❀ Moon's Embrace : บทที่ 25 ... ❀
ยามอู่
พระอาทิตย์เฉิดฉายสะพรั่ง ขับไล่มวลลมหนาวต้นฤดูให้เจือจาง เหล่าวิหคน้อยต่างซุกตัวอยู่ภายในรัง หากมีคู่...พวกมันจะโอบกอดซึ่งกันอย่างน่าอิจฉา
ที่พระตำหนักซึ่งถูกตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรา แม้แต่มุมหลังคาก็ยังสร้างเป็นรูปสลักหงส์ทองคำบ่งบอกถึงยศศักดิ์ของผู้พำนักและความเอาใจใส่ของเจ้าแผ่นดิน วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์รัชทายาท พระมเหสีหลิวจูจึงมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงรื่นเริงที่ตำหนักหยกฟ้า ซึ่งประดับประดาด้วยดอกเหมยกุ้ย* สีแดงสะพรั่งดูงดงามตระการตา เหล่าขุนนางและแม่ทัพมากมายต่างพากันมาถวายพระพรและถวายของกำนัลกันเนืองแน่น
เนื่องจากฮ่องเต้สือเจิ้งมีอาการพระประชวรปวดพระเศียรตั้งแต่เช้า หลังจากที่อยู่ประทับได้พักเดียวก็ขอองค์เสด็จกลับไปพักที่ตำหนักพร้อมกับไทเฮา ที่แห่งนี้จึงเหลือแค่เพียงหยวนอี้หมิง และพระมเหสีที่ประทับอยู่บนแท่นเท่านั้น
ระหว่างที่ชมการแสดงจากนางรำที่มาโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างสวยงาม มเหสีหลิวจูก็สะกิดเรียกหยวนอี้หมิงที่ประทับอยู่ข้างๆ
“เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“เสด็จแม่หมายถึง...”
พอมองตามสายพระเนตรของมารดา ริมฝีปากของหยวนอี้หมิงก็ยกยิ้มจางๆ
“อ้อ...ขุนนางพวกนี้ช่างน่ารังเกียจนัก หลายคนข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“เจ้าต้องรู้จักมองคนให้ออก ขุนนางเฉิงก็ไม่เลว ถึงจะเป็นขุนนางระดับล่าง แต่ต้นตระกูลก็มิได้ถึงกับอับโชคเรื่องการค้าขาย หนำซ้ำยังมีโรงต่อเรือขนาดใหญ่ เส้นสายทางน้ำก็มิใช่น้อยๆ อีกอย่าง ข้าได้ข่าวว่าลูกสาวเขาถึงขั้นงามล่มเมือง”
พระเนตรเรียวสวยหรี่ลงอย่างเฉียบคม ในใต้หล้านี้มเหสีหลิวจูนับได้ว่าเป็นสตรีที่มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนน่ากลัว หนำซ้ำยังมีวิธีการพูดให้ยอมสยบอยู่แทบเท้าได้อย่างแนบเนียน
หยวนอี้หมิงรู้พระนิสัยของมารดาตนเองดี จึงรู้ว่าอีกฝ่ายหมายปองให้เขาอภิเษกกับลูกสาวของขุนนางเฉิง แต่เขามิได้สนใจ
“เขาไว้ใจได้หรือ”
พระมเหสีหลิวจูแย้มพระสรวลขึ้นเล็กน้อย
“มิได้...แต่พวกที่มีความทะเยอทะยานเป็นพวกที่ควรมีไว้ใช้งาน แต่หากเลี้ยงไม่เชื่องก็แค่ลงแส้พวกมัน” ตรัสด้วยเสียงราบเรียบ แต่หากแววพระเนตรกลับไม่ล้อเล่นเลยสักนิด หยวนอี้หมิงยกสุราบ๊วยขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนทอดมองตรงออกไปยังลานกว้างเบื้องหน้า
“ลูกไม่ถนัดงานลงแส้คน คงต้องให้เสด็จแม่โปรดสั่งสอน” ได้ยินเช่นนี้มเหสีหลิวก็เปล่งเสียงสรวลออกมาเบาๆ อย่างถูกพระทัย
“อี้หมิงข้าเข้าใจว่าเจ้ายังเด็กนัก แต่หากไม่แสดงความเด็ดขาด ใจหินออกมาบ้าง น่ากลัวว่าคนพวกนี้ย่อมหาโอกาสแว้งกัดเจ้าแน่”
“ขอบพระทัยเสด็จที่สั่งสอน แต่วันนี้เป็นงานรื่นเริง ลูกว่าควรพักเรื่องเช่นนี้ไว้ก่อน ตอนนี้ลูกอยากรู้ว่าขุนนางพวกนี้นำสิ่งใดมาถวายข้า”
สิ้นเสียงหยวนอี้หมิงก็โบกมือขึ้นเป็นสัญญาณทำให้การบรรเลงเพลงพิณหยุดชะงัก เหล่าบรรดานางรำให้ความสำราญต่างพากันแยกย้ายอย่างรู้หน้าที่ เมื่อลานด้านหน้าปราศจากผู้ใดแล้ว กงกงที่รับหน้าที่อ่านรายงานของผู้ถวายของกำนัลก็ก้าวเข้ามายืนแทนที่อย่างเป็นพิธี
รายชื่อของเหล่าบรรดาขุนนางที่ถวายของกำนัลยาวไปจนแทบไม่ที่สิ้นสุด แสดงถึงบารมีอำนาจของคนที่นั่งอยู่บนแท่น
หยวนอี้หมิงฟังรายงานพลางมองของกำนัลที่มาถวายไปพลาง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของมีราคาและหายากทั้งสิ้น ทั้งผ้าไหม โสม เครื่องปั้นดินเผา และอัญมณีงดงามตระการ แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าตื่นตาเลยสักนิด กลับกันยิ่งทำให้เขากลับรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เวลานี้หากเทียบความมั่นคงระหว่างเขากับหยวนจิวหรงแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไปฝักใฝ่ฝ่ายที่ไร้ซึ่งกำลัง
เวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งถ้วยชา อี้ผล็อยมิงคลี่ยิ้มอย่างพอพระทัยก่อนละเมียดจิบสุราบ๊วยอีกครั้ง สายพระเนตรมองตรงไปยังลานด้านหน้า เพราะฤทธิ์สุราทำให้สติเริ่มงุนงงเล็กน้อย พระขนงจึงเลิกขึ้นอย่างสงสัย ขันทีเฒ่ารายหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาคุกเข่าคำนับ หลังจากที่รายชื่อของใครบางคนประกาศ
“ถวายพระพรฝ่าบาทกระหม่อมฉางกงกง ได้รับบัญชาจากจวิ้นอ๋องให้มาถวายพระพร พร้อมถวายของกำนัลจากเมืองหู่แด่พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
เพียงได้ฟังคำกล่าวรายงานอย่างตรงไปตรงมา พระเนตรที่ใกล้ปรือปิดก็เบิกขึ้นมาเต็มตื่น มเหสีหลิวจูเป็นคนแรกที่ชี้นิ้วตรัสอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้าคนถ่อยนี่กล้าเสนอหน้ามาได้อย่างไร ลากตัวมันออกไป! ”
“เดี๋ยวก่อน...”
ไม่คาดคิดว่าลูกชายของนางจะเป็นคนออกปากด้วยตนเอง มเหสีหลิวจูถลึงพระเนตรมองอย่างกริ้วโกรธ แต่หยวนอี้หมิงกลับไม่สนใจ รัชทายาทหนุ่มยืนขึ้น พลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างงดงาม
“ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ทรงลำบาก เจ้านำสิ่งใดมาถวายหรือ”
ตรัสถามที่ได้ยินทำเอาเกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นของเหล่าขุนนาง แต่อี้หมิงพุ่งความสนใจไปที่ขันทีเฒ่าที่อยู่ด้านล่าง
ข้ารับใช้ชราประสานมือรับคำสั่ง ไม่ช้าก็ให้คนนำหีบสีเทาขนาดครึ่งศอกออกมาตั้ง หยวนอี้หมิงกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว สายตาจดจ่ออยู่ที่หีบนั่น พอเปิดขึ้นมาก็พบว่า...
“ปะการังแสงจันทร์พ่ะย่ะค่ะ”
ปะการังสีขาวมุกยามต้องแสงจะเกิดเป็นประกายระยับราวกับเพชรที่สะท้อนแสงออกมา นับเป็นของประดับหายากที่น้อยคนนักจะได้ครอบครอง แต่พระเชษฐาของเขากับส่งมันมาถวายอย่างง่ายดาย ซึ่งผิดจากที่คาดการณ์ไว้มากโข
“ปะการังแสงจันทร์ ข้าได้ยินว่าเป็นของหากยาก มีไม่ถึงสิบชิ้นบนใต้หล้านี้ ขอบพระทัยเสด็จพี่”
หยวนอี้หมิงประสานมือค้อมศีรษะกล่าวอย่างนอบน้อม ก่อนจะโบกมือให้ข้ารับใช้นำของที่อ๋องเมืองหู่ถวายมาไปเก็บ เมื่อเห็นเช่นนั้นมเหสีหลิวจูจึงแสดงความไม่พอพระทัยบนพระพักตร์งาม ถึงแม้จะรู้ว่าอี้หมิงเสแสร้งรับ แต่อย่างน้อยก็ลูกของนางก็น่าจะรู้จักคิดเสียบ้าง
“เจ้ารับมันไว้ทำไม ไม่คิดหรือว่าเจ้าคนถ่อยกำลังดูถูกเจ้า”
“ที่จริงข้าหวังว่ามันเป็นสิ่งอื่น”
คำตอบนั่นยิ่งทำให้คนเป็นมารดายิ่งถลึงพระเนตร ไม่เข้าใจความคิดของลูกชายตนเองสักนิด
“เสด็จแม่...หากหยวนจิวหรงคิดจะทำการเอิกเกริกต่อหน้าขุนนางพวกนี้ ท่านคิดว่าไม่เป็นการดีสำหรับพวกเราหรือ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“น่าเสียดายนัก ทั้งที่ข้าหวังว่าในหีบนั่นจะเป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงเสียอีก”ยิ่งได้ยินก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักแต่หยวนอี้หมิงกลับทำแค่เบี่ยงใบหน้าหันมา ยกมุมปากขึ้นจางๆ ที่หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น กริยานั่นทำเอามเหสีหลิวจูถึงกับแอบกลอกพระเนตร ก่อนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“หยวนจิวหรงถึงจะบ้าบิ่น แต่มิใช่คนโง่ เจ้าคิดตื้นเขินไป”
อี้หมิงไม่โต้ตอบ บรรยากาศงานรื่นเริงดูเหมือนจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างเงียบกริบไป แต่กระนั้นองค์รัชทายาทก็ยังมีรับสั่งให้เปิดหีบกำนันทุกกล่อง กระทั่งถึงกล่องสุดท้ายที่ถูกนำมาวางไว้ตรงพระพักตร์ เป็นกล่องหีบไม้สีดำมะเมื่อมขนาดเกือบสองศอกมีน้ำหนักมาก
“กล่องสุดท้ายเป็นของผู้ใด”
ข้ารับใช้ก้มลงอ่านรายงานอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็มิอาจหาชื่อคนส่งพบ
“มะ...ไม่มีชื่อคนส่งพ่ะย่ะค่ะ”
“โยนมันออกไป! ”
มเหสีหลิวจูเอ่ยรับสั่งในทันที “หยุดก่อน” ทว่าอี้หมิงกลับยกมือขึ้นขัดทำให้ใครไม่กล้ายกมันออกไป นางมองใบหน้าลูกชายตนเองด้วยความกริ้ว หากนี่ไม่ใช่วันเฉลิมพระชนมพรรษาของคนตรงหน้านางคงไม่ไว้หน้าแน่ แต่พออี้หมิงวางมือลงบนพระหัตถ์ของมารดา มเหสีหลิวจูถึงได้ยอมสงบลง
เสี้ยวพระพักตร์หล่อเหลาหันกลับไปลานด้านล่างเอ่ยรับสั่ง “ข้าอยากรู้ เปิดมันออกเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
รีบขานรับอย่างทันท่วงที ไม่ช้ากล่องสีดำขนาดเกือบสองศอกที่ไร้ซึ่งคนส่งก็ถูกเปิด เป็นจังหวะเดียวกับสายลมหนาวโหมที่พัดกลิ่นสาบสางและเน่าเหม็นโชยคลุ้งขึ้นมา จนทุกคนที่พื้นที่ตกยกมือขึ้นมาปิด
หยวนอี้หมิงขมวดคิ้วก่อนจะเพ่งสายตามองสิ่งอยู่ด้านในให้ชัด
ยามที่หีบถูกเปิดฝาออกจนสุด เสียงกรีดร้องโวยวายด้วยความตกใจก็ดังกระหึ่มไปทั่วตำหนัก รัชทายาทหนุ่มพระพักตร์ซีดเผือด รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาบนถึงลำคอ
สิ่งที่อยู่ในนั่นคือศีรษะมนุษย์ที่กำลังถูกชอนไชไปด้วยหนอนน่าสะอิดสะเอียน สภาพเละเทะ ใบหน้าบวมอืดสุดขยะแขยงแทบดูไม่ออกว่าเป็นของผู้ใด ทว่าหยวนอี้หมิงกเป็นดีว่ามันเป็นหัวของใคร หึ...สิ่งของที่คาดไม่ถึงงั้นหรือ
นี่ไม่ใช่แค่การข่มขู่ แต่เป็นการท้าทายเขาต่างหาก
♦♦♦♦♦
“เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ”
ผ่านมาแล้วสามวันกว่าที่ฉินกวนเจ๋อจะได้มีโอกาสถามคำถามนี้กับสหายร่วมสาบาน
หลังจากที่จางรุ่ยเหรินยอมปล่อยตัวเขาออกมาจากห้องสอบสวนด้วยอารมณ์ขึงตรึงก็เป็นเวลาเกือบเย็น อู่ลี่จินก้าวขาด้วยความเหนื่อยล้ากลับมาที่จวนพักหมอปีกตะวันออก รู้สึกอยากจะเอนกายนอนหลับพักแบบไม่รู้ตื่น ทว่าทั้งที่อ่อนเพลียทั้งกายทั้งใจมากแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับข่มตาหลับไม่ได้เลยสักนิดคล้ายกับมีเรื่องบางอย่างค้างคาใจ รู้สึกตัวอีกก็ได้แต่นั่งมองหน้าต่างอย่างเหม่อมลอย จนฉินกวนเจ๋อเข้ามาในห้อง ก่อนหมอตัวเล็กจะเอ่ยปากถามเขารัวๆ
“ข้าไม่เป็นไร” ลี่จินตอบเสียงแผ่ว
กวนเจ๋อมุ่ยใบหน้าลง คิ้วเรียวเข้มแอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตากลมโตจ้องมองเพื่อนตนเองด้วยความเป็นห่วง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ว่าแต่...เมื่อคืนก่อนหน้าข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่เฝ้าไข้ใต้เท้าซุนทั้งคืน เขาอาการหนักมาเลยหรือ” มีหลายเรื่องที่เขาอยากถาม แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน อาจเป็นเพราะว่าเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ที่ใต้เท้าซุนล้มลงไป
“เขามีไข้ กระทบกระเทือนที่ศีรษะเลยทำให้ร่างกายเสียสมดุล”
“แล้วเจ้า...”
พูดได้เพียงแค่นั้น พอเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วเรียวใส่ด้วยใบหน้าเพลียๆ ก็กลืนคำถามที่ค้างคาในใจลงท้อง จริงๆ แล้วเขาสงสัยเหลือเกิน ว่าอู่ลี่จินกับองครักษ์ซุนไป่หานมีความสัมพันธ์กันเช่นไรในตอนนี้ แต่ใครมันจะกล้าถามเช่นนั้นโดยไม่ดูอารมณ์เพื่อนตนเองเล่า
กวนเจ๋อกระแอมไอเบาๆ หลังจากที่คนตรงหน้าถูกสอบสวนมาหลายคืนติด ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงคืออาการป่วยไข้ของเพื่อนรัก
“ข้าแค่เป็นห่วง หลังจากที่เจ้ากลับมาข้าก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับเจ้าเลย สองวันมานี้เจ้าถูกใต้เท้าจางสอบสวนอย่างหนัก ยังดีที่เขาไม่ได้ทำรุนแรงกับเจ้าเพราะไม่มีรับสั่งใดๆ จากท่านอ๋อง แต่ข้ากับเต๋อหวนเป็นห่วงเจ้านัก เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม หน้าเจ้าก็ดูซีด และท่าทางเจ้าเหมือนคนเดินเจ็บๆ เท้าเจ้าเป็นอันใดหรือ ให้ข้าตรวจให้เจ้าไหม”
ได้ยินคำถามทำเอาอู่ลี่จินที่ขาวซีดอยู่แล้วกลับซีดลงไปอีก เรื่องอ่อนเพลียจนเลือดลมสูบฉีดไม่ดีนั้นไม่เท่าไร แต่นึกไม่ออกเลยว่าฉินกวนเจ๋อแอบไปเห็นท่าทางเดินของเขาตั้งแต่เมื่อไร
“พอดีว่าวันนี้ ข้าแอบเห็นเจ้าก่อนเดินกลับมาที่จวนน่ะ ท่าทางเหมือนขาเจ้าจะเจ็บใต้เท้าจางทำสิ่งใดงั้นหรือ”
สู่รู้นัก! ที่จริงแล้วคนที่ทำหาได้ใช่ใต้เท้าจาง แต่เป็นคนแซ่ซุนที่ไม่รู้ว่าคืนก่อนเอาแรงฮึดมาจากไหน ขณะที่คนที่ไร้ประสบการณ์อย่างเขาทำได้แค่นอนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่บนเตียง ยิ่งคิดถึงค่ำคืนอันเร่าร้อนเช่นนั้นใบหน้าก็ยิ่งแดงซ่าน
“เจ้าหน้าแดงนะ มีไข้หรือ”
พอทีกวนเจ๋อ!
“ข...ขอบใจเจ้ามาก แต่ข้าสบายดี แค่เท้าแพลงตอนกลับมาน่ะ”
“ข้อเท้าแพลงเจ้าก็ต้องประคบสิ ปล่อยไว้เช่นนี้ได้อย่างไร ประเดี๋ยวก็บวมหรอก”
ลี่จินยิ้มแหยๆ จะว่าไปก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดบทสนทนาถึงได้วกเข้าเรื่องที่เขาไม่อยากจะนึกถึงไปได้ ทั้งๆ ที่สถานการณ์ในตอนนี้สำหรับพวกนั้นทั้งบีบคั้นและอึดอัดนัก
“กวนเจ๋อ...”
พอเรียกชื่อ อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วใส่ ลี่จินเม้มฝีปากลงอย่างลังเล ก่อนกล่าวเสียงแผ่ว
“ช่วงนี้...เจ้ารู้สึกเหมือนกันข้าบ้างหรือไม่”
“เจ้าหมายถึง...”
หมอคนงามนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งครุ่นคิด ก่อนพูดต่อ “พวกเรากำลังถูกจับตามองน่ะ คงเป็นรับสั่งของท่านอ๋อง หรือไม่ก็...” คำพูดขาดหายไป กวนเจ๋อพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“เต๋อหวนคุยกับข้าว่า ช่วงนี้หลังจากเรื่องของเจ้า ท่านอ๋องก็มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้แค่ใต้เท้าจางกับเขา”
“ใต้เท้าซุนก็มิได้หรือ”
“เจ้ากับใต้เท้าก่อเรื่องไว้เช่นนั้น ท่านอ๋องไม่สั่งลงโทษหรือตัดหัวเจ้าก็ดีเพียงใดแล้ว ให้ตายเถอะข้าไม่คิดเลยว่าเจ้ากับข้าจะต้องมาเผชิญเรื่องแบบนี้ พวกเราเป็นหมอนะแต่กลับเหมือนต้องคอยเดินตามเป็นเบี้ยที่พร้อมสละทิ้งไปวันๆ ”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจนัก ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอับโชคในชีวิต หรือว่าเป็นโชคดีของพวกคนเลวสามานย์กันแน่ที่ได้มีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโต แต่กลับมองชีวิตผู้คนเป็นเหมือนสัตว์ ทั้งที่คิดว่าการเป็นหมอนั้นจะได้มุ่งเน้นกับการรักษาชีวิตผู้คนไม่ต้องตกเป็นเบี้ยให้กับใคร แต่ผิดถนัด เวลานี้เขาเรียนรู้แล้วว่าต่อให้เกิดเป็นมดปลวกหรือราชสีห์ หากคนพวกนั้นคิดจะใช้ก็ทำได้ทุกอย่าง
“เจ้ายังดีกว่าข้านัก...” ประโยคตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ของคนข้างกายทำให้ฉินกวนเจ๋อหลุดจากภวังค์มองใบหน้าเพื่อนตนเอง
อู่ลี่จินคลี่รอยยิ้มหนักอึ้ง
“ใต้เท้าจางมีรับสั่งให้ข้าช่วงนี้อยู่แต่ในเรือนพักหมอ ห้ามไปที่ใด”
แบบนี้มันเกินไปแล้ว!
“เรื่องนี้บางทีเต๋อหวนอาจช่วยเจ้าได้ ช่วงนี้ท่านอ๋องดูไว้ใจเขามากที่สุด ให้เข้าไปตรวจพระอาการทุกวัน อาจจะพอช่วยพูด..” ยังพูดไม่ทันจบใบหน้างามก็ส่ายเบาๆ
“อย่าให้เขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย จะทำให้เต๋อหวนลำบากเสียเปล่าๆ”
หากสหายตรงหน้าพูดเช่นนั้นแล้ว เขาเองจะทำสิ่งใดได้อีก กวนเจ๋อถอนหายใจเบาๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจะหนักหนาแต่อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างอู่ลี่จินจะกล้าทำร้ายผู้ใดได้
“ลี่จินข้าถามเจ้าจริงๆ ว่าอินทผาลัมนั่นเป็นของเจ้าจริงๆ หรือ”
คำถามนั้นเล่นเอาคนแซ่อู่ถึงกับชะงักงัน สองจิตสองใจไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือ แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าตัวมาเกี่ยวข้องด้วย
นิ่งเงียบไปนาน นัยน์ตาคู่สวยหลุบลง ริมฝีปากเขยื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“ข้าไม่มีทางเลือก...”
เพียงแค่เห็นท่าทาง ฟังจากน้ำเสียงที่เศร้าสลดแล้ว ฉินกวนเจ๋อก็ไม่จำเป็นจะต้องถามสิ่งใดคนตรงหน้าให้มากความอีก
กวนเจ๋อตบอกตนเองเบาๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรข้าก็อยู่ข้างเจ้าเสมอนะ”
คำพูดสั้นๆ กับรอยยิ้มสดใสคลี่ออกจากหมอแซ่ฉิน อู่ลี่จินเห็นรอยยิ้มและท่าทางนั้นแล้วก็น้ำตาคลอ แต่สุดท้ายก็อดนึกขันไม่ได้ ยอมรับจริงๆ ในสถานการณ์ที่มืดมัวเช่นนี้กลับมีสหายตรงหน้าคอยเป็นกระต่ายตัวน้อยเรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ
♦♦♦♦♦
“บัดซบ! เหตุใดถึงได้พ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้”
เสียงสบถดังลั่นออกมาในห้องทรงงาน
หยวนจิวหรงขยำกระดาษในมือจนยับแล้วขว้างทิ้งอย่างไม่ไยดี ส่วนมืออีกข้างก็ตรงเข้าคว้าถ้วยชาขึ้นมา กระดกดื่มลงคอไปอีกหลาย กระแทกลงโต๊ะดังตึง แต่กระนั้นก็ยังมิอาจลบล้างความกริ้วโกรธบนพระพักตร์คมเข้มได้อยู่ดี
จางรุ่ยเหรินเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกเรียกมาเข้ามาปรึกษาเรื่อง ศึกทางค่ายบูรพาตั้งแต่เช้า แต่หลังจากที่หยวนจิวหรงอ่านรายงานที่ส่งมาด้วยพระเนตรตนเอง ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
“ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมเดาว่านี่อาจเป็นอุบายของเผ่าฮวงตั้งแต่แรกก็เป็นได้”
“หมายความว่าอย่างไร”
สายตาคมดุตวัดกลัวมามอง หากคนตรงหน้าไม่ใช่จางรุ่ยเหรินอาจเป็นไปได้ว่าคนต้องมีหวาดหวั่นกับพระอารมณ์
รุ่ยเหรินประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนกล่าวไปตามที่ตนเองคิด
“กระหม่อมให้คนไปตรวจสอบพื้นที่มา ทราบว่าถึงจะเป็นพื้นที่ต้นน้ำ แต่รอบด้านเป็นเนินเขาสูง และเป็นซอกหินแทรกถึงจะไม่สามารถยืนยันได้ แต่พื้นที่ตรงนั้นลอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของกองทัพได้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องส่งกำลังพลจำนวนหนึ่งไปยึดพื้นที่ส่วนบนด้วย แต่เกรงว่ากำลังพลอาจไม่เพียงพอ มีทหารบาดเจ็บหลายนาย อีกทั้งยังเหนื่อยล้าจากการทำศึกที่ยืดเยื้อเกินไป”
ถึงจะเกรงกลัวอยู่บ้างแต่พอว่าไปตามจริง หยวนจิวหรงกลับสงบลงกว่าที่คาดไว้นัก แต่กระนั้นพระขนงเรียวเข้มขมวดก็ยังเข้าหากันจนแน่น
จิวหรงครุ่นคิด อาจเป็นไปได้ตามที่รุ่ยเหรินที่จริงแล้วเขาส่งทหารจำนวนหนึ่งไปที่ค่ายบูรพาตั้งแต่กลางวัสสานฤดู ถึงจะมีการผลัดเปลี่ยนกันคนบ่อยครั้งแต่ศึกก็ยืดเยื้อเกินไปจนเข้าเข้าใกล้กลางฤดูเหมันต์แล้ว ทั้งคนป่วยคนเจ็บ ถึงจะมีอาวุธพร้อมเพรียงจากทางการค้า แต่อย่างไรก็ขาดหมอที่เชี่ยวชาญ ตอนนี้ทางเลือกที่เขาเล็งเห็นจึงมีอยู่ไม่กี่ทาง แต่กระนั้นก็อย่างจะฟังความคิดจากคนตรงหน้าเพื่อตัดสินใจ
“เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
“พวกเขาต้องการหมอและกำลังเสริม ไม่เช่นนั้นทุกคนจะตายกันหมด”
รุ่ยเหรินหลีกเลี่ยงคำสำคัญได้ดีทีเดียว ทว่าประโยคสุดท้ายก็แฝงไปด้วยวิธีที่เขาไม่อยากทำมากที่สุดคือพาพวกทหารกลับเมืองหู่ แต่นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้สิ่งใดตอบแทนมาเลยสักอย่าง
หึ...แต่คนอย่างหยวนจิวหรงหากลงแรงไปมากแล้วย่อมหวังผล หากอยากกลับก็จงกลับมาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่เช่นนั้นตายในสนามรบยังดูมีเกียรติมากกว่า
เขาครุ่นคิด สิ่งที่รุ่ยเหรินพูดมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นอุบายของเผ่าฮวงตั้งแต่แรก หลอกให้เขาได้ชัยชนะยึดพื้นที่ต้นน้ำ และคอยลอบสังเกตจากพื้นที่สูงกว่าซึ่งมองเห็นได้โดยยาก ก่อนตะหลบหลังอย่างสุนัขขี้ขลาด
ช่างน่าโมโหนัก! แต่ว่าใช่จะไม่มีแผนรับมือ
“เรื่องกำลังเสริมยังพอโยกย้ายจากปราการทางใต้ให้ไปช่วยได้ แต่เมืองเราไม่มีหมอมากนัก”
จิวหรงกล่าวไปตามจริง ตอนนี้นอกจากปัญหาเรื่องกำลังพลแล้ว แพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ
รุ่ยเหรินนิ่งครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก่อนเสนอ
“ควรส่งเรื่องทูลขอฝ่าบาทหรือไม่”
“ไม่” จิวหรงตอบสวนแทบจะทันที ดวงตาคมกริบหรี่ลงจนคมกริบ “เราต้องจัดการเรื่องนี้กันเอง ข้านึกได้ว่ามีหมู่บ้านเล็กตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พวกเขาติดต่อค้าเครื่องเทศและขนสัตว์กับเรา อาชีพของพวกเขาส่วนใหญ่เป็น พรานป่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะติดต่อพวกเขา”
หากต้องการล่าสัตว์ป่า ก็จำเป็นจะต้องใช้พรานและเป็นไปได้ว่าอาจช่วยหนุนกองทัพได้ดี แต่พอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของรุ่ยเหรินกลับไม่เห็นด้วย
“ที่นั่นกำลังเกิดโรคระบาด ขาดแคลนยารักษาโรค”
ยารักษางั้นหรือ...หยวนจิวหรงหรี่ดวงตาลง คลี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ข้าต้องการกำลังพลที่สวามิภักดิ์ เช่นนั้นย่อมจำเป็นต้องแปลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม”
“เช่นนั้นท่านอ๋องหมายความว่า...”
“ข้าไม่อนุญาตให้หมอเมืองหู่อออกไปที่ใดทั้งสิ้น เว้นแต่เพียงเจ้าจะไปรับคนจากหมู่บ้านนั่นมา”
เช่นนี้นี่เอง
“แล้วช่วยแจ้งหมอแซ่อู่ด้วย โทษทัณฑ์ของเขาข้ายังมิได้ตัดสินใจ แต่ครั้งนี้เป็นงานสำคัญ หากมิได้ยารักษาชาวบ้านทางเหนือข้าจะไม่เมตตาปรานีอีก และส่งกลับไปยังวังหลวงทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ” รุ่ยเหรินขานรับด้วยเสียงที่ชัดเจนแน่วแน่ จิวหรงสั่งต่อ“ส่วนเรื่องกำลังพล ไปเรียกซุนไป่หานมาเข้าเฝ้าให้เร็วที่สุด...”
จิวหรงยกชาขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับละเมียดจิบอย่างใจเย็น ครานี้เขาจะแสร้งลืม แกล้งเป็นคนไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจมาก่อน แต่หากเรื่องทางค่ายบูรพาสำเร็จเมื่อไร เขาจะใช้เบี้ยทุกตัวของเขาเหยียบย่ำหยวนอี้หมิงให้จนแผ่นดิน
ของขวัญวันเฉลิมพระชนมพรรษาหวังว่าของถูกใจเจ้า...อี้หมิง