34
ปิดบัญชีแค้น (1/2)
“อะไรนะ!!!”
โจรอู๋ตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างตกใจ ทำให้ผมสะดุ้งตื่น มองนาฬิกาเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าๆ ผมทำหน้าอยากรู้ มันก็เปิดลำโพงให้ฟัง เป็นเบย์โทรมา จะว่าเปิดเผยหรือขี้เกียจอธิบายให้ฟังทีหลังก็ไม่รู้มัน
[พูดจริงเฮีย ตอนนี้ผมโคตรกลัวเลย จะทำไงดี]
เสียงเบย์สั่นเครือปนสะอื้นไห้คล้ายกำลังจะสติแตก
“เกิดอะไรขึ้นเบย์” ผมถามด้วยใจหวั่นๆ
[เราถูกจับ]
“เฮ้ย!!!”
[แต่ตอนนี้หนีมาได้แล้ว]
“ใครจับนาย แล้วหนีได้ยังไง”
[ผู้ชายไล่ตามเราตลอดน่ะ ที่จริงมันเป็นทหาร จับเราใส่กุญแจมือ แต่เราเอาตีนกระแทกปุ่มเปิดประทุนรถ เลยหนีออกมาได้]
“เชี่ย! มึงไม่กลัวตายรึไง!” ลูกพี่โวย
[วินาทีนั้นผมไม่มีอะไรให้กลัวแล้วเฮีย ถ้าผมโดนจับ พวกเราจะซวยด้วยกันหมด]
“มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังบู๊หรอสัด ขนาดกูบ้ากว่ามึงยังไม่กล้าโดดออกรถเลย ดีนะที่บุญคุ้มกะลาหัวมึงรอดมาได้ ไม่โดนรถทับตายโหง”
โจรอู๋คล้ายจะด่า แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ผมรู้ เบย์เองก็รู้เช่นกัน
[บ้า ผมก็มองทางสิ เจอที่โล่งๆ ค่อยโดด]
“มึงแม่ง...” ลูกพี่ยกมือขึ้นกุมขมับ “คนทำมึงใช่ไอ้คนที่เคยเล่าให้ฟังไหม คนเมกันตัวใหญ่ๆ สูงๆ”
[อือ]
“โถ่ลูกน้องกู เสียทั้งตัวเสียทั้งใจ”
[ถ้าจะพูดงี้เอามีดมาแทงกันเหอะ] เบย์ถอนหายใจ
“แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน เดี๋ยวกูไปรับ”
[ไม่ต้องๆ ผมโอเค]
“ให้มันน้อยๆ หน่อย คิดว่ากูจะเห็นแก่ตัวปล่อยให้มึงเดี้ยงคนเดียวหรอ”
ผมแอบอมยิ้ม
[พอมีเงินอยู่น่า ไม่ตายง่ายๆ หรอก ไม่ต้องห่วง]
“มึงคิดจะไปไหนมาไหนทั้งที่ใส่กุญแจมือ?”
[เอาทุบกับซีเมนต์หลุดแล้วครับ เป็นแค่อลูมิเนียมอ่ะ ไอ้เหี้ยนั่นมีทั้งของเล่นของจริง คงหยิบผิด]
“ไม่มั้ง เป็นถึงทหาร ของเล่นกับของจริงน้ำหนักก็ต่างกัน มันอาจไม่ได้อยากจับมึงจริงๆ ก็ได้ แค่ขู่ให้ขวัญเสีย”
ผมฟังโจรอู๋พูดก็แอบเห็นด้วย เพราะผู้ชายที่มาติดพันเบย์คนนั้นดูหลงรักเพื่อนเราหัวปักหัวปำเหลือเกิน ยากจะเชื่อว่าจะทำร้ายกันได้... แต่มันก็แค่สันนิษฐานอ่ะนะ คนเรามองแค่ภายนอกไม่ได้
[ทำกันขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่ขู่ละเฮีย]
“กูไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่ะ มันคลั่งมึงขนาดนั้น”
[ตอแหลน่ะสิ]
“แล้วนี่มึงจะไปไหนต่อ”
[คงกลับสลัม]
“เห้ย อันตราย ตำรวจให้ชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตา เอาเงินมาล่อ ขืนมึงกลับไปก็ซวยสิ”
[ไม่ๆ มีพวกที่พึ่งได้อยู่]
“คนไหน กูเห็นมีแต่ขี้ยา”
[ก็ไอ้พวกนั้นแหละ ถ้าแม่งแจ้งจับผม ผมก็แจ้งจับพวกมันข้อหายาเสพติดเหมือนกัน]
“อ่อ ศีลเสมอกัน”
[โชคดีนะเฮีย ระวังตัวด้วย]
เราต่างหากต้องพูดประโยคนั้นกับเบย์
ผมกับโจรอู๋มองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจอย่างสลด หายนะลามเข้ามาใกล้ปลายจมูกพวกเราขนาดนี้ จะรอดถึงวันปิดบัญชีไหมนะ...
โจรอู๋ลุกจากเตียงไปใส่เสื้อผ้า ก่อนจะเก็บข้าวของใส่กระเป๋า
“อะไร อย่าบอกนะว่าจะย้ายที่”
“ใช่ ตำรวจว่าชิบหายแล้ว นี่แม่งมีทหารมาผสมโรงอีก เราอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ใครจะรู้ว่าพวกมันอาจแฮ็กมือถือไอ้เบย์ รู้ว่าโทรหาข้า แล้วก็ตามมารวบเราสองคนเข้าคุก”
“แล้วจะไปไหน”
“ที่ไหนก็ได้ที่ถูกๆ” โจรอู๋โยนกระเป๋าตังค์ลงบนเตียง “เหลือเงินอยู่แค่นี้ คิดทีว่าจะเอาไง”
ผมเปิดดูข้างใน นับดูก็พบว่ามันมีเพียงสามพันบาท แต่เราต้องใช้อีกสามวันกว่าจะถึงวันปิดบัญชีหนี้ของโจร
“หักเอาจากที่ขโมยมานิดนึงไม่ได้เหรอ กูกลัวไม่พออ่ะ” ผมปิดกระเป๋าตังค์ของมันอย่างอ่อนใจ
“ไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่าทรัพย์สินที่เรามีตอนนี้ตีเป็นเงินได้เท่าไหร่ ข้าไม่อยากให้มันขาดหายไป สามพัน สองคนสามวัน ถ้ากัดฟันใช้ยังไงก็พอน่า”
นี่แหละชีวิตจริง ไม่มีเศรษฐีคอยเป็นแบ็กอัพให้ ขอต้อนรับสู่วิถีกัดก้อนเกลือกินครับผม
โจรอู๋เห็นผมสีหน้าไม่ดีก็เข้ามายืนตรงหน้า ก่อนจะทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง... มันร้องเพลง
“มีแฟนเป็นโจร ต้องทนหน่อยน้อง~ พี่นี้ไม่มีเงินทอง มารองรับความลำบาก~”“เชี่ย!” ผมขว้างหมอนใส่มัน ทั้งน้ำเสียงเพี้ยนๆ กับอินเนอร์ที่มาเต็ม ทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้
“อยากให้อารมณ์ดี” โจรสวมกอด เอาหน้าหนวดๆ ถูหน้าผม “ทนเอาหน่อยนะ อีกสามวันเอง”
“รู้...” ผมกอดมันตอบ
ขอเพียงแค่ไม่มีอะไรผิดแผน D-Day
เมื่อวันนั้นมาถึง
เฟลมอยู่ไม่สุข ร้อนรน กระวนกระวาย เมื่อไม่มีใครบางคนตีหน้ามึนใส่มาสามวันเต็มๆ หมวดขาดการติดต่อไปเฉยๆ อย่างกับจะหายตัวตามแสงเทียนไปอีกคน
ความจริงหมวดได้เบาะแสจากพนักงานโรงแรมม่านรูดว่าเจอคู่รักชายชายรูปพรรณสัณฐานคล้ายผู้ร้ายในข่าว เลยมาให้ปากคำ เป็นข้อมูลสำคัญมากจนหมวดไม่มีเวลาไปหาเฟลม เหตุนี้ผู้ร้องทุกข์จึงไปหาหมวดที่สน. เอง เพราะไม่มีเบอร์โทร
จะขอก็ไม่กล้า มันดูส่วนตัวไป เกิดหมวดไม่ได้ก็หน้าแหกอีกใจหนึ่งตื่นเต้นเรื่องความคืบหน้าของคดี... อีกใจคืออยากเจอหมวด จะว่าเป็นความเคยชินก็ได้มั้ง เฟลมรู้สึกว่าเวลามีหมวด โลกก็ไม่ได้จะถล่มเหมือนตอนอยู่คนเดียว หมวดมีฟิลเตอร์ของความล่องลอยเหนือปัญหา...จะว่าหลุดโลกก็เอา เรื่องคอขาดบาดตายใดๆ ก็ไม่ทำให้หมวดรู้สึกสะทกสะท้านได้เลย ต่างกับเขาที่เหมือนแบกระเบิดขนาดใหญ่เท่าโลกไว้ตลอดเวลา
เขารู้สึกตัวเบาเวลาอยู่กับหมวด...
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นความรู้สึกพิเศษหรือไม่ เพราะเขาไม่มีจิตใจจะคิดเรื่องนั้น อย่างน้อยก็จนกว่าจะเคลียร์เรื่องแสงเทียนได้
พอไปถึงสน. ก็เห็นตำรวจหลายนายหน้าดำคร่ำเครียด เหมือนกำลังเตรียมตัวออกปฏิบัติภารกิจสำคัญ รถตำรวจจอดเรียงกันเต็มลานทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ แสงไฟจากไซเรนสว่างไปทั่ว เฟลมสอดส่องสายตามองหาหมวดรักษ์ เห็นเดินวุ่นๆ อยู่ในอาคาร ชายหนุ่มรอจังหวะที่หมวดอยู่คนเดียวเดินเข้าไปหา
“อยากจะหายก็หาย ไม่คิดบอกอะไรสักคำเลยสินะ”
“อ้าว เปรมประกิตติ์” หมวดเบิกตาขึ้นเล็กน้อยมองคนตรงหน้า “มีธุระอะไรเหรอ”
“จำเป็นต้องมีด้วยรึไง” เฟลมขมวดคิ้ว
หมวดยิ้มกวน “คิดถึงผมเหรอ?”
“บ้า! ใช่ที่ไหน ใครจะไปคิดถึงคุณ!” หนุ่มหล่อปฏิเสธทันที “เล่นหายไปเฉยๆ ตั้งสามวัน ไม่บอกอะไรผมเลย ผมก็แค่สงสัย”
“พอดีมีภารกิจใหญ่แทรกน่ะ ผมเลยต้องโฟกัสกับมันก่อน”
“ใหญ่แค่ไหน”
“ระดับความมั่นคงของชาติ”
เฟลมอึ้ง เทียบแล้วคดีของเขากลายเป็นขี้ผงไปเลย
“แต่ก็น่าจะติดต่อหาผมบ้าง ไม่ใช่หายไปเฉยๆ ผมกระวนกระวายจะแย่รู้รึเปล่า”
“เป็นห่วงรึไง?” หมวดเลิกคิ้ว
“ผมไม่ได้เล่นๆ นะ ซีเรียส” เฟลมนิ่วหน้าเครียด
“โอเค ผมขอโทษที่ไม่ได้บอก ก็มันฉุกละหุกมากนี่นา ตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะ” หมวดรักษ์พูดแล้วเดินเลี่ยงไป แต่ชายหนุ่มคว้าแขนตำรวจไว้ก่อน
“เดี๋ยวหมวด”
“อะไร”
“ผมไปด้วยได้มั้ย”
“ไม่ได้! มันอันตรายเกินไป แล้วคุณก็เป็นคนนอก ผมไม่อนุญาตเด็ดขาด” หมวดปฏิเสธทันควัน แววตาจริงจังมองเฟลม
“ถ้าคุณเผลอหลับใน ขับรถออกนอกเลนเหมือนคราวก่อนอีกล่ะ”
“ไม่หรอกน่า พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลย”
“คุณก็เคยหลับในตอนเช้าที่ร้านของผม จนหงายหลังล้มมาแล้ว”
“.... ยังไงผมก็ให้ไปไม่ได้ นี่ผมเป็นห่วงคุณนะเปรมประกิตต์”
“แล้วคิดว่าผมไม่เป็นห่วงคุณรึไง”พอจบประโยคนั้นของเฟลม ทั้งสองคนก็เงียบ เพราะรู้สึกอึ้ง ฝ่ายหนึ่งอึ้งที่ตัวเองพูดคำนั้นออกไป อีกฝ่ายอึ้งเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน
เฟลมถามเบี่ยงประเด็นทันที กลัวจะนำไปสู่บรรยากาศชวนเพลี่ยงพล้ำทางใจ
“คดีนี้เกี่ยวกับแสงเทียนมั้ย”
“ไม่ เป็นคดีค้าโบราณวัตุข้ามชาติ”
“ไอ้โจรที่ลักพาตัวแสงเทียนก็เคยขโมยวัตุโบราณ ผมว่า...”
“หมวดรักษ์ ไปสแตนด์บายได้แล้ว!”
ไม่ทันที่เฟลมจะพูดจบ ผู้กำกับก็ร้องบอกซะก่อน
“ครับท่าน” หมวดขานรับ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้เฟลม “เจอกันพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดแผน”
แล้วก็หายไป
ขบวนรถตำรวจทยอยออกจากสถานี เฟลมรอจนพวกเขาไปหมดทุกคันแล้วจึงโบกแท็กซี่หน้าสถานี
“ตามตำรวจไป”
แท็กซี่ทำหน้างง ปกติเคยเห็นแต่ตำรวจตามประชาชน
เฟลมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาต้องตาม อาจเป็นลางสังหรณ์ว่าต้องเกี่ยวกับแสงเทียน... ถ้าไม่เกี่ยว เขาก็แค่กลับ ไม่ทำให้ตำรวจปวดหัวหรอก
ถ้าไม่มีอะไรผิดแผน สามวันที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเงินสะพัดโดยแท้
ผม โจรอู๋ กับพรรคพวกในแก๊งช่วยกันกระจายเอาทรัพย์สินที่ขโมยมาไปเปลี่ยนเป็นเงินสด ขายตามตลาดมืดบ้าง แลกเปลี่ยนกับพวกผู้มีอิทธิพลบ้าง แล้วนำเงินสดทั้งหมด (หกสิบล้าน แม่เหยด) ฝากไว้ที่ห้องเคฟ...บุรุษคนเดียวในกลุ่มที่ยังไร้หมายจับ รอรวมกับขายของเถื่อนให้ครบร้อยล้านแล้วส่งมอบให้เฉินเชว่
โจรอู๋บอกว่ามันจะนัดเจอในกรุงเทพฯ ก็ถือเป็นเรื่องดีจะได้ไม่ต้องขนเงินไปจีนให้ยุ่งยาก แถมเสี่ยงตายในเขตแดนของพวกมันอีกต่างหาก
เคฟเอาวัตถุโบราณที่โจรอู๋ฝากไว้มาส่งให้ตั้งแต่เช้ามืด ได้แก่ภาพวาดของศิลปินแห่งชาติชื่อก้องโลกผู้ล่วงลับนับสิบ พระพุทธรูปโบราณ กับเครื่องประดับของราชวงศ์สมัยทวารดี แค่ไม่กี่ชิ้นก็มูลค่ามหาศาลเกินสี่สิบล้านไปโข แน่นอนว่าโจรอู๋จะฟันกำไรชนิดจุกอกตาย
พวกอาชญากรยกพลกันไปที่โกดังร้างแถบชานเมืองที่เจ้าสัวหัวหอกของขบวนการเป็นเจ้าของ ผมในนามแสงโสม กับโจรอู๋ในนามเคลวิน ขึ้นรถตู้มากับเจ้าสัวด้วย จึงไม่เป็นที่สะดุดตาของชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่ ต้องทำแบบนี้เพราะเราไม่มีรถเป็นของตัวเอง และการใช้บริการรถสาธารณะก็เสี่ยงเกินไป อเล็กซ์อัพเดตสดๆ ร้อนๆ มาว่าตำรวจเคลื่อนไหวแล้ว ยกขบวนกันไปทั้งโรงพัก แต่ไม่รู้ว่าไปไหน ให้พวกเราระวังตัว เพราะอาจมีข่าวรั่วไหลเรื่องการซื้อขายวันนี้ก็ได้ หากเป็นจริง ไม่ใช่แค่โจรอู๋ที่จะถูกเก็บ แต่โดนกันทั้งขบวนการ
แทนที่จะเบาใจ ผมเลยยิ่งเครียด
มาก็มาเถอะครับ แต่ขอเป็นหลังปิดบัญชีนะท่าน ...ลูกค้าเศรษฐีชาวต่างชาติที่เจ้าสัวเป็นคนกลางให้ก็กำลังเดินทางไปที่โกดังเช่นกัน มีชาวรัสเซีย ซาอุฯ กับฮ่องกง พวกรวยเงินเหลือทั้งนั้น
มาถึงปุ๊บก็ลงจากรถกัน แต่พอผมจะลง โจรก็จับไหล่ให้หยุด
“เอ็งไม่ต้องไป รออยู่ที่นี่”
“ทำไม” ผมงงเป็นไก่ตาแตก
“มันอันตรายเกินไป ข้าให้เอ็งไปเสี่ยงด้วยไม่ได้”
“อันตรายยังไง ไม่ได้มีศัตรูมึงอยู่ด้วยซักหน่อย”
“อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า”
“มาด้วยกันตั้งขนาดนี้ กูไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะ”
โจรถอนหายใจ คิ้วขมวดเคร่ง
“คราวนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เทียน มีแต่มาเฟียตัวเป้งๆ เกิดมันเล่นตุกติกฆ่าข้าตายขึ้นมา เอ็งจะไม่ปลอดภัย”
“อย่าพูดอย่างนั้น” ผมเอามือปิดปากมันทันที แค่คิดก็ใจหายแล้ว
โจรจูบมือผม แล้วดึงออก
“ก็แค่พูดเผื่อไว้ แต่จะทำให้ดีที่สุด มันต้องผ่านไปด้วยดี และหลังจากวันนี้ไปเราจะไม่ใช่โจรอีก”
“อื้อ...”
โจรอู๋ขยี้หัวผมเหมือนลูกหมาก่อนจะลงจากรถไปพร้อมกับเจ้าสัวและบอดี้การ์ดนับสิบ เดินหายไปอย่างรวดเร็วในความมืด ทิ้งให้ผมอยู่กับบอดี้การ์ดอีกหนึ่งคนเบื้องหลัง
ขอให้ภารกิจสำเร็จด้วยดี ขอให้มันปลอดภัยด้วยเถอะ... ภายในโกดัง
คู่ค้าชาวต่างชาติทั้งสามคนส่งตัวแทนมา เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ไม่คุ้มหากจะถูกตำรวจไทยรวบเอาง่ายๆ โจรอู๋กับเจ้าสัวจับมือทักทายพันธมิตรชาวฝรั่ง แขก และ...
“ไอ้สัดหมา มึงมาได้ไง”
เป็นอันต้องผวาเมื่อลูกค้าชาวฮ่องกงที่ว่ากลายเป็นคนที่เขาเอาตีนเหยียบหน้าเมื่อหลายวันก่อน รอยช้ำบวมแดงยังปรากฏให้เห็นชัด พอๆ กับสายตาลุกวาวเหมือนไฟที่จ้องมองมา
“แปลกใจทำไม ก็กูมาจากฮ่องกง”
“กูไม่คิดว่าจะเป็นมึง”
“มึงโง่ไง”
“พวกลื๊อรู้จักกันเหรอ” เจ้าสัวมองหนุ่มจีนสองคนสลับกันไปมาอย่างฉงนฉงาย
“ยิ่งกว่ารู้จักอีกครับ” เฉินเชว่เอ่ย “ไอ้เหี้ยนี่ไม่ได้ชื่อเควิน มันชื่ออติศร แซ่อู๋ บ้านอยู่เยาวราช เป็นอาชญากรสิบคดีในหมายจับ มันคือตัวซวยของแท้ เสี่ยโดนมันแหกตาแล้วล่ะ เลิกกระแดะสปีคอิงลิชเถอะ จีนด้วยกันทั้งนั้น”
โจรอู๋หน้าร้อนผ่าว
มึงสิตัวซวย มาแหกอะไรกูตอนที่ทุกอย่างกำลังจะสำเร็จ!“เรื่องแค่นี้ คิดว่าอั๊วไม่รู้เรอะ”
“อ้าว” ทั้งสองเป็นงง
“ก็เพราะรู้ว่าอีเป็นโจร อั๊วถึงยอมให้มาร่วมงาน ยิ่งพวกหนีคดีเก่งๆ ปลอมตัวเนียนๆ ก็แสดงว่าฝีมือขั้นเทพ”
โอ้โห คดีพลิกสัด...แล้วกูจะเสียเงินเป็นแสนให้ไอ้เล็กเมคตัวตนใหม่เพื่อ!?“แหม เสี่ยนี่หัวคิดดีจริงๆ นะครับ” เฉินเชว่หัวเราะแบบเสแสร้ง “แต่ยังไงผมก็ขอเตือนว่าไอ้เวรนี่มันงูเห่า กัดตายหมดแม้กระทั่งคนใกล้ตัว”
“แยกแยะบ้างได้ป่ะสัด”
โจรอู๋พูดลอดไรฟันน้ำเสียงเจือโทสะ ใจจริงอยากเอากระแทกหน้ามันเหลือล้น แต่ต้องรอให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อน ไม่งั้นจะเสียงานเอา เขารู้ว่าไอ้หอกนั่นก็อยากควักปืนมาเป่ากบาลตัวเองจะแย่ แต่เกรงใจเจ้าสัวกับคู่ค้าอีกสองคน อยู่กันลำพังเมื่อไหร่คงทำตามใจได้
“ปิดดีลนี้ กูขอเคลียร์บัญชีหนี้มึงต่อเลยแล้วกัน” มาเฟียกล่าว
โจรรู้ว่ามันอยากเก็บเขา ถึงได้ถ่อมาหาถึงที่ แถมยังก่อนกำหมดตั้งหลายวัน มันตั้งใจเล่นไม่ซื่อ เพราะหากรอเขาบินไปหาเองถึงจีน นอกจากเฮียฟงผู้เป็นคนกลาง (อาจจะ) ปกป้องเขาแล้ว ก็ยังง่ายที่เขาจะได้ตัวแม่คืนไปด้วย
มันต้องการฆ่าเขา... และไม่ต้องการให้ได้เจอแม่
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาบอกแสงเทียน
เขารู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เห็นเฉินเชว่ในไทยแล้ว แต่ไม่อยากให้แสงเทียนไม่สบายใจ และไม่อยากให้ต้องมาเสี่ยงภัยด้วยกัน เขาตายได้แต่แสงเทียนต้องรอด ข้างนอกนั้นมีโลกที่รอการกลับไปของแสงเทียนอยู่
แต่สำหรับเขา ไม่มีทว่าบางทีมันอาจไม่เป็นอย่างที่คิด เขาอาจชนะก็ได้ ใครจะรู้... อาจเป็นเขาที่ได้เอาคืนมันทบต้นทบดอก
โจรอู๋เปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบภาพวาดทั้งสิบออกมาวาง ตัวแทนลูกค้ารัสเซียกับคนที่น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจดูอย่างละเอียด ใช้เวลาร่วมสิบนาทีจนแน่ใจว่าเป็นของจริง จึงตกลงรับ และยื่นกระเป๋าเอกสารที่มีเงินอัดแน่นให้เจ้าสัวกับลูกน้องไปนับ หักค่านายหน้าออก แล้วจึงส่งให้โจรอู๋ ทำเช่นนี้กับลูกค้าแขกและเฉินเชว่
ตลกดีที่คนอย่างมันบูชาพระพุทธรูป กูเองก็บาปเหมือนกัน... แต่อีกไม่กี่อึดใจเวรกรรมก็จะตามสนองกระบวนการดำเนินไปท่ามกลางความสุ่มเสี่ยง ไม่มีใครวางใจใครร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะหนุ่มจีนทั้งสอง เจ้าสัวต้องสั่งการ์ดให้ล้อมวงรอบไว้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นไปด้วยดี ลูกค้าได้ของ เสี่ยได้ค่าคอมฯ โจรอู๋ได้เงิน
“ทีนี้ก็เหลือแต่เรา” เฉินเชว่พูด
“กูจะจ่ายมึง ก็ต่อเมื่อมึงปล่อยแม่กูเท่านั้น”
“เอาสิ กูคอลให้ แต่มึงต้องเอาเงินทั้งหมดมากองแทบเท้ากูก่อน”
“.....”
เสร็จธุระ แขกกับฝรั่งก็จากลา เจ้าสัวก็จะขอตัว แต่ลูกน้องกระซิบว่า
‘ถ้าพวกมันฆ่ากันตาย จะซวยลามมาถึงเสี่ยด้วยนะครับ’ เลยตัดสินใจจะอยู่ต่อเป็นคนกลาง
“ไหนๆ ก็ไหนๆ อั๊วจะช่วยพวกลื๊อไกล่เกลี่ยกันเอง จะทำอะไรก็เห็นแก่หัวหงอกอั๊วด้วยแล้วกัน”
“ไม่ต้องครับเสี่ย รบกวนเวลาเปล่าๆ” เฉินเชว่ว่า
“ไม่ได้ ที่นี่แดนอั๊ว ถ้าพวกลื๊อทำอะไรไม่เข้าท่า อั๊วนี่แหละจะซวย” เจ้าของที่ดินพูด สองศัตรูคู่แค้นมองหน้ากัน แล้วเฉินเชว่ก็พ่นลมออกจมูก
“งั้นผมไปที่อื่นก็ได้”
“ก็ดี โดนตำรวจจับได้ก็ไม่เกี่ยวกับอั๊ว”
“....” เจ้าหนี้กัดริมฝีปากล่างอย่างอึดอัดใจ ก่อนจะเอ่ยคำสรุป “เออ งั้นก็ทำแม่งที่เนี่ยแหละ”
“เอาไปก่อน ที่เหลือกูให้น้องมาส่ง”
โจรอู๋ยื่นกระเป๋าที่เพิ่งถือได้ไม่กี่นาทีให้คู่แค้น อีกฝ่ายกระชากไปอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นเขาก็ส่งโลเคชั่นให้เคฟ อีกฝ่ายส่งสติกเกอร์โอเค คาดว่าจะบึ่งมอเตอร์ไซค์มาภายในไม่เกินสิบห้านาที
“อีกตั้งนาน เสี่ยกลับก่อนเลยครับ ผมเกรงใจ” เฉินเชว่บอก
“พวกลื๊อคิดจะฆ่ากันในบ้านคนอื่น แต่ไล่เจ้าของบ้านออกไปให้พ้นเนี่ยนะ บ้ารึเปล่า!”
“ใครบอกผมจะฆ่ามัน มันสิจะฆ่าผม ไม่เชื่อดูหน้ามันสิ”
เจ้าหนี้ชี้นิ้วใส่คนตรงข้ามที่ทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อไม่มีผิด เจ้าสัวได้แต่ถอนหายใจและส่ายหัว
“อย่าฆ่าคนเลย มันบาป อั๊วเคยแล้ว ยังเสียใจมาจนทุกวันนี้ ต่อให้มันจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาแต่ชาติก่อนก็เหอะ ลื๊อจะสะใจแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ แต่จะฝันร้ายไปทั้งชีวิต ไม่คุ้มหรอก เชื่ออั๊ว”
มีเพียงความเงียบจากชายทั้งสองคน กับสายตาของเฉินเชว่ที่อ่านได้ว่า
‘ผมจะไม่มีวันเสียใจ’ ที่โจรอู๋อ่านออก
“ถึงจะเป็นเรื่องของลื๊อสองคน แต่ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้อง อั๊วก็จะไม่อยู่เฉย บอกไว้ก่อนว่าอั๊วมีเครือข่ายที่แผ่นดินใหญ่เพียบ”
“.....”
คำพูดของเจ้าสัวทำให้โจรอู๋ปลาบปลื้มจนแทบน้ำตาคลอ คนระดับนี้มีหรือจะดูไม่ออกว่าใครชั่วใครไม่ชั่ว... คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ไว้ใจ ยอมเสี่ยงตายมาลงขันด้วย
แต่ละวินาทีที่ผ่านไปยาวนานเหมือนสิบชาติ โจรอู๋ค่อนข้างกระวนกระวาย เพราะเงินตั้งยี่สิบล้านอยู่ในมือมัน ชีวิตแม่ก็อยู่ในมือมัน แต่ยังไม่ทันที่เคฟจะมาถึง เจ้าหนี้ก็ประกาศ
“กูเปลี่ยนใจละ เรื่องนี้เอาไปเคลียร์กันตอนมึงกลับจีนดีกว่า”
“ไอ้สันขวาน!!!”
ผัวะ!โจรซัดเต็มกำลังใส่ปากมาเฟียจนเลือดพุ่งจากปาก เฉินเชว่ร้องลั่น แต่ก็คือเตรียมตัวซัดอยู่นานแล้ว รอแค่จังหวะเปิดฉาก จัดการจับกลางลำตัวโจรอู๋ทุ่มลงกับพื้นซีเมนต์แล้วซัดคืนสองหมัดติด
“เฮ้ย! บอกว่าอย่าทำร้ายกัน พวกลื๊อฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!!!”
เจ้าสัวตะโกน สั่งให้ลูกน้องเข้าไปแยกหมาบ้าสองตัวนั้นออกจากกัน แต่พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อเฉินเชว่ชักปืนออกมาจ่อกลางหน้าผากโจรอู๋
“อาเฉิน! ลื๊ออย่า!” เสี่ยตวาด หน้าแดงก่ำ ตัวสั่นด้วยความโมโห
“เสี่ยไม่ต้องเสือก เรื่องนี้เกี่ยวกับผมและมันแค่สองคน!”
เฉินเชว่จ้องตาโจรอู๋เป็นประกาย คล้ายสัตว์กระหายเลือดศัตรู
“มีแค่ผมกับมันที่รู้...ว่าจะต้องจบแบบนี้!!!”
ปัง!v
v
v