CHAPTER 32
“แด่รัก” ผู้คนในกรุงเทพฯ แน่นเหมือนเคยในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเย็น ยังดีหน่อยที่ตอนนี้ตัวเองมีรถให้ขับแล้ว รถติดแบบนี้ถ้าขืนยังต้องรอรถเมล์อาจจะเหนื่อยจนสายตัวขาดเสียก่อน
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมคว้ามารับโดยไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าใครโทรมา “กำลังจะไปรับหลานครับ”
[ผมจะบอกว่าผมวกรถมารับแล้วน่ะครับ]
“อ้าว...” ผมร้องออกมาเบาๆ คิ้วขมวดเข้าหากัน “แล้วไหน...”
[นั่นแหละครับ] พ่อของหลานเอ่ยปากออกมา [คุณกลับบ้านได้เลย]
ผมแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง นี่คิดว่าประเทศไทยมันหาจุดวกรถในเวลาที่รถนิ่งเหมือนแช่แข็งถนนไว้ง่ายๆ หรือไงฮะไอ้คุณปฐพี!
ผมไม่ตอบอะไรแต่กดวางสายไปเลย เดิมทีผมไม่ใช่คนที่ต้องคอยไปรับไปส่งพระพาย ยกเว้นวันศุกร์อาทิตย์เว้นอาทิตย์พี่หลานจะมาค้างบ้านผม แต่วันนี้คุณปฐพีโทรมาบอกว่ามีประชุม ไม่มีคนที่บ้านว่างไปรับ รบกวนไปรับหลานให้หน่อย ไอ้เรารึก็เห็นว่าตอนนี้มีรถแล้ว (ครับ พี่เขยคุยให้จนได้มาอย่างรวดเร็วและราคาถูกกว่าปกติ) พอมาอยู่ระหว่างทางกลับได้รับคำพูดแบบนี้เสียอย่างนั้น แถมจะออกจากถนนได้ก็คงไม่ใช่ง่ายๆ ประเทศไทยรถติดกว่าอะไรดี
ขณะที่กำลังหงุดหงิดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกรอบ ผมเหลือบตามองว่าใครโทรมาก่อนที่จะเห็นชื่อที่บันทึกไว้ เลยกดรับสาย
“ว่าไง”
[คุณเพชรครับบบ] อืม... เหมือนเลี้ยงหมาชอบกล [วันนี้คุณเพชรว่างไหมครับ]
“ก็... พอได้ล่ะมั้ง” ผมอ้อมแอ้มตอบพลางมองรถเต็มถนนรอบข้างด้วยความเหนื่อยใจ “อ๋อ จริงสิ วันนี้สอบเสร็จนี่นะ” ผมพูดออกมาเมื่อนึกขึ้นได้
[ใช่ครับ ไปหาอะไรทานกันไหม]
“ไม่ไปกับเพื่อนเหรอ”
นั่นเป็นคำถามแรกที่ผมคิด ปกติแล้วเด็กมหา’ ลัยสอบเสร็จไม่น่าจะมาใช้ชีวิตกับ อืม... ผู้ชายวัยสามสิบหรอก หรือมีแค่ผมคนเดียว? ตอนผมอยู่มหา’ ลัยมีอยู่สองอย่างหลังสอบเสร็จ ถ้าไม่นอนเหมือนตายก็ไปกินเหล้าจนหัวราน้ำนั่นแหละ
[ไม่อ่ะ อยากไปหาคุณเพชรมากกว่า] อีกฝ่ายทำเสียงกระเง้ากระงอด [นะคุณเพชรนะ... คุณเพชรไม่ให้ผมไปหามาจะสองอาทิตย์แล้วนะ]
ก็นั่นแหละครับ เห็นว่าฟ้าครามจะสอบแล้วผมเลยออกปากไปว่าไม่ต้องโผล่หน้ามาแบบที่ชอบทำหลังเรียนเสร็จสองสามวันครั้ง หรือมาขลุกกันทั้งวันตอนวันเสาร์ – อาทิตย์จนกว่าจะสอบเสร็จ ผมไม่ยอมตอบไลน์ด้วยซ้ำ นานๆ ทีถึงจะตอบที ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตอบไปปุ๊บแล้วเจ้าเด็กนี่จะตอบกลับเร็วทุกที เหมือนกับจ้องโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวหาว่าไปรบกวนเด็กอ่านหนังสือเลยพยายามตอบเฉพาะช่วงเวลาที่ฟ้าครามโทรบอกว่าว่างเฉยๆ
“จะมาก็มาสิ” ผมตอบไปตามจริง “ตอนนี้อยู่ไหนแล้วล่ะ ให้ไปรับที่มหา’ ลัยไหม” ผมเอ่ยปากขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าถ้าเลี้ยวตรงแยกหน้าก็จะไปทางมหา’ ลัยของฟ้าครามได้ ไม่ไกลเท่าไหร่ด้วย
[ไม่อ่ะ ผมไม่อยากให้คุณเพชรมา หวง]
…เอากับมันสิ
ผมกลอกตาไปมานิดหน่อย ฟ้าครามเหมาะกับการเป็นลูกคนเล็กจริงๆ นานวันยิ่งแสดงนิสัยเด็กๆ ออกมา เจ้าผู้ชายมีรอยยิ้มเทวดาคนนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือแต่เด็กขี้อ้อนเหมือนลูกหมา
“หวงอะไร ปัญญาอ่อน”
[คุณเพชรอ่ะ!]
“สรุปจะให้ไปรับไหม” ผมถามย้ำอีกครั้ง
[ไม่ต้องก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกลับไปหาคุณเพชรเอง ที่บ้านนะครับ]
“อื้อ แค่นี้นะ”
ผมกำลังจะกดวางสายเพราะเห็นว่าสัญญาณไฟจารจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว แต่ได้ยินเสียงฟ้าครามดังลอดออกมาจากปลายสายก่อนที่จะตัดสายไป
[ค้างด้วยนะครับ]
“เออน่ะ!”
พระพายไปอยู่กับพ่อได้สองสามเดือนแล้ว ผมใช้วิธีไปเยี่ยมแกในช่วงเสาร์ – อาทิตย์บ้าง และหลังๆ มานี้พระพายจะมาค้างบ้านของผมในวันศุกร์ ชีวิตของผมเริ่มเข้าที่เข้าทางกับประเทศไทยมากขึ้น การงานกำลังไปได้ดี ได้รถขับ แม้ว่าจะรู้สึกว่าบ้านเงียบๆ ไปเสียหน่อยในช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหา เพราะมีว่าที่ทันตแพทย์โผล่มาหาบ่อยๆ ในช่วงเย็นวันจันทร์ บางครั้งบางคราเวลาผมไปรับพระพายที่โรงเรียนยังโดนครูว่านวารีเปรยๆ ขึ้นมาว่า
‘สนิทกับน้องชายครูจังนะคะ’
ผมคิดว่าผู้หญิงแม่ลูกอ่อนก็น่ากลัวเหมือนกัน... รู้แค่ได้ยินแล้วเสียวสันหลังวาบเล็กน้อย แต่ไม่เห็นครูแกจะพูดอะไรมากกว่านั้นผมเลยคิดว่าครูไม่รู้ หรือไม่ก็รู้แล้วแต่ไม่คิดจะทำอะไรมากกว่า
ส่วนเรื่องที่เปิดตัวไหมว่าเรากำลังอยู่ในฐานะอะไรกัน อืม... ไม่เชิง สำหรับผมน่ะนะ คนรอบข้างไม่ค่อยรู้ว่าผมใช้ชีวิตยังไงกับใคร อาจจะเป็นเพราะเราเองก็ไม่ใช่คนติดโซเชี่ยล ไม่ได้มีสังคมมากมายอะไรมาก เพียงแต่คนสนิทๆ อย่างไอ้ธามก็รู้ (และหยิบเรื่องนี้มาแซวเรื่อยๆ) พ่อพระพายเองก็รู้ คนที่บ้านนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้รึเปล่า ที่แน่ๆ คนในที่ทำงานผมไม่รู้สักคน ผิดกับตอนผมไปรับฟ้าครามที่มหา’ ลัย ทุกคนจะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มนั้น อาจจะเป็นเพราะฟ้าครามไม่ปิดบังรสนิยมและดูเป็นดาวเด่นของเพื่อนๆ ไม่น้อยล่ะมั้ง
อ๋อ... และใช่ เป็นเพราะผมแก่กว่าเขาตั้งเจ็ดปี
ยิ่งคิดยิ่งตกใจตัวเอง เอาจริงรึเนี่ย ตอนยังเสเพลผมมีแต่ผู้หญิงรุ่นพี่ทั้งนั้น ใครจะคิดว่านอกจากไอ้เด็กนี่เป็นผู้ชายแล้วยังอายุห่างกันเฉียดสิบปีแบบนี้
คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เผลอแป๊บเดียวผมก็มาถึงบ้านตัวเอง เห็นว่าแม่กุญแจที่ใส่ไว้ในประตูรั้วถูกเปิดแล้วและถูกแทนที่ด้วยสายยู ชัดเจนว่าฟ้าครามมาถึงบ้านก่อนผมเสียอีก
ผมจัดการเปิดประตู ถอยรถเข้าบ้านเสร็จสรรพ พอเดินลงมาก็เห็นว่าฟ้าครามกำลังให้อาหารปลาทองสองสามตัวในอ่างใสที่ผมเลี้ยงไว้
“อย่าให้เยอะนะ” ผมเอ่ยปราม
ฟ้าครามหันมา คลี่ยิ้มหวาน “ไม่กลัวลูกหิวเหรอครับ”
“เฮอะ” ผมได้แต่พ่นลมหายใจ “ลูกบ้าบออะไรกัน มันจำหน้าคุณได้ที่ไหน หน้าผมยังจำไม่ค่อยได้เลยด้วยซ้ำมั้ง”
“คุณเพชรเนี่ย... ไม่โรแมนติกเลย” อดีตพี่เลี้ยงเด็กทำหน้ายู่ ไม่รู้ว่ามันดูน่ารักอย่างไรแต่รู้ตัวอีกทีผมก็เผลอเอามือไปบี้จมูกโด่งๆ ของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นเขี้ยวเสียแล้ว “แล้วเมื่อไหร่คุณเพชรจะคืนกุญแจบ้านให้ผมสักทีล่ะครับ!” คนอายุน้อยกว่าทำบ่น
“รอไปน่ะ” ผมแกล้งยักไหล่
จริงอยู่ว่าฟ้าครามมีกุญแจบ้านของผม ทั้งประตูใหญ่และประตูเข้าไปในตัวบ้านเลยด้วยซ้ำแต่ผมขอยึดอย่างหลังไว้ในช่วงที่เจ้าอดีตพี่เลี้ยงเด็กสอบ เนื่องจากกลัวว่ามันจะใจแตก วิ่งเข้ามาทำอะไรพิลึกๆ ในบ้านตอนผมไม่อยู่
ฟ้าครามชอบนักแลไอ้ความ ‘โรแมนติก’ ที่ว่า จนอดนึกไม่ได้ว่าแฟนคนก่อนๆ ของเขาทำแบบนี้บ้างไหม เพราะงั้นเจ้าเด็กนี่เลยชอบบ่นน้อยใจบ่อยๆ เวลาที่ผมปราศจากความโรแมนติก
ก็นะ... อายุร่วมสามสิบแล้ว จะมาทำตัวคิกขุเหมือนเด็กมหา’ ลัยแถวนี้คงไม่ไหว
หลังจากเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้าบ้าน ผมก็จัดการลอกคราบตัวเองให้เหลืออยู่แค่กางเกงบ็อกเซอร์กับเสื้อกล้าม พอหลานไม่อยู่ด้วยผมเริ่มทำให้ชีวิตตัวเองซกมกมากขึ้นทุกที แม้จะสงสารฟ้าครามที่ทำหน้าที่ศรีภรรยาดีไม่มีตกก็ตาม
หืม... หน้าที่ ‘ศรีภรรยา’ นั่นแหละถูกแล้ว แม้เราจะยังไม่ได้แบ่งหน้าที่กันชัดเจนก็เถอะนะ
ว่าแล้วก็หันไปมองฟ้าครามที่กำลังหยิบของนู่นนี่ เตรียมเข้าครัว “ไม่ร้อนเหรอ” นั่นคือความคิดแรกที่คิดออก ฟ้าครามยังใส่กางเกงขายาวกับเสื้อนักศึกษาอยู่แล้ว
“อยากเห็นซิกแพ็กผมก็ไม่บอก” พี่เลี้ยงเด็กหันมายักคิ้ว
“มโนนะเราเนี่ย” ผมแกล้งเค้นหัวเราะ หน้าคนอายุน้อยกว่าเบ้อีกครั้ง นานวันยิ่งเห็นชัดว่าผมเป็นคนถือไพ่เหนือกว่า แต่จะให้เป็นแบบนั้นมากคงไม่ดีนักหรอก เลยเอ่ยปากหยอกไปเสียหน่อย “ล้อเล่น อยากเห็นอยู่เหมือนกัน”
แววตาอีกฝ่ายวิบวับขึ้น ทำท่าจะถอดเสื้อจริงๆ จนผมหัวเราะกับนิสัยโดนหยอกง่ายๆ ของเขา
“มานี่มา” ผมตบตำแหน่งข้างกายบนโซฟาที่นั่งอยู่
ฟ้าครามขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็เดินมานั่งอย่างไม่มีอิดออด “ทำไมเหรอครับ”
ผมไม่ตอบ แค่จู่ๆ ก็รู้สึกอยากทำ แขนกวาดโอบเอวสอบของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ เห็นได้ชัดว่าฟ้าครามนิ่งไปเลยเสียด้วยซ้ำ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขา ใบหน้าคมนั่นค่อยๆ หันมากระซิบเย้าแหย่ข้างๆ หู
“นึกคึกอะไรครับเนี่ย”
“เปล่าสักหน่อย...” ผมโกหกด้วยเสียงอู้อี้
“บางทีผมอาจจะต้องเรียนรู้คุณเพชรอีกเยอะนะครับ”
“...มีอีกเยอะให้นายเห็นเลยล่ะ”
นิ้วเรียวหยาบเล็กน้อยของอีกฝ่ายไล้บนหลังมือของผมเล็กน้อยจนผมรู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อย ก่อนที่ฟ้าครามจะมองผมเป็นเชิงขออนุญาต ผมไม่ได้บ่ายเบี่ยง มองหน้าเขาตรงๆ ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลง แค่นั้นเขาก็เข้าใจ สัมผัสหยุ่นๆ แตะลงบนริมฝีปาก แรกเริ่มก็หวานละมุน สักพักจึงเริ่มรุกล้ำ เร่งจังหวะให้ผมรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แขนที่ผมวางไว้บนเอวเขาเลื่อนขึ้นแตะไหล่กว้าง และตอนที่หลังตัวเองเริ่มจะติดเบาะโซฟา นานพอควรกว่าอีกฝ่ายจะผละไปอย่างอ้อยอิ่งช่วงหนึ่ง เป็นจังหวะที่ผมได้สูดลมหายใจและลืมตา เห็นเจ้าคนชอบงอแงแววตาวาวระยับแล้วก็ได้แต่คิดในใจ
...ผมเองก็ต้องเรียนรู้เขาอีกเยอะเหมือนกันสินะ [อยากไปนอนบ้านน้าเพชรค่า]
“อย่าพูดให้คุณพ่อฟังนะ” ผมว่าพลางกลั้วหัวเราะกับเสียงของหลานที่ผ่านปลายสายเข้ามา แม้จะพูดแบบนั้นก็แอบรู้สึกสะใจไม่ใช่น้อยที่หลานบอกแบบนี้ การแย่งหลานครั้งนี้ผมอาจจะชนะ
[ตอนนี้คุณพ่องานยุ่งจัง] พระพายบ่นต่อ [พระพายไม่มีคนเล่นด้วยเลย]
“งั้นมานอนบ้านน้าเพชรพรุ่งนี้ดีกว่าไหมคะ”
[ไปค่ะๆ] หลานตอบกระตือรือร้น ศึกชิงวันหยุดของหลานผมชนะคุณปฐพีจริงๆ ด้วย ยิปปี้!
“ไว้น้าเพชรไปรับละกันนะคะ” ผมเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม
[พระพาย อย่าลืมชวนน้าเพชรด้วยนะจ้ะ] ผมได้ยินเสียงของพ่อลอดเข้ามาขณะที่คุยกับหลาน พระพายเลยเอ่ยขึ้นมาต่อ [ใช่ค่ะๆ น้าเพชรคะ คุณพ่อชวนไปทำบุญเสาร์หน้า]
“หือ?” คำพูดของหลานทำให้ผมนิ่งไปเล็กน้อย
[ไปไหว้คุณแม่ไงคะ]
ผมไม่ได้ตอบอะไร เอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูเพื่อดูวันที่ แล้วก็เป็นจริงเสียด้วย... วันเสาร์หน้าจะครบรอบวันเสียของพี่เพลงเสียแล้ว
[น้าเพชรว่างใช่มั้ยคะ]
“ว่างจ้ะ” ผมคลี่ยิ้ม “เดี๋ยวน้าไปด้วยนะ บอกคุณพ่อเลย”
[คุณพ่อขา น้าเพชรไปด้วยนะคะ] ผมได้ยินเสียงหลานบอกพ่อตัวเอง ก่อนที่หลานจะหันมาพูดกับโทรศัพท์ใหม่ [คุณพ่อบอกว่าน้าเพชรชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะคะ]
ผมกลอกตา แอบคิดในใจว่าไม่ต้องบอกให้พระพายมาพูดหรอกมั้ง อีกอย่าง ‘เพื่อน’ ที่คุณปฐพีเอ่ยถึงคงไม่ใช่ไอ้ธามหรอก
[น้าเพชรคะๆ พระพายคิดถึงพี่ฟ้าจังค่ะ]
คำพูดของหลานที่แทรกผ่านสัญญาณโทรศัพท์มาเล่นเอาผมต้องหันมองคนข้างกายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยกันกับหนังสือหนึ่งเล่มเสียไม่ได้ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวเลยเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือและคลี่ยิ้ม
พูดไม่ออกเลยว่าที่หนูคิดถึงอยู่ข้างๆ น้าเนี่ยแหละค่ะ
“เอาไว้น้าบอกให้แล้วกันนะคะ”
[ค่า] หลังจากนั้นผมกับหลานก็คุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะวางสาย เหมือนกับที่ทำประจำทุกวันที่ว่างคือการโทรคุยหรือไม่ก็วีดีโอคอลกับหลาน
พอเห็นว่าผมคุยกับหลานเสร็จฟ้าครามก็เริ่มวางหนังสือ และหันมาทางผม ทำตัวออดอ้อนราวกับเป็นเด็กๆ “คุณเพชรคร้าบบบ”
“อะไรเล่า” ผมถามเสียงเรียบ “ขี้อ้อนจริงเรา” ว่าพลางเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยๆ ของอีกคน
ฟ้าครามทำหน้ามุ่ย “ทำเหมือนผมเป็นเด็กเลย”
“ก็เด็กจริงๆ” ผมหัวเราะ
“เขาว่ากินเด็กเป็นอมตะ...” จู่ๆ เจ้าเด็กนี่ก็เปรยขึ้นมา “แบบนี้คุณเพชรคงเป็นอมตะแล้วล่ะครับ”
“ผมไม่เห็นได้ ‘กิน’ คุณเลย”
พอโดนผมหยอกเข้าหน่อยอีกฝ่ายก็เริ่มมีแววตาระยับขึ้นมาใหม่ เป็นผมเสียเองที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เล่นเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้เลย
“นั่นสิครับ...” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ “ก็คนกินน่าจะเป็นผมนี่นา”
“อย่ามาเนียน!” ผมเอ่ยปากขึ้นเมื่ออีกหยาบเริ่มทำท่าจะไล้แถวๆ หน้าท้องของผม พลางตีมือซนนั้นดังเพียะจนอีกฝ่ายโอดโอยอย่างดัดจริตเบาๆ “เร็วเชียวเรื่องพวกนี้”
หมาป่าจำแลงเป็นลูกหมาน้อยอีกครั้ง “คุณเพชรอ่ะ...”
“หยุดเลย” ผมปรามเสียงแข็ง แต่ฟ้าครามฟังที่ไหน เขาเอาหน้ามาซุกที่พุงของผมแล้วเอาหัวทุยๆ หมุนไปมาชวนจั๊กจี้ “นี่!”
“กอดหน่อยนะครับ”
“...”
“นะ” อีกฝ่ายออดอ้อนด้วยการเงยหน้ามองผมด้วยแววตาคู่นั้น
ผมบ่นอุบอิบเบาๆ ว่าน่าหมั่นไส้ แต่จะทำอย่างไรได้ สุดท้ายแล้วก็ปล่อยให้กอดผมไปแบบนั้น ขณะที่ฟ้าครามกระซิบพรอดคำเดียวที่ชวนให้ชุ่มชื่นหัวใจ
“รักจัง” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่ดังพอที่จะทำให้ผมได้ยินและคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับกระซิบในใจด้วยคำเดียวกัน
‘รักเหมือนกัน’ มีต่อข้างล่าง
V
V
V