดสนิท ผมยิ้มบาง เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวของตัวเองมาถือไว้ ถอดเสื้อผ้าออกลวก ๆ จนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวแล้วเดินตามอีกคนเข้าไปในห้องน้ำด้วย
เป็นแบบนี้เสียทุกครั้งที่เรากลับมาดึก เพราะต้องการประหยัดเวลาและรีบพักผ่อน เรามักจะอาบน้ำพร้อมกัน มันอาบในอ่าง ส่วนผมอาบตรงฝักบัว แต่บางครั้งก็มักจะมากกว่าแค่อาบน้ำ
เจ้าของห้องนอนในอ่างที่มีฟองสบู่ลอยอยู่เต็มจนปิดซ่อนหุ่นที่ผมหลงใหลเสียเกือบมิด มีเพียงศีรษะที่พิงขอบอ่างไว้และลาดไหล่กว้างเท่านั้นที่โผล่พ้นขึ้นมา
“อาบน้ำอย่างเดียวนะมึง” ศรพูดทั้งที่ยังหลับตานิ่ง
“ไม่อยากทำแบบเมื่อเช้าอีกเหรอวะ”
“กูยังปวดตัวอยู่เลยสัด”
ผมหัวเราะในลำคอ “ครั้งนี้กูทำให้ มึงแค่นอนเฉย ๆ สลับกันไง” เห็นไหมว่าผมเป็นคนมีน้ำใจขนาดไหน ไม่เคยคิดเอาเปรียบหรอก เมื่อเช้ามันทำให้แล้ว ตกเย็นผมก็ต้องทำให้มันบ้าง แฟร์ดี
“ฟวย!”
นับวันจะยิ่งโรคจิต โดนมันด่าแต่กลับหัวเราะได้เต็มเสียง ยิ่งเห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบนั่นบูดเบี้ยวก็ยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้น
ผมพาดผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราวใกล้กับของศรก่อนจะเดินไปหยิบเก้าอี้เตี้ยสำหรับทำความสะอาดตรงมุมห้องแล้วไปนั่งลงตรงด้านศีรษะของคนรัก
“หืม?” ไอ้ศรลืมตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกว่าผมวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ มันคงระแวงว่าผมจะทำในสิ่งที่มันห้าม
“กูจะสระผมให้ มึงมีแผลที่หน้า สระเองคงไม่ถนัด”
“ลำบากมึงเปล่า ๆ กูดูแลตัวเองได้หน่า”
“ดูแลเมียนี่ลำบากตรงไหน”
ไอ้ศรจิ๊ปากขัดใจ “แล้วแต่มึงเลยครับ”
ผมยิ้มพอใจ ไม่ได้พอใจที่มันยอมให้ทำนะครับ แต่พอใจที่ได้ขัดใจมันนี่แหละ ไอ้คุณชายมันเป็นโรคไม่ชอบพึ่งพาใคร มันคิดว่ามันเก่ง ทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวเองทั้งหมด ผมเลยต้องสั่งสอนให้รู้ว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ควรพึ่งพาผมบ้าง โดยเฉพาะเรื่องสำเร็จความใคร่
หมกมุ่นเกินไปแล้วกูเนี่ย!
ผมคว้าเอาฝักบัวอันเล็กที่วางไว้คู่กับอ่างอาบน้ำมาถือไว้ เปิดน้ำปรับระดับความเย็นร้อนทดสอบกับมือตัวเองให้พออุ่นแล้วค่อยรดลงไปบนเส้นผมของศร ไม่อยากใช้น้ำเย็นสระผมเพราะดึกแล้ว ไอ้คุณชายกระหม่อมบางจะไม่สบายเอาได้ น้ำร้อนไปก็ไม่ดี อุ่น ๆ แบบนี้กำลังสบายเลย แม่ผมเคยทำให้ตอนเด็ก ๆ
“ทำไมต้องพาตัวเองเข้าไปหาเรื่องเจ็บตัวด้วยวะ”
ผมเริ่มบีบยาสระผมลงบนมือ ถูไปมาเล็กน้อยก่อนชโลมลงบนเส้นผมเปียกชุ่มของศร ผมของมันดำสนิทจนขับผิวขาวสุขภาพดีให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ต่างจากของผมที่เพิ่งไปโกรกเป็นสีน้ำตาลเข้มเมื่อต้นเทอมที่ผ่านมา
“ก็มันมาลวนลามพี่นิก” ศรยังคงหลับตาพริ้ม รอยหลุกหลิกของลูกแก้วกลมใต้เปลือกตาและรอยย่นหว่างคิ้วบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวได้ดี ผมเริ่มนวดคลึงไปตามหนังศีรษะและเส้นผมอย่างเบามือ
“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะไปต่อยตีกับเขา”
“นั่นพี่รหัสกูนะเว้ย”
ผมเงียบ ทุกการกระทำของผมหยุดชะงักไปพร้อมกับเสียงพูด
ไอ้ศรลืมตาขึ้นมอง แต่มันคงเห็นแค่ปลายคางของผมเท่านั้น
“อะไร? หึงเหรอวะ?”
“มึงมีความสุขมากรึไงวะที่เห็นกูหึง” ไม่ได้หึงที่มันช่วยพี่รหัสมันหรอกครับ ผมไม่ใช่คนใจร้ายใจดำขนาดนั้น แต่หึงตอนที่มันคุยกระหนุงกระหนิงกับอีกฝ่ายมากกว่า รู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ไม่ชอบให้ทำแบบนั้น เพราะอีกฝ่ายจะคิดว่ามันให้ความหวังเอาได้
“เออ”
ตอบมาได้…
“โรคจิตรึไงวะ”
ไอ้ศรยื่นมือมาจับหน้าผมให้ก้มลงไปสบตาด้วย ใบหน้าหล่อไร้ที่ติมีรอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์อย่างไม่น่าไว้ใจ “เวลามึงหึงมันน่ารักดี”
แม่งงงงงง!!
ป๊อก!
“โอ๊ย!!”
ไอ้ศรร้องเสียงหลงเมื่อโดนผมดีดหน้าผากไปหนึ่งที เจ็บจนเผลอจะยกมือที่เลอะโฟมไปลูบแต่ผมยั้งมือมันไว้ได้ทันเสียก่อน “เดี๋ยวก็โดนแผลหรอก”
“มึงแม่งชอบทำร้ายกูตลอด” มันบ่นงึมงำแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ผมล้างมือข้างหนึ่งแล้วเช็ดให้แห้งก่อนลูบวนบนหน้าผากให้มันเบา ๆ เพื่อลดอาการปวด ไอ้นี่มันผิวบางเป็นคุณชายมากจริง ๆ แตะนิดแตะหน่อยก็แดงเป็นปื้น น่าหมั่นไส้จริง ๆ เมียกู
ลูบไปยังไม่ทันหายแดงไอ้คุณชายมันก็หลับตาพริ้มอีกครั้ง คราวนี้ดูสบายกว่าเดิมเสียอีก “ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิวะ”
“สบายใหญ่ละนะมึงเนี่ย”
“หน่า นะ” อ้อนครับ มันอ้อนโผมมม
“ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะมึง ทำผิดอะไรไว้กูยังไม่คิดบัญชีเลย”
“ร้องหน่อยดิว้า กูอยากฟัง”
“ไม่!”
“เสียงมึงหวาน กูชอบ”
“...”
“นะโอม”
“เอาเพลงอะไร” เหี้ยเอ๊ย! ไม่น่าเกิดมาแพ้ทางเมียเลยครับ
ไอ้ศรคลี่ยิ้มบางอย่างพอใจ ไอ้นี่มันฉลาด มันรู้ว่าจะทำยังไงให้ผมยอมมันได้ แค่มันเรียกชื่อผมด้วยโทนเสียงนุ่มกว่าปกติผมก็ไปไหนไม่รอดแล้วครับ “เพลงอะไรก็ได้ มึงร้องเพราะหมดแหละ”
เข้าใจหลอกกูนะมึง!
ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าผมร้องเพลงเพราะ เพื่อน ๆ ที่โตมาด้วยกันมันก็ไม่รู้เพราะผมไม่เคยร้องให้ใครได้ยิน แต่ไอ้ศรมันรู้เพราะได้ยินผมร้องตอนที่เก็บของใช้ส่วนตัวบางส่วนในห้องตัวเองเพื่อนย้ายมาไว้ห้องนี้
ผมเริ่มวอร์มเสียงด้วยการฮัมทำนองเพลง
พี่รักเจ้ายิ่งกว่าปลารักน้ำ
กินนรรักถ้ำ ไม่ล้ำ พี่รักเจ้า
กุญชรหวงงา มฤคาหวงเขา
ยังไม่เท่าพี่หวงนงเยาว์
พี่หวงเจ้ากว่าดวงฤทัย เพลงโปรดที่ผมร้องบ่อยจนไอ้ศรเคยชินมากพอที่จะฮัมเสียงคลอตามได้
กระต่ายพะวงหลงจันทร์ถึงมัวเมา
พี่หลงเจ้ามัวเมากว่านั้นนะชื่นใจ
พี่นี้ แสนรักใคร่รักเจ้ายิ่งสิ่งใด
ปองฤทัยใฝ่หา ผมไม่ได้ร้องเต็มเสียง มันทั้งเบาและนุ่มคลอไปตามอารมณ์ไอ้คุณชาย ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างมีความสุขผมก็ยิ่งยิ้มตามไปด้วย
แม้พี่ขาดเจ้าเท่ากับพี่นี้ขาดใจ
สูญสิ้นอาลัยสิ้นใจเพราะขวัญตา
อยู่ไปไร้ในคุณค่า
ใจปองน้องนางร้างรา
คงตรมน้ำตาร่ำไป พี่รักเจ้ายิ่งกว่าคำรักนี้
ยุพารักพี่ ครึ่งนี้ได้หรือไม่
จงปลงน้ำคำโน้มนำดวงฤทัย
พี่เพียงให้น้องนางรักใคร่ได้
แม้ครึ่งพี่เอย...ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ จรดจุมพิตแนบแน่นและเนิบช้าบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา ไอ้ศรลืมตาขึ้นมองแต่ไม่ได้หลบเลี่ยงหรือส่งเสียงปฏิเสธ ผมจึงเลื่อนลงไปอีกหนึ่งตำแหน่ง ปลายจมูกโด่งคือเป้าหมายต่อไปของผม แล้วสัมผัสอ่อนโยนก็สิ้นสุดลงที่กลีบเนื้อหยุ่นแดงสด นานกว่าตำแหน่งอื่น ก่อนที่ผมจะถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“ไม่ต้องมาบิ้วเลยนะมึง”
“ไม่ได้ผลเหรอวะ”
“ไม่เว้ย! กูง่วง!!”
ผมหัวเราะลั่นก่อนจะเริ่มร้องเพลงที่สองออกมาอย่างอารมณ์ดี
จากที่เคยคิดว่าอาบน้ำพร้อมกันแล้วจะได้เข้านอนเร็ว กลายเป็นว่าดึกกว่าเดิมแบบที่ระบุเวลาชัดเจนไม่ได้ เผลอ ๆ ไอ้ศรอาจจะหลับคาอ่างอาบน้ำไปเลยก็ได้
ก็ดีนะ ไม่ได้กลับมากินข้าวเย็นด้วยกันแต่ได้อาบน้ำด้วยกันก็ถือว่าพอหยวนกันได้
อย่างน้อยก็ได้ใช้เวลาร่วมกันบ้างละวะ
พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 4
(ครั้งสุดท้ายของโอมอินในรอบนี้ก่อนจะนัดตรวจธรรมศรบ้าง)
---------------------------------------------------------------------------
อย่ากลัวม่า ไม่ม่าาาาา บอกแล้วว่าใสๆวัยรุ่นรักกันค่ะ
เพลงที่โอมอินร้องคือเพลงพี่รักเจ้า ถ้าใครจะตามไปหาฟัง แนะนำเวอร์พี่โจ้ วงพอสนะคะ
#โรคประจำใจ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์