ตอนที่ 2
เช้าวันจันทร์ ผมจ่ายเงินสองพันให้ต้าร์แล้วก็ทำทีต้องรีบปลีกตัวไปตามเอกสารกับอีกแผนกเพื่อเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับเรื่องในคืนวันศุกร์ที่มันคงอยากรู้เต็มแก่ เมื่อผมกลับมาแผนกของตัวเองก็เห็นทุกคนยืนรวมกลุ่มกัน
“อย่างที่ทุกคนรู้แล้วนะคะว่าพี่จะย้ายไปดูโปรเจคครีมตัวใหม่” พี่แหม่มซึ่งเป็น Brand Manager ยืนพูดอยู่กลางวง “วันนี้พี่ก็เลยพา Brand Manager คนใหม่มาแนะนำ”
ผมเพิ่งสังเกตเห็นคนแปลกหน้าก็ตอนที่เขาก้าวออกมาโชว์ตัวนั่นแหละครับ
“ไอ้เหี้ย…” ผมหลุดอุทานเบาๆ หวังว่าคงไม่มีใครได้ยินนะ ก่อนจะรีบยกกระดาษเอสี่ในมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง
“สวัสดีครับ สิบทิศนะครับ เรียกว่า วิน ก็ได้ ยินดีที่ได้ร่วมงานกับทุกคนครับ” คุณสิบทิศ Brand Manager คนใหม่แนะนำตัวพร้อมกับหว่านรอยยิ้มผูกมิตรไปรอบๆ
หลังจากนั้นพี่แหม่มก็ให้ทั้งแผนกซึ่งมีประมาณยี่สิบคนแนะนำตัวบ้าง ผมสังเกตว่าพี่เอ็ม ต้าร์ แมนกับเอจะจำไม่ได้ว่าไอ้หน้าหล่อคนที่ยืนอยู่นั่นคือคนเดียวกันที่ไปกับผมในคืนวันศุกร์ ซึ่งผมคิดว่าดีแล้วที่เราไม่ได้อยู่จนถึงตอนผับเลิกเปิดไฟสว่างให้พวกมันจำได้
“คุณล่ะครับ” หัวหน้าคนใหม่ของผมเพ่งตรงมา
“เหนือครับ” ผมตัวชาไปหมด ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นต่อ ส่วนผมนั้นไร้อำนาจใดๆ จะขัดขืนเขาได้
ดูเหมือนเขาจะยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะสนใจคนถัดไป ผมรู้ดีเลยครับว่ายิ้มนั่นไม่ใช่เพียงตามมารยาทเท่านั้น มันแฝงด้วยเล่ห์อย่างอื่นอยู่ด้วย
ทำไมผมถึงได้ซวยอย่างนี้วะ หรือว่าเบญจเพสสำหรับผมคือตอนอายุยี่สิบสาม?
ตลอดทั้งวันผมไม่มีกะจิตกะใจทำงานเลยครับ ใจมันพาลคิดถึงแต่เรื่องในคืนนั้น ยิ่งโต๊ะทำงานของผมอยู่ใกล้เขามากกว่าใครยิ่งทำให้มองเห็นเขาอยู่ทุกเมื่อทุกยาม ที่เจ็บใจคือแทนที่ผมจะเหม็นขี้หน้ามันให้เข้ากระดูกเข้าไส้ แต่กลับมีภาพเรือนร่างของเขาและตอนที่เรามีอะไรกันแทรกมาตลอด นั่นทำให้ผมรู้สึกเกลียดตัวเองจับใจ
“เหนือครับ” เขาเรียก
“ครับ คุณสิบทิศ” ผมหลุดจากวังวนความคิดก่อนจะขานรับ
“หาข้อมูลของครีมกับโฟมล้างหน้าให้ผมด้วย ส่งเข้าในเมลแล้ว”
“คุณสิบทิศจะเอาเมื่อไหร่ครับ”
“ผมเขียนบอกไว้แล้ว” พูดจบเขาก็ลุกออกไปเลยครับ ซึ่งพอผมเปิดอ่านเมลที่เขาส่งมาก็แทบลมจับ เขาลิสต์รายการที่อยากได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทเกือบสิบข้อและขอย้อนหลังห้าปี นั่นหมายความว่าวันนี้ผมไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นละ เพราะฐานข้อมูลที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เก็บในเซอร์เวอร์ของบริษัทแค่สามปี สองปีก่อนหน้านั้นคือต้องไปค้นจากแฟ้มที่เป็นเปเปอร์ ที่สำคัญคือเขาใส่ดอกจันตรงล่างสุดว่าขอข้อมูลทั้งหมดภายในวันนี้
ครับ…ไอ้เหี้ย!
“อีเหนือ กูว่ามันแปลกๆ เหมือนคุณวินเขม่นมึงยังไงพิกลนะ” แมนกับเอเลื่อนเก้าอี้มากระซิบที่โต๊ะผม พอเห็นอีเมลที่เปิดหราบนหน้าจอมันทั้งสองก็รีบบาย “งานช้างแล้วมึง”
ผมจับพนักเก้าอี้พวกมันเอาไว้ทัน “พวกมึงช่วยกูด้วยสิ”
“กูขอเอาตัวเองให้รอดก่อนละกันนะ นู่น มึงดูกองเอกสารบนโต๊ะกู สูงยังกะเขาไกรลาศ” แมนว่า
“เออ เดี๋ยวกูช่วยหา” เอบอกอย่างเอื้อเฟื้อ
แต่พอเอาเข้าจริงๆ งานของเอก็วุ่นตลอดทั้งวันจนไม่ได้มาช่วยอย่างที่รับคำ แถมพอถึงตอนใกล้เลิกงานมันก็ทำหน้าแป้นมาบอกว่า “กูขอโทษ นัดกับผัวไว้ที่ฟิตเนสแล้วอ่ะ”
ผมนี่ถอนหายใจดังเฮือก “อือ มึงไปเถอะ เดี๋ยวกูก็จะชิ่งละ พรุ่งนี้ค่อยบอกเขาละกันว่าข้อมูลเยอะขนาดนั้นวันเดียวไม่ได้หรอก นี่ตั้งแต่สั่งงานไว้ก็ยังไม่กลับมาเลย สงสัยคงจะไม่รีบอะไรขนาดนั้น”
พูดไม่ทันขาดคำหน้าหล่อๆ ของเขาก็มานู่นละ พอเข้ามาใกล้ผมก็เห็นว่าในมือเขาถือแก้วกาแฟติดมาด้วย อย่าบอกนะว่าให้ผมหาข้อมูลมากมายขนาดนี้แล้วเขาไปนั่งกระดิกตีนชิลล์ๆ ในร้านกาแฟข้างนอกมา
“ส่งข้อมูลให้ผมยังครับ” เขาพูดตอนเดินผ่านเข้าไปที่นั่งตัวเอง
“ส่งให้แล้วครับ เฉพาะสามปีย้อนหลัง” ผมรายงานไปมองแก้วกาแฟของเขาไป น้ำเสียงตอนนี้คือพยายามระงับความขุ่นเคืองให้ได้มากที่สุด
“แล้วอีกสองปีล่ะครับ”
“บริษัทเราเก็บข้อมูลในเซอร์เวอร์แค่สามปี เก่ากว่านั้นต้องไปค้นจากแฟ้มในห้องเก็บของ” ผมบอกอย่างไม่ยี่หระ พลางก็ทำทียกนาฬิกาขึ้นดูเวลาบอกเป็นนัยๆ ว่าใกล้จะเลิกงานแล้วโว้ย “ถ้าคุณสิบทิศจะเอา ผมจะไปค้นให้วันพรุ่งนี้”
“งั้นผมขอพรุ่งนี้เก้าโมงเช้า” เขาทำสีหน้ากวนตีนชิบหาย
ผมได้แต่เข่นเขี้ยว จะเอาพรุ่งนี้เก้าโมง จะเอาเวลาที่ไหนมาทันกันเล่า
“เป็นช่วงบ่ายได้ไหมครับ เก้าโมงไม่น่าจะทัน” ผมต่อรอง
“ผมต้องใช้ข้อมูลพวกนั้นตอนประชุมสิบโมงครึ่ง” น้ำเสียงเขาเหมือนจะท้าทายอยู่ในทีซึ่งผมเองก็เป็นโรคไม่ชอบให้ใครมาสบประมาทได้เสียด้วย
ได้ครับ ไอ้เหี้ย…ผมคิดในใจ
เป็นอันว่าคืนนั้นผมอยู่ต่อถึงสามทุ่ม แถมเบิกโอทีไม่ได้อีก เพราะกฎบริษัทคือถ้าพนักงานจะทำโอทีต้องแจ้งหัวหน้างานก่อนทุกครั้ง แล้วหัวหน้าจะพิจารณาก่อน ถ้าเห็นสมควรถึงจะเซ็นอนุญาต
โอย ชีวิตบัดซบ ก็ได้พยายามคิดในแง่ดีว่าเขาคงต้องใช้ข้อมูลพวกนั้นจริงๆ ไม่ได้คิดจะแกล้งผมจริงๆ แต่แล้วความคิดบวกก็มีอันต้องสลายตัวลงในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อสิบโมงพี่แหม่มเดินเข้ามาในแผนกแล้วตรงไปที่โต๊ะของคุณสิบทิศร้อยจักรวาลนั่น
“พี่เพิ่งเห็นเมลที่ส่งมาตอนบ่ายเมื่อวานว่าขอเลื่อนประชุมเป็นจันทร์หน้า”
ผมฟังแล้วก็ขึ้นเลยครับ แบบนี้มันจงใจแกล้งกันชัดๆ แต่พนักงานต๊อกต๋อยอย่างผมจะไปมีปากมีเสียงได้ที่ไหนกันล่ะครับ ก็ได้แต่สะกดความโกรธหน้าดำหน้าแดงอยู่ตรงนั้นแหละ ยิ่งตอนก่อนที่พี่แหม่มจะกลับ แกยังทิ้งท้ายอีกว่า “อ้อ ข้อมูลย้อนหลังห้าปีพี่ส่งให้แล้วตั้งแต่เมื่อวานนะ”
“เห็นแล้วครับ” คุณผู้ชนะสิบทิศพูดอย่างไม่แคร์สายตาผมที่เหลือบไปมองด้วยความอาฆาตเลยสักนิด
“เหนือ ทำไมหน้าแดงอย่างนั้น ไม่สบายรึเปล่า” พี่แหม่มสังเกตเห็น
“นิดหน่อยครับพี่ วันก่อนโดนหมาไล่ เมื่อวานก็เจอหมาตัวเดิมมันเห่าเอาครับ” ผมว่าเสียงดังพอให้เขาได้ยิน
“ช่วงนี้หมาบ้าระบาด ระวังตัวนะ พี่ไปล่ะ”
พี่แหม่มเดินไปนู่นแล้ว แต่ผมก็ยังพูดตามหลังไปว่า “สงสัยเหมือนกันครับว่าจะเป็นหมาบ้าจริงๆ”
สาแก่ใจอีเหนือนัก ที่เห็นสีหน้าของเขากระตุกขึ้นมา แม้จะชั่วพริบตาก็เหอะ
แคนทีนของบริษัท ตอนพักเที่ยง
“ศุกร์นี้ไปร้านไหนดีวะ” พี่เอ็มเริ่มชวนไปเที่ยวอีกละ ขณะที่คนอื่นๆ เสนอความคิดเห็นกันผมเอาแต่งนั่งเงียบครับ ก็คงจะไม่ไปอ่ะ
“ไปด้วยกันมั้ยมึง ออกล่าผู้ชาย” ต้าร์หัวเราะฮิฮะ
“ไม่อ่ะ กูเหนื่อย” ผมบอกปัดกลายๆ
“แหม ได้ผู้ชายก็คงไม่เหนื่อยแล้วมั้ง เอ๊ะ รึว่าจะเหนื่อยกว่าเดิมนะ ได้ข่าวว่าศุกร์ที่แล้วยืนไม่ไหวเลยนี่คะเพื่อนขา” แมนเป็นคนจุดชนวนให้ทั้งกลุ่มกลับมาสนใจเรื่องในคืนนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีพิตต้าร์เป็นคนกระจายข่าวจากไลน์ที่ตอบมันไป
ต้าร์รู้โลกรู้จริงๆ นะมึง
“เล่าค่ะ ผู้ชายแซ่บมั้ย” พี่เอ็มถึงกับวางช้อนแล้วรอฟัง
“ผู้ชายที่ไหน ไม่มี๊” ผมทำหน้ามึนไปงั้น
“อีนี่ ก็คนที่มึงไปด้วยไงคะ ชื่ออะไรนะ” พี่เอ็มหันไปถามต้าร์
“วิน” ต้าร์มองค้อน “กูอุตส่าห์จอง หมาคาบไปแดกซะฉิบ”
“มึงว่ากูเป็นหมา?” ผมหันขวับ
“เล่ามา พวกกูอยากรู้”
“เอ่อ ก็…ก็ดี”
“คืนเดียวจบหรือว่ายังคุยกันคะ” ต้าร์ทำท่าจ่อไมค์
ผมไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี คืนเดียวจบพวกมันก็จะหาว่าผมง่ายผมร่าน ถ้าโกหกว่ายังคุยกันเดี๋ยวพวกมันก็คงจะซอกแซกถามเรื่องอื่นๆ อีกแน่ๆ เอาเป็นว่ายอมให้พวกมันด่าว่าร่านก็แล้วกัน
“อีร่าน” นั่นไง พวกมันพร้อมใจกันว่าผม
“ใหญ่ป้ะ” ต้าร์ยังไม่ยอมจบง่ายๆ
“อะไรใหญ่?” ผมตีหน้ามึน
“อีดอก หัวแม่ตีนเขามั้งคะ ตอบมากูอยากรู้จะได้เอาไปจิ้น”
ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมก็เลยเล่าแบบใส่ไข่ให้พวกมันอิจฉาเล่นซะเลย “เออ หล่อ รวย ลีลาดี อึด ใหญ่มากกกกก”
แต่เหี้ย…ผมนึกในใจ
“ว้าย เริ่ด” ต้าร์กรี๊ด “กูบอกมึงละ ผู้ชายคนเก่าผ่านไป คนใหม่ต้องแซ่บกว่า มึงก็เอาแต่อาลัยอาวรณ์มันอยู่นั่น”
ต้าร์หมายถึงพี่ป๊อปครับ
“กูไม่ได้อาลัยอาวรณ์พี่ป๊อป” กูแค่มีหนี้ที่ต้องจ่าย
“แหม่ๆ แหม๊ กูเห็นนะ อีพี่ป๊อปยังไลน์มาหามึงอยู่”
“เลิกกันแล้วก็ยังคุยกันได้ป่ะวะ”
“แต่เขาทำมึงเจ็บมากนะอีเหนือ”
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“พูดงี้หมายความว่าไง จะกลับไปคบกันว่างั้น”
“…”
“พวกเราคะ กูเตือน ถ้าไม่อยากเห่าเป็นหมา อย่าไปยุ่งเรื่องของมันกับพี่ป๊อปนะคะ”
“คุยกันเฉยๆ นะ” เรื่องหนี้ล้วนๆ เลยมึง
บทสนทนาจบลงแค่นั้นเมื่อคนที่นั่งโต๊ะข้างหลังเลื่อนเก้าอี้มาชนเก้าอี้ผม
“อ้าว คุณวิน กินเสร็จแล้วเหรอครับ” เอถาม
ห้ะ คุณวิน…ไอ้เหี้ยนั่น ตายๆ จะได้ยินบ้างไหมนะ
“เรียบร้อยครับ ขอตัวนะ ผมมีประชุมบ่ายโมงตรง”
เขาเดินผ่านโต๊ะพวกผมไปพร้อมกับยิ้มผูกมิตรให้เดอะแก๊ง แต่ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบกับรอยยิ้มนั่นก็ไม่รู้ รู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจอะไรบางอย่าง พอพวกเราตั้งท่าจะคุยกันต่อ เขาก็วกกลับมา
“เหนือครับ ผมคงจะเลิกประชุมเย็นหน่อย คุณช่วยรอผมด้วยนะ มีงานจะให้ช่วยครับ”
อะไรอีกวะ ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันจริงๆ จะแกล้งอะไรกูอีก แล้วทำไมต้องให้รอด้วย จะสั่งอะไรก็ส่งเข้าเมลสิวะ
“เขาชอบมึงป่ะ ทำไมเรียกใช้แต่มึง” พี่เอ็มว่า “เป็นป่าววะ”
“ไม่มั้งแก คุณวินแมนออก กูไม่สัมผัสได้ว่าเขาจะเป็นเกย์” ต้าร์ว่า
“กูก็ว่าไม่” ผมรีบเห็นด้วย ไม่อยากให้พวกมันเห็นเค้าแล้วสืบสาวจนรู้ว่าหัวหน้าคนใหม่ก็คือคนเดียวกับผู้ชายในคืนวันศุกร์
“แต่กูว่าเขาก็ดูคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” แมนทำท่านึก
“ไร้สาระน่าพวกมึง แดกต่อๆ จะได้รีบกลับไปทำงาน”
ห้าโมงสี่สิบห้า คนอื่นๆ ทยอยกลับไปแล้วแต่ไอ้คุณผู้ชนะสิบทิศสิบแฉกมันยังไม่โผล่หัวมาเลยครับ หรือว่าผมจะโดนแกล้งอีกแล้ว ผมจะให้เวลาถึงแค่หกโมง ถ้ามันยังไม่มาผมจะไม่สนใจอะไรละ
นั่งรอต่ออีกไม่กี่นาทีก็มีสายพี่ป๊อปโทรเข้ามา
“ครับพี่”
“เหนือ เดือนนี้พี่ขอเพิ่มนะ พอดีพี่ร้อนเงิน อีกอย่างถ้าเหนือผ่อนเดือนละเท่านี้มันก็ไม่หมดสักที เหลืออีกตั้งสองแสนเลยนะ” ออฟฟิศตอนนี้เงียบมาก ชนิดที่ว่าถ้าใครมายืนอยู่ใกล้ๆ ก็คงได้ยินสิ่งที่เราคุยกันแน่ๆ รวมถึงเสียงที่ลอดมาจากมือถือของผมด้วย
“แล้วเหนือจะเอาเงินจากไหนล่ะพี่” ผมนี่ใจแป้วเลยครับ
“พี่ขอโทษนะ” เสียงพี่ป๊อปเหมือนไม่ได้สงสารอะไรผมเท่าไหร่นัก “นี่เพิ่งจะต้นเดือนเอง พี่ก็เลยโทรมาบอกไว้ก่อน กว่าจะสิ้นเดือนก็อีกตั้งนาน พี่เองก็ร้อนเงินจริงๆ ขอโทษอีกครั้งนะ”
“อืม แล้วจะลองหาดู” ผมพูดเสียงอ่อยก่อนจะกดวาง จากนั้นก็เอามือกุมขมับเลยครับ น้ำตามันรื้นๆ ขึ้นมาแล้วก็มีแฟ้มงานวางกระแทกลงตรงหน้า
“ข้อมูลในแฟ้มนี้คลาดเคลื่อน คุณช่วยตรวจสอบให้ด้วย ผมต้องใช้มันพรุ่งนี้” เสียงของไอ้คุณสิบทิศครับ ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
“พรุ่งนี้ได้ไหมครับ วันนี้เลิกงานแล้ว” ผมตอบออกไปด้วยเสียงเหนื่อยล้า
“ผมต้องใช้พรุ่งนี้เช้า” เขาย้ำ
ถึงจุดนี้ผมหันไปมองหน้าเขาตรงๆ แล้วครับ ความอัดอั้นตันใจมันประเดประดังเสียจริงๆ น้ำตาที่เอ่อขึ้นมาก็เลยไหลเผาะๆ เอาตอนนั้นแหละ
สะใจมึงรึยัง
อยากจะรู้นักว่ากูเคยทำอะไรให้มึงแค้นนักหนา
ท่าทางของเขาเหมือนคิดไม่ถึงว่าผมจะร้องไห้ แต่ก็ทำเป็นไม่มองไม่สนใจ
“อยู่ต่อสักสองชั่วโมงนะครับเหนือ เดี๋ยวผมเซ็นโอทีให้” น้ำเสียงเขาอ่อนลง
“รวมของเมื่อวานด้วย” ผมเช็ดน้ำตาแล้วพูดเสียงกระด้างขึ้น
“ผมเซ็นย้อนหลังไม่ได้” เขาว่า
“เฮอะ” อยู่กันสองคนผมก็ไม่อยากใส่หน้ากากอะไรละครับ ทำไมต้องคอยเกรงใจมันด้วย
“เป็นหนี้อะไรตั้งสองแสน” อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมา แสดงว่าเมื่อตะกี้คงได้ยินหมดแล้วสินะ
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” ผมไม่อยากเสียเวลาเล่าให้กับคนไม่สนิทฟัง ขนาดเดอะแก๊งผมยังไม่เล่าเลย
“นั่นสิ ไม่ใช่เรื่องของผม” เขาไหวไหล่ “เห็นเครียดๆ ก็กะว่าจะช่วย สองแสนสำหรับผมมันไม่ได้มากมาย”
ผมหูผึ่งขึ้นมาทันทีเลยครับ แต่นึกแล้วคนอย่างเขาคงจะไม่ช่วยด้วยใจบริสุทธิ์หรอก ดูหน้าก็รู้ยี่ห้อ
หลังจากนั้นเราสองคนต่างก็ทำงานกันเงียบๆ จนผ่านไปชั่วโมงกว่าผมก็ตรวจทานและแก้ไขเสร็จ ตอนที่เอาแฟ้มไปวางตรงหน้าเขา ผมสังเกตว่าเขาปลดกระดุมสองเม็ดบนออก ดูท่าจะร้อนเพราะแอร์ปิดไปตั้งแต่ตอนหกโมง ผมเห็นผิวหนังในนั้นวับแวม ภาพคืนนั้นก็หวนกลับมาอีก แวบหนึ่งก็อยากจะลองถามเขาว่าทำแบบนั้นทำไม ที่ไล่ผมกลับในคืนนั้นน่ะ แต่คิดอีกทีก็ไม่ดีกว่าครับ
ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร เขาก้มลงมองคอเสื้อตัวเองแล้วมองหน้าผม
“คุณเล่าเรื่องผมให้เพื่อนคุณฟังทุกเรื่องเลยหรือ” เขาถาม
“เรื่องอะไร”
“หล่อ รวย ลีลาดี อึด ใหญ่อะไรนั่น ผมเป็นอย่างนั้นจริงใช่มั้ย” ท่าทางเขาดูภูมิใจอยู่นะ
ผมหน้าร้อนซู่ขึ้นมาเลยครับ แสดงว่าเขาได้ยินทั้งหมด
“ไม่ได้พูดสักหน่อย งานเสร็จแล้ว ขอตัว” ผมรีบกลับมาเก็บของแล้วปิดคอมฯ ที่โต๊ะ
“ผมหิวข้าว” เขาว่า
“เรื่องของคุณ บอกทำไม” ผมจะเดินหนีละครับ
“ยังไม่ได้กินเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพาไปกินข้าว ถือว่าเป็นค่าโอทีเมื่อวาน”
“ไม่อ่ะ”
“จะไปดีๆ หรือว่าอยากอยู่ดึกตลอดอาทิตย์” เขาขู่
ผมนี่ควันออกหูเลยครับ นี่มันยอมรับแล้วใช่ไหมว่ามันแกล้งผม อยากรู้จริงๆ ว่าผมไปทำอะไรมันไว้แต่ชาติปางไหน
ชั่วโมงต่อมาผมก็เลยมานั่งอยู่ในร้านอาหารในห้างกับมันสองคน ผมเอาคืนบ้างตอนที่มันบอกว่าสั่งได้เลย ผมก็เลยสั่งไปซะสิบอย่างเพลินๆ คำนวณคร่าวๆ ก็คงจะหลายพัน
“กินหมดเหรอ” เขาทำหน้านิ่ง
“ไม่รู้สิ ก็อยากกินทุกอย่างที่สั่งไปนั่นแหละ”
“กินไม่หมดผมปรับนะ”
“ก็ได้ยินแล้วนี่ว่าการเงินผมติดลบ คงไม่มีอะไรให้คุณปรับหรอก” ผมทำหน้ากวนๆ
“ไม่เอาเงิน แต่จะเอาอย่างอื่นแทน” เขายิ้มเจ้าเล่ห์
“ทะลึ่ง” ผมแหว แต่ทำไมหน้ามันร้อนซู่ขึ้นมาได้
“หมายถึงทำงานให้ผมโดยไม่มีโอที” เขาว่า “หรือว่าชอบแบบคืนนั้น”
ผมเม้มปากทันที พลางนึกว่าทำไมผมถึงเสียเปรียบเขาทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้นะ เมื่ออาหารที่สั่งไปมาวางเรียงสลอนอยู่บนโต๊ะผมก็จำต้องพยายามกินให้หมด ส่วนหนึ่งก็อยากเอาชนะเขานั่นแหละ ส่วนเขากินแค่อย่างเดียวที่เขาสั่งจนหมด แต่จนแล้วจนรอดที่ผมสั่งมาผมกินไม่หมดจริงๆ
“จะทำงานโดยไม่มีโอทีจนถึงวันศุกร์ก็แล้วกัน” ผมยอมแพ้
“เหนื่อยนะ เลือกอีกอย่างไม่สนุกกว่าเหรอ” เขายิ้ม มันไม่ใช่ยิ้มแบบกรุ้มกริ่มอะไรนะครับ เป็นยิ้มแบบเยาะเย้ยดูถูกอ่ะครับ
“ผมมีศักดิ์ศรีนะ อย่าหลงตัวว่าหล่อรวยแล้วจะเอาเงินฟาดหัวใครก็ได้ แล้วก็ไม่ได้อยากโดนไล่เหมือนแมลงสาบด้วย”
“แล้วถ้าไม่ไล่ จะไปไหมล่ะ” เขาถามเหมือนหยั่งเชิง
“เลิกเล่นเถอะ ดึกแล้ว อยากกลับไปพักแล้ว”
เขาเรียกพนักงานมาคิดเงิน ขณะรอเงินทอนกับใบเสร็จก็มีใครบางคนตรงเข้ามาทัก
“พี่วิน บังเอิญจัง จะกลับแล้วเหรอครับ” คนมาใหม่ยังใส่ชุดนักศึกษา รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาดีจัด ดูจากลักษณะท่าทางและออร่าแล้วก็คงเป็นคนในสังคมชั้นสูงอีกคนสินะ
“กำลังจะกลับแล้วครับ”
“พอดีเลย กรรณขอกลับด้วยได้ไหมครับ พอดีรถกรรณเพิ่งเข้าอู่” หนุ่มนักศึกษาที่แทนตัวเองว่ากรรณหันมาทางผม เหมือนจะขออนุญาตด้วย คงนึกว่าผมกับเขาจะกลับด้วยกันล่ะมั้ง
“กรรณไปกับพี่ก็ได้” ไอ้คุณสิบทิศยิ้มอ่อนโยน ผิดจากที่ปฏิบัติกับผมหน้าตีนเป็นหลังมือ ก่อนจะพูดกับผมว่า “กลับเองได้นะ”
“อ้าว เพราะกรรณรึเปล่าครับ อย่างนั้นกรรณเรียกให้ที่บ้านมารับก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก คนนี้เป็นแค่ลูกน้องที่ทำงานพี่เท่านั้นเอง”
“ได้ไงล่ะพี่วิน ไม่เอาดีกว่า”
“อย่างที่คุณสิบทิศพูดแหละครับ ผมกลับเองได้” พูดเสร็จพนักงานก็กลับมาพร้อมเงินทอนและใบเสร็จ อาศัยจังหวะนั้นผมก็เลยลุกขึ้น “ขอตัวนะครับ”