ย้อนสุดท้าย
ผมชื่อ ไทม์
Time ที่แปลว่า เวลา
ผมเกิดปี 1987
อายุ 32 ปี
ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร
ความคิดของผม ณ ตอนนี้ มันมีอยู่แค่นี้ ในขณะที่ผมหลับตาท่ามกลางความเงียบสนิทอยู่เนิ่นนาน
มันว่างเปล่า เคว้งคว้าง ไม่มีภาพ ไม่มีเสียงใดใด ให้ผมเห็น หรือให้ผมได้ยิน
ผมสัมผัสได้เพียงลมหายใจแผ่วเบา ทำให้รู้ว่าผมยังคงมีชีวิตอยู่
ดูเหมือนว่าผมกำลังหลับ ผมรับรู้ถึงร่างกายของผม แต่มันแน่นิ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหว มีเพียงทรวงอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะของลมหายใจบางเบา
ผมสัมผัสความรู้สึกนี้อยู่เนิ่นนาน จนมันดับวูบไปแบบไม่รู้ตัว
"เบาๆ ซิ ค่อยๆ เดิน"
"ชู่ว์..นายนั่นแหละอย่าส่งเสียง เดี๋ยวนายนั่นก็ได้ยินหรอก"
ผม และสาม เพื่อนของผม กำลังค่อยๆ ย่องไปด้านหลังของคนมาใหม่ที่นั่งเขียนงานอยู่ที่โต๊ะของลานกว้างข้างสนามบอลของโรงเรียน
เค้าเข้ามาเรียนกลางเทอม ห้องเดียวกับพวกเรา แต่ครูบอกว่าเค้าอายุมากกว่าพวกเราหลายปี ใช่ครับ เค้าซิ่วมาจากที่อื่น
เราค่อยๆ ย่องเข้าไป ยังไม่ใกล้เคียงคำว่า ใกล้ ตัวเค้าด้วยซ้ำ แต่เค้ากลับพูดลอยๆ ขึ้นว่า "จะเอาอะไร"
ผม และสาม เลยเลิกย่องแล้วเดินไปนั่งตรงข้ามเค้า มองหน้าคนที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองพวกผม
เค้าเข้ามาเรียนกับพวกเราไม่นาน แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากครู และถูกนักเรียนทั้งโรงเรียนเลือกให้เป็นประธานนักเรียน ทั้งที่เค้าอยู่แค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง
แน่นอน พวกสาวๆ พากันกรี๊ดเค้า ผมรู้ว่ามีสาวๆ แอบชอบเค้ามากมาย แต่เค้ากลับไม่เห็นสนใจใคร
เค้ามักจะมายืมรองเท้าโรลเลอร์เบลดของผมทุกวันเสาร์-อาทิตย์ หลายครั้งเค้าก็ยืมมอเตอร์ไซด์รุ่นใหม่ล่าสุดของผมไปทำธุระบ่อยๆ
เค้าเป็นเพียงคนเดียวที่ผมไว้วางใจที่จะให้ยืนสมบัติส่วนตัวของผม แน่นอนว่าผมไม่เคยให้ใครมีสิทธิ์ได้ยืมสิ่งเหล่านี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
เค้าเป็นเด็กดีของคุณครูเสมอ แม้กระทั่งเวลาที่พวกผมพากันรวมหัวโดดเรียน เค้าก็เป็นคนเกลี้ยกล่อมให้พวกเรากลับไปเรียนหนังสือตามปกติ ซึ่งเค้าก็มีอิทธิพลทำให้พวกเรายอมแต่โดยดีเสมอ
ทุกคนชื่นชม และเกรงใจเค้า เค้าค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบไม่ว่าจะหญิง หรือชาย แต่ผมไม่รู้หรอกว่าความรัก ความชอบ มันคืออะไร จนวันนี้
วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ที่เด็กมัธยมต้นอย่างผมยังไม่เคยสัมผัสกับคำว่ารัก หรือชอบ เราทำเพียงเอาสติกเกอร์รูปหัวใจไปแปะตามเสื้อเพื่อนๆ กันอย่างสนุกนาน
ต่างจากเค้าที่มีทั้งดอกไม้ และช็อคโกแลต ที่ได้รับทั้งจากสาวๆ หนุ่มๆ ในโรงเรียน และต่างโรงเรียนที่แอบมารอที่หน้าประตูโรงเรียนตอนเช้ามากมาย
ผมเห็นของมากมายวางอยู่บนโต๊ะเค้า ผมคิดได้แค่ว่า ช็อคโกแลตมันน่ากินมาก จนผมต้องบ่นกับ สาม เพื่อนของผม ที่นั่งอยู่โต๊ะเรียนคู่กัน
สาม ไม่มีความคิดเห็นอะไร ต่างจากผมที่นั่งบ่นว่าอยากกินช็อคโกแลต จนตกเย็นใกล้เวลาเลิกเรียน
นักเรียนทุกคนทยอยออกจากห้อง เหลือแค่ ผม สาม และเค้า
สามเก็บกระเป๋าเตรียมจะลุกกลับบ้าน แต่เค้าก็เอ่ยปากรั้งเอาไว้ก่อน
"สาม จะกลับแล้วเหรอ"
"อื้ม" สามตอบเค้าแค่นั้น
เค้าลุกขึ้น และเดินเข้ามาที่โต๊ะของเรา พร้อมกับยื่นช็อคโกแลตแท่งหรู ซึ่งผมคิดว่ามันคงแพงมากๆ เพราะห่อมันสวยมาก และผมไม่เคยเห็นมันตามร้านค้าแถวบ้านหรือโรงเรียนเลย
เค้ายื่นมันให้กับ สาม
ผมมองตามมือนั้นที่หยิบยื่นมาทางเพื่อนผมตั้งแต่แรก มันเหมือนภาพ slow motion ผมมองการกระทำนั้น นิ่ง ค้าง และรับรู้มันได้ทุกวินาที จนสามพูดว่า "ไม่เอา"
เค้าไม่ตื้อต่อ แต่วางมันไว้กับโต๊ะ และบอกสามว่า "ถ้าไม่รับก็วางไว้ตรงนี้" และเค้าก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของเค้าเหมือนเดิม
สามทำท่าจะเดินจากไป แต่ผมก็ยังจะบอกสามว่า "รับไว้เถอะ น่ากินดีออก"
สามตอบผมกลับมาว่า "ถ้านายอยากกิน ก็เอาไปกินเองซิ" และเดินจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนมองช็อคโกแลตที่วางอยู่บนโต๊ะ สลับกลับมองคนให้ ที่นั่งก้มหน้าทำงานที่โต๊ะของตัวเองอยู่อย่างนั้น
ผมมองช็อคโกแลตอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่ผมจะตัดใจ และลุกเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งมันไว้ตรงนั้น
คุณรู้มั๊ย เหตุการณ์ครั้งนี้ มันทำให้ผมรู้จักความรักเป็นครั้งแรก และเป็นความรักที่เจ็บปวดเหลือเกิน
ตอนที่เค้าเดินถือช็อคโกแลตมา ไม่รู้ทำไมใจผมถึงต้องเต้นแรง
แต่พอเค้ายื่นมันให้กับสาม ผมกลับรู้สึกเจ็บ อกของผมอยู่ดีๆ ก็รู้สึกจุก ผมเจ็บ ผมเพิ่งรู้ว่าผมเจ็บที่หัวใจของผม
เมื่อสามเดินจากไป ยามที่ผมมองช็อคโกแลตบนโต๊ะแท่งนั้น น้ำตาผมกลับไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว จนผมต้องรีบเดินออกมา ให้ไกลจากเค้า
ผม แอบรัก เค้า แต่..เค้ารักคนอื่น
ผมรู้จักความรักครั้งแรก ไปพร้อมๆ กับความเจ็บปวดของความรักไปพร้อมๆ กัน
ความรักคือความเจ็บปวดซินะ
"ฮือๆๆ..ฮึก..ฮือๆๆ" ผมหลับตาและร้องไห้ น้ำตาผมรินไหลไม่หยุด
ผมสะอึกสะอื้น หอบหายใจจนตัวโยน
แต่ผมกลับรับรู้ถึงร่างกายที่นอนแน่นิ่งอยู่คล้ายกลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกของผม ที่มันช่างหนักหน่วง
ความเจ็บปวดมันช่างชัดเจน คล้ายกับกดลึกลงกลางอกของผมจนทรมานแสนสาหัส
"ไม่ ผมจะ ไม่รัก ใครอีกแล้ว ฮือๆๆ.."
พลันความทรงจำทั้งหลายก็พร้อมกับผุดขึ้นมาในความรู้สึก มันไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว มันไม่มีเสียง แต่มันคือความรู้สึก เจ็บปวด ผิดหวัง ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่มันถาโถมมาไม่หยุด
ไม่ ผมไม่อยากเจ็บปวด ผมไม่ยอม ผมไม่ได้เสพสมกับมัน ผมไม่ได้มั่วสมสู่กับใครไปทั่ว
ไม่ ผมไม่ได้รักไอ้เอก ผมไม่รักมัน ผมต้องไม่เจ็บปวดเพราะมัน
ผมไม่ยอมพลีร่างให้ไอ้ตั้มมันเสพสุข ผมรังเกียจมัน
ไอ้น่านคนเลว ผมยิ่งกว่าขยะแขยงมัน ไอ้คนชั่ว ไอ้เลว อย่ามายุ่งกับผม
ผมไม่อยากแปดเปื้อน ฮือๆๆ... ผมไม่อยากสูญเสียร่างกายให้คนชั่วช้าอย่างไอ้ม่อน เอาความสดใสของผมคืนมา มันกล้าดียังไงมาทำให้ร่างกายของผมน่ารังเกียจ ร่างกายของผมมันน่าขยะแขยงสิ้นดี ฮือๆๆ...
"ฮือๆๆ..ฮึก..ฮือๆๆ"
อนิจจา วต สังขารา.......
ระหว่างที่ผมทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส กลับมีเสียงแว่วมาจากที่ไกลๆ และค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผมหยุดร่ำไห้
"ฮือๆๆ..หลวงพี่ หลวงพี่ช่วยผมด้วย"
ผมมองเห็นหลวงพี่ที่ผมเคยใส่บาตรอยู่หลายครั้งมายืนอยู่ตรงหน้า และหลวงพี่ก็คือเค้าคนนั้น คนที่เป็น รักแรก ของผม
"ฮือๆๆ..หลวงพี่ หลวงพี่" เสียงร่ำไห้ของผมพลันต้องหยุดลงเมื่อผมได้ยินเสียงของหลวงพี่ชัดเจน แต่ภาพที่ผมเห็น เป็นร่างที่ยืนสงบนิ่ง ริมฝีปากท่านไม่มีท่าทีว่าจะขยับสักนิด
"สรรพสิ่งปล่อยวางได้ใจเป็นสุข ไม่มีทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
สรรพสิ่งเกิด-ดับไปในทุกอัน สารพันสารพัด"อนัตตา"
ยึดมั่นมากไม่มีสุขก็ทุกข์มาก แสนลำบากยิ่งนักเป็นหนักหนา
ยึดมั่นน้อยก็ทุกข์น้อยค่อยคลายคลา ในไม่ช้าก็จะหายคลายทุรน
จงปล่อยวางให้มากอยากมีสุข ทุกยามยุคจักบรรลุยอดกุศล
อภัยทานนำมาใช้ให้ทุกคน จิตกุศลแผ่เมตตามหาทาน
ฝากแสงทิพย์อริยธรรมช่วยนำส่ง ตามจำนงสัตว์น้อยใหญ่มากไพศาล
ข้าฯสละอโหสิกรรมทำบุญทาน ปล่อยวางผ่านพระโลกุตตร์เป็นสุดดี
หลายถ้อยคำที่ผมได้ยิน ยิ่งเนิ่นนานเท่าไหร่ ใจผมก็ยิ่งสงบลงมกเท่านั้น
ผมรู้สึกเบาขึ้น สบายขึ้น รอบข้างสว่างขึ้นจนมองเห็นภาพเบื้องหน้าที่เป็นเตียงคนไข้ ซึ่งมีสายระโยงระยางต่อเข้ากับร่างกายของผม ที่นอนแน่นิ่งเหมือนไร้วิญญาณอยู่บนนั้น
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จงอโหสิกรรมให้ทุกสรรพสิ่ง ทุกชีวิต รวมทั้งอโหสิกรรมให้ตัวเอง และจงปล่อยวาง
สัพเพ สังขารา อนิจจา-สิ่งทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง.....
สัพเพ สังขารา ทุกขา-สิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์.......
สัพเพ ธัมมา อนัตตา-ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน.......
เมื่อเสียงเริ่มเลือนหาย สติของผมก็เริ่มเบาบาง และดับไปพร้อมกับเส้นกราฟบนหน้าจอข้างเตียงคนไข้ที่ค่อยๆ กลายเป็นเส้นตรงจนราบเรียบไปในที่สุด
_____________________
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองที่ได้เขียน เรื่องนี้ไม่มีพระเอก ไม่มีความฟิน ไม่มีความจิ้น แต่นักเขียนรู้สึกไปไทม์มากจริงๆ ไม่รู้ว่าถ่ายทอดให้นักอ่านได้สัมผัสกับมันได้บ้างหรือเปล่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้าในชีวิต บางอย่างเรากำหนดเองไม่ได้ บางอย่างเราอาจจะไม่ได้เลือกให้มันผ่านเข้ามา แต่เราสามารถเลือกที่จะปฏิบัติตอบรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขทุกสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้ เราทำได้เพียงทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตรงนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง
อำลา ไทม์ กันตรงนี้นะคะ ของคุณมากๆ ค่ะ
#Subconscious
#วาย
#จิตใต้สำนึก