เราสองคนเดินออกจากห้องน้ำมาตามทางเดินในตัวตึก ใยไหมหายไปแล้ว ส่วนฝูงชนที่เลิกเรียนเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อครู่ก็เหลืออยู่อย่างเจือจาง พวกที่ยังนั่งอยู่ตามมุมต่างๆกลับเป็นสายชิลที่ไม่เคร่งกับตัวเองว่าจะต้องไปไหนมาไหน ถึงบ้านเมื่อไรก็ได้
“เมื่อกี้ไปเจออะไรมาเหรอครับ ถึงต้องรีบพรวดพราดเข้าห้องน้ำขนาดนั้น” ต่อให้คนไม่มีไหวพริบยังไงก็ต้องสงสัย เพราะผมพรวดพราดเข้าห้องน้ำไปหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำธุระหนักเบาอะไรแล้วออกมาเฉย
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ลืมไปว่าเข้าห้องน้ำแล้วน่ะ” ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมาทันที
“อย่างนี้ต้องพาไปเลี้ยงปลาแล้ว”
“เลี้ยงปลา? หมายถึง...ให้อาหารปลาเหรอ” เกรทเลิกคิ้ว ก่อนเม้มปากกลั้นยิ้ม
“อันนั้นก็อยากพาไปครับ วันไหนเราชวนคุณพ่อคุณแม่ให้มาเจอกัน แล้วไปทำบุญที่วัดกันมั้ยครับ” ใบหน้าเปี่ยมสุขของเกรท ทำเอาสู้ออร่าสว่างไสวแทบไม่ได้จึงต้องเบี่ยงสายตาหลบ
“ก็ดีเหมือนกัน เอาเป็นวันปีใหม่มั้ยล่ะ”
“ดีเลยครับ ไปทำบุญกับอิมในวันเกิด”
“...” ยังจำวันเกิดผมได้ด้วย
“แต่วันนี้ต้องพาอิมไปเลี้ยงปลาก่อนนะ เดี๋ยวแวะซื้อกับข้าวริมทางแล้วไปทานที่บ้านอิมกันมั้ยครับ”
“แต่แม่ผมบอกว่าจะทำกับข้าวให้”
“เผื่อกับข้าวนั้นไม่มีปลาไง” เจ้าตัวยิ้มหยอก จนผมต้องทุบแรงๆไปหนึ่งรักให้เลิกล้อกันสักที พวกเราเดินคุยกันเรื่อยเปื่อยจนเท้าก้าวมาตรงส่วนกลางที่ต้องเลือกทางเดินระหว่างลงบันได กับลิฟต์ ผมสะกิดแขนเกรทเบาๆ
“เกรท ลงบันไดเถอะ”
“แต่นี่ชั้นสาม”
“เอาเถอะ ลงบันได นะ” ผมจับแขนเส้นอีกฝ่าย เกรทไม่เคยต้านคำขอร้องได้เลยสักครั้ง จึงผงกศีรษะรับ ก่อนเดินตามกันมาถึงบันได
“อิม” ระหว่างก้าวลงทีละขั้นร่างสูงซึ่งนำหน้าอยู่เรียกชื่อ ผมจึงได้แต่ส่งเสียงอืมในลำคอขานตอบว่าฟังอยู่ “นี่อิมกำลังหลบหน้าพี่เบสอยู่ใช่มั้ย”
“...!”
ขาผมแทบจะหยุดก้าวในทันที เกรทนิ่งอยู่กับที่หมุนตัวมาทางผม มองคนที่อยู่สูงกว่าด้วยสายตาจริงจัง
“ที่เลือกไม่ขึ้นลิฟต์เพราะกลัวจะเจอพี่เบสที่ไม่รู้ว่ากลับไปรึยังใช่มั้ยครับ” ผมเสตาลงต่ำมองขั้นบันไดพลางเดินลงต่อ
“รู้ด้วยเหรอ”
“แค่เดาน่ะครับ” ขนาดแค่เดายังตรงเป้าได้ขนาดนี้
“ก็คุณบอกว่าไม่ค่อยอยากให้ผมกลับกับเบสสักเท่าไรหนิ” ผมทำปากบิด
“ผมไม่ได้บังคับ” ร่างสูงถอนหายใจเบา “แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลับกับ ‘ว่าที่แฟน’ ชาวบ้านเขาทุกวัน”
คำเรียกขานที่ยังไม่เต็มฐานะกลับทำให้ดวงหน้าเห่อร้อนอย่างประหลาด
“ตอนนั้นที่อิมบอกกับผม อิมสัญญาอะไรกับพี่เบสไว้เหรอครับ” เมื่อกระโดดตามลงมาจนห่างจากเกรทสองขั้น แขนแกร่งก็พลันยื่นส่งมาตรงหน้า ประหนึ่งว่าหมายมาดให้จับประคับประคอง ผมไม่ปฏิเสธความหวังดีของเด็กหนุ่มรุ่นน้องขยับมือออกไปคว้าไว้ ก่อนจะตอบคำถามเบาๆ
“ผมผิดเอง ที่ทำเพื่อนเสียใจ” คราวนี้คงเลี่ยงไม่ตอบไม่ได้แล้ว เลยตั้งใจจะบอกให้หมดทุกอย่าง แต่ทว่า...
“เกรท?” เสียงหวานๆเสียงหนึ่งดังขึ้นยามที่เท้าก้าวถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมแปลก ณ จุดนี้ ว่าทำไมฝ่ายที่รับคำคนเป็นหนักหนา บอกว่าจะรีบไปหา ถึงยังมายืนอยู่ตรงนี้
“พี่ใยไหม?” เสียงคนข้างกายเรียกชื่ออีกฝ่ายตอบรับมันทำให้ผมชะงักค้าง เกรทมีสีหน้านิ่งงันไม่แสดงอารมณ์ผันแปรตามผู้มาใหม่ มือใหญ่กระชับจับมือผมไว้แนบแน่น ก่อนอีกข้างย้ายมาประคองท้องแขน จับจูงให้ผมเดินทิ้งก้าวสุดท้ายมายังชั้นล่าง
“อิมเมจ?” ทันทีที่เห็นผมสีหน้าเธอออกอาการสงสัยเต็มเปี่ยม ดวงตาคู่สวยภายใต้คอนแทคเลนส์สีอ่อนสร้างเสน่ห์ดึงดูดให้จ้องมองอย่างตราตรึง ใยไหมมองหน้าผมสลับกับมือใหญ่ที่จับต้นแขนไว้อย่างมึนงง
“เกรทกับอิมเมจ...” เกรทขยับตั้งใจจะก้าวไปขวางหน้า
แต่ผมกลับประกาศโพล่งออกมาก่อน “พวกเรากลับมาคบกันแล้วน่ะ”
“เอ๊ะ?” เสียงเล็กสูงดังอย่างฉงนกับสถานการณ์ ส่วนร่างสูงได้แต่หันกลับมามองตามเจ้าของคำพูด
“หรือว่าผมเข้าใจผิด?” ผมช้อนสายตามองหญิงสาว จดจ้องสังเกตพฤติกรรม ใบหน้าใสซึ่งแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดีนั้นชืดลงทันตา วาจาท่าทีที่ตามมาดูกระอักกระอ่วน
“ล...แล้วมาบอกไหมทำไมล่ะ”
“ผมไม่อยากให้ใยไหมคิดมากน่ะ”
“...”
“กลัวจะคิดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราสองคนเลิกกัน วันนั้นขอโทษจริงๆที่หุนหันพลันแล่น เห็นฉากเลิฟซีนในละครเวทีเป็นจริงเป็นจังไปได้ พอหลังจากนั้นเกรทก็พยายามปฏิเสธกับผมว่าเขาไม่ได้คิดอะไร”
“...”
“ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วนะ ขอบคุณใยไหมจริงๆที่ทำให้ผมรู้ใจตนเอง”
หญิงสาวสีหน้าดูเจื่อนไปถนัดตา เธอกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ผมขัดโดยการขอตัวแล้วลากเกรทออกมาก่อน
ต้นแขนแกร่งโดนผมลากจูงมาจนถึงที่จอดประจำอันคุ้นเคยซึ่งรถคันนั้นจอดอยู่ เสียงสัญญาณปลดล็อกอัตโนมัติดังขึ้นทันทีที่พวกเราเข้าใกล้ ผมเผลอชะงักหยุดเท้า แต่คนที่มาด้วยกันกลับดันผมให้ไปทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
“วันนี้อิมนั่งสบายๆ เถอะนะ เดี๋ยวผมขับเอง”
“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆทำตัวว่าง่าย หย่อนก้นลงบนเบาะนุ่มก่อนปิดประตู
ความรู้สึกเหมือนรถยวบลงเมื่อที่นั่งด้านข้างถูกอีกคนจับจอง ร่างสูงโค้งตัวก้มหน้ามามองจ้องสบ สายตาเราทั้งคู่ประสานกันจนพลันเกิดความกระอักกระอ่วนในใจ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณแฟน” กะพริบตาถี่ๆอย่างไม่เชื่อหู ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนกล่าวท้วง
“แฟนเฟินอะไรกัน”
“อ้าว เมื่อกี้ยังบอกว่าเป็นแฟนผมเลย” ผมนิ่งสะท้อนใจอย่างเสียไม่ได้ ก้มหน้าลงต่ำหนักขึ้นอย่างสำนึกผิด
“ขอโทษนะ ที่พูดออกไปอย่างนั้น คุณจะโกรธผมก็ได้นะ แต่ผม...” หวังดีกับคุณ
“ทำไมผมต้องโกรธอิมด้วยล่ะ”
“ก็คุณ...” คำกล่าวท้วงกลืนหายไปกับอากาศ เมื่อรอยยิ้มบานเท่าโลกปรากฏตรงหน้า
“ตอนนี้ดีใจจนความสุขแทบจะล้นออกมาจากตาด้วยซ้ำ”
“แต่เมื่อกี้ที่ผมพูดกับใยไหมมัน...”
“อิม ผมไม่ได้ชอบพี่ใยไหมแล้วนะ”
“...”
“ที่ผมบอกอยู่ทุกวันนี้ อิมยังจำไม่ได้อีกเหรอ สงสัยต้องพาไปเลี้ยงปลาจริงๆซะแล้ว”
“ผมอาจจะขาดโอเมก้าสามจริงๆอย่างคุณว่าก็ได้” ติดจะงอนตำหนิตัวเอง ขยับไปจับเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้กับตัวอย่างเนือยๆ
“ถ้าซื้อมาผมยกให้อิมกินคนเดียวเลยละกัน”
“ทำไม...” เหมือนโดนกล่าวหาว่าปลาทองแต่ฝ่ายเดียวเลยตั้งใจจะท้วง แต่นิ้วเรียวยาวขอคนข้างๆกลับยกขึ้นมาปิดปากผม รอยยิ้มอ่อนละมุนส่งตรงมาเปล่งออร่าเฉิดฉาย
“เพราะผมจำอิมเมจลงไปในความทรงจำระยะยาวของผมได้แล้วไง”
นั่งอิ่มเอมกับความรู้สึกชวนหัวใจฟูอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดบทสนทนาว่าด้วยเรื่องเมนูปลาของพวกเรา อิมยกมือถือตนเองขึ้นดู ก่อนกดรับ
“ว่าไงยัยตัวแสบ มีอะไรรึเปล่า” ดูท่าคงเป็นน้องสาว บางทีน้องมายด์ก็มีฝากซื้อของอะไรกลับไปที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง คราวนี้คงหนีไม่พ้นของใช้ส่วนตัวในชีวิตประจำวันที่ขาดไป อย่างคราวก่อนยังใช้ให้ไปซื้อผ้าอนามัย อิมเมจกับผมต้องบากหน้าเข้าไปยังโซนผู้หญิงแล้วแกล้งทำทีมาซื้อผ้าอ้อมให้ลูกอ่อนๆของพวกเรากลับบ้าน
ผมนิ่งเงียบตั้งใจฟัง เผื่อผ่านแหล่งซื้อของที่น้องสาวอยากได้ จะได้หักเลี้ยวแวะเข้า แต่ปรากฏฉับพลันสีหน้าร่างโปร่งซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกลับบ่งสัญญาณที่เปลี่ยนไป
“เดี๋ยว ใจเย็น ค่อยๆพูดสิ เกิดอะไรขึ้น” อิมยกมือขึ้นกุมอก กำเสื้อตนเองแน่น อาการส่อแววหายใจหอบด้วยความตระหนก
“แม่ล่ะ เราโทรบอกแม่รึยัง รอพี่ก่อน เดี๋ยวพี่รีบไป” คนเป็นรุ่นพี่ยกโทรศัพท์ห่างจากหู เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดสั่น “เกรท”
“ครับอิม เป็นอะไรรึเปล่า?” อยากจะเอื้อมไปจับมือของอีกฝ่ายไว้ แต่ขณะนี้ต้องมีสมาธิกับถนนตรงหน้าเลยไม่อาจทำตามใจคิดได้
“คุณขับให้เร็วกว่านี้ได้มั้ย”
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“พ่อผมล้ม” จบคำสมองผมสั่งการให้หักหลบเข้าจอดข้างทางทันที ก่อนแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่าย
“ขอผมคุยกับมายด์” ผมคว้าโทรศัพท์อิมมาแบบไม่รอคำอนุญาต “มายด์”
[พ...พี่เกรท] เสียงปลายสายดูสั่นพร่าผิดปกติ เหมือนมีน้ำตาครืนเครือในลำคอ
“มายด์ อาการพ่อก่อนล้มเป็นไงบ้าง”
[พ่อ...พ่อเขา...ล้มลงไป ไม่รู้สึกตัวเลย พ...พี่เกรท มายด์...มายด์ควรทำไงดี]
“เดี๋ยวพี่เรียกรถพยาบาล” เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวพอเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นตรงหน้า ย่อมเกิดภาวะร้อนรน ครองสติไม่อยู่ ผมสอบถามอาการจากมายด์ต่ออีกนิดก่อนกำชับให้คอยสำรวจอาการพ่อ ระหว่างคุยกับน้อง รู้สึกได้ถึงใครบางคนที่พยายามเอื้อมมือเพื่อจะปลดเข็มขัดนิรภัยผมออก จึงยกมือไปห้ามไว้ กอบกุมฝ่ามือเย็นๆซึ่งเต็มไปด้วยความตระหนกก่อนกดและกำไว้แน่น
“อิมจะทำอะไรครับ”
“ผ...ผมจะขับแทนคุณ” ตอนนี้ในใจเจ้าตัวคงอย่างจะโจนทะยานกลับบ้าน แต่ในสภาพที่จิตใจไม่มั่นคงผมคงยอมไม่ได้ มือข้างที่ว่างถือมือถืออิมกดเบอร์ 1669 โทรออก พยายามมองสลับดวงหน้าส่อแววซีดเซียวอย่างสร้างความเชื่อมั่น
“อิมใจเย็นๆนะ เดี๋ยวผมจะรีบพาอิมกลับ แต่อิมต้องช่วยผมอย่างนึงก่อน”
รถพยาบาลไปถึงที่บ้านอิมอย่างรวดเร็ว ผมโทรสอบถามตามติดสถานการณ์จากน้องมายด์เป็นระยะก่อนรีบรุดไปยังโรงพยาบาลที่หมาย ด้วยความที่รถติดมาก กว่าจะไปถึงคุณพ่อของอิมก็ถูกย้ายมายังเตียงพักฟื้นแล้ว
“พ่อ” ทันทีที่เปิดประตูร่างโปร่งแทบวิ่งเข้าไปทรุดตัวลงด้านข้างคนป่วย ผู้เป็นบิดานั่งมองบุตรชายจากบนเตียงนิ่งพลางกล่าวเอ็ด
“ส่งเสียงดังเอะอะมะเทิ่งอะไรฮะเจ้าอิม” สภาพที่เคยดูแข็งแรงร่าเริงพอโดนอาการป่วยรุมเร้าเลยเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด อิมมองหน้าพ่อก่อนหันไปสบตามารดาของตนซึ่งอยู่ข้างเตียงอีกฟาก สีหน้าของคนเป็นแม่ซึมเศร้าเจือกลิ่นอายความกังวลเบาๆ “แม่ พ่อเป็นอะไร”
“พ่อเขา...” แม่อ้าปากขยับ
“จะเป็นอะไรซะอีกล่ะ ก็แค่ขาไม่มีแรงแล้วล้มไปเท่านั้นเอง แต่ละคนก็ทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้ รถพยาบาลนี่วิ่งมารับในซอยคนมามุงซะจนนึกว่ามีคนตายในบ้าน” ถามแม่แต่คนเป็นพ่อตอบขัด เลยโดนภรรยาบิดเข้าที่แขนไปหนึ่งยก เล่นเอาร้องโอดครวญไม่เป็นภาษา
“ใครบอกว่าไม่เป็นไรล่ะ เมื่อกี้คุณก็ได้ยินผลเอกซเรย์แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ผลเอกซเรย์อะไรเหรอครับ” คนเป็นลูกชายมีอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกคนในบ้านพร้อมใจกันเงียบ คนของผมกวาดตามองทั้งสามคนไปโดยรอบ ไม่มีใครยอมปริปากก่อน เหมือนโดนใครบางคนบังคับ อิมหันกลับไปจ้องหน้าบิดาอีกครั้งขมวดคิ้วมุ่น “พ่อ...ผลเอกซเรย์อะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกก็แค่เช็กไว้เผื่อเฉยๆ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมไม่ยอมบอกผมล่ะ!”
“หมอเขาบอกว่า พ่อเป็นเส้นเลือดในสมองตีบชั่วขณะน่ะ” คนเป็นแม่พูดแทรกเฉลย ทำลายสภาวะอึดอัดลงพริบตา ผมเห็นมายด์นั่งกอดหมอนอิงแน่น ซุกหน้าลงทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ส่วนคนของผมมีสีหน้านิ่งงันอย่างฉับพลัน ก่อนหันไปสบตาพ่อ ทิ้งไว้ให้เห็นเพียงแผ่นหลังบาง
นิ้วเรียวยาวของคนเป็นลูกชายจากผ่อนคลายกลับถูกกลืนหายในอุ้งมือ แรงบีบกำแน่นขึ้นทุกขณะ ไม่ต่างกับข้างที่จับขอบเตียงเหล็กแน่น
“เป็นเปินที่ไหนล่ะคุณ ผมบอกแล้วไงว่าแค่หน้ามืดไปเพราะโดนแดดเผาตอนตัดหญ้า หมอก็ว่าไปเรื่อย...”
“เป็นอย่างนี้แล้วยังจะปิดปากเงียบอีกเหรอครับ” เสียงเครือในลำคอทำเอาคนเป็นพ่อหยุดพูดล้อเล่น
“...”
“พ่อจะปิดผมจนมารู้อีกทีตอนที่มาถึงโรงพยาบาลอย่างนี้เหรอ! ผมบอกพ่อแล้วไงว่าให้ดูแลตัวเองน่ะ!” อิมตะโกนจนคนในห้องสะดุ้งกันหมด โชคดีที่เป็นห้องเดี่ยวจึงไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น น้ำเสียงเข้มข้นออกแนวตำหนิ แต่หากตั้งใจฟังอีกนิดแววเจือที่สั่นไหวกลับบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานในใจที่ไม่มีทางระบาย ทั้งห่วงทั้งท้อแท้กับคำเตือนที่ไร้ผล
ร่างโปร่งดูโงนเงนไร้ที่พึ่งก้มหน้าลงต่ำสกัดกั้นอารมณ์โมโห ความไม่พอใจต่างๆวิ่งเวียนเข้ามากระทบจนทนที่จะเงียบต่อไปไม่ไหว “รู้มั้ยผมตกใจแค่ไหนตอนได้ยินยัยมายด์บอกว่าพ่อล้ม ในใจผมโคตรกลัว กลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรไป อย่าคิดนะว่าผมไม่เห็นผลตรวจร่างกายที่อยู่ในลิ้นชักน่ะ ไขมันในเลือดสูงแล้วทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง ถ้าพ่อเป็นอะไรไป...เป็นอะไรไป...”
แว่วสะอื้นดังก้องในห้องสี่เหลี่ยม ผมเห็นเพียงแผ่นหลังที่สั่นเทาของคนตรงหน้า ร่างโปร่งยกแขนขึ้นปาดน้ำตาของตนเองซ้ำไปมาอย่างน่าสงสาร
“อย่างน้อยไม่คิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงแม่บ้าง มายด์มันอยากมีพ่อ อยากให้พ่ออยู่กับพวกเราไปนานๆนะ” ไม่มีใครในโลกอยากจะเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปหรอก ถ้าขอได้คงอยากให้หมดอายุขัยไปพร้อมกัน แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ มีเกิด มีแก่ ก็ย่อมต้องมีความตายรออยู่ทุกคน เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น ขึ้นอยู่กับจะมาเร็วมาช้า ในทุกวันจึงได้แต่ภาวนาว่าให้คนที่เรารักอยู่กับเรา...ไปนานๆ
ดวงตาอีกฝ่ายคงแดงก่ำไม่แพ้พ่อซึ่งเริ่มส่ออาการรื้นคอเบ้า ท่อนแขนที่ปาดน้ำตาทิ้งลงข้างลำตัวดูเปียกชื้นไปหมด มือใหญ่อันหยาบกร้านยื่นมาหวังไขว่คว้าแขนลูกชายตน ทันทีที่ขยับนิ้วราวกับกล่าวเรียก อิมเมจก็เดินเข้าไปใกล้ให้บิดาจับแขนตนเองดึงเข้าหา
“พ่อขอโทษ ไม่น่าทำให้แกร้องไห้ขนาดนี้เลย” นิ้วใหญ่ยกขึ้นปาดขอบตาของลูกชาย
“ไขมันพ่อสูงจนน่าใจหายเลยรู้มั้ย ผมกังวล ผมเป็นห่วง รู้ว่าจุกจิกจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง แต่ก็...ก็...”
“ไม่เอา อย่าร้องได้มั้ยเจ้าอิม เหมือนเห็นแกตอนเด็กๆไม่มีผิด ตอนเห็นน้องสาวตัวเองป่วยเป็นอิสุกอิไสไข้ขึ้นจนเข้าโรงพยาบาล อยากจะเยี่ยมก็โดนห้ามเพราะกลัวติดไปกับเขาอีกคน” คนเป็นพ่อยิ้มอุ่นเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตพลางไล่สายตาไปมองลูกสาวคนเล็กซึ่งนั่งกอดหมอนซบหน้าร้องไห้จนแดงก่ำ เมื่อโดนพาดพิงถึงร่างเล็กจึงเงยหน้าขึ้นปาหมอนลงโซฟาเบื้องหลังผุดตัววิ่งไปยังคนเป็นพ่อกอดร่างบนเตียงอย่างแนบแน่น
“พ่อ...พ่อ...”
“พ่อยังไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย พ่อสัญญา พ่อจะดูแลตัวเอง”
...ดีจริงๆที่ไม่มีใครเป็นอะไร...
...เพราะคนเรากว่าจะเห็นคุณค่าของการมีชีวิต ก็ตอนที่เกือบจะเสียมันไป มาถึงตอนนั้นต่อให้พยายามเอื้อมมือคว้าไว้ให้ตายขนาดไหน ก็ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้...
ภาพตรงหน้าทำให้ผมนึกถึงใครบางคน คนที่ผมไม่แม้แต่จะมีโอกาสกล่าวคำลาเป็นครั้งสุดท้าย ผมเปิดประตูปลีกตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ อยากให้ครอบครัวของอิมได้ใช้เวลาส่วนตัวกันอย่างเต็มที่โดยปราศจากคนแปลกหน้า
เมื่อประตูงับปิด เงาจากแดดสาดส่องสร้างเส้นสายบางอย่างทอดผ่านเบื้องหน้า ดวงตาเหม่อลอยออกไปไกลสุดสายตา บนพื้นทางเดินอันว่างเปล่าและเย็นเฉียบ ที่นี่ช่างเงียบเชียบและไร้ผู้คน ภาพจำยังคงเวียนวนฉายซ้ำอยู่ในสมอง แวดล้อมดูสงบแต่ใจกลับโหวงเปล่า
มวลอากาศความเงียบเหงาโศกเศร้ายังคงบรรจุอัดแน่นอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นความรู้สึกที่ตามองไม่เห็น แต่ใจกลับสัมผัสได้ ไม่เคยชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ไม่ชอบการมาโรงพยาบาลเป็นประจำจนเคยชิน ไม่ชอบกลิ่นอายที่ทำให้หัวใจโหวงหวิวอย่างบอกไม่ถูก
โรงพยาบาลในสายตาของผมคือความเศร้าและการสูญเสีย ผมยกเท้าขยับผ้าใบตน เดินไปตามทางยาวซึ่งมุ่งตรงสู่โถงลิฟต์ ทอดมองแสงแดดยามเย็นส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา บรรยากาศเหงาๆอันเป็นภาพจำยังคงเดิมเสมอเฉกเช่นทุกครั้ง จวบจนเท้าก้าวออกไปยังกลางโถงอันเงียบสงัดไร้วี่แววของผู้คน
“เกรท”
เสียงเสียงหนึ่งเรียกผมเอาไว้ ใครบางคนวิ่งตามออกมา เหมือนฉุกใจถึงการหายไปของใครอีกคน ผมหันหลังกลับไป เห็นคนของผมยืนอยู่ตรงนั้น เจ้าตัวหอบหายใจแรง ดวงหน้าขาวส่อแววร้อนรน ผมคะเนว่าด้วยระยะทางเท่านี้ไม่อาจทำให้คนของผมเหนื่อยได้ แต่อาจเป็นเพราะตกใจเมื่อไม่เห็นวี่แววของผม
“คุณจะไปไหน”
“ผมว่าจะกลับ...”
กว่าจะรู้ตัวอีกทีแรงเบาๆกระทบตกมายังหัวไหล่ ความอบอุ่นของร่างกายคนนึงถ่ายทอดส่งผ่านมายังอีกคน อิมเมจกระโจนเข้าหาผม สองมือคล้องกอด จับกำผืนเสื้อบนแผ่นหลังไม่ปล่อย ใบหน้าของว่าที่แฟนก้มซบลงมา ลมหายใจปรกตรงลาดไหล่
“อ...อิม”
“อย่าพึ่งกลับเลยนะ” เหมือนกำลังถูกอ้อน หัวใจอ่อนยวบทันทีจากพฤติการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัดสินใจสอดมือเข้าโอบเอวบางกระชับร่างของเราทั้งคู่เข้าหากัน
“ก็ได้ครับ ผมยังไม่กลับก็ได้”
ตรงที่นั่งส่วนจัดสรรให้ญาติผู้ป่วยมีผู้คนบางตา พวกเรานั่งจับจองโซฟาหลังใหญ่ซึ่งพอทิ้งตัวกลับอ่อนนุ่มจนแทบจมหายไปกับเบาะ สองมือของผมยังกำมืออีกข้างหนึ่งของอิมเมจไว้แน่นจวบจนย้ายตัวลงนั่ง
ใบหน้าที่ไม่ทันเห็นชัดเมื่อครู่ยังเหลือรอยแดงจางๆตรงปลายจมูก ขอบตาเหลือคราบน้ำกับอาการบวมเบาๆให้เห็น
“ตาบวมเลย” ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา มันเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมอีกแล้ว ผืนที่อิมเคยให้ ผมมักจะพลาดถูกมันหลอกล่อทุกครั้งยามวางอยู่เหนือสุดของผ้า แรงปรารถนาทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาพกติดตัวเสมอ โดยไม่เคยใช้ให้แปดเปื้อนเลยสักนิด
“ขอบคุณนะ”
“...” อิมกระชับมือผมแน่นขึ้นจ้องสบดวงตา
“ถ้าไม่มีคุณ วันนี้ผมคงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง” ตอนอยู่บนรถร่างโปร่งประคองสติไม่ค่อยอยู่ เมื่อผมกดโทรเรียกรถพยาบาลจึงขอให้เขาช่วยบอกรายละเอียดทุกอย่างของบิดา แจ้งบ้านที่อยู่โดยละเอียด ส่วนอาการได้แต่บอกเล่าตามคำของน้องมายด์ โรงพยาบาลถึงเตรียมการตรวจได้ฉับไวทันทีที่รถพยาบาลมาถึง
“ตอนนั้นผมเอาแต่คิดว่าอยากกลับไปถึงบ้านให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แค่จะโรงพยาบาลรถยังติดอยู่ตั้งสองชั่วโมงกว่า หมอบอกว่าถ้าพ่อล้มไปเพราะเส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน แล้วพามาไม่ทันในสี่ชั่วโมงครึ่งมีโอกาสที่จะพิการ”
“แต่พ่อของอิมยังไม่เป็นไรนะ แค่มีภาวะเสี่ยง” ผมพยายามปลอบ เมื่อเห็นน้ำตาเริ่มมากองที่ขอบตาอีกครั้ง
“เกรท...คุณรู้ได้ไงว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“...”
“ผมเห็นคุณพูดกับยัยมายด์ว่าให้ชวนพ่อคุยถ้ายังมีสติอยู่ ถามว่าพ่อพูดชัดมั้ย” อิมตั้งข้อสงสัยในตัวผม ราวกับเจ้าตัวจับสัญญาณอะไรได้บางอย่าง “คุณรู้เรื่อง F.A.S.T. ได้ยังไง”
ถ้าเป็นคนที่ครอบครัวทุกคนสุขภาพปกติ ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมคงไม่มีใครมาใครสนใจศึกษาวิธีสังเกตอาการเบื้องต้นหรอก
“ถ้าผมบอกว่า ผมเคยอยากเป็นหมอล่ะ อิมจะเชื่อมั้ย”
คนของผมนิ่งไปชั่วอึดใจ “นายแพทย์คิรากร...อือ ไม่เหมาะอ่ะ ชื่อเหมือนจะทั้งช่วยและฆ่าคนในคราเดียว” อิมส่ายหัวแบบไม่อยากจินตนาการ ผมยิ้มกับมุกเล็กๆชวนอารมณ์ดีของเขาพลางหลับตานึกถึงวันเวลาเก่าๆ เรื่องราวในอดีตที่พร้อมจะบอกว่าที่คนรัก
“อิมยังจำได้มั้ย ผมเคยบอกว่าโกนหนวดใครคงนึงจนคล่อง” ศีรษะเล็กผงกขึ้นลงเบาๆ
“จำได้สิ พ่อของคุณ”
“ผมโกนให้พ่อ ตอนที่ท่านป่วย”
“ป่วย?”
“เป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน เข้ารักษาในโรงพยาบาลอยู่หลายเดือน” เหมือนคำพูดนี้สะเทือนไปถึงจิตใจอีกฝ่าย อิมนั่งนิ่งมองหน้าผม คราวนี้เป็นเจ้าตัวที่กำมือผมแน่นเข้าจนรู้สึก
“ช่วงนั้นผมพึ่งเรียนอยู่ม.ต้น แม่ผมเป็นดาราโหมงานหนัก ต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาให้กัน ใช้ชีวิตไปวันๆแบบอยู่ง่ายทานง่าย แต่ไม่เคยคิดถึงอันตรายที่ตามมา จนช่วงนึงพ่อเริ่มรู้สึกถึงอาการแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ไปหาหมอให้รักษา เพราะคิดว่าอาการชาที่เกิดขึ้นมาเพราะแค่ร่างกายอ่อนเพลียกับอายุที่มากขึ้น ท่านอดทนอยู่เฉยจนท้ายที่สุดก็ล้มลง ในตอนที่ไม่มีใครอยู่ดูแลเลยสักคน” ฉากเก่าๆผุดขึ้นมาในสมองเป็นตอนที่กว่าหลายคนจะรู้มันก็สายไปเสียแล้ว “พ่อถึงโรงพยาบาลช้าไป เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันเป็นอัมพาต”
“ต...ตอนนี้ท่านหายรึยัง” เจ้าตัวยื่นใบหน้าเข้ามามองอย่างเป็นห่วงสองมือเกาะกุม ดวงตาสั่นไหวระริกจนน้ำที่คลอหน่วงกำลังจะร่วงหลุด ผมรีบขยับผ้าเช็ดหน้าไปแตะแนบโหนกแก้มขาวนุ่มนวลนั้นไว้
“ท่านเสียไปแล้วครับ” ตอนนี้จิตใจผมสงบ ผมผ่านจุดนั้นมาได้นานแล้ว หากแต่คนฟังกลับนิ่งชะงักค้าง พวงแก้มใสเปรอะเปื้อนคราบน้ำหลั่งริน จนดวงแก้วสีอ่อนพร่าเบลอ
“อิม” ผมตกใจกับท่าที่ซึ่งเกิดกะทันหัน คว้าไหล่ดึงตัวเขาเข้าใกล้ ใช้นิ้วปาดผสมร่วมกับผ้าผืนนุ่มซับหยาดหยดน้ำตาที่ร่วงลงมาไม่หยุด “อิมร้องไห้ทำไมครับ”
“ผมขอโทษ”
“อิมขอโทษทำไม”
“ขอโทษที่ถามอะไรไม่คิด”
“ไม่มีใครผิดหรอกครับเรื่องนี้ มันผ่านไปนานมากแล้ว” ผมดึงตัวเขาเข้ามากอด กดศีรษะลาดไหล่ ให้แนบซับน้ำตาที่ไหลลงมา “ไม่ใช่เพราะโรคที่พรากเขาจากไป พ่อผมตรอมใจเพราะอ่อนแอ เขามักโทษตัวเองเสมอที่จู่ๆจากคนที่เคยทำอะไรได้กลับกลายต้องพึ่งพาคนอื่น ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนมาช่วยเหลือ”
“แต่พ่ออิมไม่ใช่นะครับ คุณลุงเป็นคนเข้มแข็งมาก” ถอนตัวคนขี้แยออกมาประคองใบหน้า ปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มสองข้าง “แค่เห็นน้ำตาลูกชายคนนี้ เห็นความรักที่มีให้ต่อพ่อคนนี้ คุณลุงต้องยอมใจหันมาดูแลสุขภาพเพื่อลูกชายและครอบครัวของเขา...อย่างแน่นอนครับ”
“เกรท...” เสียงอิมแหบพร่ากระทั่งผมยังแอบจนใจ
“อย่าร้องไห้เลยนะครับ คนดี” ผมหอมไปที่กระหม่อมของเขาด้วยความรู้สึกรัก คนที่ร้องไห้เพื่อครอบครัวคนอื่นได้มากขนาดนี้ คงไม่มีที่ไหนอีกแล้ว
“ผมรักคุณนะ เกรท”แว่วเสียงประโยคสุดท้าย...ที่ซึมลึก...ทุกอย่างตราตรึงสลักลงในจิตใจ...
…TBC…
++++++++++++++++++++++++
หายไปเกินอาทิตย์ โฮกกกกก ขออภัยค่า
อ่านตอนนี้แล้วอยากให้ทุกคนดูแลรักษาสุขภาพ
ไม่ว่าจะของตนเองหรือคนในครอบครัว
โรคภัยไข้เจ็บบนโลกนี้มีเยอะมาก
ถ้าอยากตนเองและคนที่เรารักอยู่กับเราไปนานๆ หันมาทำสาม อ. ให้ดีกันเถอะค่ะ
อาหาร อารมณ์ และออกกำลังกาย
สู้ๆไปด้วยกันนะคะ
ส่วนความหวานนั้นเติมได้จากเรื่องนี้(มาเติมให้แล้วน้า)
ไม่มีดราม่าใดใดเลยจริงๆสาบาน...(เหรอออ)
ยังเห็นคอมเมนต์ก็อุ่นใจ ถึงแม้ตอนนี้จะอากาศหนาวจนไม่อยากอาบน้ำแล้วก็ตาม
เขียนต่อไป ตามความฝันค่า
ขอบคุณนะคะนักอ่านทุกคน...