บทที่ ๒๕ (ครึ่งหลัง)จีรัชญ์นั่งคุยกับสุทินต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับ เพราะข้อความเด้งเตือนในมือถือว่ามื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนทำดูจะกระตือรือร้นไม่น้อยถึงขนาดส่งข้อความมาบอกแบบนี้ แสดงว่าป้าแจ่มคงเปิดตำราสอนสุดฝีมือ
“เอาไว้ถ้าผมว่างๆ จะเข้าไปนะครับ ช่วงนี้งานเยอะจนอยากจะลาออกทุกวันเลย”
“ทำไปก่อนสิ ฉันยังต้องพึ่งนาย”
“ยังต้องพึ่งอีกเหรอครับ แทบไม่มีที่ดินให้ซื้อไว้ปลูกผลไม้แล้วนะ ถ้ามากกว่านี้ผมเกรงว่าคนใหญ่คนโตในจังหวัดเขาจะจับสังเกตเอาได้ เพราะเท่าที่คุณตรีถือครองอยู่ก็เยอะแล้วนะครับ” สุทินพูดเสียงเครียด
“ถ้าชาตินี้ฉันยังไม่หลุดพ้น ซื้อสะสมไว้ก็คงไม่เสียหาย ในอนาคตไม่รู้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร อย่าลืมว่าฉันต้องอยู่อีกนาน” คำพูดจีรัชญ์ทำสุทินเงียบไป ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ
“คุณยังไม่วางใจเรื่องคุณณิชอีกเหรอครับ”
“ฉันเปิดใจให้เขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องราวระหว่างเรามันจะจบ”
::::::::::::
จีรัชญ์กลับมาถึงวังปริพัตรในเวลาต่อมา เมื่อขับรถผ่านรั้วสูงตระหง่านเข้ามาแล้วก็พบว่ามีชายหนุ่มยืนชะเง้อคออยู่ที่หน้ามุขของตัวตึก เขาหลุดยิ้มในทันทีเมื่อเห็นท่าทางของณิชที่กำลังยืนรอเขา เมื่ออีกฝ่ายเห็นรถของคนที่รอขับเข้ามาก็ยิ้มกว้างในทันที
“ผมคิดว่าคุณจะลืมมื้อเย็นไปแล้ว”
“ไม่ลืมหรอกครับ มีคนส่งข้อความเตือนตลอดเลย” ณิชยิ้มขำกับคำแซวนั้นก่อนจะเดินนำจีรัชญ์เข้าตึกไป
อาหารมื้อเย็นพร้อมแล้ว มิ้งบอกว่าเธออยากลดความอ้วนจึงทานไปตั้งแต่ 4 โมง ทั้งที่จริงต้องการให้รุ่นพี่ของเธอได้มีเวลาร่วมกับจีรัชญ์เพียงแค่สองคนมากกว่า ป้าแจ่มเห็นหญิงสาวจดๆ จ้องๆ อยู่แถวห้องรับประทานอาหารเธอจึงมาหยุดยืนข้างๆ จึงได้เข้าใจว่ามิ้งกำลังแอบดูณิชกับจีรัชญ์ที่กำลังนั่งกินมื้อเย็นด้วยกัน
“คุณเขาดูเหมาะสมกันนะคะ ป้าไม่เคยเห็นคุณตรีดูมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย”
“หนูก็ไม่คิดว่าคนใจแข็งเป็นหินอย่างคุณตรีจะโดนพี่หนูจีบจนติดเหมือนกันค่ะ” มิ้งว่าก่อนจะหัวเราะคิกคักกับตัวเอง นับถือในความพยายามของณิชจริงๆ ที่อดทนมาจนมีวันนี้
“เป็นยังไงครับ พอกินได้ไหม” ณิชถามคนที่ตักหลนเต้าเจี้ยวเข้าปากไปพร้อมกับข้าวและไข่ต้มแบบพอดีคำ เขารอลุ้นใจจดจ่อว่ากรรมการชิมอาหารแล้วจะให้ผ่านไหม เพราะตอนเขาทำเสร็จใหม่ๆ ป้าแจ่มก็บอกว่าอร่อยแล้ว แต่เขาอยากให้จีรัชญ์ยืนยันให้แน่ใจอีกสักครั้ง
“อร่อยครับ อร่อยมาก”
คำชมพร้อมแววตาหวานซึ้งทำณิชเขินจนหูขึ้นสีแดงจัด รอยยิ้มกว้างของหนุ่มเมืองกรุงทำให้จีรัชญ์ต้องยิ้มตาม เอ็นดูในความลุ้นคำตอบของณิชที่คาดหวังจากเขามาก ซึ่งรสชาติอาหารที่เขาได้ชิมก็อร่อยอย่างที่บอกจริงๆ
ระหว่างนั่งกินมื้อเย็นไปณิชอัปเดตเรื่องงานให้จีรัชญ์ฟังว่าเขาได้ทำงานเสร็จแล้ว เหลือแค่ให้จีรัชญ์ตรวจงานเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จหน้าที่ แต่หากจะมีอะไรแก้เพิ่มเติมก็บอกได้เลยเพราะตนยินดีแก้ให้
“แบบนี้แสดงว่าคุณใกล้จะกลับกรุงเทพฯ แล้วงั้นสิ” จีรัชญ์ถามเมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว คนฟังถึงกับหน้าเจื่อนไปทันที
“ผมไม่อยากกลับ” ณิชพูดเสียงหงอยๆ งานตอนนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ช่างจรูญทำงานดีเกินไปจนเขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะทีมช่างคนนี้ทำงานได้เร็วออกมาตรงแบบที่วางไว้ที่สุด และจีรัชญ์ก็ดูพึงพอใจในคุณภาพของงานด้วย
“แต่คุณต้องกลับไปทำงาน” จีรัชญ์พูดต่อ นึกอยากแกล้งคนที่กำลังทำหน้าหงอยเพื่อให้เขาเอ่ยรั้งไม่ให้ตนกลับไป
“แต่ผมไม่อยากกลับไปไง” ณิชเอ่ยย้ำ อยากให้จีรัชญ์รั้งเขาไว้สักหน่อย แค่อีกฝ่ายเอ่ยปากบอกว่าอย่าไปได้ไหมเขาก็พร้อมที่จะอยู่ที่นี่ทันที
“คุณแขไขคงไม่ยอมหรอก” จีรัชญ์ยังแกล้งต่อ ซึ่งนั่นทำให้หน้าของคนฟังหุบทันที จากหงอยกลายเป็นเริ่มบึ้งตึงดูไม่สบอารมณ์ ณิชเงียบไม่ต่อความต่อ เขาหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มจนเกือบหมดก่อนจะยกจานข้าวที่กินเสร็จแล้วของจีรัชญ์มารวมกับของตน
ป้าแจ่มที่แอบมองอยู่ตั้งแต่แรกเดินเข้ามาเก็บโต๊ะเมื่อเห็นว่ามื้อเย็นของคนทั้งสองผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความเงียบทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดราวกับก่อนหน้านี้คนทั้งสองไม่ได้มีบรรยากาศดีๆ ร่วมกัน เธอจึงรีบจัดแจงเรียกแม่บ้านมาช่วยเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ณิชรอจนกระทั่งแม่บ้านมายกกับข้าวและจานชามไปจนหมด เขาจึงพูดและเดินหนีออกจากห้องทานอาหารไป จีรัชญ์อมยิ้มมองตามพลางส่ายหน้าหน่อยๆ
“มึงจะแกล้งคุณปราณไปไย ประเดี๋ยวก็ทะเลาะกันจนเป็นเรื่อง” ไอ้มั่นอดรนทนไม่ได้ถึงกับเอ่ยปาก หากมันมีกายหยาบก็อยากจะเขกหัวไอ้เกลอรักสักที
“เดี๋ยวก็หายงอน ปล่อยไปเถอะ”
“ถ้าเกิดไม่หายกูจะขำให้ฟันร่วง ดูซิมึงจะยังหน้าระรื่นได้แบบนี้หรือไม่”
ว่าจบไอ้มั่นก็หายตัวไปโผล่ข้างณิชที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่ศาลา แสงไฟจากเสาที่อยู่ตามมุมต่างๆ ของบริเวณริมสระบัวให้แสงสว่างนวล ลมแย็นพัดโบกพอให้คลายร้อนในเวลาใกล้ค่ำ ณิชเปิดโทรศัพท์ให้เล่นเพลงกล่อมตัวเอง เพื่อปัดความคิดความน้อยใจที่มีต่อจีรัชญ์ออกไป เขาไม่อยากทำตัวงี่เง่า แต่ทำอย่างไรได้...เขาอยากอยู่กับจีรัชญ์ที่นี่
“คุณปราณขอรับ” ไอ้มั่นเรียกเจ้านายเสียงอ่อนก่อนจะนั่งลงข้างกัน ณิชเงยหน้าขึ้นมองดวงวิญญาณที่ทำตัวราวผู้พิทักษ์เขาก่อนจะยิ้มให้
“มีอะไรเหรอมั่น”
“อย่าไปถือไอ้หาญมันเลยขอรับ ไอ้บ้านั่นมันก็แค่แกล้งคุณปราณ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณปราณเสียใจนะขอรับ”
“เขาสั่งให้มาพูดเหรอ”
“มิได้ขอรับ แต่บ่าวรู้จักเพื่อนของบ่าวดีขอรับ”
“หึ! เพื่อนของมั่นอาจจะไม่อยากให้ผมอยู่จริงๆ ก็ได้ ต่อให้เขาเปิดใจให้ผม แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมผมหมดทุกอย่าง”
“โถ... อย่าตัดพ้อกันแบบนั้นเลยขอรับ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปจัดการมันให้เอง คุณปราณอยากให้บ่าวสั่งสอนมันเยี่ยงไรขอรับ” ไอ้มั่นอาสาแข็งขัน ต่อให้ไอ้หาญคือเพื่อนรักของมัน แต่หากต้องให้เลือกข้างมันก็ขอเลือกอยู่ข้างเจ้านายเสียดีกว่า
ณิชยิ้มขำกับท่าทางจริงจังของมั่นที่ออกตัวว่าพร้อมจะอยู่ข้างเขาเสมอ อารมณ์ที่เคยหน่วงในอกและน้อยใจก่อนหน้านี้ค่อยๆ เลือนหายไป เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ปล่อยอารมณ์ไปกับเพลงเก่าที่เปิดขับกล่อม
เพราะอยู่กับแม่แค่สองคน แม่เขาชอบเพลงลูกกรุงเก่าๆ เขาจึงติดหูฟังมาตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่ก็ฟังวนอยู่เพลงเดิมๆ ซ้ำๆ ที่เคยฟัง เขาหลับตาลงคิดถึงใบหน้าของสาววัยกลางคนที่อยู่ในความทรงจำ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าจีรัชญ์ยืนอยู่ตรงหน้า แทนที่จะเป็นมั่นที่นั่งเป็นเพื่อนเขา
“คุณฟังเพลงแนวนี้ด้วยเหรอ” จีรัชญ์ถามเสียงเรียบหากแต่ในใจก็ลุ้นคำตอบที่จะได้ยิน เพราะหากณิชจำเรื่องราวของชาติที่แล้วได้ ก็แสดงว่าคุณปราณในชาตินี้แตกต่างจากชาติก่อนอยู่มาก เพราะคุณปราณในชาติก่อนจดจำเรื่องราวในอดีตระหว่างเขาสองคนได้ไม่มากเท่าไหร่นัก
“ก็ชอบนะครับ มันเพราะดี เมื่อก่อนแม่ชอบเปิดฟังตอนเช้าๆ” ณิชตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อน แต่คนฟังกลับรู้สึกหน่วงในอกเพราะความหวังที่ผุดขึ้นมาเพียงเสี้ยววิว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
จีรัชญ์ปัดความรู้สึกนั้นออกก่อนจะนั่งลงข้างคนตัวเล็กกว่า ณิชมองหนุ่มข้างกายก่อนจะเอนหัวลงซบไหล่กว้าง จีรัชญ์นั่งเป็นหลักให้อีกฝ่ายนั่งซบ ไม่ได้ผลักออกหรือทำตัวเลี่ยงหลบแต่อย่างใด ก่อนจะเป็นเขาเองที่หยิบมือถือของณิชมาแล้วเลือกเพลงเพลงหนึ่งให้เปิดเล่น
“เพลงจงรัก เพลงนี้เพราะมากเลย” ณิชพูดอย่างคนที่ได้ยินเพลงนี้บ่อยๆ เพราะมันคืออีกหนึ่งเพลงที่ความหมายลึกซึ้ง ความหมายของเนื้อเพลงทำให้เขาเคยคิดว่าอยากถูกใครสักคนมาหลงรักแบบนี้
“ผมเจอคุณครั้งแรกตอนคุณเล่นเปียโนเพลงนี้” จีรัชญ์พูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน ในระหว่างนั้นมีณิชฮัมเพลงร้องตามไปด้วย คนที่นั่งซบไหล่เขาอยู่เงยหน้าขึ้นมองทันทีด้วยใบหน้าสงสัย
“หม่อมราชวงศ์ปราณันต์ ปริพัตร เล่นเปียโนเพลงจงรักเพราะมาก”
ณิชถึงกับไปไม่เป็นเมื่อได้ฟังประโยคต่อมาของจีรัชญ์ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องราวในอดีตออกมาแบบนี้ ซึ่งมันทำให้เขาอยากรู้มากยิ่งขึ้นว่าชาติที่แล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาสองคน
“คุณเล่าเรื่องชาติก่อนให้ผมฟังหน่อยสิ ผมอยากรู้”
“จะรู้ไปทำไม มันคืออดีต”
“อ่าว! ทีเมื่อกี๊คุณยังพูดอยู่เลย”
“ผมแค่อยากบอกว่าคุณเคยเล่นเปียโนเพลงนี้ก็เท่านั้น”
“อะไรกัน ชอบมายั่วให้อยากแล้วจากไปทุกที” ณิชเบ้ปากด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายที่จีรัชญ์ยังหวงเรื่องอดีตไม่ยอมปริปากพูดออกมาทั้งหมดสักที ยิ่งอีกฝ่ายทำแบบนี้เขายิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่
“คุณรู้เพียงแค่...คุณในตอนนั้นกับคุณในตอนนี้ไม่เหมือนกันก็พอ” จีรัชญ์พูดเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะงอนจริงจัง หน้าตาเริ่มเรียบนิ่งจนพาให้บรรยากาศที่มีเพลงลูกกรุงขับกล่อมเริ่มเปลี่ยนไป
“ไม่เหมือนยังไง หน้าตาเหรอครับ”
จีรัชญ์หันมองคนที่จ้องเขาตาแป๋วอย่างรอคำตอบ เขาพินิจพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“หน้าตามีเค้าความคล้าย โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้ที่ทำให้ผมจำคุณได้ แต่นิสัยไม่เหมือน”
“อ่า...ชาติก่อนผมเป็นผู้ดีมากเลยสิ เป็นถึงหม่อมราชวงศ์ แล้วดูตอนนี้สิ เป็นสถาปนิกทำงานงกๆ ให้กับเจ้าของวังที่รวยมากแถมยังใจแข็งอย่างกับหิน” คำพูดแกมประชดประชันแต่ไม่ได้ใส่อารมณ์มากนักทำจีรัชญ์มีรอยยิ้มที่มุมปาก
“ตอนคุณเป็นคุณปราณ คุณจะเรียบร้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่เมื่ออยู่ด้วยกันคุณมีเสน่ห์ยั่วยวน ตอนคุณเป็นคุณชายปราณ คุณเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย ไม่ว่าจะต่อหน้าคนอื่นหรือตอนอยู่กับผม คุณเป็นคนที่อ่อนโยนมากๆ”
จีรัชญ์พูดราวกับเพ้อออกมายามนึกถึงอดีตของตนที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนรัก ณิชมองใบหน้าที่กำลังอมยิ้มดูมีความสุขเมื่อพูดถึงอดีตแล้วก็ขมวคิ้วมุ่น สองมือเรียวยกขึ้นประคองแก้มอีกฝ่ายไว้แล้วเบี่ยงให้หันมามองตน
“แต่ตอนนี้คุณอยู่กับผม ห้ามคิดถึงคนอื่น ชาตินี้คุณอยู่กับผมนะ” อาการที่แสดงออกว่าหึงหวงของณิชไม่ได้อยู่ในความคิดของจีรัชญ์มาก่อน เขาอึ้งไม่น้อยจึงได้แค่มองตาอีกฝ่ายปริบๆ หัวใจที่เต้นอยู่ในจังหวะปกติเริ่มเต้นหนักหน่วงขึ้นทีละน้อย จนเขาคิดว่าณิชอาจได้ยินมันในนาทีใดนาทีหนึ่งแน่ๆ
“แต่คนอื่นที่ว่าก็คือตัวคุณเอง”
“แต่มันก็ไม่ได้เหมือนกันตลอดไม่ใช่เหรอครับ ตอนนี้คุณต้องอยู่กับปัจจุบัน และปัจจุบันของคุณก็คือผม” ณิชพูดน้ำเสียงจริงจัง เขาไม่ชอบเลยที่จีรัชญ์ทำตาหวานเยิ้มเมื่อพูดถึงคุณปราณหรือคุณชายปราณ อาจเพราะชาตินี้เขาไม่ได้ใช้ชื่อเล่นเหล่านั้น แต่เป็นชื่อณิชที่เป็นตัวของเขาเอง
จีรชญ์หลุดขำกับคนที่หึงได้แม้กระทั่งตัวเองในอดีต นี่ถ้าหาเขาไปผูกจิตผูกใจกับใครอื่นณิชจะไม่อาละวาดบ้านแตกเหรอ ถือว่าคุณปราณในชาตินี้เป็นการผสมระหว่างคุณปราณชาติแรกกับชาติที่สองได้อย่างลงตัว มีทั้งความเรียบนิ่งและร้อนแรงในคนเดียว และณิชก็มีความเป็นตัวของตัวเองที่ทำให้เขาประหลาดใจได้เสมอ
“คุณขำอะไร”
“ขำคนหึงตัวเอง”
“ผมไม่ได้หึง แค่ไม่ชอบให้คุณคิดถึงตัวตนเก่าของผม คุณจำทุกอย่างได้แต่ผมจำได้แค่ครึ่งเดียว มันไม่ยุติธรรมเลย” ณิชเบ้ปากด้วยอารมณ์เซ็งจัด ถ้าเขาเป็นเด็ก 5 ขวบก็คงลงไปนอนชักดิ้นชักงอบนพื้นเพื่อร้องเอาแต่ใจจากจีรัชญ์แล้ว
จีรัชญ์ใช้มือใหญ่ของตัวเองลูบกลุ่มผมนุ่มบนหัวนิดเบาๆ ก่อนจะรั้งอีกฝ่ายมาหอมกระหม่อมเพื่อปลอบใจคนที่กำลังงอแง ณิชยื้อตัวออกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแอบทำอะไรแบบไม่ให้เขาได้ตั้งตัว แสงสว่างจากเสาไฟริมสระบัวทำให้จีรัชญ์ได้เห็นหน้าแดงๆ ของอีกฝ่ายที่กำลังเขิน
“ทำอ่อนโยนใส่ผมทุกทีเลยนะครับ คอยดูนะ ในเมื่อคุณไม่ยอมบอกผมก็จะไปถามหาเอาจากคนอื่นอีก”
“จะถามจากใครได้” จีรัชญ์เอนหลังพิงพนักเอาแขนพาดวางคล้ายโอบไหล่ณิชกลายๆ ท่าทางสบายๆ ดูไม่ใส่ใจคำขู่ของณิชทำให้คนพูดต้องระดมความคิดอย่างหนักว่าเขาจะไปขอคำตอบจากใครได้บ้าง
“จาก...” ณิชเงียบไปเมื่อเขาจนมุมแล้วจริงๆ จีรัชญ์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้ามุ่ยเพราะเอาชนะเขาไม่ได้ แน่ล่ะ...ถ้าเขาไม่เก่งเรื่องการปกปิดจริงๆ จะอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้เหรอ
“ปิดให้ได้ตลอดก็แล้วกัน” ณิชพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็หยิบมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินจากไป จีรัชญ์มองตามพร้อมรอยยิ้มอ่อนกับความดื้อของอีกฝ่าย
::::::::::::
จีรัชญ์กำลังนอนอยู่ในห้องทำงานของตัวเองในช่วงบ่ายคล้อยวันหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาเผลองีบไปเมื่อตอนช่วงเที่ยง มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นณิชนั่งวาดอะไรสักอย่างลงไอแพด คาดว่าคงเป็นงานชิ้นต่อไปของเจ้าตัวนั่นแหละ ข้างตัวมีจานฝรั่งที่หั่นเป็นชิ้นวางอยู่พร้อมผงบ๊วยไว้จิ้มกินคู่กัน เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวว่าจีรัชญ์ตื่นแล้ว เขาจึงนอนมองอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ปากหยักที่กำลังขยับยามกัดกินผลไม้ดูน่ามอง
ตั้งแต่วันนั้นที่ณิชบอกไม่ให้เขาคิดถึงคุณปราณในอดีต ณิชก็แทบจะขนของมานอนที่ห้องเขา ถ้าวันใดที่เขาเผลอล็อกห้องก็จะโดนเคาะเรียก แต่ถ้าวันไหนที่ณิชตามเขาเข้าสวนจนเหนื่อยและเผลอหลับไป เขาก็จะเข้าห้องณิชเพื่อไปนอนด้วย
ช่วงกลางวันอย่างเช่นวันนี้เจ้าตัวก็ชอบมาขลุกอยู่กับเขาในห้องทำงาน ไม่ได้เข้ามารบกวนแต่เข้ามานั่งเป็นจุดพักสายตาของเขาเสียส่วนใหญ่ แน่นอนว่าถึงณิชจะไม่ได้กวนเขาแต่เขาก็ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงานเท่าไหร่นัก เพราะสายตามักหยุดมองอยู่ที่อีกฝ่ายเสมอ ราวกับณิชคือสิ่งเสพติดทางสายตาที่เขาไม่อาจละสายตาได้
สีหน้าที่จริงจังกับการทำงานของณิชมีเสน่ห์ คิ้วที่เดี๋ยวขมวดมุ่นเดี๋ยวคลายเวลาคิดงานไม่ออกทำให้เขาอยากจะเอื้อมมือไปคลึงให้เจ้าตัวเลิกทำนิสัยนั้นเสีย
“อ้าว! ตื่นแล้วเหรอครับ” ณิชหันมาถามเมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังแอบมองอยู่ จีรัชญ์อยู่บนเก้าอี้เอน นอนตะแคงข้างใช้แขนหนุนหัวมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเขาที่นั่งอยู่บนพื้นริมหน้าต่างส่งยิ้มกว้างไปให้
“ฝรั่งอร่อยไหม”
“อร่อยครับ คุณอยากกินไหม” ณิชถามแต่ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เขาคลานเข้ามาหาจีรัชญ์พร้อมจานฝรั่ง หยิบผลไม้รสชาติหวานกรอบขึ้นมาหนึ่งชิ้น จีรัชญ์ยอมอ้าปากให้ณิชป้อนแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ใช้มือป้อนเสียอย่างนั้น
“หึ...เจ้าเล่ห์” จีรัชญ์พูดเสียงเบา ใช้นิ้วแตะปลายจมูกณิชเบาๆ ก่อนจะอ้าปากงับฝรั่งจากปากอีกฝ่ายที่บรรจงป้อนให้ ณิชยิ้มเมื่อจีรัชญ์กินฝรั่งจากปากเขาแล้วเคี้ยว โดยที่สายตาหวานนั้นยังไม่ละไปจากเขาเลย
โปรดติดตามตอนต่อไปขอโทษที่หายไปนานนะคะ