บทที่ ๑๘ (ครึ่งแรก)เพราะงานที่ต้องทำให้เสร็จเนื่องจากคุณแขไขโทรมาเร่งด้วยตัวเอง ทำให้ณิชกับมิ้งแทบไม่ได้ไปไหนเลย จากปกติยังมีเวลาทำงานของลูกค้าคนอื่นบ้าง แวะเข้าเมืองไปซื้อของหรือเที่ยวเล่นบ้าง กลายเป็นต้องเร่งงานเพื่อให้ทันใจเจ้านาย
ตอนนี้คุณแขไขอยู่ต่างประเทศกว่าจะกลับก็เดือนหน้า แต่กำหนดการที่ต้องทำงานที่นี่ให้เสร็จคือไม่เกินสองเดือน เดดไลน์ของงานที่ถูกร่นระยะเวลาเข้ามาทำณิชเครียดจัด และไม่ได้มีแต่เรื่องงานเท่านั้นที่ทำเขาแทบข่มตานอนไม่หลับในแต่ละคืน มันมีเรื่องของจีรัชญ์เข้ามาเกี่ยวด้วย เพราะเขากับฝ่ายนั้นไม่ได้คุยกันมา 2-3 วันแล้ว เรื่องงานจะผ่านมิ้งทั้งหมด จีรัชญ์ไม่ได้เข้าหาเขาแต่อย่างใด และณิชก็ไม่ได้พยายามเข้าหาอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน
‘หากเป็นเช่นนี้อยู่ ข้าว่าชาตินี้ข้าคงอยู่เป็นวิญญาณอย่างนี้ไปอีกครา’
ไอ้มั่นพูดพลางถอนหายใจนั่งหลังพิงฝา ทอดอาลัยเมื่อไม่รู้ว่าจะช่วยไอ้เกลอกับเจ้านายมันคืนดีได้อย่างไร สัตย์สาบานที่เคยให้ไว้ว่าจะช่วยเหลือคงไม่ได้ทำในชาตินี้แล้วเป็นแน่ ที่นั่งอยู่ข้างกันเป็นมิ้งที่กำลังสเก็ตช์ภาพออกแบบบ้านรีโนเวทส่งลูกค้าในไอแพด ซึ่งไอ้มั่นเรียกว่ากระดานชนวนแบบพิเศษ
‘คุณตรีเขาใจแข็งมาก ถามจริงเถอะพี่ ชาติก่อนพี่ณิชทำคุณตรีไว้เจ็บมากเหรอ มากกว่าชาติแรกที่ทำให้โดนสาปอีกเหรอ’
การสื่อสารในใจทำให้พวกเขาคุยกันได้สะดวก แต่กระนั้นการแยกประสาทสองส่วนคือมือทำงาน สมองคิดงานและต้องแบ่งมาฟังเรื่องของณิชด้วยก็ทำเอามิ้งได้งานช้ากว่าเดิม แต่เธอก็ยอมเพราะอยากรู้เรื่องราวของณิชเช่นกัน
‘ไอ้หาญมันวาดหวังเสียสวยหรู ชีวิตคนทั้งคู่ราบรื่นไม่มีทุกข์ แต่แล้ววันหนึ่งก็เหมือนฟ้าผ่ากลางกบาล รักกันได้ ใครๆ ก็รับรู้ ไม่ได้ต่างชนชั้นดั่งเช่นชาติก่อน แต่กลับต้องจากกันเพราะหาใช่เวลาที่ต้องคู่กันไม่’
‘ไม่เข้าใจ’
มิ้งขมวดคิ้ว แทบจะทิ้งงานในมือเพื่อจะได้คุยกันจริงๆ จังๆ ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมคนสมัยก่อนพูดหรือคิดอะไรช้า กว่าพี่มั่นจะบอกในแต่ละประโยคที่มีแต่ปริศนา ทำเอาเธอร้อนใจแทบจะหันไปบีบคออีกฝ่ายเสีย
‘คุณปราณตาย’
“ห้ะ!! ตาย!” มิ้งอุทานออกเสียงดังลั่นจนพวกช่างหันมามองหน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ควรทำเลยยิ้มแหยและกล่าวขอโทษกลับไป ไม่ลืมบอกด้วยว่ากำลังอ่านเรื่องย่อนิยายอยู่
‘เจ้าจะร้องแรกแหกกระเชอไปไย ไม่สำรวมกิริยาสมดั่งหญิง เป็นแบบนี้ชายใดรึจะมอง เรื่องที่ข้าพูดก็หาใช่เรื่องใหม่ หากคุณปราณไม่ตายเช่นนั้นชาตินั้นจะเกิดใหม่ได้หรือ’ ไอ้มั่นทั้งเอ็ดทั้งบ่นที่หญิงสาวข้างกายดันทำเป็นเรื่องตกอกตกใจเกินจริงเสียได้
‘หนูรู้ แต่ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตาย แก่ตายเหรอ ตายได้ยังไงพี่มั่นเล่ามาให้หมดเลย’
มิ้งถามต่อ เธออยากรู้ว่าชาติก่อนคนทั้งคู่ได้ครองรักกันนานไหม ได้มีความสุขกว่าในชาติแรกรึเปล่า เพราะมั่นบอกว่าไม่มีเรื่องต่างชนชั้น ใครๆ ก็รับรู้ แสดงว่าไม่มีอุปสรรคดังเช่นชาติก่อนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีกที่คุณปราณต้องตายจากไอ้หาญ
‘ดั่งเช่นคำสาปแช่งที่ให้ไว้ หากโชคชะตาแข็งแกร่งกว่ามนต์บทนี้ เมื่อนั้นคำสาปจะหมดไป’
‘ยิ่งพูดยิ่งอยากรู้’
‘เห้อ...ขืนข้าเล่าหมดไอ้หาญได้ฉีกอกข้าน่ะสิ’
‘พี่ไม่มีอกให้ฉีกเถอะ เป็นแค่วิญญาณเนี่ย อีกอย่างคุณตรีก็ไม่รู้หรอก เขาไม่ได้อยู่...’
มิ้งเงียบไปก่อนจะยิ้มฝืนเมื่อเห็นจีรัชญ์เดินเข้ามาในห้องที่เธอกำลังคุมช่างทำงาน รีบปิดปากเรื่องไอ้หาญกับคุณปราณไว้ก่อน ไม่งั้นจากที่จะได้คำตอบจากพี่มั่น จะกลายเป็นเธอโดนไล่กลับกรุงเทพฯ แทน
“คุณตรีมีอะไรรึเปล่าคะ” หญิงสาวลุกขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่ ปัดฝุ่นที่ติดกางเกงออกก่อนจะเอ่ยถามเจ้าของวัง
“รุ่นพี่คุณไปไหน” จีรัชญ์ถามเสียงเรียบ เขาไม่เห็นณิชอยู่ในบริเวณที่ทำงาน หรือรถเจ้าตัวก็ไม่มีให้เห็น
“เอ่อ...ไม่ได้อยู่ข้างนอกเหรอคะ” มิ้งถามหน้าซื่อ เพราะเธอก็ไม่รู้ว่ารุ่นพี่เธอหายไปไหน
จีรัชญ์ตอบกลับมาว่าไม่เห็นและไม่มีรถของณิชจอดอยู่ด้วย มิ้งจึงโทรเข้ามือถือของอีกฝ่าย ณิชรับสายและตอบกลับมาสั้นๆ ว่าออกมาธุระ จากนั้นก็กดตัดสายไป
“พี่ณิชออกไปธุระค่ะ เดี๋ยวก็คงกลับ” ประโยคหลังเธอเติมไปเองเพราะคิดว่าณิชคงเข็ดขยาดเรื่องพวกวัยรุ่นที่เคยดักทำร้าย อย่างไรก็ต้องกลับวังเร็วก่อนมืดค่ำแน่ๆ
ผิดกับไอ้มั่นที่อยู่กับเจ้านายมาหลายภพหลายชาติ มันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ลางสังหรณ์ก็ไม่แรงพอที่จะให้มันทำอะไรได้
::::::::::::
หลังจากที่อยู่เคลียร์งานมาหลายวัน ในที่สุดวันนี้ณิชขับรถออกจากวังปริพัตรในช่วงบ่ายคล้อย อาศัยตอนที่ไม่มีใครสนใจลอบออกมา เขาไม่ได้บอกใครว่าไปไหน มิ้งโทรมาก็บอกแค่ว่าไปทำธุระแค่นั้น แต่ก่อนหน้านี้เขาได้ไปถามกับป้าแจ่มมาแล้วว่าคุณสุทินทำงานอยู่ที่ใด ซึ่งได้รับคำตอบว่าอีกฝ่ายทำงานอยู่กรมที่ดิน เป็นระดับรองหัวหน้าแล้ว เขาจึงคิดว่าสุทินคือหมากตัวสำคัญที่จีรัชญ์ใช้ปกปิดตัวตนเสมอมา
แต่ที่เขาไม่เข้าใจอีกเรื่องคือ ถ้าสุทินคือคนจัดการเรื่องพวกนี้ให้จีรัชญ์ ทำไมอีกฝ่ายถึงมีอายุน้อย ทั้งที่เรื่องที่จีรัชญ์แอบอ้างว่าเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ยังไงมันก็ต้องมีคนที่จัดการมาให้ก่อนหน้านี้แล้ว
เขาขับรถมาตามกูเกิ้ลแมพที่พามายังสำนักงานที่ดินในเวลาเกือบห้าโมงแล้ว ก่อนหน้านี้ขับหลงไปอีกทางจนต้องวนกลับมาใหม่กินเวลาไปมากโข พอมาถึงที่หมายเขาก็รีบเข้าไปข้างในทันที
“สวัสดีครับ ผมมาขอพบคุณสุทินครับ”
“ไม่ทราบได้นัดไว้ไหมคะ” หญิงสาวตรงประชาสัมพันธ์เอ่ยถาม
“ไม่ได้นัดครับ แต่บอกว่าผมมาจากวังปริพัตรคุณสุทินเขาทราบดีครับ”
ใช้ชื่อวังของจีรัชญ์ให้เป็นประโยชน์สักหน่อย เพราะเขากลัวว่าหากไม่พูดไปเช่นนี้สุทินอาจไม่ยอมออกมาเจอก็เป็นได้
หญิงสาวหายไปทางห้องข้างหลังพักหนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมชายหนุ่มชื่อสุทิน ฝ่ายนั้นเมื่อเห็นณิชก็ชะงักไป เพราะไม่รู้ว่ามีเหตุจำเป็นอะไรที่ณิชต้องเจาะจงมาหาเขาถึงที่ทำงาน แต่กระนั้นก็ยังยิ้มให้ณิชราวกับไม่มีอะไรที่ตนเองกังวล
“สวัสดีครับคุณสุทิน”
“สวัสดีครับคุณณิช วันก่อนได้ยินมาว่าคุณตกบันได หายดีแล้วนะครับ” สุทินเอ่ยทักพลางเดินนำอีกฝ่ายเข้าห้องทำงานของตน ณิชยิ้มขอบคุณที่สุทินเชิญให้นั่ง อีกทั้งยังรินน้ำให้ใส่แก้วให้ด้วย
“หายแล้วครับ ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แล้วนี่คุณณิชแวะมาหาผมที่นี่ มีอะไรรึเปล่าครับ หรือคุณจีรัชญ์ต้องการอะไร”
“เอ่อ...เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากคุยเรื่องที่ทางในละแวกนี้ พอดีอยากซื้อไว้เก็งกำไรบ้างน่ะครับ” คำโกหกที่เขาไม่ได้คิดมาแต่ก็พอจะนึกได้แค่นี้ทำสุทินถึงกับแปลกใจ แน่ล่ะว่าคนพูดไม่เนียนเอาเสียเลย แต่สุทินก็ยังพูดตามน้ำไป
“ที่ทางแถวนี้ที่คุณณิชว่ามันไม่ได้เป็นทำเลทองหรอกครับ อีกอย่างผมไม่ทราบเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก แต่หากสนใจจริงๆ ผมก็พอรู้จักพวกนายหน้าที่ดินอยู่บ้าง เดี๋ยวผมจะแนะนำให้นะครับ”
“อ่า...ก็ดีครับ พอดีผมได้ยินว่าคุณสุทินจัดการเรื่องวังปริพัตรให้กับคุณจีรัชญ์ คิดว่าคุณพอจะมีเส้นสายจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยแน่ๆ” ณิชพูดด้วยรอยยิ้มซื่อ สุทินที่กำลังหาเบอร์โทรศัพท์ของนายหน้าค้าที่ดินชะงักไป เพราะดูท่าเรื่องที่ณิชต้องการจะพูดคงเป็นเรื่องนี้มากกว่าการซื้อที่เสียแล้ว
“ไม่หรอกครับ ผมแค่ทำตามหน้าที่ ก็แค่จัดการเอกสารตามมรดกตกทอดที่คุณจีรัชญ์ต้องได้ตามกฎหมายเท่านั้น” สุทินตอบอย่างไว้ท่าที
การที่เขาทำงานกับจีรัชญ์ สิ่งแรกที่ต้องจดจำไว้คือห้ามแพร่งพรายเรื่องของอีกฝ่ายให้คนอื่นรู้โดยเด็ดขาด ในด้านกฎหมายจีรัชญ์ใช้เงินซื้อทนายเก่งๆ ที่ไว้ใจได้มาแล้ว แต่คนเหล่านั้นไม่ได้รู้ ‘ความลับ’ ของจีรัชญ์เหมือนที่เขารู้ และนั่นเป็นความลับที่เขาต้องเก็บงำไว้จนกว่าจะถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้ช่วยของจีรัชญ์ เขาไม่รู้ว่าณิชรู้เรื่องของจีรัชญ์มากน้อยแค่ไหน และโชคชะตาทำงานไปถึงไหนแล้ว ทางที่ดีที่สุดควรลอบสังเกตอีกฝ่ายไปก่อน
ณิชเงียบไปเพราะไม่รู้จะชวนอีกฝ่ายพูดอะไรต่อ เขารู้ดีว่าสุทินคงกำลังหยั่งเชิงเขาอยู่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าสุทินรู้เรื่องของไอ้หาญมากน้อยแค่ไหน อาจจะแค่เป็นคนจัดการเรื่องเอกสารอย่างที่เจ้าตัวว่า หรือรู้อะไรมากกว่านั้นถึงขั้นรู้ว่าจีรัชญ์ไม่ใช่คนธรรมดาเลยรึเปล่า
“นี่ครับ เบอร์โทรของนายหน้าคนนี้เขาไม่โก่งราคาไว้ใจได้ครับ” สุทินเขียนเบอร์โทรศัพท์ใส่กระดาษให้ณิชก่อนจะยื่นให้ ชายหนุ่มรับมาก่อนจะกล่าวขอบคุณเบาๆ
“ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นคุณสุทินแวะไปที่วังเลย แวะไปบ้างสิครับ ป้าแจ่มบ่นคิดถึงไม่ขาดปากเลย” ณิชกล่าวพร้อมกับเดินออกมาจากห้องทำงานของสุทิน เขาคงยื้อเวลาคุยกับอีกฝ่ายได้ไม่นานนักเพราะสุทินยังอยู่ในเวลางาน
“ไว้ผมจะแวะเข้าไปนะครับ” สุทินตอบแบบไม่เจาะจงว่าจะเข้าไปหรือไม่ ณิชที่กำลังจะเดินออกจากประตูจึงหันกลับมาหา เมื่อคิดว่าเขากำลังจะมาที่นี่สูญเปล่า ไม่ได้อะไรกลับไปเลย
“คุณสุทินครับ เอาจริงๆ ที่ผมมาวันนี้เพราะผมมีเรื่องจะปรึกษา ผมเห็นว่าคุณสุทินสนิทกับคุณจีรัชญ์เลยอยากรู้ว่าคุณจีรัชญ์เขาชอบอะไรเป็นพิเศษไหมครับ พอดีผมกับเขาทะเลาะกัน และผมเป็นฝ่ายผิดเลยอยากจะทำอะไรง้อเขาสักหน่อยน่ะครับ”
ณิชพูดความจริงไปเพียงครึ่ง เพราะหากโอกาสการคุยกับสุทินครั้งนี้หลุดไป เขาก็ไม่รู้จะมาหาอีกฝ่ายด้วยเหตุผลอะไรอีก ฝ่ายสุทินที่ได้ฟังถึงกับหัวเราะ เพราะรู้สักทีว่าณิชมาหาเขาทำไม ที่แท้ก็เพื่อมาหาทางง้อจีรัชญ์นั่นเอง
“คุณณิชพูดแบบนี้ทำให้ผมคิดนะครับเนี่ย พูดเหมือนคนรักกำลังง้องอนกันอย่างนั้นแหละ” สุทินเอ่ยแซว แต่ณิชกลับยิ้มและหลบสายตา ฝ่ายคนแซวจึงเข้าใจในทันทีว่าณิชคงมีใจให้จีรัชญ์แล้วแน่ๆ
“ก็...ประมาณนั้นแหละครับ เขาก็ดูไม่มีใคร ผมเลย...” ณิชแสร้งทำทีเป็นเขินอาย หากที่จริงแล้วใจเต้นรัวอยู่ในอก เพราะไม่เคยคิดว่าจะต้องพูดในทำนองกำลังจีบผู้ชายด้วยกันอยู่ แถมผู้ชายคนนั้นยังเย็นชาใส่เขาเสียยิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็ง
“คุณจีรัชญ์เขาไม่ใช่คนง้อยากอะไรหรอกครับ เขาชอบอะไรที่เป็นของเดิมไม่เคยเปลี่ยน หากเปรียบกับความรัก ก็เหมือนคนรักเดียวใจเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปรักใครอื่นเลย”
สุทินทิ้งคำพูดที่สื่อโดยนัยไว้แค่นั้นก่อนจะเดินกลับเข้าข้างใน ในใจก็นึกเอ็นดูที่ณิชพยายามเข้าหาเจ้านายเขา จากที่จีรัชญ์ไม่ต้องการให้โชคชะตาเล่นตลกกับหัวใจตัวเอง ดูท่าจะต้านไม่อยู่เสียแล้ว สุทินไม่ลืมโทรไปรายงานจีรัชญ์ด้วยว่าณิชมาถามเขาเรื่องจะเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไร จีรัชญ์จึงเล่าคร่าวๆ ว่าณิชรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
“จะทำยังไงดีล่ะครับ ดูท่าคุณณิชตั้งใจจะเข้าหาคุณตรีทุกทางเลย”
[ปล่อยเขาไป เดี๋ยวเขาก็ล้มเลิกความตั้งใจไปเอง]
“แน่ใจเหรอครับ ดูท่าชาตินี้จะไม่เป็นอย่างชาติก่อนที่คุณตรีเล่าให้ผมฟังเลยนะ” คำพูดสุทินทำจีรัชญ์เงียบไป มันจริงอย่างที่สุทินว่า เพราะคุณปราณในชาติก่อนๆ เป็นเพียงชายหนุ่มเพียบพร้อมที่อ่อนแอเท่านั้น
--##--##--##--##--##--##--
เสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราวเป็นเกียรติแก่การแสดงของหม่อมราชวงศ์ปราณันต์ ชายหนุ่มลุกขึ้นโค้งคำนับพร้อมรอยยิ้มสวยที่ส่งให้แก่แขกผู้มีเกียรติทุกคน โดยเฉพาะคุณหญิงช่อทิพย์ที่ตอนนี้ถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หัวตา เพราะใจคิดไปถึงสามีผู้ล่วงลับที่เคยมอบบทเพลงรักเพลงนี้ให้กับตนเอง แล้วยิ่งวันนี้ลูกชายสุดที่รักดันมาเล่นเพลงนี้ในวันคล้ายวันเกิดของเธออีก มันยิ่งซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“หากท่านพ่อยังอยู่ โชว์นี้คงเป็นของท่านพ่อแน่ๆ ครับ”
ชายปราณเดินเข้ามาหาหญิงสูงวัยผู้เป็นมารดา กอดปลอบอยู่สักพักจึงผละออกแล้วนั่งลงข้างกัน เพื่อที่จะให้เจ้าของวันคล้ายวันเกิดได้ดูโชว์ระบำฮาวายที่หญิงรตีจ้างมา
หมออนันต์มองตามชายหนุ่มที่เป็นถึงหม่อมฯ ไม่ละสายตา หัวใจเต้นกระหน่ำรัวตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้สบตา จนบัดนี้มันก็ยังคงเต้นแรงอยู่ หากเขาเป็นโรคหัวใจคงได้วูบหมดสติไปแล้วแน่ๆ
“รบกวนคุณชายพาผมเข้าไปกราบคุณหญิงช่อทิพย์ได้ไหมครับ ผมมางานเลี้ยงของท่านแต่ยังไม่ได้ทักทายท่านเลย” อนันต์เอ่ยถามน้ำเสียงสุภาพตามที่ได้เคยเข้าสังคมชั้นสูงมาบ้าง
เพราะชีวิตที่เป็นอมตะทำให้เขาไม่มีทางเลือก นอกจากจะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำตัวกลมกลืนไปตามยุคตามสมัยที่ผันเปลี่ยนเท่านั้น
“ได้สิครับ”
ชายปุณเดินนำเพื่อนใหม่ของตนไปหามารดา ส่วนคนที่เดินตามใจลิงโลดที่จะได้ยลโฉมหม่อมราชวงศ์ปราณันต์แบบใกล้ชิด เมื่อไปถึงตาคมแทบไม่ละสายตาจากหนุ่มร่างบางที่กำลังนั่งชมการแสดงอยู่ จมูกโด่งกับปากเรียวรูปกระจับดูรับกัน ดวงตาสวยที่ไอ้หาญคนนี้เคยจำได้ไม่เคยลืมยังคงสวยเสมอ แก้มนวลที่ชาติก่อนมันเคยหอมนั้นเนียนใสจนเห็นเลือดฝาด
คุณปราณอยู่ใกล้มันเพียงแค่เอื้อมแต่ไอ้บ่าวซื่อไม่กล้ายื่นมือไปแตะ เพราะชาตินี้ไม่รู้คุณปราณจะจำมันได้หรือไม่ และถึงแม้จะจำได้มันก็เป็นเรื่องไม่ควรที่คนสามัญชนอย่างมันจะแตะต้องหม่อมฯ เขาได้
“คุณหญิงแม่ครับ เพื่อนผมต้องการมากราบคุณหญิงแม่ เขาชื่ออนันต์ครับ เพิ่งมาทำงานที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน” ชายปุณย่อกายลงจนกลายคุกเข่า เพื่อแนะนำตัวเพื่อนใหม่ให้มารดารู้จัก
คุณหญิงช่อทิพย์เลื่อนสายตาไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ สายตาของหญิงสูงวัยกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ปิดบังว่าตนกำลังประเมินอีกฝ่ายอยู่ อนันต์ที่ย่อกายลงตามชายปุณยกมือขึ้นไหว้พร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้าพอให้ดูเป็นมิตร
“สวัสดีครับคุณหญิง ผมอนันต์ครับ”
การแนะนำตัวและกิริยามารยาทดูดีเช่นคนมีการศึกษา ท่าทางก็ไม่ประดักประเดิดราวคนไม่เคยเข้างานสังคม อีกทั้งหน้าตาคมคายหล่อเหลาราวช่างปั้น รูปร่างก็ดูแข็งแรงกำยำไม่ใช่คนขี้โรค ผิวพรรณติดเข้มไปสักหน่อยแต่ก็สะอาดสะอ้าน เล็บตัดสั้นดูเรียบร้อยไม่สกปรกสมกับที่เป็นหมอ
“สวัสดีจ้ะ ทานอะไรมารึยังล่ะ เชิญเลือกทานได้ตามสบายเลยนะ”
หลังจากกวาดสายตาประเมินดูจนถ้วนทั่ว คิดว่าอีกฝ่ายพอมีระดับที่จะคบหากับลูกชายคนโตของเธอได้ คุณหญิงช่อทิพย์จึงรับไหว้พร้อมถามไถ่ อนันต์ทำเพียงยิ้มและเอ่ยปฏิเสธไป เพราะตอนนี้ตนอิ่มใจจนไม่สามารถหาอะไรใส่ท้องได้อีกแล้ว
การแสดงยังคงดำเนินไป มันยืนอยู่หลังคุณปราณเพื่อจะได้ไม่บดบังอีกฝ่าย ขยับก้าวเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อจะได้ใกล้ชิดให้มากกว่าที่เคย คุณปราณไม่ได้สนใจอะไรตนแม้แต่น้อย แววตาที่สบกันเมื่อครู่ตอนแสดงเปียโนก็คงเป็นการผ่านสายตาปกติ หรือเมื่อกี๊ตอนที่เขาแนะนำตัวกับคุณหญิงช่อทิพย์ อีกฝ่ายก็สีหน้าเรียบนิ่งไม่ได้สนใจอะไรมันเป็นพิเศษ
คุณปราณจำมันไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา จนเกือบกลายเป็นศตวรรษที่มันเฝ้าตามหาคนคนนี้ทุกหนทุกแห่ง แทบพลิกแผ่นดินเท่าที่มันจะไปถึงเพื่อเฝ้าหายอดดวงใจของมันคนนี้ หลายร้อยหลายพันครั้งกับความท้อ แต่เพราะคิดว่าอย่างไรก็จะได้ครองรักกัน และจะต่อสู้ไปด้วยกันเพื่อยุติคำสาปทำให้มันมีแรงสู้ต่อ
ทาสชายจากเรือนท่านออกญาศรีรัตนกรที่โดนคำสาปแช่งจากเจ้าของเรือน ชีวิตอมตะที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ตายทำให้ต้องอยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตร ความโดดเดี่ยวที่ต้องเจอบีบบังคับให้มันต้องแข็งแกร่ง มันใช้เบี้ยและอัฐที่คุณปราณให้ไว้ให้คุ้มค่าที่สุด ก่อร่างสร้างตัวจากอัฐที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของมัน ชุบตัวเป็นคนใหม่หาใช่ทาสเนื้อตัวดำมอมแมม
การร่ำเรียนวิชาต่างๆ ที่คิดว่าช่างห่างไกลไม่มีวันได้เรียน ไอ้หาญกลับใช้ความขยันไปแอบเรียนจนอ่านออกเขียนได้จนคล่อง ไม่มีแล้วไอ้บ่าวซื่อที่ใช้พื้นดินเป็นกระดานและใช้ไม้แทนดินสอ มันมีสิ่งที่ช่วยในการเรียนแล้วด้วยการไปซื้อมาใช้อย่างที่ลูกเจ้าลูกนายเขามีกัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกระดาษและปากกาขนนกที่ครั้งหนึ่งเคยราคาสูงลิบลิ่ว จนตอนนี้ความเปลี่ยนแปลงของแต่ละยุคสมัยทำให้มันมีสมุดและปากกาคอแร้งเป็นของคู่กาย
คำสาปของท่านออกญาฯ ไม่ได้ทิ้งไว้แค่ร่องรอยของความเสียใจ แต่ความลำบากที่มันต้องเผชิญทำให้ไอ้หาญต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้ ตายไม่ได้ เจ็บป่วยอย่างไรก็ไม่ถึงชีวิต โดนดาบฟันที่แขนยังมีแค่รอยแดง จนคนอื่นหาว่ามันมีของดีของขลัง ถามไถ่ยกใหญ่ว่าเป็นศิษย์วัดไหนหรือพกของดีอะไรติดตัว แต่มันก็ตอบเลี่ยงไปว่าบอกไม่ได้เพราะของจะเสื่อม ก่อนจะหนีหายเข้ากลีบเมฆเพื่อหลบหน้าคนเหล่านั้น
มันหนีขึ้นทางเหนือไปเป็นลูกจ้างร้านขายข้าวของเถ้าแก่ที่เป็นคนจีน เพราะความขยันทำให้เขาเอ็นดูมัน จากเป็นแค่จับกังมันเลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยเถ้าแก่ อีกทั้งการอ่านหนังสือออกทำให้มันมีประโยชน์ ช่วยจดบันทึกทำบัญชีให้
จนทำงานได้เกือบ 20 ปีมันจึงขอลาออกเพื่อไปหาที่ทำมาหากินใหม่ เนื่องจากร่างกายที่ไม่ได้แก่ลงตามกาลเวลาทำให้มันต้องออกห่างจากคนคุ้นเคยในเวลาต่อมา เพื่อไม่ให้เขาผิดสังเกตว่าเหตุใดไอ้หาญจึงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเลย
ร่างกายของมันหยุดนิ่งหลังจากมันต้องคำสาปมาได้ราวสิบกว่าปี ไม่ได้เติบโตหรือแก่ตัวอย่างคนอื่น มันมารู้ก็ตอนหลังที่คนทักว่าทำไมถึงไม่แก่เลย ยังหน้าตาหล่อเหลาดูหนุ่มราวคนอายุ 30 กว่าตลอด ซึ่งนั่นทำให้ไอ้หาญวางแผนการใช้ชีวิตใหม่ทุกๆ 20 ปี
ไอ้หาญไม่เคยเปลี่ยนชื่อตัวเองเลยตั้งแต่มีชีวิตเป็นนิรันดร์ ด้วยเพราะกลัวว่าคุณปราณจะจำมันไม่ได้หากต้องใช้ชื่ออื่น แต่แล้วการเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อย และหน้าที่การงานที่มันต้องเปลี่ยนเสมอๆ ทำให้มันต้องใช้ชื่อใหม่
‘อนันต์’ ที่แปลว่าไม่สิ้นสุด คือชื่อที่มันคิดว่าตรงกับตัวเองมากที่สุด เพราะชีวิตอมตะของมันยังคงดำเนินต่อไปไร้จุดจบ รวมไปถึงความรักที่มันปักใจมอบให้คนคนเดียว ไม่ว่าวันเวลาของการรอคอยจะยาวนานมากเพียงใด แต่ความรักที่มันมอบให้คุณปราณจะไม่มีวันสิ้นสุดลงอย่างแน่นอนโปรดติดตามส่วนต่อไปขอบคุณทุกความเห็นค่ะ