แว่นดุ 15
ขอโทษ
ท่ามกลางความรู้สึกอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ อากาศที่เย็นจนรู้สึกได้ว่านี่มันไม่ใช่ฤดูอื่นแต่เป็นฤดูหนาว ลมเย็นๆพัดโชยเข้ามาภายในบ้านผ่านประตูหน้าต่างบริเวณด้านข้างของตัวบ้าน ส่งผลให้ต้องยกมือขึ้นมายกกระชับเสื้อกันหนาวเพื่อปกปิดบริเวณอกและยัดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
กัสเดินออกจากห้องของตัวเองมาได้สักพักแล้ว แม้ว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาจะมีอาการหงุดหงิดมากก็ตาม แต่ทว่าในตอนนี้เริ่มคลายความรู้สึกพวกนั้นลงไปบ้างแล้ว
“กัสว่างไหมลูก มาช่วยแม่ยกหม้อเข้าไปข้างในหน่อย”
เสียงตะโกนเรียกลอดผ่านเข้ามาข้างในบ้าน ทำให้ผมที่กำลังยืนใช้มือซุกลงที่กระเป๋ากางเกงพลันต้องรีบขยับตัวเดินออกไปตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ ที่ขณะนี้กำลังยืนขายของอยู่ด้านนอก
ให้ตายสิ เพราะมัวแต่คิดถึงแต่เรื่องพวกนั้น จนทำให้ลืมไปสนิทเลยว่าต้องออกไปช่วยแม่ขายของ
“ขายหมดแล้วหรอแม่” ถามออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบหม้อที่ด้านในไม่หลงเหลือขนมแม้แต่นิด เพราะบัดนี้ขนมที่ถูกบรรจุเอาไว้ก่อนหน้าถูกนำไปขายจนหมดแล้ว
“ขายหมดแล้วลูก วันนี้ขายดีมากกว่าปกติอีกนะ รู้มั้ย” แม่พูดพร้อมยิ้มจางๆกลับมา
“อย่างนี้ก็ดีสิแม่ แล้วตอนเย็นแม่จะขายอะไร เพราะเท่าที่ดูกล้วยมันหมดแล้วนะ อีกอย่างแป้งก็หมดด้วย หรือว่าแม่จะให้ผมออกไปซื้-”
“เย็นนี้แม่ไม่ขายของ พอดีน้าอุไรบวชลูกชาย แม่ว่าจะไปช่วยน้าเขาทำอาหารสักหน่อย”
ถึงกับยืนอึ้งกับคำตอบของผู้เป็นแม่ ทำไมไม่รู้มาก่อน แม่ไม่ได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้หนิ
“อะไรนะแม่ บ้านน้าอุไรหรอ แม่ก็รู้ว่าบ้านน้าอุไรไกลจะตาย แม่ไม่เห็นต้องไปเลย”
เพราะความเป็นห่วงเลยไม่อยากให้แม่ต้องไปไกลขนาดนั้น บ้านของน้าอุไรที่แม่ว่าอยู่ห่างไปอีกอำเภอหนึ่ง อีกอย่างถ้านั่งรถไป ก็เกือบสิบกิโลโน่นกว่าจะถึงอำเภอนั้น
“น้าเขามารับแม่ อีกอย่างลูกชายน้าอุไรบวชทั้งคน แม่ไม่ไปไม่ได้นี่งานบุญเลยนะ” แม่ยังคงยิ้มและตอบกลับมาอย่างสบายโดยไม่คิดอะไร
“ผมรู้ว่างานบุญ แม่ก็เป็นแบบนี้ทุกทีนั่นแหล่ะ ใครชวนทำอะไรไม่เคยปฏิเสธเขาสักอย่าง เอาแต่รับปากไปเรื่อย” พูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกยาว และส่ายหัวไปมาให้กับนิสัยขี้เกรงใจของแม่
“แต่ก็เอาเถอะ แล้วแม่จะกลับกี่โมง”
“อาจดึกหน่อยนะลูก แม่ไม่รู้จะกลับมาตอนไหน ตอนแรกแม่ก็จะให้กัสไปด้วย พอดีวันนี้น้องของกัสมาเที่ยวแม่เลยไม่อยากให้อยู่คนเดียวลำพัง ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ อยู่กันสองสามคนมันก็ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ” แม่พูดพร้อมยิ้มจางๆ
“ตัวปัญหาชัดๆ” ผมพูดเอ็ดเบาๆแต่แม่กลับได้ยิน
“กัส..แม่ไม่ชอบนะที่ลูกว่าน้องแบบนี้ แม่จะสอนอะไรอย่างนึงนะกัส เพื่อนหรือคนที่เราไว้ใจน่ะ ไม่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆหรอกนะลูก ถ้าหากวันใดมีคนแบบนี้เข้ามาในชีวิต แม่อยากให้กัสรักษาเขาเอาไว้ดีๆ คนที่จริงใจกับเราไม่ได้มีเข้ามาให้เราบ่อยๆหรอกนะลูก”
แม่พูดประโยคที่ทำให้ผมถึงกับเงียบอีกครั้ง พร้อมกับเอื้อมมือขึ้นมาลูบแก้มเบาๆพร้อมยิ้มอบอุ่นที่ผมมักจะได้รับอยู่บ่อยๆ
“แม่รู้ว่าลูกของแม่เป็นคนยังไง”
“แต่..”
“ไม่มีใครดีได้ทั้งหมดหรอก ทุกคนย่อมมีทั้งดีและไม่ดีอยู่ในตัวทั้งนั้น แต่แม่รู้ว่ากัสลูกของแม่ไม่ใช่คนไม่ดี และเซนก็เหมือนกัน” แม่พูดและยิ้มจางๆพร้อมกับหันหน้าไปเก็บของต่อ
“แล้วน้าอุไรจะมารับแม่กี่โมง” ถามพร้อมกับหันหน้าไปสนใจอุปกรณ์บรรจุขนมตรงหน้าต่อ หลังจากที่พูดคุยเรื่องก่อนหน้าจนจบแล้ว
“ประมาณช่วงบ่าย น้าอุไรโทรมาบอกแม่ตอนที่กัสพาเซนเอาของเข้าไปเก็บน่ะลูก เอ๊ะจริงสิ แล้วเซนไปไหนแล้วละ หรือว่ายังจัดของไม่เสร็จ” แม่หันหน้ากลับมาพร้อมกับขมวดคิ้วสงสัย
“อยู่ในห้องแหล่ะ สงสัยยังจัดของไม่เสร็จอย่างที่แม่บอกมาล่ะมั้ง” แม่พยักหน้าเข้าใจ
ส่วนการตอบคำถามของผม เป็นคำตอบที่ไม่ได้ใส่ใจและไม่ได้สนใจ บุคคลที่เป็นจุดสนทนาเท่าไหร่นัก นอกจากหันหลังไปหยิบหม้อเข้ามาเก็บในครัวต่อ ส่วนแม่ของผมก็เดินขึ้นไปบนบ้านเป็นที่เรียบร้อยหลังจากที่เก็บของหน้าร้านเสร็จ
ถอนหายใจยาวๆหลังจากที่แม่เดินแยกออกไป ผมหันกลับมาหอบหิ้วหม้อที่วางเรียงรายอยู่บริเวณหน้าบ้านเข้ามาทีละสองสามใบจนหมด แน่นอนว่าผมยังไม่ได้ล้างหม้อตอนนี้แน่นอน เหตุผลที่ปกติทั่วไปคือเพราะขี้เกียจ อย่างน้อยตอนนี้ผมกะเอาไว้ว่าจะรอให้ใหม่กลับมาก่อนและค่อยมาช่วยกันล้างทีหลัง
เพราะไอ้เด็กนั่นมันชำนาญซะยิ่งกว่าตัวผมที่เกิดมาพร้อมกับอาชีพทำขนมของบ้านหลังนี้ซะด้วยซ้ำ
จะว่าไป... ความจริงแล้ว ผมย้ายไปนอนกับไอ้ใหม่ก็ได้นี่หว่า ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาอดทนนอนกับเซนเลย
หลังจากที่ได้คิดแผนการย้ายที่หลับที่นอนจนเสร็จสรรพมาได้สักพัก จู่ๆก็มีเสียงรถบีบแตรบริเวณหน้าบ้านสองสามที แทบไม่ต้องคิดอะไรให้เยอะแยะมากมาย น้าอุไรคงขับรถมารับแม่ผมแล้วแน่ๆ
น้าอุไรเป็นเพื่อนของแม่ผม เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนผมยังอยู่ประถม แต่ที่น่าแปลกก็คือ แม่ของผมไม่น่าจะไปเป็นเพื่อนกันน้าอุไรได้เลย เพราะอะไรนะหรอ มันเป็นเพราะฐานะทางบ้านของผมกับน้าอุไรช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี่สิ
น้าอุไรเป็นเศรษฐินีประกอบกิจการโครงการบ้านจัดสรรซึ่งอยู่ในฐานนะที่รวยเอาการ เท่าที่ผมรู้มาน้าอุไรไปเที่ยวเมืองนอกทุกเดือน เดือนละประเทศออกจะได้มั้ง ซึ่งผิดกันกับบ้านของผมที่มีฐานะปานกลางค่อนไปทางจน พอมีพอกินไปวันๆเท่านั้น
อีกทั้งยังประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ำ วันไหนขายไม่ได้ก็จำต้องเอาเงินที่อยู่ในบัญชีของพ่อที่ไม่อยากใช้เสียเท่าไหร่ออกมาใช้กินอย่างเจียดๆ อย่างที่บอกกันไป ระหว่างน้าอุไรและแม่ของผมไม่น่าจะไปรู้จักมักจี่กันได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้แม่ของผมและน้าอุไรเป็นเพื่อนที่พูดคุยถูกคอกันได้ก็เพราะน้าอุไรเคยมาเหมาขนมของแม่ผมไปจนหมดร้านและดันลืมกระเป๋าสตางค์ราคาแพงที่มีเงินเป็นก้อนๆอยู่ในนั้น
มีแม่ผมที่เป็นคนเอากระเป๋าสตางค์ไปคืนน้าอุไร และหลังจากนั้นน้าอุไรก็มาหาบ่อยขึ้น และทุกครั้งจะมาเหมาขนมกลับไป บางครั้งก็โทรมาหาให้ทำแกงส้มไว้ และน้าอุไรก็มาเอาไปกินอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่น้าอุไรมาหาก็จะเอาของกินบ้าง ของใช่ที่ไปซื้อมาจากต่างประเทศมาฝากอยู่เสมอ แลกกับอาหารที่แม่ผมพอจะทำได้
และทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ใครๆก็ว่าแปลกประหลาด ระหว่างแม่ของผมและน้าอุไร
“แม่! น้ามาแล้ว” ผมตะโกนเรียกแม่ที่อยู่ด้านบนทันทีที่ได้ยินเสียงรถ
“แม่เสร็จพอดีเลย”
ผมหันไปมองแม่ที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาจากบันไดพร้อมกับใส่ชุดสวยสไตล์หญิงวัยกลางคนที่เขามักจะนิยมใส่กัน บริเวณแขนข้างซ้ายหิ้วกระเป๋าหนังใบสวยที่แม่รักและหวงมาก ถ้าออกงานสังคมแบบนี้ แม่ของผมไม่พลาดที่จะเอาไปอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นกระเป๋าราคาแพงที่น้าอุไรซื้อมาให้เป็นของขวัญ
“ไปดีๆนะแม่ คงไม่ได้ออกไปส่งนะ ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย” ผมรีบบอกปัดเอาไว้ก่อน เพราะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมไม่อยากออกไปเท่าไหร่นัก
“ออกไปสักแปบนึงสิกัส ไปให้น้าอุไรเห็นหน้าสักหน่อย” แม่พูดพร้อมกับทำคิ้วขมวดเชิงบังคับ
ว่าแล้วว่าแม่ของผมจะต้องไม่ยอมแน่ๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้อายเพราะไม่อาบน้ำหรอกนะ แต่เพราะไม่อยากออกไปเจอน้าอุไรมากกว่า รายนั้นชงผมกับลูกสาวของตัวเองหนักมาก แล้วแม่ผมก็ดันเห็นดีเห็นงามไปกับน้าอุไรด้วย
และนี่น้าอุไรคงไม่พ้นที่จะพกลูกสาวคนสวยมาด้วยอย่างแน่นอน บอกตามตรงว่าไม่อยากออกไปเลย แต่เพราะขัดแม่ไม่ได้ทำให้ต้องจำใจเดินออกไปทั้งๆอย่างนั้น
“ว๊ายยย นั่นลูกเขยฉันนี่” เสียงแหลมเสียดแก้วหูที่แสนคุ้นเคย ไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะเสียงที่ว่าคือเสียงของน้าอุไร คนที่ผมไม่อยากเจอที่สุด
“เพลาๆหน่อยอุไร โน่นหนูดาวเขินใหญ่แล้ว” เสียงนี้แม่ผมเอง แม่ผมพูดพร้อมกับพยักเพยิดหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไปที่หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆน้าอุไร
ใช่...เธอชื่อดาว ตอนนี้โตเป็นสาวขึ้นเยอะกว่าปีที่แล้วเป็นไหนๆ ทั้งๆที่อยู่แค่ ม.ปลายแท้ จะว่าไปสมัยนี้เด็กโตไวมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ผิดกับตอนสมัยของผมลิบลับ กว่าจะโตกันได้ก็นั่นแหล่ะ เข้ามหาลัยก่อนถึงจะเรียกว่าโตกันแล้ว
“ดาว สวัสดีพี่กัสสิลูก” น้าอุไรเอ่ยขึ้น
“สวัสดีค่ะพี่กัส” น้องดาวที่กำลังยืนหน้าแดงรีบยกมือไหว้ผมแทบจะทันที
“สวัสดีครับ” ผมทักทายกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มตามมารยาท
เธอยิ้มหวานมาให้ผม แน่นอนว่าผมก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน แต่ผมยิ้มตามมารยาทเท่านั้นแหละ ไม่ได้ยิ้มเพราะรู้สึกสนใจทางชู้สาวอย่างที่แม่ของผมและน้าอุไรคิดกันหรอกนะ
“กัสยิ่งโตยิ่งหล่อจริงๆเลย นี่เธอเลี้ยงลูกยังไงถึงได้หล่อขนาดนี้กันเนี่ย” น้าอุไรพยักเพยิดถามแม่ของผมขณะที่ยิ้มหวานส่งมาให้อย่างไม่ขาด
“ลูกหน้าตาดีเหมือนแม่ไงจ๊ะ ไม่น่าถาม”
“โอ๊ย ฉันไม่นาถามเธอเลยจริงๆนั่นแหล่ะ”
ผมยืนมองแม่กับน้าอุไรพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปหลายนาที ซึ่งเรื่องส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องของผมแทบทั้งนั้น และก็มีเรื่องของน้องดาวปนเปมาบ้างประปราย และใดๆทั้งหมดก็จะไม่พ้นเรื่องการจับคู่ระหว่างน้องดาวและผมอย่างแน่นอน
ได้แต่คิดและก็ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ทว่าในขณะที่ผมกำลังทำหน้าเบื่อช่วงแขนของผมกำลังถูกใครสักคนสะกิดให้ต้องหันไปสนใจ และใครคนนั้นไมใช่ใครที่ไหนเลย น้องดาวที่ยืนกำลังยืนอยู่ข้างๆผม ไม่รู้ว่าขยับมายืนใกล้ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนแรกน้องเขายังยืนอยู่กับผู้เป็นแม่อยู่เลย
น้องดาวลูกสาวของน้าอุไร เป็นเด็กหญิงตัวไม่สูงมากนัก ถ้าวัดดูด้วยสายตา ตอนนี้ก็คงจะสูงประมาณ 160 ต้นๆได้แล้วมั้ง ผิวก็ขาว หน้าตาก็น่ารักอย่างเด็กผู้หญิงบ้านมีฐานะทั่วๆไป ผมสีดำสนิทยาวสลวย แถมยังตัดหน้าม้ายิ่งทำให้หน้าดูเด็กลงไปอีก
เท่าที่ผมกล่าวมาทั้งหมด หากเป็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกันกับน้องดาวหรือผู้ชายคนอื่น คงหนีไม่พ้นที่จะเข้ามาจีบแน่ๆ แต่ผิดกับผมลิบลับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบผู้หญิงหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่ได้ชอบน้องเขาแบบชู้สาวอย่างที่แม่ต้องการก็เท่านั้น
ว่าแต่น้องเขาสะกิดผมทำไมละเนี่ย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“หนูขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” เด็กสาวตรงหน้าพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆอย่างมีจริต
“เดินเข้าไปด้านใน แล้วเลี้ยวซ้ายนะ” ผมตอบพร้อมกับชี้มือบอกตำแหน่งห้องน้ำที่อยู่ในบ้านให้
หลังจากที่ผมบอกเสร็จ เด็กสาวลูกน้าอุไรก็รีบเดินเข้าไปด้านในทันที เธอดูอายๆนิดหน่อย ในขณะที่ถามทางไปห้องน้ำจากผม แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก กลัวว่าถ้าหากผมให้ความสนใจมากไปกว่านี้มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่แม้แต่ผมเองจะไม่สามารถแก้ไขมันได้
เพราะอะไรนะหรอ ถ้าแม่จับสังเกตได้ว่าผมสนใจน้องดาว แน่นอนว่าทั้งแม่และน้าอุไรจะยิ่งจับคู่ให้มากกว่านี้แน่ เผลอๆถ้าน้องโตกว่านี้และเกิดชอบผมขึ้นมา คงจะยิ่งถูกจับให้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอย่างแน่นอน เอาหัวเป็นประกันได้เลย
ผมยืนพิงกรอบประตูหน้าร้านมองไปที่แม่และน้าอุไร ที่ตอนนี้ยังคงนั่งจับเข่าคุยกันอย่างออกรส จนหลงลืมไปแล้วว่าจะมารับแม่ผมให้ไปบ้านตัวเอง ผมละอดที่จะทักไม่ได้เลยจริงๆ สรุปยังไงจะไปไหม หรือแค่ขับรถมานั่งคุยเล่นกับแม่ผมเฉยๆกันแน่
“แม่...สรุปคือไม่ไปบ้านน้าอุไรแล้วหรอ” ไวเท่าความคิด ผมก็พูดออกไปแทบจะทันที และหลังจากที่ถามออกไป แม่ของผมหยุดประโยคสนทนาแทบจะทันควันและหันหน้ามามองที่ผมอย่างตื่นๆ รวมไปถึงน้าอุไรก็ด้วย
“จริงด้วย แม่ลืมสนิทเลย”
“น้าด้วย โอ๊ย คุยเพลินไปหน่อย ถ้าอย่างนั้นแม่รับเอาแม่ของกัสไปก่อนนะจ๊ะ ขึ้นรถหนูดาว เอ้ะ...แล้วหนูดาวไปไหนแล้ว”
จริงสิ น้องดาวไปเข้าห้องน้ำตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย ตกลงหาห้องน้ำเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่ก็เกือบยี่สิบนาทีแล้วที่ดาวเข้าไปในบ้านของผม
ไม่ใช่ว่า...
ไอ้แว่น!
“น้าอุไร เดี๋ยวผมไปตามให้เองครับ เมื่อกี้เห็นว่าขอไปเข้าห้องน้ำ” ผมรีบชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อนทันที
“ดีเลยจ้ะ ถ้าอย่างนั้นน้าจะรอกับแม่กัสที่รถ-”
น้าอุไรยังไม่ทันจะพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ ผมก็รีบก้าวเท้ายาวๆเดินแยกออกมาและมุ่งหน้าเข้าไปยังด้านในบ้าน มันน่าแปลกตั้งแต่ที่น้องเข้ามาข้างในนานเกินไปแล้ว ปกติถ้าจะเข้าห้องน้ำก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้
แต่นี่กลับเข้ามาและเงียบหายไปเลย ในใจของผมกำลังคิดว่า ถ้าน้องเข้ามาในบ้านและเจอกับเซนอะไรมันจะเกิดขึ้น ระหว่างตกใจกับคนแปลกหน้าในบ้านของผม กับอีกหนึ่งอย่างที่ผมไม่อยากจะคิดต่อ
ไม่ใช่ว่าผมหวงอะไรไอ้หมอนั่นหรอกนะ แต่ถ้าจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรเลยก็จะเรียกว่าโกหกเกินไป ถ้าว่ากันตามจริงมันก็มีอยู่นิดหน่อยนั่นแหล่ะ
ผมใช้เวลาเดินเข้ามาในบ้านได้ไม่นาน ก็เจอเข้ากับสิ่งที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าไม่อยากจะเจอที่สุด แสดงว่าภาวนาในใจมันใช้ไม่ได้ผลเลยสินะ ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือคนสองคนกำลังคุยกับอย่างออกรสแถมยังยกมือถือขึ้นมาทั้งคู่ คล้ายกับกำลังกดส่งอะไรหากันสักอย่าง
และไอ้ที่น่าเจ็บใจมากกว่าก็คือ ไอ้แว่นมันดันหัวเราะและยิ้มมีความสุขขนาดนั้น แค่เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คนสองคนจะพูดคุยกันอย่างออกรสได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ ถ้าไม่ใช่ถูกชะตากัน
ผมถึงกับยืนนิ่งมองคนสองคนตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ และดูเหมือนว่าสองคนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าผมกำลังยืนมองอยู่ตรงนี้ เพราะทั้งคู่ยังคงหัวเราะคิกคักใส่กันเหมือนเรื่องปกติ ต่างคนต่างก็มองมือถือของกันและกันไปมาจนผมรู้สึกแปลกๆในอกอย่างบอกไม่ถูก
คงเป็นเพราะว่าภาพตรงหน้าระหว่างคนสองคนมันดูเหมาะสมกันอย่างไม่มีที่ติละมั้ง
กว่าจะรู้ตัวว่ามีผมที่ยืนมองอยู่ห่างๆก็ผ่านไปเกือบนาที เวลาเกือบนาทีที่ผ่านพ้นไปเหมือนผมเป็นเพียงแค่อากาศที่ลอยผ่านพวกเขาทั้งสอง ส่วนคนที่รู้ตัวก่อนคนแรกว่ายังมีผมที่ยืนมองอยู่อย่างไม่ละสายตาไปทางไหนก็คือเซน
เซนมองมาที่ผมพร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจไม่น้อย แน่นอนอยู่แล้วที่เซนจะตกใจ ก็ผมดันเข้ามาขัดจังหวะช่วงเวลาสานต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองไม่ใช่หรือไงละ
“พี่กัส” เสียงเรียกชื่อผมเป็นเสียงของเด็กหญิงที่ยืนอยู่ มันน่าเสียดายนิดหน่อยเพราะผมคาดหวังว่าคนที่เอ่ยเรียกชื่อของผมควรจะเป็นเซนที่มองเห็นผมก่อนเด็กหญิงคนนั้น
“พี่กัส หนูขอโทษที่เข้ามานานไปหน่อยนะคะ พอดีว่าหนูกำลังจะออกไปแล้ว” ดาวยังคงพูดต่อพร้อมกับคว้ามือถือที่อยู่ในมือของเซนเอามาไว้กับตัวเองและส่งคืนมือถือของเซนที่อยู่ในมือของตนไปให้
นั่นคงจะเป็นมือถือของดาว และทำไมมันถึงได้ไปอยู่ในมือของเซนได้ละ สองคนนี้กำลังจะทำอะไรกันแน่ ผมกลอกตาทำเป็นไม่สนใจและทำเป็นเบื่อหน่ายกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเต็มทน
ทั้งๆที่ภายในใจมันกำลังว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งจุกไปทั่วทั้งอก แต่ก็ทำได้เพียงเก็บซ่อนอาการเหล่านั้นเอาไว้ภายในใจไม่แสดงมันออกมาให้ใครเห็น
“น้าอุไรให้พี่มาตามดาวกลับบ้าน” ผมตอบจุดประสงค์ที่เข้ามาในบ้านหลังจากที่ทั้งคู่แลกมือถือกันเสร็จแล้ว
“รบกวนพี่กัสแย่เลย หนูขอโทษที่เข้ามานานเกินไปนะคะ” ดาวพูดพร้อมกับยิ้มแห้งๆกลับมา
“ไปกันเถอะ” ผมพูดและมองดาวเพียงครู่โดยที่ไม่มองใครอีกคนที่ยืนเป็นใบ้อยู่บริเวณนั้นแม้แต่หางตา
“พี่เซน ดาวกลับก่อนนะ ไว้ดาวจะโทรหานะคะ”
โทรหาหรอ หมายความว่าไง แค่ยี่สิบนาทีนี่ถึงกับแลกเบอร์กันแล้วหรอ
“อย่าบอกเรื่องนี้กับแม่ละ” เซนพูดพร้อมกับทำสีหน้ายิ้มๆไปให้ดาว ซึ่งดาวก็พยักหน้ายิ้มๆและเดินนำผมไปก่อน แน่นอนว่าผมเดินตามดาวออกมาด้วยเช่นกัน
แต่ในหัวของผมมันกำลังตีกันจนจะระเบิดเต็มทน มันเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งหมดทั้งมวลผมกำลังหงุดหงิดเซน หงุดหงิดทั้งๆที่มันยังไม่ได้ทำอะไรเนี่ยแหละ
หลังจากที่เดินมาส่งดาวที่หน้าบ้าน ผมรอให้ดาวขึ้นรถและโบกมือลาแม่ จนรถของน้าอุไรแล่นผ่านหน้าบ้านออกไปจนลับสายตา ผมยังคงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ได้เดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก
คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไม่ยอมเข้าไป มันมีอยู่แค่เหตุผลเดียวคือผมไม่อยากเข้าไปเจอหน้าคนข้างในบ้านสักเท่าไหร่
“จะยืนข้างนอกอีกนานไหม หรือว่าจะรอให้แม่พี่ถึงที่นู่นก่อนและค่อยเข้ามา”
“ไม่ยุ่งสักเรื่องก็คงจะไม่ตาย” ผมพูดตอกกลับไปพร้อมกับหันหน้าเข้าบ้านและทำท่าจะเดินผ่านเซนไป แต่กลับต้องหยุดชะงักเพราะอีกฝ่ายยังคงพูดคุยและต่อบทสนทนาไม่หยุด
“แม่พี่ไม่อยู่”
“แล้วไง”
“พี่อยู่บ้านแค่กับผมสองคน”
“แล้ว”
“ผมอยากเคลียร์เรื่องระหว่างเร--”
“ไม่มีคำว่าเรา”
พูดตัดบทโดยทันที โดยไม่รอให้เซนพูดจบประโยคด้วยซ้ำ มันจริงไม่ใช่หรอ เรื่องระหว่างเรามันไม่มีอีกแล้ว ผมว่าผมจบเรื่องทุกอย่างไปแล้วนะ
ทุกครั้งที่หวนคิดไปถึงเรื่องที่ผ่านมาพวกนั้น ผมมักจะเจ็บจุกไปทั่วบริเวณอกเสมอ ภายในสมองเอาแต่คิดว่าคนพวกนี้ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง คำพูดนี้มันมักจะวนเวียนหลอกหลอนผมไปทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆที่ผมประสบพบเจอจนแทบยืนไม่อยู่
เพราะแบบนี้ผมถึงได้กลับมาที่นี่ กลับมารักษารอยแผลที่มันเหวอะหวะแทบไม่มีชิ้นดีให้มันหาย ถึงแม้ว่าผมจะรู้ดีว่ามันจะต้องฝากรอยแผลเป็นเอาไว้ให้คอยนึกถึงก็ตาม แต่อย่างน้อยผมก็อยากรักษามันด้วยตัวของผมเอง
แต่ทว่าทุกอย่างตอนนี้มันกลับไปหมด เซนโผล่เข้ามาในชีวิตประจำวันของผมอีกครั้ง อีกทั้งยังเข้ามาในระหว่างที่ผมกำลังเริ่มรักษาบาดแผลของตัวเอง ผมกำลังเริ่มต้นใหม่ แต่การเริ่มต้นใหม่ของผมกลับมีคนที่เคยทำร้ายเข้ามาร่วมด้วย
จะให้คิดยังไงได้อีก
“พี่” ผมรับรู้ได้ว่าเสียงของเซนอ่อนลงมาก เบาจนแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ แต่เพราะว่ามันเงียบเลยทำให้ผมได้ยินเสียงของเซนชัดมาก
“อยากจะพูดเรื่องที่ผ่านมาหรอ”
“...”
“ถ้าอยากพูดก็พูด แล้วหลังจากนี้ก็เลิกพูดถึงเรื่องพวกนั้นได้ละ ไม่อยากเก็บไปจำไปใส่ใจอีกต่อไปแล้ว” ผมตอบกลับไปเพราะผมคิดแบบนี้จริงๆ
“ขอโทษ”
น่าแปลกที่ตอนนี้คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเซน มันกลับทำให้ผมรู้สึกพูดไม่ออก เราทั้งสองต่างก็เงียบจนได้ยินเสียงรถยนต์ข้างนอกที่ขับผ่านไปมาอย่างชัดเจน
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออะไร ทำไมผมกลับรู้สึกได้ว่าเซนพูดมันออกมาด้วยความรู้สึกจริงๆ จากความรู้สึกนิ่งอึ้งในคราแรกตอนนี้ผมกำลังรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนยกเรื่องบางอย่างออกมาจากอกได้นิดหน่อยแล้ว
ใช่....ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“พี่ให้อภัยผมได้ไหม” เซนพูดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เว้นช่วงระยะผ่านไปสักพัก
“ได้”
ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมพูดแบบนั้นออกไปจริงๆ อาจเป็นเพราะผมไม่อยากให้ความบาดหมางใจมันเข้ามาทำร้ายความรู้สึกระหว่างตัวผมกับเซนอีกแล้ว ถ้าหากว่าผมยังคงบาดหมางใจกับเซนอยู่ ความรู้สึกอึดอัดบ้าๆพวกนี้มันคงไม่มีทางหลุดออกไปได้แน่ๆ
บางครั้งคนเราก็ควรปล่อยวางมันบ้าง จริงอย่างที่ใหม่บอก...
หมับ!
“พี่พูดจริงๆนะ!”
ผมกำลังถูกสวมกอดจากด้านหลัง ซึ่งคนกำลังกอดผมเอาไว้คือเซน น้ำเสียงที่เซนเปล่งออกมามันเต็มไปด้วยความดีใจ และผมก็ดีใจเหมือนกัน ผมกำลังดีใจที่ได้ปล่อยวางเรื่องที่มันหนักอึ้งลงไปบ้างแล้ว
แต่...
ผมอยากเริ่มต้นใหม่ ผมไม่อยากสานต่อความสัมพันธ์อะไรทั้งสิ้น
“ปล่อยได้แล้ว” รอยยิ้มของผมในตอนแรกเริ่มมลายหายไปช้าๆและแทนที่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งซึ่งเป็นปกติของผม
“แน่นไปหรอ กอดหลวมๆก็ได้” เซนยังคงพูดต่อ น้ำเสียงยังคงเก็บความรู้สึกดีใจไม่มิดออกมา
“บอกให้ปล่อย” เสียงของนิ่งขึ้นกว่าเดิมจนทำให้เซนเริ่มรับรู้แล้วว่าผมไม่ได้ล้อเล่น
ช่วงแขนที่กอดตัวของผมแน่นในคราแรก ตอนนี้ค่อยๆคลายแขนออกจนผมถูกปล่อยออกมาให้เป็นอิสระเหมือนเดิม
“ไหนว่าพี่...”
“ให้อภัยแล้ว ไม่โกรธแล้ว ไม่คิดอะไรแล้ว อีกอย่างนายก็สำนึกผิดแล้ว ทุกอย่างมันจบแล้ว” ผมตอบกลับไปพร้อมกับหันหน้าไปหา เงยหน้ามองแววของของเซนที่มันกำลังวูบไหว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเซนกำลังไม่เข้าใจ
“ผม...ผมไม่เข้าใจ เราควรจะกลับมาเป็นเหมือนเดิ-” เซนกำลังร้อนรน ผมสัมผัสมันได้ผิดกับผมที่เย็นเหมือนกับน้ำแข็ง
“บอกไปแล้วว่าไม่มีคำว่าเรา เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม”
พูดจบผมก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านก่อน ทิ้งอีกฝ่ายให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง ผมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดไม่น้อย ผมเห็นท่าทางหงุดหงิดของเซนก่อนที่จะเข้ามาด้านในจนลับสายตา
เซนคงไม่พอใจที่ถูกผมปฏิเสธความสัมพันธ์อีกครั้งแน่ๆ
น้องดาวคือคายยยยยย
หน่องดาวววววววววววว
อย่าเกลียดหน่องดาวเลยนะ
ตัวชงชั้นเยี่ยมเลยคนนี้555555555