เรื่องของเด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ กับพี่ชายปากบอน บ้านข้างๆ # บทที่ 19
ความรัก...กับภาพที่เสร็จสมบูรณ์พี่กบเป็นคนจัดการเรื่องพี่ปาให้...ไม่นานตำรวจก็จับตัวพี่ปาได้...ไม่ต้องรอให้พี่ตะวันลืมตาตื่นขึ้นมาชี้ตัว...เพราะหลักฐานมัดตัว และพี่ปาสารภาพด้วยเหตุผลของการบันดาลโทสะ...
ผมไม่ได้ทำอะไร นอกจากนั่งเฝ้าพี่ตะวันอยู่ข้างเตียงทุกวันๆ...นึกเห็นภาพเหตุการณ์วันนั้น ผ่านบาดแผลทุกบาดแผลของพี่ตะวัน...และผมร้องไห้ทุกครั้งที่นึกเห็นมัน...
เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่นึกอยากเจ็บแทนใครสักคน...
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้ว่า...การอยากเจ็บหรืออยากตายแทนใครบางคน...นั้นมีจริง
พี่กบลางานไม่ได้นาน เลยต้องไปๆกลับๆระหว่างเชียงใหม่กับขอนแก่น...
แม้พี่กบจะดูเหนื่อย...แม้จะนึกเกรงใจ...นึกอยากบอกว่า ไม่เป็นไร...แต่ผมก็ไม่ได้พูด...เพราะผมกลัวเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว...
“ตะวันอยู่กับฉายนะ...ฉายจะไม่ทิ้งตะวันไปไหนแล้ว ไม่ให้ตะวันอยู่คนเดียว...ตะวันก็อย่าให้ฉายต้องอยู่คนเดียวนะ...อยู่กับฉายนะ...นะตะวัน?”ผมเฝ้าพูดกับพี่ตะวันครั้งแล้วครั้งเล่า...หวังให้เสียงของผมส่งผ่านไปถึงพี่ตะวัน...ให้พี่ตะวันหายโกรธ และลืมตาขึ้นมามองผมเสียที...เฝ้าพูดอยู่อย่างนั้นทุกวัน...และทั้งวัน...
ผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร...เมื่อหมอบอกว่า เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงของบาดแผลที่ปอดของพี่ตะวันหลังการผ่าตัดครั้งที่สอง ...แม้พี่ตะวันจะเสียเลือดไปมาก ร่างกายบอบช้ำ...แต่การผ่าตัดครั้งที่สามก็จำเป็น หากแต่การผ่าตัดยังต้องรั้งเพื่อรอเวลา...เพราะอาจเกิดการช็อคเนื่องจากระดับเลือดที่ต่ำจนเกินขีดอันตราย หมอจึงยังไม่อาจให้เกิดการผ่าตัดอีกครั้งได้...และเลือดก็หายากเสียเหลือเกิน...ยิ่งเกร็ดเลือดลดต่ำลงเท่าไหร่...เลือดก็ยิ่งหายากขึ้นเท่านั้น และไม่มีเวลามากพอให้ร่างกายพี่ตะวันฟื้นตัวเพื่อสร้างเกร็ดเลือดขึ้นมาเอง...
ความหวังดูคล้ายจะริบหรี่ลงทุกทีและทุกที จนแทบไม่มีเหลือ... เมื่อการผ่าตัดครั้งที่สามถูกกำหนดขึ้นอย่างแทบจะเรียกว่ากะทันหัน ทั้งที่ร่างกายของพี่ตะวัน ความพร้อมยังแทบจะเป็นศูนย์ ...เพราะเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างฉับพลัน เลือดออกไม่หยุดจากแผลที่ปอด และ ระบบทางเดินหายใจเข้าสู่ภาวะล้มเหลว ...หากไม่ผ่าก็ตาย...และผ่าก็อาจตาย...ผมจึงต้องเซ็นชื่อ ยินยอมให้พี่ตะวันเข้ารับการผ่าตัด...ซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้าย...ไม่ว่าจะด้วยความหมายใด...
พี่กบลางานมาอีกครั้งมาอยู่เป็นเพื่อนผมในวันที่พี่ตะวันเข้ารับการผ่าตัด...เรานั่งหน้าห้องผ่าตัด...นั่งเงียบๆ...ไม่ได้คุยอะไรกันเลย...เพราะเรารู้แล้ว เส้นแบ่งระหว่างกำลังใจกับการหลอกตัวเองนั้นเบาบางเหลือเกิน
ผมไม่ได้คุยอะไรกับพี่กบเลย...แต่คุยกับแม่ในใจ ว่าอย่าเอาพี่ตะวันไป...คุยกับพ่อในใจ ว่าให้ช่วยพี่ตะวันด้วย และคุยกับพี่ขุนในใจ ว่าขอพี่ตะวันให้ผมเถิด ผมสัญญา...ผมสัญญาจริงๆ... แม้ว่าในเวลานั้นผมนึกไม่ออกว่าจะสัญญาอะไร...อาจจะอะไรทั้งหมดในโลกที่มี ขอไว้อย่างเดียวเท่านั้น...ขอพี่ตะวันไว้ให้ผม...
และผมก็เฝ้าบอกกับพี่ตะวันว่า...ถ้าตะวันไป...ฉายก็จะไปด้วยเหมือนกัน...มันอาจคล้ายคำขู่ หากแต่สำหรับผมในเวลานั้น ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ...
ตลอดชีวิตนับแต่เกิด...นับแต่จำสิ่งรอบตัวได้...ชีวิตผมมีพ่อสองคน คือ พ่อกับน้ามะ...มีแม่สองคน คือแม่กับน้าโอ๋...และก็มีพี่ตะวัน
วันหนึ่งน้าโอ๋กับน้ามะก็ไม่อยู่...ผมจำได้แม่บอกพี่ตะวันว่า...ตะวันก็ยังมีน้ากับน้าเจดกับฉายไง...
แล้ววันหนึ่งแม่กับพ่อก็จากไป...ผมนอนกอดกับพี่ตะวันและร้องไห้กันทั้งคืน ผมบอกตัวเองว่า ผมยังมีพี่ตะวัน...และพี่ตะวันก็ยังมีผม...
วันนี้ผมจึงนึกไม่ออก...ชีวิตในวันที่ไม่เหลือใครเลย ผมจะอยู่ได้อย่างไร...
ชีวิตที่ไม่มีพ่อ... ไม่มีแม่...ไม่มีน้าโอ๋...ไม่มีน้ามะ และไม่มีพี่ตะวัน...ผมไม่เคยคิดถึงเลย...ชีวิตแบบนั้น...
เวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ในห้องผ่าตัด มันเหมือนคำบอกใบ้ให้เตรียมใจ...ห้าชั่วโมงผ่านไป...ผมก็เริ่มร้องไห้ออกมา...หกชั่วโมง...เจ็ดและแปดชั่วโมง...การผ่าตัดเสร็จสิ้น...ผลเป็นที่น่าพอใจเท่าที่พอจะพอใจได้ คือพี่ตะวันยังมีลมหายใจ แต่...ผมควรเตรียมทำใจ...
คืนนั้นผมกลับไปที่บ้าน...ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนพี่ตะวันที่ยังนอนอยู่ในห้องไอซียู...ผมไม่ได้กลับบ้านตัวเอง แต่เลือกที่จะไปอยู่ที่บ้านพี่ตะวัน
พี่กบจัดการให้เรียบร้อยทุกอย่างจริงๆ...ไม่หลงเหลือหลักฐานความเจ็บปวดของพี่ตะวันเลย แต่กลิ่นเลือดก็กลับยังเจนจมูกผม... พี่ตะวันยังคงนอนซวนซบแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น...และมองไม่เห็น...ตะวันฉาย บนฝ่าเท้าพี่ตะวัน..
นานแล้วที่ผมไม่ได้เข้ามารื้อค้นของในบ้านพี่ตะวันแบบนี้...เมื่อพี่ตะวันมีโลกของพี่ตะวันกับคนที่พี่ตะวันรัก ผมก็ถูกกันออกไปเป็นแค่น้องชายข้างบ้าน...
หรือพี่ตะวันอยากจะไปอยู่กับพี่ขุนมากกว่า...อยู่ดีๆผมก็ฉุกคิดขึ้นมา...พี่ตะวันอาจอยากไปอยู่กับพี่ขุน ไม่ใช่ผม...
ผมพยายามสลัดความคิดในหัวออก...เดินดูรอบๆบ้านที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมาช้านาน...
รูปของพ่อ กับ รูปของแม่ วางอยู่กระจัดกระจาย ทั่วบ้านของพี่ตะวัน...ทั้งภาพถ่าย และภาพวาดฝีมือของพี่ตะวันเอง..
ประตูห้องที่พี่ขุนยึดไว้เป็นของตัวเองถูกล็อคไว้ ไม่ได้เปิดทิ้งไว้เหมือนห้องอื่นๆ...ผมเดินไปหยิบกุญแจ ไขเข้าไปอย่างช้าๆ...
ผมเคยเข้ามาในห้องนี้ครั้งที่เป็นเด็กๆ...ครั้งที่มันยังเป็นห้องน้ามะกับน้าโอ๋...เคยทั้งเข้ามาเล่นกับพี่ตะวัน และเข้ามานอนกับพี่ตะวัน...แต่ไม่เคยมีโอกาสเข้ามาอีก เมื่อมันเป็นของพี่ขุน...
ผมจึงรู้แค่ว่า...มันคือห้องพี่ขุน แต่ไม่เคยรู้ว่า ข้างในมีอะไร...
...ผมไม่เคยรู้ว่าทำไม...
สำหรับผม...แม่...พ่อ...น้ามะ หรือน้าโอ๋...
พี่ตะวันสำหรับเรา คือดวงตะวัน...แสงสุดท้ายของวัน...
หากแต่ครั้งหนึ่ง พี่กบกลับปลูกดอกทานตะวันให้พี่ตะวัน...
และในห้องพี่ขุนวันนี้ที่ผมเห็น...ทานตะวันดอกที่สวยที่สุด ถูกวาดไว้บนผนังห้อง ด้วยฝีแปรงที่ผมจำได้ว่าไม่ใช่ของพี่ตะวัน...พี่ขุนคงเป็นคนวาด...คงเป็นดอกทานตะวันที่สวยที่สุด และสำหรับพี่ขุนคนเดียวเท่านั้น...
ผมพลิกดูเฟรมรูปที่วางพิง ทับซ้อนกันอยู่มากมาย...ทีละรูปๆ...มีแต่รูปพี่ขุนจากฝีแปรงของพี่ตะวัน...เป็นอีกครั้งที่ผมนึกรู้...นับจากวันที่พี่ขุนกลายเป็นอากาศลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้า พี่ตะวันคงขังตัวเองอยู่ในห้องนี้...ภาพของพี่ขุนที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า มันเป็นภาพเงาจากความนึกคิด...ความทรงจำ...หากแต่ดูจะแม่นยำ งดงามและ...สมบูรณ์...
ผมไม่เคยรู้...ทำไมพี่ตะวันชอบดอกทานตะวัน...ทำไมพี่ตะวันวาดรูปดอกทานตะวันที่รถเวสป้า...ทำไมพี่ตะวันถึงขอให้แม่เย็บผ้าห่มลายดอกทานตะวันให้...แล้วทำไมพี่ตะวันชอบนั่งวาดรูปอยู่ใกล้ๆดอกทานตะวัน...
...พี่ตะวันไม่ใช่ดวงตะวัน...และอาจไม่เคยอยากเป็น...พี่ตะวันคงอยากเป็นแค่ทานตะวัน...ของพี่ขุนคนเดียว...เท่านั้นจริงๆ...
ครั้งหนึ่งผมเคยชื่อ ตะวันฉาย...ตะวันฉาย...ที่ผมเคยคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตะวัน...
แต่วันนี้มันมีแค่...กรินกรณ์...และดอกทาน...ตะวัน...เท่านั้นจริงๆ...
จบ...ความรัก กับภาพที่เสร็จสมบูรณ์*********
เห็นแก่เด็กๆ บางคน เดี๋ยวนอนดึก