เข็มที่ 6 สารภาพ
วันรุ่งขึ้นอริญชย์มาช่วยออกตรวจ OPD ตามที่ณรงค์ชัยหัวหน้าภาควิชากุมารเวชคนใหม่เสนอนโยบายนี้ขึ้นมาเรื่องให้จัดเวรเพิ่ม ถ้าไม่นับว่ามันมาปล้นวันหยุดที่มีอยู่น้อยนิดของเขาไปก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นนโยบายช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานและทำให้ดูแลคนไข้ได้มากขึ้น ทั้งที่วันนี้มีคนไข้มารับการตรวจราวสองร้อยคน แต่ในเวลาแค่สองชั่วโมงก็สามารถเคลียร์คนไข้ได้หมด และเขาก็เพิ่งออกแรงตรวจไปได้แค่สิบเคสเท่านั้น
อริญชย์โบกมือลาสาวน้อยในชุดเจ้าหญิงเอลซ่าผู้เป็นเหมือนศาสดาของเด็กสาวทั่วโลกในขณะนี้ เธอส่งจูบให้เขาพร้อมกับร้องเพลง Let’ s it go แล้วเดินหมุนตัวออกจากห้องตรวจไป ทั้งที่หน้าผากยังมีแผ่นลดไข้แปะอยู่และน้ำมูกไหลย้อยอยู่ตรงปลายจมูกจนคนเป็นแม่ต้องวิ่งตามไปเช็ดให้ในขณะที่พ่อรีบกวาดข้าวของทุกอย่างทั้งทิชชูไปจนถึงใบสั่งยาใส่กระเป๋าก่อนจะกล่าวขอบคุณเขาแล้ววิ่งตามแม่ลูกออกไป เขาหัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดู
...เด็กนี่มีพลังงานล้นเหลือจริงๆ ...
คิดแล้วก็นึกถึงเด็กหนุ่มที่อยู่ด้วยกันทั้งคืนจนถึงเมื่อเช้า
เขาขับรถไปส่งธารินก่อนมาทำงาน ทันทีที่รถจอดหน้าประตูรั้วและเด็กหนุ่มก้าวลงจากรถก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูแล้วคงจะคอยเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาวิ่งออกจากบ้านมาหาทันที
“ริน! เป็นไงบ้าง หายไปอยู่ที่ไหนมาทั้งคืนพี่เป็นห่วงแทบแย่”
“ผมบังเอิญเจออาจาร์อริญชย์ครับพี่ศร พอเล่าเรื่องให้ฟังอาจารย์เลยให้นอนด้วยแล้วก็มาส่งนี่ไงครับ” ธารินบอกพลางชี้มือไปทางคนที่นั่งอยู่ในรถ
ชายหนุ่มหน้าสวยรีบเดินมายืนข้างรถ “ผมศรศรัณย์เป็นพี่คู่หมั้นพี่ชายของธารินครับ ต้องขอบคุณอาจารย์อริญชย์จริงๆ นะครับ ธารินไม่ได้ไปก่อเรื่องหรือทำอะไรวุ่นวายให้คุณใช่ไหมครับ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะพี่ศร อาจารย์รินใจดี เขาเป็นคนที่ช่วยดูแลผมตอนขึ้นวอร์ด นอกจากจะให้บีบวกผมแล้วยังรับปากว่าจะช่วยติวหนังสือให้ผมด้วยนะ” เจ้าตัวรีบพูดขึ้นมาก่อน
“โห เจ้าริน ขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่รบกวน” ศรศรัณย์ว่าแล้วหันมาหาอริญชย์อีกครั้ง “ต้องขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับ”
“เรื่องเล็กน้อยครับคุณศร” อริญชย์รีบบอก
“รินก็มาขอบคุณอาจารย์อีกทีสิ”
“ผมขอบคุณไปตั้งหลายครั้งแล้วครับพี่ศร”
“ใช่ครับ” อริญชย์สำทับ
แต่ศรศรัณย์ก็ยังดูไม่พอใจ เขาคว้าแขนเด็กหนุ่มดึงมายืนข้างกันแล้วจับศีรษะกดให้ก้มลง “ขอบคุณนะครับ”
“พี่ศรน่ะทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ ไปได้ ผมโตแล้วนะ” ธารินโวย
“ไม่โต!” ศรศรัณย์สวนทันควัน “คนโตแล้วไม่หนีออกจากบ้านกลางค่ำกลางคืนแล้วโทรหาไม่รับหรอก รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงนายมากแค่ไหน”
“ก็พี่ธาราไล่ผม แล้วพี่ศรก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็พยักหน้าอีก ไม่ได้ความว่าให้ผมออกไปเหรอ”
“พี่หมายถึงให้ออกจากครัว ออกจากตรงนั้น ออกไปจากจุดที่มันวุ่นวาย ไม่ใช่ออกจากบ้าน นี่ไง! แล้วยังกล้ามาเถียงว่าโตแล้ว”
“ก็ผม...”
“ผมไปก่อนนะครับ” อริญชย์บอกพร้อมกับยิ้มขัน แล้วขับรถออกไปปล่อยให้สองคนทะเลาะกันต่อ
ทีแรกเขาก็เป็นห่วงเด็กหนุ่มกลัวว่าจะกลับบ้านไม่ได้ หรือจะมีปัญหาอะไรอีก แต่ดูแล้วที่บ้านก็ยังมีคนรอแล้วก็เป็นห่วงเจ้าตัวอยู่นี่นาอย่างน้อยก็ผู้ชายคนนั้นคนหนึ่งล่ะ ผิดกับเขาที่ไม่มีใครเลย
ธารินพูดไม่ผิดหรอกว่าห้องเขามันไร้ชีวิตชีวา เพราะเขาแค่เอาไว้เก็บของและอาบน้ำนอนจริงๆ ถ้าเหงาขึ้นมาก็ออกไปหาคนนอนด้วยข้างนอก มันเป็นเช่นนี้มาหลายปีจนเขาเคยชินและชื่นชอบกับชีวิตแบบนี้เสียแล้ว
เมื่อคนไข้คนสุดท้ายหมดลง อริญชย์จึงเก็บข้าวของไปที่หอผู้ป่วยเด็ก3
วันนี้น้องมีนนี่ลุกขึ้นมาร่าเริงเต็มที่แล้ว เธอยิ้มแก้มแทบปริเมื่อได้ยินเขาบอกว่าพรุ่งนี้ให้กลับบ้านได้
“แล้ววันนี้พี่รินคนหล่อไม่มาด้วยเหรอคะพี่ริน” มีนนี่กระตุกชายเสื้อถาม “เมื่อวานก็ไม่มา”
“พี่เขาย้ายไปฝึกงานที่อื่นแล้วครับ” อริญชย์ตอบ
“น้องทำของไว้อยากให้พี่เขาน่ะค่ะ” คนเป็นแม่บอก “ฉันอยากขอโทษเขาที่วันนั้นอารมณ์ร้อนใส่ไปหน่อยแล้วก็อยากขอบคุณด้วย มีนนี่เล่าให้ว่าพี่เขามานั่งเป็นเพื่อนแล้วก็เล่านิทานให้ฟังทุกวันเลย ขนาดฉันที่เป็นแม่แท้ๆ ยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้เธอเลยค่ะ”
“แต่คุณทำมากกว่านั้นนะครับ” อริญชย์บอกทั้งรอยยิ้ม “น้องก็เขียนบอกคุณในการ์ดอวยพรแล้วนี่ครับ เธอเห็นทุกอย่างที่คุณทำเพื่อเธอนะครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
“หนูฝากนี่ให้พี่รินคนหล่อด้วยนะคะพี่ริน” มีนนี่ส่งกระดาษใบหนึ่งที่พับเป็นรูปเครื่องบินกระดาษส่งให้เขา
“ได้ครับ แล้วพี่จะบอกให้นะครับ”
อริญชย์เดินตรวจคนไข้ไปจนถึงน้องกัปตันซึ่งป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
“พี่รินสวัสดีครับ”
วันนี้กัปตันนอนอยู่บนเตียงไม่ได้วาดรูปทักทายเขาผ่านกระจกใสเหมือนทุกวัน
อริญชย์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้าไปด้านในที่มีผู้ปกครองของกัปตันนั่งอยู่ด้วยกัน ใบหน้าของผู้เป็นพ่อกับแม่ยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มทั้งที่ในใจคงแทบแหลกสลายกับข่าวร้ายที่เขาเพิ่งแจ้งไปเมื่อวาน
กัปตันให้ยาเคมีบำบัดครบแล้ว แต่ว่าเซลล์มะเร็งนั้นตอบสนองต่อยาน้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่าที่ให้ไปไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่า เซลล์มะเร็งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกัดกินร่างกายของเด็กชายตัวเล็กๆ จากข้างใน
สำหรับเด็กคนอื่นทุกนาทีที่ผ่านไปคือการเจริญเติบโต แต่สำหรับเด็กชายผู้โชคร้ายคนนี้มันคือการนับถอยหลังรอวันตาย
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเด็กชายยิ้มให้เขาด้วยความหวังว่าจะหายดี ได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อกับแม่ และไปเล่นกับเพื่อนๆ อีกครั้ง เขาไม่เคยปริปากบ่นกับความเจ็บปวดของเข็มที่แทงผ่านร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเจาะเลือดไปตรวจหรือให้ยาให้น้ำเกลือ ไม่เคยร้องไห้กับความขมขื่นของอาการแพ้ยาเคมีบำบัดที่ทำให้อ้วกหมดไส้หมดพุงและผมที่ร่วงจนหมดหัว
อริญชย์ยิ้มให้แม่และพ่อซึ่งบนศีรษะโล้นเลี่ยน ทั้งคู่นั้นสุขภาพดีโดยเฉพาะแม่ที่มีผมหยักศกหนายาวสวยถึงกลางหลังแต่พอเส้นผมเริ่มหายไปจากศีรษะลูกชายเธอก็ตัดสินใจโกนทิ้งอย่างไม่ลังเลเพื่อให้ลูกชายรู้ว่าเขาไม่ได้สู้อยู่เพียงลำพัง แต่ยังมีพ่อกับแม่ที่คอยอยู่เคียงข้างเขา
“พี่รินผมอยากไปทะเล ขอผมไปทะเลได้ไหมครับ” กัปตันพูดกับเขา
อริญชย์เงยหน้ามองพ่อกับแม่ที่หยิบเอาอัลบั้มรูปส่งให้
“แกอยากไปทะเลมาก เราก็เลยพาแกไปเที่ยวเมื่อปีกลายค่ะ” ผู้เป็นแม่เริ่มเล่า “เป็นครั้งแรกที่แกได้เห็นทะเล แกมีความสุขมาก เราสัญญากับแกว่าจะพามาอีก แต่หลังจากนั้นแกก็ป่วยและไม่เคยได้ออกไปไหนอีกเลย”
อริญชย์ก้มลงมองรูปถ่ายในมือ เป็นภาพของเด็ชกายวิ่งเล่นท่ามกลางแสงแดดส่องสว่าง ไม่มีใครคาดคิดว่านี่จะเป็นคนเดียวกับคนที่นอนซมอยู่บนเตียงป่วยด้วยโรคร้าย มันไม่เคยมีสัญญาณใดๆ บอกเด็กน้อยผู้น่าสงสารและครอบครัวของเขามาก่อน เขาพลิกไปหยุดตรงที่รูปถ่ายใบสุดท้ายที่เด็กชายถ่ายรูปกับพี่สาวคนสวยที่คงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเพราะกัปตันเป็นลูกชายคนเดียว
อริญชย์รู้สึกว่าเริ่มฝืนน้ำตาไว้ไม่ไหว เขาปิดอัลบั้นรูปและส่งคืนให้คุณแม่ “ตอนนี้ร่างกายกัปตันไม่ค่อยแข็งแรง ผมไม่อยากให้เขาออกไปไหนเลยครับ”
“ผมเข้าใจครับหมอ” คนเป็นพ่อพูดพร้อมกับลูบศีรษะลูกชาย “เอาไว้แข็งแรงกว่านี้แล้วพ่อจะพาไปนะไอ้เสือ”
เด็กชายพยักหน้า “ครับ”
อริญชย์กลับออกมา เขาช่วยอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนอกจากพยุงอาการไปวันต่อวัน เขาเดินคอตกกลับมาที่เคาน์เตอร์พยาบาลและทรุดตัวนั่งลง
“เป็นไงบ้างหมอริน” พรรณทิพย์ถามเสียงเศร้า
อริญชย์ส่ายหน้าครั้งหนึ่ง “ตอนนี้เราคงทำได้แค่รอปาฏิหาริย์ว่าสักวันจะเจอคนที่สามารถบริจาคสเต็มเซลล์ให้กัปตันได้ นั่นคือทางรอดสุดท้ายของเขา”
การรักษาด้วยสเต็มเซลล์หรือการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นไม่ใช่จะหาผู้บริจาคได้ง่ายๆ เพียงแค่มีกรุ๊ปเลือดที่ตรงกันแต่ต้องมีโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า HLA ที่เข้ากันได้หรือคล้ายกันมากจึงจะบริจาคให้กันได้ ถึงแม้จะเป็นพ่อแม่หรือพี่น้องกันโอกาสที่จะเข้ากันได้นั้นก็มีน้อยมาก ซึ่งพ่อแม่ของกัปตันก็ได้ลองตรวจดูแล้วเช่นกันและพบว่าไม่สามารถใช้ได้ ตอนนี้จึงทำได้แค่รอคนที่มีผลเลือดเข้ากันได้เท่านั้น
พรรณทิพย์ถอนหายใจ “โอกาสมีแค่หนึ่งในสี่หมื่น ยากพอๆ กับการหาเนื้อคู่เลยนะคะ เหมือนกับเป็นการตามหาอีกครึ่งชีวิตที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนของโลกใบนี้เลย”
“นั่นน่ะสิครับ”
ทั้งสองได้แต่สบตากันเงียบๆ ด้วยความเศร้าที่แม้แต่เพลงเด็กซึ่งเปิดคลออยู่เป็นปกติก็ไม่ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเลยสักนิด
แล้วตอนนั้นเองที่นนท์ประวิชวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพอดี
“รินฉันมีข่าวดีจะบอก”
“อะไรครับพี่นนท์” อริญชย์หันไปถาม ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่จะทำให้คนที่มักสุขุมอยู่เสมอตื่นเต้นได้มากขนาดนี้
“กาชาดเพิ่งแจ้งมาว่า เราเจอคนที่สามารถบริจาคสเต็มเซลล์ให้น้องกัปตันได้แล้วนะ” นนท์ประวิชบอก
“จริงเหรอครับที่นนท์” อริญชย์ร้องเสียงดังด้วยความดีใจ
“ดีจังเลยนะคะ” พรรณทิพย์บอก “เรากับหมอรินกำลังคุยกันถึงปาฏิหาริย์พอดี แล้วปาฏิหาริย์ก็มาจริงๆ ด้วย ให้เราไปตามพ่อแม่น้องกัปตันมาฟังข่าวดีนี้เลยไหม”
“ครับ” นนท์ประวิชพยักหน้ารับ
พรรณทิพย์หายไปเพียงอึดใจก็กลับมาพร้อมพ่อกับแม่ของเด็กชาย หลังจากทั้งคู่ฟังข่าวดีจากนนท์ประวิชน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มใจก็ไหลรินออกมา
“พวกเราต้องขอบคุณหมอมากเลยนะครับที่ช่วยเป็นธุระให้” ผู้เป็นพ่อบอก
“คนที่คุณต้องขอบคุณจริงๆ คือผู้บริจาคครับ” นนท์ประวิชบอก “พวกผมเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น ตอนนี้น้องกัปตันเองก็อาการคงที่พร้อมจะรับการบริจาคได้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อาทิตย์หน้าเราคงเริ่มการปลูกถ่ายไขกระดูกได้ เดี๋ยวผมจะมาแจ้งรายละเอียดต่างๆ ในการเตรียมตัวอีกทีนะครับ ถึงเวลานั้นเราคงต้องเจอเรื่องยุ่งยากกันอีกมากทีเดียว”
“พวกเราพร้อมค่ะ” แม่พยักหน้ารับ
“เราก็พร้อมมากเลย” พรรณทิพย์รับคำ “ยุ่งแค่ไหนก็สู้ตายค่ะ”
“ขอบคุณทุกคนนะครับ” นนท์ประวิชยิ้มให้กำลังใจทุกคนรวมทั้งตัวเขาเองที่อดทนสู้กันมาจนถึงตอนนี้ อีกแค่ไม่กี่วันพวกเขาก็จะช่วยเด็กชายอีกคนให้กลับบ้านได้สักที
“ขอบคุณนะครับพี่นนท์” อริญชย์หันไปมองรุ่นพี่ของตนด้วยแววตาชื่นชม ที่นนท์ประวิชกล่าวนั้นเรียกว่าถ่อมตัวมาก เขาเป็นคนดำเนินเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ส่งรายชื่อกัปตันเข้าโครงการ ไปอ้อนวอนขอณรงค์ชัยให้ช่วยเซ็นอนุมัติการเบิกค่าใช้จ่ายซึ่งตกหลักแสนเพราะครอบครัวของกัปตันไม่ได้มีรายได้มากมายนัก อีกทั้งยังคอยโทรไปถามกาชาดทุกเช้าเย็นถึงความคืบหน้า
“วันนี้มีแต่ข่าวดีนะ มีนนี่กลับบ้านได้ กัปตันก็กำลังจะได้สเต็มเซลล์” นนท์ประวิชเปรยขึ้นหลังจากที่คนอื่นๆ แยกย้ายกันไป “ไม่รู้ว่าจะมีข่าวดีเหลือให้ฉันบ้างหรือเปล่า”
“ข่าวดีอะไรครับ”
นนท์ประวิชยิ้มกว้างแล้วส่งถุงขนมในมือให้อริญชย์ที่รับไปเปิดดูงงๆ “อะไรครับ”
“ขนมจีบไงไม่รู้จักเหรอ”
“แล้วมันเกี่ยวกับข่าวดียังไงครับ”
“ขนาดขนมยังจีบได้งั้นฉันขอจีบนายบ้างได้ปะ”
“พี่... พี่นนท์พูดอะไรน่ะ”
“ตกลงได้หรือไม่ได้”
“พี่นนท์ก็รู้ว่าผมไม่นิยมเพื่อนร่วมวิชาชีพ เราเป็นพี่น้องกันแบบนี้ก็ดีแล้ว”
“เพื่อนมีเยอะแล้ว และฉันก็ไม่ได้อยากเป็นพี่แต่อยากเป็นแฟน”
“พี่นนท์ฟังผมก่อน…”
“เอาน่าลองไปคิดดู เริ่มต้นวันนี้เลยนะเดี๋ยวตอนเย็นฉันมารับไปกินข้าว” นนท์ประวิชตัดบทแล้วเดินจากไป
“มีคนกำลังเขินหนึ่งอัตรา” พรรณทิพย์ที่ไม่ได้ไปไหนไกลและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเขยิบมากระซิบแซว
“ไม่ได้เขินครับ”
“ไม่ได้เขินแล้วหน้าแดงทำไมคะ”
“ก็แหม...” อริญชย์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “แล้วคุณพรรณทิพย์ไม่เสียใจเหรอครับ คุณเล็งพี่นนท์ไว้นี่นา”
พรรณทิพย์หัวเราะในลำคอ “เสียใจค่ะแต่นิดเดียว เพราะยังไงหมอนนท์ก็ไม่ได้ชอบเราอยู่แล้ว และถ้าไหนๆ เราจะต้องเสียไอด้อลขวัญใจของเราไป เราขอเสียให้หมอรินสุดที่รักของเราอีกคนดีกว่า”
“ผมยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรเลยนะครับ”
“ก็ตกลงซะสิคะ” พรรณทิพย์ว่า “คนดีๆ แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ ดูสิจีบซะน่าเอ็นดูเชียวเอาขนมจีบมาให้เนี่ย ดีนะไม่เอาซาลาปามาด้วย”
“คุณพรรณทิพย์กินไหม” อริญชย์ส่งถุงขนมจีบให้
“เขาซื้อมาให้ใครคนนั้นก็กินเองสิคะ” พรรณทิพย์ทำหน้าล้อเลียนคนโดนจีบแล้วก็เดินหนีไปนั่งทำงานต่ออีกมุมหนึ่ง
อริญชย์พ่นลมออกจมูกแล้วนั่งลงตรงโต๊ะกลางวอร์ดพลางจิ้มขนมจีบปูในถุงขึ้นมากิน ระหว่างที่เคี้ยวไปก็นึกทบทวนเรื่องที่นนท์ประวิชเพิ่งบอก เขายอมรับว่าพี่นนท์เป็นคนดี อันที่จริงหน้าตาก็ตรงสเป็กเขาทุกอย่างด้วย ทว่าเขาก็คงตอบรับความรู้สึกนั้นไม่ได้ และไม่ใช่แค่เรื่องกฏเหล็กอะไรนั่น แต่หัวใจของเขามันยังไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาในสถานะนั้นต่างหาก
หนำซ้ำยังพี่นนท์ยังเป็นคนดีเกินกว่าจะมาเกลือกกลั้วกับคนสกปรกอย่างเขา ถ้าพี่นนท์รู้ว่าเขาโตมายังไง และใช้ชีวิตกลางคืนยังไงพี่นนท์จะต้องเกลียดเขามากแน่ๆ
แค่พี่นนท์เท่านั้นที่จะให้รู้ไม่ได้และยอมให้ข้ามเส้นมาไม่ได้เด็ดขาด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูคิดว่าคงเป็นพยาบาลวอร์ดอื่นหรือพี่น้องหมอโทรมาเรื่องเคส แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเพราะเป็นเบอร์โทรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและ ชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอคือ
น้องริน_เด็กNVVip บริการฟรี24ชั่วโมง
“ไอ้เด็กบ้า!” นั่นคือคำทักทายแรกที่เขากรอกลงไปในสายโทรศัพท์ “ใครใช้ให้นายมายุ่งกับโทรศัพท์ฉัน”
“ก็เมื่อคืนผมนอนว่างๆ ไม่มีอะไรทำนี่นา” เสียงทุ้มดังกลั้วหัวเราะมาโดยไม่มีท่าทีจะสำนึกผิดสักนิด
“แล้วโทรมาทำไม”
“อาจารย์ว่างเปล่า”
“ไม่ว่างทำงานอยู่”
“ผมเห็นอาจารย์นั่งเฉยๆ แถมยังกินอะไรน่าอร่อยด้วย
อริญชย์แทบสำลักขนมจีบ “ไอ้เด็กบ้า! นี่นายแอบดูฉันอยู่ที่ไหน”
ธารินหัวเราะร่วนพลางพลิกตัวเปลี่ยนเป็นท่านอนคว่ำบนที่นอน มือใหญ่ถือโทรศัพท์ที่หน้าจอแสดงรูปคนปลายสายที่โทรหาซึ่งเขาแอบถ่ายไว้ตอนกำลังขดตัวกลมหลับปุ๋ยอยู่บนหน้าอกของเขา เขาอมยิ้มและจินตนาการว่าอีกฝ่ายต้องกำลังร้อนรนแต่พยายามเก๊กสีหน้าไว้สุดความสามารถแน่ๆ
แล้วก็จริงตามที่เจ้าตัวคิด อริญชย์ตีหน้านิ่งชำเลืองไปรอบๆ ก่อนจะค่อยๆ ย่องออกจากเคาน์เตอร์พยาบาลมองหาเด็กหนุ่มตัวโตที่อาจจะแอบอยู่ตามหลังเสาสักต้น ซ่อนตรงหลังผ้าม่านหรือว่าหมอบอยู่ใต้เตียง
“แถวนี้ๆ แหละครับ” ธารินแกล้งหยอก “อาจารย์ลองมองหาดีๆ สิ”
“ไหนบอกมาสิว่าฉันกินอะไรอยู่”
“อยู่ไกลอะ มองไม่ค่อยเห็นรู้แต่ว่าอาจารย์เคี้ยวหยับๆ แบ่งผมสักคำสิครับ อ้ามมม~”
“นายโกหกฉันใช่ไหมเนี่ย” อริญชย์ถามเสียงเข้ม เขาเดินวนหาจนรอบวอร์ดรวมถึงในห้องน้ำแล้วก็ยังไม่เห็นแม้เงาของเด็กหนุ่ม
ธารินหัวเราะ จริงๆ ก็อยากแกล้งต่ออีกนิด แต่ถ้าเล่นมากกว่านี้เขาต้องโดนเกลียดแน่ๆ “ผมอยู่บ้านครับ กำลังอ่านหนังสืออยู่แต่ไม่เข้าหัวเลย”
“ทำไมถึงไม่เข้าล่ะ”
“เพราะมัวแต่คิดถึงอาจารย์ไง”
“หราาา~” อริญชย์ลากเสียงล้อเลียนเขาไม่ได้เชื่อหรือยินดียินร้ายกับคำหยอดของเด็กหนุ่มสักเท่าไหร่ คิดว่าคงแกล้งแหย่เล่นๆ เพราะเจ้าตัวน่าจะมีคนที่ชอบอยู่แล้วคือพี่ชายคนสวยนั่น “ตกลงโทรหาฉันมีธุระอะไร”
“เราจะเริ่มติวกันเมื่อไหร่ครับ”
“วันจันทร์”
“ผมสอบวันศุกร์แล้วนะครับ รอจนถึงวันจันทร์ไม่ได้หรอก เอาวันนี้หรือพรุ่งนี้เลยไม่ได้เหรอครับ” ธารินโอคครวญ
“ฉันไม่ว่าง” อริญชย์ว่า “คนมีงานมีการต้องทำนะเว้ย! ไม่ได้มีหน้าที่เป็นติวเตอร์ให้นาย”
“งั้นเดี๋ยวผมไปหาอาจารย์ที่โรงพยาบาลก็ได้ครับ”
“ไม่ต้องมาเลยนะ บอกให้รอแค่นี้รอไม่ได้หรือไง ถ้างั้นฉันไม่ติวให้แล้วนะ”
“อาจารย์ใจร้าย~ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องดุกันเลยผมก็แค่อยากอ่านหนังสือแล้วก็เจอหน้าอาจารย์เอง”
เสียงทุ้มที่อ่อยลงชัดเจนทำให้ภาพลูกหมาทำหูตูบหางตกเพราะโดนเจ้านายดุนอนหมอบหงอยๆ อยู่บนพื้นปรากฏขึ้นในหัว อริญชย์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วตัดสินใจลองเล่นเกมเด็กหนุ่มดูหน่อยก็น่าสนุกดีเหมือนกัน “เอางี้ดีกว่า ไม่ต้องมาหาแต่ฉันมีอะไรสนุกๆ ให้ทำรับรองว่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน”
“อะไรครับ”
“ลองทายดูสิเจ้าเด็กเอน”
“อาจารย์ทำผมคิดลึกนะเนี่ย” ธารินถาม “อย่าบอกนะว่าว่าอาจารย์อยากเล่นเซ็กซ์โฟน”
“หืมมม แบบนั้นมันธรรมดาไป ฉันเคยทำจนเบื่อแล้วนายไม่มีอะไรที่เด็ดกว่านั้นแล้วเหรอ” อริญชย์ถามพลางดินหนีออกไปที่ระเบียงเพื่อไม่ให้ใครที่บังเอิญผ่านมาได้ยิน “ไม่รอนายทายแล้วฉันเฉลยเลยดีกว่า”
“อะไรครับ”
“ฉันจะส่งรูปอวัยวะไปให้นายดู นายมีหน้าที่ดูแล้วก็วิเคราะห์มาว่ามันคืออวัยวะอะไรแล้วเราจะตรวจได้ยังไงบ้าง”
ธารินหลุดยิ้มออกมาทันที “แหมมม วิธีการติวสมเป็นอาจารย์จริงๆ”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะ”
“ยังไงครับ”
“เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน นายจะเปิดหนังสือ อ่านตำราหรือหากูเกิ้ลมาตอบก็ได้ เพราะฉะนั้นห้ามตอบผิดเด็ดขาด ถ้าผิดแม้แต่ข้อเดียวนายต้องโดนลงโทษ”
“ลงโทษ” ธารินทวนคำ “ลงโทษอะไรครับ”
“ฉันก็อายุไม่น้อยแล้ว ขอใช้วิธีลงโทษแบบเดิมๆ ละกันนะ” อริญชย์บอกเสียงนุ่ม
“อย่างเช่นอะไรครับ”
“ก็ยืนกระต่ายขาเดียวคาบไม้บรรทัด แต่ไม้บรรทัดมันเล็กไปฉันอาจจะเปลี่ยนเป็นคาบอย่างอื่นแทน ไม่ก็ฟาดด้วยไม้เรียวอะไรแบบนี้น่ะ นายโอเคไหมล่ะ”
น้ำเสียงยั่วเย้าที่กระซิบมาตามสายทำเอาคนฟังจินตนาการเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน “โอเคครับ”
“กติกาคือฉันจะส่งรูปให้นายหนึ่งรูป เช้า กลางวัน เย็น ถ้าเริ่มเล่นตั้งแต่ตอนนี้ถึงพรุ่งนี้ก็จะได้ห้ารูปพอดี แล้ววันจันทร์นายมาให้คำตอบฉันว่าจากภาพทั้งหมดเจ้าของภาพป่วยเป็นโรคอะไร”
“อาจารย์ทำเหมือนสอบจริงๆ เลย” ธารินโอดครวญเบาๆ ยังไม่ทันเริ่มก็เห็นแววแพ้ลอยมาแต่ไกลแล้ว
“อย่าเพิ่งท้อสิ” อริญชย์ว่า “ถ้านายตอบถูกหมดฉันมีรางวัลให้ด้วยนะ”
“รางวัล!?”
อริญชย์หัวเราะในลำคอ น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทันทำให้เขานึกถึงเจ้าลูกหมาตัวโตที่กำลังทำหูตั้งตาโตขึ้นมาทันที “ใช่แล้ว ถ้านายตอบถูกนายจะขออะไรจากฉันก็ได้อย่างหนึ่ง”
“อะไรก็ได้นี่หมายถึงทุกอย่างเลยเหรอครับ”
“อย่าแพงมากนักล่ะ เงินเดือนหมอไม่ได้เยอะนะเว้ย!”
“ผมไม่เอาของแต่ขอเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมครับ”
“ตามใจนาย มันเป็นสิทธิ์ของผู้ชนะนี่นา ฉันให้หมดเลย... หมายถึงถ้านายมีปัญหาตอบถูกได้หมดจริงๆ ละก็นะ”
“อาจารย์ส่งรูปแรกมาเลยครับ ผมพร้อมแล้ว”
“นายใช้ไลน์เดียวกับเบอร์โทรใช่ไหม เดี๋ยวฉันแอดไปแล้วจะส่งรูปไปให้”
ธารินกดวางสายแล้วนั่งตัวตรง วางโทรศัพท์ไว้บนเตียงแล้วจ้องมองอย่าใจจดใจจ่อ อึดใจต่อมาก็มีคำขอเป็นเพื่อนส่งมาเขารีบกดรับทันทีและส่งสติ๊กเกอร์กลับไป ไม่เคยรู้สึกร้อนวิชามากขนาดนี้มาก่อนเลย เขาหันไปคว้าตำราการตรวจร่างกายเบื้องต้นที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะมาวางคู่กับโทรศัพท์แล้วยกมือพนมร่ายมนตร์คาถา งานนี้ต่อให้ต้องเล่นคุณไสยเขาก็ต้องเอาชนะอาจารย์รินคว้าเอารางวัลมาให้ได้
เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว:รออยู่นะครับ>.<
RiN: แป๊บนึง หารูปก่อน
เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ปูเสื่อรอ
Rin: ส่งรูป
ธารินหงายหลังล้มลงนอนแผ่หราบนเตียงด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม ทีแรกเขาคิดว่าอาจารย์คงจะใช้ภาพจากกูเกิ้ลหรือภาพเคสจริงที่ถ่ายเก็บไว้เพราะอาจารย์บอกว่าให้วินิจฉัยโรคมาด้วยหลังจากดูรูปครบ แต่นี่เขาไม่เห็นความผิดปกติใดๆ ในรูปเลยสักนิด คนที่จะผิดปกติก็คือเขาเองนี่แหละก็อาจารย์น่ะดันถ่ายภาพเซลฟี่ตัวเองส่งมาให้เขาน่ะสิ
“งื้อ~ น่ารักเว้ยยยย”
เขานอนบิดไปบิดมาบนเตียงก่อนจะรีบลุกขึ้นมากดเซฟก่อนเป็นอันดับแรก
RiN: อธิบายมาให้ละเอียดนะว่านายเห็นอะไรบ้าง แล้ววันจันทร์ฉันจะมาเฉลยทีเดียว
เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ครับผม!
(ต่อข้างล่างค่ะ)